631127_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ บุคคล 7 จำพวก ในหมู่นักปฏิบัติธรรม
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1pQzJtE2fSeq7JqpAXQr717P3u2l5QWkGKqopH5EGuuI/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/12juoHsY_Pjx6sB9A4BUb6nWn4GPUR-98/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/logqG7_4ELQ
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2563 เราจะมีกิจกรรมเปิดโรงบุญที่ท้องสนามหลวง เข้าพื้นที่วันที่ 4 ธันวาคม 2563 พรุ่งนี้เวลา 14.00 น. จะประชุมทางออนไลน์กันเพื่อเตรียมพร้อม เพราะเป็นงานใหญ่ที่เราเคยร่วมกับเครือข่ายหลายที่ด้วยกัน
ในประเทศไทยช่วงนี้อิทธิพลของสื่อต่างๆทำให้เกิดภาพหลอนในประเทศไทย มีพวกคณะราษฎร์ก็จะนัดรวมตัวกันซ้อมรับมือรัฐประหาร
วันที่ 2 ธันวาคม 2563 ก็จะมีการตัดสินคดีที่มีการฟ้องนายกฯลุงตู่ว่ายังอยู่บ้านพักทหาร มีคนออกมาบอกว่าถ้าหากศาลไม่ตัดสินให้ผิดบ้านเมืองก็จะวุ่นวายแน่ เหมือนเป็นการพูดบังคับศาลเลย
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 25-26 พ.ย. 2563
มีแต่อริยสัจ 4 ที่ผู้บรรลุแล้วพูดกันแล้วไม่แย้งกัน
_ดิฉันส่งข้อมูลนี้ เพื่อฝากกราบเรียนพ่อครูว่า อ.สุลักษณ์เป็นเหยื่อพวกชั่วที่ต้องการล้มเจ้า..ดิฉันเข้าใจ ท่านไม่ต้องการล้มเจ้า แต่ท่านต้องการเสนอข้อปรับปรุงสถาบันกษัตริย์อย่างจริงใจ…อย่างไรก็ตามท่านถูกคนชั่วจับมือท่านชุบน้ำแล้วแหย่ปลั๊กไฟแรงสูง ก็ถูกไฟดูด…ท่านยังไม่เข้าใจคำว่า “บารมี ”
พ่อครูว่า…คุณ อ.ศิวรักษ์ก็คงจะเข้าใจคำว่า “บารมี” อยู่ประมาณหนึ่งตามที่ อ.ศิวรักษ์เข้าใจนะ
ท่านยังมีความคิดเชิงตรรกะ..ไม่เข้าถึงเรื่องอจิณไตย..นั่นเป็นเรื่องของท่าน..ทว่าขอกราบเรียนพ่อครูในความเห็นของดิฉันขอพ่อครูอย่าได้วิพากษ์เรื่องนี้ “ไม่ขอตอบใดๆ..หรือเป็นหวัดบ้างสักเรื่อง ”..คำพูดหรือข้อวิจารณ์ของพ่อครูจะได้ไม่ถูกนำมาเป็นประเด็นทางการเมืองเพื่อสมประโยชน์พวกนักการเมือง.ที่คิดเพียงประโยชน์ตน..นี่เป็นเพียงความเห็นของดิฉันส่วนพ่อครูเห็นอย่างไรดิฉันไม่ขัดข้องค่ะ..กราบมาด้วยความเคารพอย่างสูง…หายโง่
พ่อครูว่า…จริง อาตมาก็เห็นด้วย ก็ไม่ขอต่อความยาวสาวความยืดประเด็นนี้หรอก คิดว่า อาตมาก็เข้าใจอาจารย์สศิวรักษ์พอสมควรตามภูมิของอาตมา
เป็นเรื่องจริงใหญ่ ที่ว่า สัจจะมีหนึ่งเดียวไม่มีสอง ผู้ที่จะเห็นสัจจะมีแบบเดียวหมดความขัดแย้งกันได้มันมีหนึ่งเดียวจริงๆคืออริยสัจ 4 ที่ผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขึ้นไปแล้วจบในเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่มีเถียงกันแล้ว มีหนึ่งเดียวเท่านี้นอกนั้นไม่มีอะไรที่จะไม่แย้งกัน มันแย้งกันได้ทุกอย่าง นอกจากอาริยสัจ 4 พระโพธิสัตว์หรือพระอรหันต์ ถ้าเอาเรื่องอื่นมาพูดก็ แย้งกันได้หมด แล้วอรหันต์ท่านมีที่จบท่านรู้ว่าอะไรคือคุณคือโทษ อะไรคือสุขคือทุกข์ อะไรคืออุบายเครื่องออกจากสุขทุกข์หรือออกจากคุณออกจากโทษ แล้วก็ทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ออกจากคุณจากโทษ จากดีจากชั่ว เป็นเรื่องของโลกีย์ออกจากสุขออกจากทุกข์เป็นเรื่องของโลกุตระ พระอรหันต์จบ เรื่องดีไม่แย้งไม่เถียง นอกนั้นแย้งกันได้หมด ส่วนเรื่องสุขเรื่องทุกข์เป็นเรื่องของปรมัตถ์เป็นเรื่องของโลกุตระ ถ้าใครยังยึดสุขยึดทุกข์อยู่ ก็เป็น 2 ถ้าใครไม่ยึดถือในสุขไม่ทุกข์ได้ก็เป็น 0 ได้ เป็น1ได้หยุดจบ ตัวเองมี 0 แล้วอาศัย 1 สบายจบ มีหนึ่งเดียว ก็จบ
เพราะฉะนั้นอยู่อาศัยหนึ่งเพราะมีศูนย์ อาศัย 1 อยู่สบาย มีอริยสัจ 4 เป็น 1 ก็จบทุกข์สมุทัย นิโรธ มรรค มีนิโรธเรียบร้อย ก็มีหนึ่งอาศัยพระอรหันต์ไม่เถียงกันเลยในเรื่องอริยสัจ 4 แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องอริยสัจ 4 พระอรหันต์ก็แย้งกันได้ นอกจากนี่เป็นสุดยอดเลยในคำตรัสของพระพุทธเจ้า มีสิ่งที่เป็นสัจจะหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่มี 2 คือ ผู้จบอาริยสัจ 4 นี่แหละ ผู้หมดสุขหมดทุกข์แล้วก็มีนิโรธ มีวิธีการดับแห่งทุกข์ ผู้ที่จบอันนี้ได้แล้ว อันนี้เรื่องนี้หนึ่งเดียวในโลก มีในศาสนาพุทธศาสนาเดียว นอกนั้นแย้งกันหมด เพราะนอกนั้นไม่ใช่อริยสัจ อาตมาใช้คำว่า อาริยสัจ 4 สัจจะความจริง ใช้อาริยะ เพราะเดี๋ยวนี้คำว่าอริยะ หรืออารยะ เขาเข้าใจผิดกันแล้วมันไม่ตรงกันสัญญาคนละอย่าง ใช้พยัญชนะ อาริยะ ก็อาตมาก็เอาคำนี้จนคนอื่นเขาเอาอริยะหรืออาริยะอยู่ก็ของเขา อริยะก็สัญญาอีกอย่างหนึ่ง อารยะต่อสัญญาอีกอย่างหนึ่ง ส่วนอาริยะนั้นอาตมาเข้าใจเลยว่าเป็นโลกุตระ
อารยะ ไปขยายความเป็นความเจริญแบบโลกโลกีย์ไปหมด อารยประเทศ อารยชน อารยชาติ เมืองที่ด้อยพัฒนาหรือว่าเมืองไม่อารยะ เมืองที่พัฒนาแล้วเป็นมหาอำนาจ เป็นเศรษฐีใหญ่เป็นอะไรก็แล้วแต่ เขาก็ถือว่าเป็นอารยะ
ส่วนอริยะ เป็นเชิงทางธรรมะ อริยะเป็นนักปฏิบัติธรรมดับนิโรธเป็นโลกีย์ เป็นเทวนิยม นั่นอริยะ เขาก็สมมุติไปคนละอย่างกัน เราก็บอกว่า อาริยะ รู้ทั้งอารยะและอริยะ ของเราเอาที่อาริยสัจ 4 หรือจะใช้อริยะ ก็ต้องเข้าใจคำว่าอริยะให้ตรงสัจจะ อริยะของคุณ ที่เป็นนิโรธนั้นเป็นนิโรธไม่เที่ยง เป็นอสัญญีสัตว์หรือไม่ก็เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่พ้นเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธยังไม่ได้
คุณหายโง่ขอมา อาตมาก็ไม่ขอตอบใดๆ
_เอ็กซ์ เอ็กซ์ : พ่อครูยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนานเท่านาน เพราะการสั่งสมบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ใช้เวลานาน
พ่อครูว่า…ก็ถูก อีกนาน จนกว่า จะบำเพ็ญไปเป็นโพธิสัตว์ระดับ 9 ก็จบ
_โกศล สุขเล็ก : คารวะท่านผู้เฒ่า..สภาวธรรมของผมยังไม่ค่อยถึง..แต่ก็พยายามฟังอยู่เป็นประจำครับ..ขอบพระคุณครับ..สาธุ
_K C : นักเรียนสัมมาสิกขามีความคิดเป็นผู้ใหญ่ ฉลาดเฉลียว บางคำถามยังทำให้ผู้ใหญ่อย่างเราถึงกับอึ้ง …สิ่งนี่สื่อให้เห็นสิ่งที่โรงเรียนในอโคกปลูกฝังแต่สิ่งดี ๆมีคุณธรรม ….นักเรียนสัมมาสิกขานั้นโชคดีที่สุด
พ่อครูว่า…เป็นเรื่องจริงของคนที่มีภพภูมิของอาริยะ
สาธารณโภคีหากยังมีหวงของก็ต้องลด
_ศศิธร พร้อมดี : กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพศรัทธาค่ะ คนที่มาอยู่วัด มีหน้าที่ดูแลข้าวของวัตถุของส่วนกลาง แต่ส่วนใหญ่ใช้เองคนเดียว ใครมาขอใช้บ้าง จะมีอาการหวงแหนมาก เพราะกลัวคนอื่นทำเสียหาย ถ้าใครไปเตือน ให้เอื้อเฟื้อคนอื่นด้วย เขาจะอารมณ์เสีย และบ่นว่าถ้าอย่างนี้จะกลับไปอยู่บ้านนะ กราบนมัสการด้วยความเคารพค่ะ
พ่อครูว่า…จริงนะ อาตมาก็ว่ามี คนที่มันเป็นตัวกูของกูเยอะจะอารมณ์เสีย
ก็ช่วยมาหลายทีแล้วสำหรับคนที่ยึดมั่นถือมั่น ยึดถือของส่วนกลางไปเป็นของตัวคนเดียว ใครจะมาขอใช้ก็หวงแหน ตั้งแต่อะไรเล็กน้อยกุญแจเครื่องมืออะไรต่างๆ อะไรก็แล้วแต่ แล้วก็ยึดไว้หวงแหนไว้ ใครเอาไปใช้ก็ไม่ได้ทั้งที่มันควรจะได้เป็นประโยชน์
ของส่วนกลางจะเอาไปใช้เขาก็บอกว่าใช้ไม่เป็นก็จะเสียหาย เขาใช้ไม่เป็นก็สอนเขาสิ ถ้ามันจะเสียมันก็ต้องเสียเป็นของธรรมดาก็ต้องเสียแน่ เช่นอย่างเราให้เด็กๆใช้มันก็ต้องเสียแน่ ก็ต้องลงทุนไม่อย่างนั้นจะได้เกิดมีสมรรถภาพความสามารถขึ้นมาได้อย่างไรก็ต้องลงทุนเป็นธรรมดา ต้องดูคนนี้หากไม่เป็นเลยมันก็จะเสียง่ายเกินไป ถ้ามันพอได้ก็ช่วยเขาทำมันจะเป็นได้เร็ว เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงแหนหรอก เป็นแต่เพียงเราต้องฉลาดที่จะดูแลคน อธิบายจนเข้าใจแล้วช่วยสอนเขาให้เป็นเลยก็จะเกิดความเสียหาย มีน้ำใจไม่เช่นนั้นเราก็จะได้แต่หวงของ ของก็ไม่มีประโยชน์เศรษฐกิจแทนที่จะได้เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ขึ้นก็หักไว้เก่ง ทำให้เศรษฐกิจเสีย จะที่จะได้พัฒนา จากธนบัตรนี้หวงแหนเอาไว้แก่ตัวเอง กลัวคนอื่นใช้ไม่เป็น ธนบัตรก็เลยกลายเป็นเศษกระดาษ ธนบัตรหักให้มันเดินผ่านไปใช้มันก็จะมีประโยชน์ 100 บาทก็ใช้ซื้อสิ่งต่างๆได้ เป็นของมีค่า แต่ถ้าเก็บไว้ก็คือเศษกระดาษธรรมดา เปื้อนหมึกธรรมดา มันหมดอายุก็สูญสลายหายไป เรามาทำเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีจึงมีการสะพัดหมุนเร็วที่สุดกว่าอย่างอื่น เอาแต่ละคนไม่สมส่วนตัวเอาไปสะพัดสะสม อาตมาก็ยังรู้ว่าตัวเองอธิบายยังไม่เก่ง
ทักขิเณยบุคคล 7 จำพวก
_แดง ลานกราบ : ยกตัวอย่างเช่น สายปัญญาพอเห็นส้มตำจะรู้ลึกรู้ละเอียดว่าส้มตำมีส่วนผสมอะไรบ้าง มีประโยชน์ต่อร่างกายยังไงบ้าง
ส่วนสายศรัทธาพอเห็นส้มตำจะรู้แค่ส่วนผสม แต่ไม่รู้ประโยชน์ที่จะมีต่อร่างกายใช่ไหมคะ / ชื่นชมและเลื่อมใสท่านสมณะถักบุญที่ท่านเทศน์ธรรมะเป็นวิทยาศาสน์ค่ะ
พ่อครูว่า…พยายามมองมุมต่างลิงคะ อันนี้สุดยอด ลิงคะ หรือเพศ มันจะแตกต่างกันไปถึงที่สุดแห่งที่สุดที่ละเอียด เอาอภิภูมาแยก ความแตกต่างระหว่าง กายกับสัญญา เอาวิญญาณฐีติ 7อธิบาย สัตตาวาส 9 อธิบาย อาตมาก็กำลังเอาอภิภูมาอธิบาย อภิภายตนะ 8 แยกความต่างที่ละเอียดลึกซึ้งเข้าไป เป็นรายละเอียดที่ลึกซึ้งสมบูรณ์แบบเลย จากอภิภูก็เป็นสยัมอภู (สยัมภูคือใคร?…พระพุทธเจ้า) สยังอภิญญาต้องเรียนอภิภูกันให้สมบูรณ์แบบ อาตมาก็พยายามพากเพียรเรียนในความละเอียดละออในนัยยะที่ต่างกันในอภิภู 8 ประเด็นนี้
ถ้าจะให้ต่อ ก็จะต้องไปอธิบายถึงบุคคล 7 ศรัทธากับปัญญา อธิบายหน่อยก็ได้ อธิบาย บุคคล7 ต่อได้ตลอดปีตลอดชาติ
บุคคล1สัทธานุสารี ,บุคคล 2 ธัมมานุสารี ,บุคคล 3 สัทธาวิมุต ,บุคคล 4 ทิฏฐิปัตตะ ,บุคคล 5 กายะสักขี ,บุคคล 6 ปัญญาวิมุต ,บุคคล 7 อุภโตภาควิมุติ ,บุคคล 8 คือปัจเจกกับพุทธะ
บุคคล 9 คือสัมมาสัมพุทธะ เราก็ยกไว้เพราะสัมมาสัมพุทธะกับปัจเจกพุทธะยังไม่ต้องอธิบายหรอก
บุคคล ๗ จำพวก ล.36 ข้อ 40 ทักขิเณยบุคคล 7 หรือ เล่ม 13 ข้อ 233
[46] บุคคลชื่อว่าสัทธานุสารี เป็นไฉนสัทธินทรีย์ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล มีประมาณยิ่ง อบรมอริยมรรคมีสัทธาเป็นเครื่องนำมา มีสัทธาเป็นประธานให้
เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า “สัทธานุสารีบุคคล” ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
ชื่อว่าสัทธานุสารี ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าสัทธาวิมุต
[45] บุคคลชื่อว่าธัมมานุสารี เป็นไฉนปัญญินทรีย์ของบุคคลใด ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลมีประมาณยิ่ง บุคคลนั้นย่อมอบรมซึ่งอริยมรรคอันมีปัญญาเป็นเครื่องนำมา มีปัญญาเป็นประธานให้เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า ธัมมานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าธัมมานุสารี บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ
[44] บุคคลชื่อว่าสัทธาวิมุต เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อนึ่งธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่ง อาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาแต่มิใช่เหมือนบุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ บุคคลนี้เรียกว่าสัทธาวิมุต
[43] บุคคลชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
นี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาบุคคลนี้เรียกว่า ทิฏฐิปัตตะ
[42] บุคคลชื่อว่ากายสักขี เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาบุคคลนี้เรียกว่า กายสักขี
[41] บุคคลชื่อว่าปัญญาวิมุต เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า ปัญญาวิมุต
[40] บุคคลชื่อว่า อุภโตภาควิมุต เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย แล้วสำเร็จ อิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียก ว่า อุภโตภาควิมุต
พ่อครูว่า…สัทธานุสารีกับธัมมานุสารี จึงมีความไม่เหมือนกัน
ไม่ใช่ว่าปัญญาจะไปข่มสายศรัทธา แต่ความเหนือกว่าก็คือเป็นเรื่องสัจจะ เหมือนดีก็ต้องเหนือกว่าชั่ว เป็นต้น
พระอรหันต์จะหมดสิ้นอาสวะ แต่พระโพธิสัตว์จะเข้าใจถึงอนุสัย ได้ เบื้องต้นต้องเข้าใจว่าอนุสัยเป็นสิ่งไม่ดี แต่โพธิสัตว์จะอาศัยอนุสัยได้ อาศัยเท่านั้นนะ อาศัยอนุสัย อนุ คือตัวแกน อันหนึ่งเป็นตัวตั้ง static (อนุ) อันหนึ่งเป็นตัวเคลื่อน dynamic (อาศัย)
อรหันต์แกนอาสวะที่ได้อาศัยอาสวะสิ้น พอจะไปถึงอนุสัยก็เป็นแกนจิตที่ลึกไปกว่าอาสวะ พระอรหันต์สูง พอปัญญาวิมุติ จึงคืออุภโตภาควิมุติ มีวิมุติทั้งปัญญา เจโต ครบถ้วน ส่วนเจโตหรือศรัทธานั้น พอมาเป็นปัญญาวิมุติ สายศรัทธากว่าจะป็นอุภโตภาควิมุตินั้นนานกว่าปัญญาวิมุติ ปัญญาจะไปเป็นอุภโตภาควิมุติได้ง่ายเร็วกว่า เพราะมีปัญญารู้ถ้วนรอบครบกว่า
แยกกายแยกจิตได้ก็กลายเป็นอรหันต์
คำว่า กายต้องมีภาวะความเป็น 2 ตลอดเวลา อุปัชฌาย์ต้องสอนภิกษุบวชใหม่เรื่องการแยกกายแยกจิต แยกว่าส่วนไหนเป็นกาย อันไหนไม่เป็นกาย ต้องทำจิตให้ไม่เป็นกายได้ขั้นอุตุเลย คือไม่มีความรู้สึกเป็นดินน้ำไฟลม เป็นมหาภูตรูปเลย ไม่มีชีวิต เพราะฉะนั้นถ้าคุณตัดเล็บออกไปขาดจากร่างของคุณส่วนของเล็บนั้นก็ไม่มีชีวิตแล้ว คุณทดสอบพิสูจน์ได้ เล็บที่ยาวออกมาตัดได้ไม่เกี่ยวกับประสาท คุณตัดก็ไม่เจ็บ ไม่มีเวทนา ไม่รู้สึกอะไร ที่ไม่มีเวทนานั่นแหละ แม้เป็นชีวะอยู่ก็ไม่เป็นกาย
จิตที่ทำให้ไม่เป็นกายต้องทำอย่างเล็บที่มันมีชีวะอยู่ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขไม่เจ็บไม่ปวด ไม่มีบาปไม่มีบุญให้มันเป็น พีชะ พืชไม่มีบาปไม่มีบุญไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณเป็นสังขารไม่มีวิญญาณครองเป็นสังขารไม่มีจิตครองไม่มีกรรมครอง มีการกระทำแต่การกระทำของมันไม่มีบาปไม่มีบุญ ก็ทำจิตของเราให้ไม่มีวิบาก แต่มีธาตุจิตที่สูงปัญญาฉลาดรู้ดี รู้คุณรู้โทษ รู้ดีรู้ชั่ว รู้สุขรู้ทุกข์ แล้วก็ต้องทำให้ดี เป็นความจริงใจของผู้บรรลุพระอรหันต์และไม่ทำชั่วเด็ดขาด สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง ทำกรรมทุกกรรมก็มีแต่กรรมดี กุสะลัสสูปะสัมปะทา ไม่มีเจตนาทำชั่วเลย ส่วนชั่วดีนั้นเป็นสมมุติ ก็ซ้อนอีก ไม่อธิบายต่อวันนี้ ฝากไว้ก่อน
ขอสรุปตรงที่ว่า กายนี้มันไม่มี ต่อเมื่อมันเป็นสภาวะดุจเดียวกับอุตุ หรือพีชะ แม้จะติดกับตัวเราก็ตาม ทำจิตให้เหมือนเล็บที่หลุดไป ผมที่ยาวออกมา เหมือนฟันที่กรออกกได้ไม่มีเวทนา เหมือนขี้ไคลที่ผิวหนังที่ขัดออกไปได้
คุณต้องแยกกายแยกจิต โดยรู้ว่าไม่ใช่กายแล้ว คืออาการของจิตคุณเป็นอย่างไร อาการอย่างดินน้ำไฟลมยังอยู่ในจิตของคุณ เพราะร่างคุณยังมีดินน้ำไฟลมอยู่ คุณทำให้เป็นอย่างนั้นหรือเป็นมนุษย์พืช พืชก็ไม่มีกาย ไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์เจ็บปวด และไม่มีวิบากแล้ว นี่แหละเป็นความลึกซึ้งสุดยอดที่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตของพระพุทธเจ้า ที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกที่มี Noble Prize กี่ใบก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จในจุดนี้
เริ่มตั้งแต่พระโสดาบันก็เริ่มรู้ความจริงถ้าจะให้ครบก็เป็นพระอรหันต์ดูรอบถ้วนหมดสิ้นไม่สุขไม่ทุกข์ได้แล้ว เป็นอุเบกขาเวทนา หรือเป็นอทุกขมสุขได้แล้ว
คุณรู้จักเวทนา 108
(แบ่งเป็น 2 เวทนา ได้แก่..)
-เวทนาที่มีกายเป็นเหตุ (กายิกเวทนา อาศัยมหาภูตรูป+นาม) เน้นนอกและใน
-เวทนาที่มีใจเป็นเหตุ (เจตสิกเวทนา อาศัยนามรูป).เน้นแต่ภายในจิต
กายต้องมีนอกเสมอ เป็นแต่เพียงสัญญากำหนดรู้ภายนอกก็เป็น กายิกเวทนา ส่วนกำหนดรู้ภายในก็เป็น เจตสิกเวทนา แต่ต้องมีการสัมผัสภายนอกอยู่ด้วยนะ แต่ว่าคุณไปนั่งหลับตาปิดหูจมูกลิ้นกายใจไม่มีกายภายนอกผู้นี้โมฆะจากศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธจะหมดสุขหมดทุกข์ได้ต้องมีตากระทบรูปหูกระทบเสียงลิ้นกระทบรส มีพระสูตรที่พระพุทธเจ้าบอกว่าไปสอนให้นั่งหลับตาปฏิบัตินั้นเหมือนการทำให้คนตาบอดหูหนวก
พระไตรปิฎกเล่ม 14 อินทริยภาวนาสูตร (152)
[853] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่ ในนิคมชื่อกัชชังคลา ครั้ง
นั้นแล อุตตรมาณพ ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่
ประทับ แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้
ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[854] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า ดูกร
อุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า ฯ
อุตตระ… แสดง พระโคดมผู้เจริญ ฯ
พระโคดม… ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ
อุตตระ… ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการ
เจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียง
ด้วยโสต ฯ
พระโคดม… ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของ
ปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอด
ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัส
แล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก
ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ
พ่อครูว่า…นี่คือคนเขาไม่ดื้อดึง อาตมาพูดถึงเรื่องอย่างนี้ ไปหลับตา ไม่รับเสียง มันโมฆะ สอนอย่างนี้มันง่ายแต่ปิดทางบรรลุนิพพาน คนที่เขามีปฏิภาณปัญญาฟังเข้าใจก็จะไม่เอาแล้วแบบนี้ แอบไปนั่งหลับ
หลับตามีอุปการะไหม มี หลับตาทบทวนเตวิชโช เพื่อพักผ่อน
-
ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
-
ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
-
เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
-
สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)