640131_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ดับ ชาติ 5 ด้วยวิชชา 8
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1QJrATpTKPNEOw8tb-P8kTt2HY36Tc6CN2UZzhEK8Whc/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1aO23zWRHX3U4B5VpbXKFtdp7y3E1JVym/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/rYOvfyknPSU
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ในยุคนี้เป็นยุคที่คนต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน มีช่างภาพคนนึงแต่ก่อนเขาเป็นช่างภาพไปนั่งเฝ้าคนจะกระโดดตึกฆ่าตัวตายทั้งวัน เขาก็ไม่กระโดดตึก ทั้งวันก็เลยไม่ได้ภาพ เขาก็เลยไปทำกสิกรรมแทน ปลูกผัก เขาจึงร่ำรวยความสุขพึ่งพาตัวเองได้ท่ามกลางวิกฤต ชีวิตไม่ต้องดิ้นรนมาก ทำกสิกรรมไร้สารพิษ เขาก็ทำเป็นครอบครัวเล็ก
แต่พ่อครูพาทำอย่างเป็นครอบครัวใหญ่ อยู่กันหลายร้อยคน พึ่งพาตัวเองได้ เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ถ้าเป็นครอบครัวอยู่กัน 3-4 คนก็ทำได้ แต่คนอยู่กัน 500 กว่าคน พึ่งพากันได้ด้วยความปลอดภัย อยู่กันได้โดยไม่ต้องใช้เงินเป็นส่วนมาก อยู่กันผาสุก ข้อพิสูจน์ว่าสังคมจะต้องมาสนใจศึกษาแน่ๆอยู่กันได้อย่างไร เพราะคนอื่นเขาเดือดร้อนแทบตาย
มีเด็กคนหนึ่งต้องไปขอเงินครู 100 บาทไปซื้อข้าวกินที่บ้าน ของก็แพงตอนนี้พริกขี้หนูเม็ดละบาท (พ่อครูว่า…เลิกกินพริกขี้หนูกันได้นะ) ความเดือดร้อนมีมากมายในสังคม ต่างกับในชุมชนชาวอโศกที่พ่อครูพากันมาถือศีลปฏิบัติธรรมในสาธารณโภคี อยู่กันอย่างเบิกบานสำราญใจ ดูของบนโต๊ะเห็นแล้วก็อิ่มเลย
พ่อครูว่า…ดูกะหล่ำปลีหัวนี้เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ฟุต หอมหัวใหญ่สีขาวผ่อง มะยงชิดเขาบอกว่าหวานด้วย
SMS วันที่ 29 ม.ค. 2564
_Surapa Limwannasathian (สุรภา ลิ้มวรรณเสถียร) : ธรรมที่หลวงปู่แสดงเป็นวิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ได้ ผลที่ได้ต้องใช้เวลาใช่มั้ยคะ
พ่อครูว่า… ใช่ ต้องศึกษาและใช้เวลาให้เป็นลำดับเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ตามพระพุทธเจ้าสอน อาตมาก็จำชื่อคุณได้ มาบ่อย
_ชายพงไพร บุนิตระกูลพุทธ : รักแท้แพ้ใกล้ชิด คุ้นเคยเลยเถิดไปผิดศีล รู้หมดแต่อดไม่ได้เมื่อไฟใกล้น้ำมัน
พ่อครูว่า…ไปโทษไฟโทษน้ำมัน โธ่เอ๋ย ตัวเองไปโทษไฟโทษน้ำมันมันทำไม ต้องศึกษาฝึกฝน คนที่จะศึกษาเห็นว่าเรื่องกามเรื่องเพศ เรื่องการหยุดในเรื่องกามกิจได้ก็ดี ต้องศึกษา ไม่ใช่ว่าคนจะหมดกามแล้ว จะเป็นคนเฉยเซื่องซึมไม่มีกำลังไม่มีแรง แต่ยิ่งดี เชื่อเถอะนะพระพุทธเจ้าตรัสสอนไม่ใช่ของเสียหายหรอกเป็นของดี
พญานาคกับมังกรเหมือนกันหรือไม่อย่างไร
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : มังกรกับพญานาคเหมือนกันใหม?ครับ
พ่อครูว่า…ไปหลงลมลุงพลหรือไง ก่อสร้างพญานาค ตอนนี้ออกข่าวไทยรัฐประจำ เป็นเครื่องมือโฆษณาให้ลุงพลจริงๆ ก็นิดหน่อย
มังกรนี่ของจีนพญานาคของอินเดีย
มังกรเหินฟ้าพญานาคอยู่ใต้บาดาลเฝ้าบาดาล
มันเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่นอนเอือกก็คืองูนั่นเอง ก็เลยสมมุติเป็นงูใหญ่แล้วทรงเครื่องเสียอีก แทนที่จะเป็นงูธรรมดาหัวอย่างนั้นก็เอามาประกอบกัน หัวก็เอาหัวงูเห่ามีแผ่แม่เบี้ย ก็ออกแบบตามศิลปินทำให้มีหงอนมีอะไรเป็นแฉก ให้มันดูพิสดารขึ้นมา ปากคอก็ให้มีลายกนก อ้าปากมีเขี้ยวน่ากลัวเป็นพญานาค ทุกวันนี้แพร่หลายกันพญานาคก็อาจจะแตกต่างกันบ้างตามศิลปินแต่ละคน โครงสร้างเหมือนกันแต่รายละเอียดแตกต่างกันไปเท่านั้นเอง
สรุปแล้วก็คือเป็นการสมมติอะไรขึ้นมาเพื่อที่จะให้เอามาใช้ในสังคม เราเอาความหมายของมัน หมายถึง สัตว์ที่นอนเอือก ในศาสนาพุทธก็มี ว่า นาค มาปลอมบวช ก็คืองูนี่แหละ เอาแต่นอน หลงนอน กินอิ่มแล้วก็นอน งูเหลือมกินวัว 1 ตัวนอนเอือก จนหญ้าคาแทงทะลุตัวออกไปหลังงูเลย ถึงขนาดนั้นเลย
ทีนี้อยู่ใต้บาดาลก็พูดถึงหลายทีแล้วพญานาคตัวเก่งเดี๋ยวเฝ้าใต้ก้นบาดาลลึกสุด เฝ้าถาดทองคำของพระพุทธเจ้า ถาดแรกเลยใบที่ 1 ใบที่ 2 3 4 5 6 นับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นล้านองค์แล้ว ซึ่งไม่มีใครสามารถองค์ต้น แม้พระสมณโคดมมีคนมาถามท่านว่าพระพุทธเจ้าองค์ต้นคือใครท่านก็บอกว่าท่านไม่รู้ที่ต้นเรารู้แต่ที่จบเลิกเป็นปรินิพพานได้ ท่าน ก็ว่าที่ต้นไม่ต้องไปตามหรอก ไม่มีประโยชน์อะไร
ทีนี้พญานาคที่เฝ้าสมมุติความหมายพญานาคคือนอนเอือกไม่รู้ไม่ชี้ ก็คือพวกนั่งหลับตา เป็นสมมติที่ดุด่าว่าตำหนิ พวกหลับตาปฏิบัติที่เป็นปฏิปักษ์ในศาสนาพุทธ เดียรถีย์นั่นแหละ เป็นสมาธิที่เกิดจากการหลับตา ปัญญาเกิดจากการหลับตา ศีลไม่มี มีแต่สมาธิมีแต่ปัญญาที่เกิดจากการหลับตาหมด ก็ว่าดุด่าว่าหรือประชด พวกสายหลับตานั่นแหละ แต่เขาก็ไม่รู้ไม่ชี้คือ เขาไม่มีปฏิภาณไม่ฉลาด ก็จมหลงติดอยู่กับการหลับตา แล้วก็ไปงมงายไปสร้างนิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย มันก็เลยไม่บรรลุธรรมเสียเวลาไม่เข้าเรื่อง
พระพุทธเจ้าเกิดกี่องค์ พระพุทธเจ้าท่านจะลอยถาดในแม่น้ำเรรัญชรา แล้วถาดมันก็จะลอยทวนกระแสน้ำ มันหมายถึงการทวนกระแสโลก อธิษฐาน จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็ลอยถาดมันก็ทวนกระแสน้ำไป ท่านก็ชัดเจนว่าใช่
จริงๆแล้วไม่เห็นมีพระพุทธเจ้าองค์ไหนลอยถาดกันหรอก แต่เขาก็เล่าเป็นนิทาน ว่าลอยมา มาส่งถึงที่พยานาคนอนอยู่นั่นแหละ แล้วก็จะตกลงมาตรงเป๊ะเลย ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าทุกองค์ก็จะมาซ้อนในถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆที่มีอยู่แล้ว ก็มากระทบ พอลอยกระทบใบเก่าก็ดังกริ๊ก! เสียงถาดทองคำของพระพุทธเจ้ากระทบกันมันเสียงดัง สมมุติซ้อนดังจนกระทั่งพญานาคที่นอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นไม่ได้ยินเสียงของโลก จะดังสนั่นหวั่นไหวขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่รู้ไม่ชี้ ประชดพวกหลับตา ไม่รู้ไม่ชี้กับโลก กูก็จะนอนของกูไม่เห็นของกูนี่แหละ จะอยู่ของกูอย่างนี้ ซึ่งมันไม่มีประโยชน์คุณค่าไปหลงงมงายแล้วมันไม่รู้เรื่องมันมีอย่างเดียวคือตัวเอง อัตตา มันไม่มีโลก โลกเขามีอะไรต่างๆนาๆสารพัด สังขารโลกอะไรเยอะแยะ ก็เอาแต่อัตตาตัวเองก็เลยไม่พ้นสักที
อันนี้แหละพระพุทธเจ้าผู้รู้ทั้งหลายก็ทำนี้ เมื่อลอยถาดทองคำไปกระทบมีเสียงดังพระยานาคก็ตื่นขึ้นมารู้ว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาอีกหนึ่งพระองค์แล้วหรือ รู้แล้วแล้วก็หลับต่อไป รอพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดใหม่แล้วก็เสียงดังเกิดอีกก็จะตื่นขึ้นมารู้อีกทีนึง แล้วก็หลับต่อไป นาน… พระพุทธเจ้าเกิดแต่ละพระองค์ ไม่ใช่ว่า ระยะสั้นๆจะเกิดแต่ละองค์ เป็นเวลาเป็นแสนเป็นล้านปี
พญานาคคือพวกหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น ประชดแดกดัน พวกหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นไม่รู้จักโลกเขา มันไม่เป็นประโยชน์อะไรกับโลกเลยอันนี้แหละเป็นเรื่องใหญ่ (มีภาพพญานาคขึ้นจอ) นี่ภาพนี้ ก็เป็นแค่นาคหัวงู ไม่พิสดารเท่าไหร่ เป็นเรื่องเล่าโบราณเก่าแก่มามีภาพต่างๆนานาสารพัดศิลปินก็เขียนประกอบเพื่อให้รู้ แต่เรารู้ความหมายให้ลึกซึ้ง ว่าอย่าไปหลงหลับตาหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น ให้ตื่นมา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาพุทธคือผู้รู้ผู้ตื่น ไม่ใช่ผู้หลับ ผู้รู้ผู้ตื่น ไม่ตื่นก็ต้องฝึกตื่น ชาคริยาก็แปลว่าตื่น ชาคริยานุโยคต้องพากเพียรตื่น ไปรู้อย่างหลับนั้นมันงมงายมันผิด มันเป็นของไม่จริง อันนี้แหละเป็นความหมายที่ลึกซึ้งสูงสุด
ส่วนพญามังกรหมายถึงพวกที่มีฤทธิ์เดชมีอำนาจลอยเหินฟ้า มีฤทธิ์มากพ่นไฟ เผาบ้านเผาเมืองล่าอาณาจักร มันก็เป็น 2 ทิศพญามังกรกับพญานาค
เหมือนกันหรือไม่?..ก็เป็นเรื่องทำลายเป็นเรื่องโง่ทั้ง 2 ฝ่ายทั้งคู่ ซึ่งเป็นธรรมะ 2 เป็นเทวะคู่ พวกหลับกับพวกตื่น
_เพ็ญพรรณ เจริญ : น้อมกราบพ่อครูด้วยความเคารพยิ่ง ปฏิบัติธรรมตามคำสอนพ่อครูแล้ว เดี๋ยวนี้คิดว่าตัวเองเป็นคนดี ไม่ไปทำร้ายทำลายใคร ครอบครัวก็ดีขึ้นมากค่ะ สาธุพ่อครูเจ้าค่
เลิกเลี้ยงสัตว์ท่านมาปลูกพืชกันดีกว่า
_แก่นนวน มาลัยขวัญ : ที่อาวาสถานแก่นอโศกรับฟังธรรมพ่อครูด้วยความตั้งใจ. แล้วนำมาคิดวิเคราะห์. เพื่อลดละกิเลสตน. เน้นเรื่องถือศีล. กินมังสวิรัติด้วยการพึ่งตน. ผลิตอาหารเอง. ปีนี้เน้นหนักในเรื่องการปลูกถั่ว. งา. ส่วนผักปลูกจำนวนน้อยกว่าทุกปี. ยุคโควิดคุกคาม.
พ่อครูว่า…ในประเทศไทยอาตมาพยายามให้เป็นเจ้าในเรื่องพืชพันธุ์ธัญญาหารให้ได้เป็นเจ้าโลกเลย พูดกันใหญ่ๆหน่อย อาตมาพาพวกเราก็ทำได้เท่านี้แหละ ก็ได้ดี พยายามชี้ชวนเอามาพูดย้ำซ้ำซากก็มาโชว์ให้ดูสวยงามกะหล่ำปลีงามหอมงามมะยงชิดงาม อะไรงามๆบนโต๊ะประดับประดาทั้งข้างบนข้างล่างเต็มไปด้วยผลไม้รากไม้ เพื่อที่จะเอามาปลุกเร้าให้พวกเราได้ยินดีแล้วมันเป็นอาหารที่กินของมนุษย์ ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องสัตว์เนื้อสัตว์อะไรมันเป็นวิบากกรรม ส่วนพืชมีอธิบายแล้วอธิบายอีก พีชนิยาม มันไม่มีวิบากแก่กันและกันสวนสัตว์มันเป็นวิบากแก่กันและกันเป็นความทุกข์ยากลำบาก เลิกเรื่องสัตว์เรื่องการเลี้ยงสัตว์อย่าไปยุ่งกับมันเด็ดขาด
เป็นเรื่องศีลข้อที่ 1 เพื่อที่จะให้รู้ว่าไม่ต้องยุ่งขนาดไหน ในจุลศีลพระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ข้อที่ต้น ในข้อปลายก็มี 2-3 หมวด ก็เล่าให้ฟังเป็นเรื่องเอาไปกินเอาไปใช้ประโยชน์
1.. กินเนื้อ 2.. ใช้ส่วนประกอบของมัน 3.. เอามาใช้แรงงาน
เราเอามาใช้ประโยชน์ได้ก็จริงแต่ถ้าหากละเว้นได้ก็ควรทำ เพราะว่าไม่งั้นจะไปเป็นหนี้สัตว์ บางคนเป็นหนี้มันอย่างมาก คนที่เลี้ยงดูมันดีๆก็ดีหรอกแต่ก็ใช้มัน ส่วนผู้ที่หลงเลี้ยงสัตว์ไม่ได้ใช้หรอกแต่ให้มันเป็นนายเป็นขี้ข้าสัตว์ แล้วให้มันเป็นหนี้ผู้เลี้ยงไปให้มันเป็นโรคเลยมันไม่ต้องทำอะไร ดีไม่ดีเอาเพชรเอาพลอยไปห้อยคอมันอีกใส่น้ำหอมให้มันอีก ซึ่งคนเรามันงมงายหลงเลอะ ซึ่งมันก็ผูกพันนะ เป็นเวรานุเวรผูกพันกันไปอีกไม่รู้กี่ชาติกว่าจะใช้หนี้กันไป ซึ่งมันไม่รู้จักกรรมวิบากก็เป็นอจินไตย รู้ได้ยังไง ฟังอาตมาอธิบายบ้างแล้วควรจะได้รู้ว่าควรเลือกอะไร อาตมายืนยันว่าอธิบายธรรมะสอดคล้องกับพระพุทธเจ้าทุกประการไม่ขาดตกบกพร่อง อาจจะยังไม่ครบแต่ถึงไม่ครบพวกเราก็ศึกษาตามเถอะรับรองเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะอาตมาพูดนี้มันเกินอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์ไปเยอะ
_เชวง กิจจะบรรณ์ : ผมฟังธรรมพ่อครูด้วย เชื่อว่าคือของจริงถึงแม้ว่าตัวตนยังกิเลสเต็มบ้องอยู่ครับ
พ่อครูว่า…อย่าไปงมงายฟังอาตมาก็เชื่อหูไว้หูมันงมงายแล้วจะไม่ดีไม่ครบ
_มณฑา แก้วบำรุง : จิตใจหมายถึงจิตเจตสิกที่เป็นความรู้สึกทางอารมณ์อันเป็นทั้งทุกข์สุขนำจิตให้เกิดกุศลและอกุศล แบบนี้เข้าใจถูกหรือผิดค่ะ
พ่อครูว่า…เข้าใจถูก คุณแยกกุศลอกุศลเป็นคู่ ส่วนจิตเจตสิกเป็นอารมณ์แล้วไม่ต้องเป็นสุขเป็นทุกข์และมันเป็นทั้งกุศลและอกุศลก็ค่อยๆศึกษาไปเข้าใจเป็นตามลำดับ
ชาติ 5 แบบตามมหาปเทศของพ่อครู
มาต่อ ชาติ 5 ที่อาตมายังไม่จบสักที ที่อาตมาคลี่ขยาย ไม่ได้บัญญัติใหม่ แค่ขยายความหมายให้มันลึกซึ้งลึกล้ำพิสดารออกไป อธิบายเลยจากอันที่ 3
-
เกิดทางร่างกายเป็นคนเป็นสัตว์
-
เกิดทางใจ โอปปาติกโยนิ
-
เกิดลิงลมอมข้าวพอง (อธิบายไปแล้ว)
-
การเกิดเป็นประเทศชาติ หรือชาติรัฐ จะเรียกสหรัฐก็ใช้คำนี้ คือชาติของรัฐ ประเทศที่หมายถึงแว่นแคว้น รวมไปทั้งหมด อันนี้ก็คือชาติที่หมายถึงองค์รวมทั้ง 1 สถานที่แผ่นดิน มีขอบเขตว่าเป็นชาตินั้นชาตินี้ แต่ละชาติตอนนี้แบ่งขอบเขตกันหมดแล้วทั้งโลก
ในคนมีสัญชาติ เชื้อชาติ เกิดมาเป็นคนไทย ต้นตระกูลไทยใจช่างเหี้ยมหาญ อาตมาว่าน่าจะใช้คำว่า กล้าหาญ (หลวงวิจิตรวาทการแต่ง) ก็มีรัฐชาติ รัฐประเทศ เราช่วยกันบูรณะชาติสร้างชาติ ใครมากบฏต่อชาติทำลายชาติก็ช่วยกันดูแล ช่วยกันยับยั้งหยุด ดีไม่ดีถึงขั้นต้องปราบกันเลย บางทีคิดไม่ถึงว่ามันจะทำลายชาติได้อย่างลึกซึ้งละเอียดอย่างนี้บางทีสมบัติพัสถานล้มละลายเลยกลายเป็นลูกหนี้ของชาติอื่นเลยเท่ากับทั้งประเทศทั้งคนในชาตินี้ต้องตกเป็นลูกหนี้ของประเทศอื่น ทรัพย์สมบัติไม่พอใช้หนี้เขาจะถึงขนาดนั้นเลย
คนที่หัวดีหัวเก่งฉลาดแกมโกงฉลาดเลวทราม พระพุทธเจ้าท่านใช้ศัพท์คำว่า ปัญญาทรามเป็นปัญญาที่แย่มาก ก็มีคนจริงให้ศึกษา แต่ว่าไปเดี๋ยวเขาจะโกรธ
ประเทศชาติ รัฐชาติ มีสถานที่มีบุคคล มีวัฒนธรรม มีพฤติกรรม มีทั้งความคิดความอ่านการสร้างสรรค์ความเป็นอยู่พึ่งตนเอง จนพึ่งตัวเองได้จนเหลือเฟือ จนเกื้อกูลผู้อื่นที่ดีที่สุด
แต่หากพึ่งตัวเองได้เหลือเฟือแล้วเอาไปกอบโกยหากำไรเข้าหาตนเองขูดรีดจากคนอื่น ต้องศึกษาให้ละเอียดดีๆที่มีความซับซ้อนเลวร้ายอย่าไปทำ มีแต่ความซับซ้อน แต่ถ้ายิ่งเป็นคุณค่าประโยชน์ซับซ้อนอย่างนี้ดี ต้องศึกษาให้ดี อาตมาว่าอาตมาพาทำอย่างดีๆกันอยู่ ซึ่งก็ยังไม่เข้าใจแม้แต่ความเป็นประชาธิปไตยก็ยังไม่เข้าใจแม้แต่ความเป็นเศรษฐกิจที่มีความซับซ้อนที่สุดยอดดี ก็ไม่ค่อยอธิบายไปก็จะเป็นสังคมมนุษยชาติที่ดี เพราะปัญญา เพราะความเฉลียวฉลาดของจิตวิญญาณ ต้องศึกษาเรื่องความสันติและอหิงสาอโหสิช่วยเหลือผู้อื่นต้องศึกษาถึงการเกิดการตาย ตายตั้งแต่ตายอย่างมรณะจนกระทั่ง อรณะ อย่างนี้เป็นต้น หรือการตายที่สมบูรณ์แบบ ตายอย่างกิเลสตาย ตายอย่างเป็นคนที่รู้การเกิดการตาย จะเกิดอีกจะตายอีกเป็นอมตะบุคคลอย่างไรก็ได้ แล้วก็มาช่วยโลกเขา ที่สุด ตายแยกธาตุจิต เป็นดินน้ำไฟลม เป็นอุตุไปเลยไม่เหลือแม้แต่ชีวะ ค้างในระดับพืชซึ่งเป็น ชีวะ ที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขแล้วไม่มีพิษภัยต่อโลกมีแต่ประโยชน์ต่อสัตว์อื่นและโลก ก็ไม่เป็นอีก อาจจะมีเศษ
พระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานปริโยสานแล้วเหมือนกับพวงมะม่วงตกมาแตกกระจายลูกมะม่วงก็แตกกระจายไปเอามารวมเป็นพวงกันไม่ติดแล้ว ก็จะไม่มีพระพุทธเจ้าอีกแล้ว
คนที่ฟังอาตมาอธิบายมีเยอะแต่ก็ยังเข้าใจไม่ทันบ้าง บางคนเข้าใจทันแต่ไม่เชื่อเท่าไหร่อันนี้ก็บังคับกันไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรอาตมาไม่มีปัญหาใครเชื่อว่าดีก็เอาตาม ใครยังไม่เชื่อก็บังคับกันไม่ได้ แล้วอาตมาไม่ชอบบังคับด้วย ไปบังคับให้เชื่อมันเสียเหลี่ยมโพธิสัตว์ ไม่ต้องไปบังคับให้เชื่อหรอก
คนที่จะเชื่อเรา เขาเชื่อด้วยภูมิปัญญาของเขามันเป็นของจริง หากไปบังคับให้เชื่อไปหว่านล้อมไปป่ะเล้าประโลมให้เชื่อ มันเป็นฝีมือขี้กะโล้โท้ เขาต้องเชื่อด้วยความจริงใจสนิทใจเขาจะฉลาดหรือโง่ก็ใช้ปัญญาเป็นผู้ตัดสินวินิจฉัยเอง อย่างนี้เชื่อ
ผู้ที่เชื่อสิ่งที่เป็นสัจธรรมความจริงได้และเป็นความจริงที่จริง ผู้นั้นก็ได้สุดยอด เพราะเชื่อสิ่งที่จริง แล้วก็เชื่อถูกต้องอย่างนี้สุดยอดแล้ว แล้วก็มีแต่จะสะสมความจริงไป คนที่ยังไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ต้องปล่อยไป เห็นใจเขาเหมือนกันอาตมาก็ได้แต่ยังไงพูดไป
-
ชาติแบบตรรกะ คือยึดทิฏฐิ ยึดอัตตา คำว่า “ทิฏฐิ” คำว่า “อัตตา” ส่วนยึด คืออุปาทาน
คำว่า “ทิฐิ” หรือคำว่า “อัตตา” อยู่ในอุปทาน 4 จะมีคำว่ากามุปาทาน, สีลัพพตุปาทาน, ทิฏฐุปาทาน, อัตตวาทุปาทาน
อุปาทาน 4 ยึดกิเลสถือมั่นเป็นเรา
-
กามุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในกามภพ บำเรอรูปรสฯ) .
-
ทิฏฐุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในทิฏฐิ เช่น เห็นว่าผีมีตัวตน)
-
สีลัพพตุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในศีลและวัตรปฏิบัติธรรม)
-
อัตตวาทุปาทาน (ถือมั่นเข้าใจในอัตตาหรืออาตมันได้แค่ วาทะ แต่ไม่เคยรู้เห็นอัตตาตัวปรมาตมันจริงๆนั้นเลย) . . .
(พตปฎ. เล่ม 11 ข้อ 262)
คำว่า “กามุปาทาน” คือยังยึดติดไปด้วยกาม กามมันของหยาบขั้นต้นเลยเป็นรสชาติโลกีย์ หยาบตั้งแต่อบายคือกาม อบายมุข หยาบ ผู้ที่หลงไหลโลกียรสในระดับหยาบ เรียกว่าอบายมุข ไม่ต้องขึ้นในทำเนียบของอุปาทานหรอก อบายมุข มันเศษสวะของกามภายนอก หยาบ ของใครก็ของมัน
คนที่หยาบที่สุด เลวร้ายที่สุด นี่ละเอียดมากที่สุดจนคนอื่นไม่รู้ความละเอียดลึกซึ้ง ตามไม่ทัน อันนี้น่ากลัวกว่าหยาบที่เห็นเนื้อหยาบแรงๆหยาบๆ ความแรงหยาบนั้นไม่น่ากลัวเท่าความละเอียดเลวร้ายที่สุดมันไม่รู้ทันเลยนะรู้ไม่ได้ โอ้ กว่าจะรู้ตัวก็ตายก่อนไม่รู้กี่ชาติแล้วทุกคนคนนี้หลอกทุกคนคนนี้ตีกินกินตับกินไส้กลายเป็นบริวารเข้ามาไม่รู้กี่ชาติ เดี๋ยวนี้ยิ่งมีบริวารของพวกมารร้ายพวกนี้อยู่ นี่ ยังเป็นบริวารยังหลงอยู่ยังไม่ลืมตาเลย ทั้งๆที่มันน่าจะรู้ตัวแล้ว ก็ยังมงายอยู่อย่างนั้น เอาล่ะพอ ไม่ต้องขยายความหมาย อบายมุขเลวร้ายซับซ้อนพวกนี้ อาตมาอธิบายพอเป็นตัวอย่างไว้เท่านั้นลงรายละเอียดไม่ไหว
อย่างธัมมชโยอย่างนี้ โอ้โห! เลวร้าย เลวมาก ละเอียดพริ้งพราว จนเดี๋ยวนี้ก็ยังดูซินี่ ทางภาครัฐยังเอาไม่ลง ทั้งๆที่เป็นสมี(สะหมี)ไปตั้งนานแล้ว สมเด็จพระสังฆราชก็ทรงวินิจฉัยเขียนเป็นลิขิตไว้เลยตั้ง 4-5 ฉบับ ว่านี่ปาราชิกหลักฐานมี หลักฐานทางศาลทางพฤตินัยมีครบ เป็นการหลอกลวงขี้โกงประชาชนอย่างแท้จริง ทุจริตผิดพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าในปาราชิกข้อขโมยของผู้อื่นมันไม่ใช่ของเรา ซึ่งมีหลายข้อมีการอวดอุตตริมนุสสธรรมมันไม่มีในตนเอง 2 ข้อนี้ชัดเจนข้อที่โกงเงินทองกับอีกข้อหนึ่งคืออวดมนุสสธรรมที่ไม่มีในตนก็ใช้ 2 ข้อนี้ก็เป็น สมีDouble แล้ว ส่วนกามนี้เขาจะเป็นหรือเปล่าเรื่องผู้หญิงผู้ชายยังไม่ได้ตามไปดูจริงๆก็ไม่รู้ได้มันไม่มีข่าวออกมา ก็ไม่รู้ ได้แค่ 2 ข้อนี้ก็ไม่เหลือแล้ว ถ้ากามอีกก็เป็น 3 ข้อ ยังเหลือฆ่าคนก็ไม่รู้อีกแหละ
“สีลัพพตุปาทาน” “ศีล” คือ มีข้อปฏิบัติ “พรต” คือ ตัวประพฤติปฏิบัติ คนที่ปฏิบัติไม่มีศีลมีเยอะ คนที่ปฏิบัติตามศีลพระพุทธเจ้า มีน้อย เขามีวินัย 227 แต่วินัยไม่ใช่ศีล ต่างกัน อันนี้ก็ยาก อาตมาพูดแล้วพูดอีก วินัยมาตามทีหลังมีผู้ทำผิดท่านก็ตราพระวินัยเพิ่ม แต่จุลศีล, มัชฌิมศีล, มหาศีลนั้น ตราไว้ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้มี 43 ข้อ จุลศีล 26 ข้อ มัชฌิมาศีล 10 ข้อ มหาศีล 7 ข้อ 43 ข้อ ไม่เพิ่มไม่ลด แต่ถ้าเป็นพระวินัยถ้าพระพุทธเจ้าอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่ใช่แค่ 227 ข้อแต่จะมีเพิ่มกว่านี้อีก และของภิกษุณีมี 311 ข้อ
แล้ววินัยต่างกับศีลตรงที่ถ้าผิดวินัยก็มีโทษ แต่ผิดศีลไม่ปรับโทษแต่คุณไม่เจริญเอง ไม่บังคับ ศีลมีอิสระเสรีภาพไม่มีการบังคับแต่วินัยเป็นข้อบังคับ แต่ศีลไม่ใช่ อิสระเสรีภาพสูงสุด วินัย เป็นกฎหลักที่มีข้อบังคับถือว่าเป็นอาบัติ ผิดแล้วต้องทำคืนต้องแก้ ต้องมีปรับ เรียกว่า “ปรับอาบัติ” ต้องมาใช้ตามอัตราของอาบัติต่างๆ ตั้งแต่ผิดทุกกฎ ทุภาษิต ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ สังฆาทิเสสจนถึงปาราชิก ซึ่งเป็นเรื่องของผู้ที่มาศึกษาบวชจริงๆ ถ้าไม่บวชก็ไม่ต้องขึ้นกับวินัยพวกนี้เท่าไหร่แต่ถ้ารู้ก็ดี ถ้าไม่รู้มันก็จะเลอะเทอะ ถ้ารู้มันก็จะเข้าท่า
ผู้ที่ศึกษาศีลพรตแล้ว ปฏิบัติศีลยังไม่เป็นกระบวนการครบ มีศีล แล้วก็จะต้องปฏิบัติจิตให้เป็น อธิจิต แล้วมีอธิปัญญา ถึงอธิมุติ ถึงสุดวิมุติ จบ “อธิ” คือเจริญยิ่งขึ้น อธิจิตเจริญ อธิปัญญาก็เจริญ 3 เส้า อธิศีล, อธิจิต, อธิปัญญา เจริญถึงรอบก็เป็น อธิมุติโน้มไปแนวทางที่จะจบ อธิมุติ อธิโมกข์ แล้วก็ตรวจสอบจนมีวิมุตติญาณทัสสนะจนมั่นใจครบเจโตปริยญาณ 16 (ไม่ลงละเอียดวันนี้)
เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงสมบูรณ์แบบที่สุด “ศีล” ต้องมีศีล แต่ละข้อๆ จะมีสมาธิ, มีปัญญา, มีวิมุติ แต่ละข้อ จะมีของมันแต่ละข้อเลยอธิบายได้
ศีลข้อ 1 ศีลข้อที่ 2 3 4 5 อย่างนี้เป็นต้น หรือศีล จุลศีล 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 ข้อ มหาศีล 7 ข้อ
มหาศีลของศาสนาพุทธแบบนี้มหาเถรสมาคมผิดเต็มไปหมด ไม่รู้เรื่องแล้วก็ทำกันเป็นจารีตประเพณี ผิดศีลนะ มหาศีล เช่น
จุดไฟ บูชาไฟ บูชาด้วยไฟ จุดธูปจุดเทียน อย่างนี้ง่ายๆชัดๆ รดน้ำมนต์ ใช้น้ำเป็นสื่อ สิญจนยัญ อยู่ในมหาศีลทั้งหมด รักษาไข้ใบ้หวยเป็นต้น
สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “เดรัจฉานวิชชา” เดรัจฉานวิชาไม่ใช่วิชาเสกให้เป็นสัตว์ แต่เป็นวิชาที่ขวางทางนิพพาน วิชชาที่ขวางทางนิพพานไม่พาให้บรรลุธรรม แล้วทำอยู่อย่างนั้นจะบรรลุธรรมได้ที่ไหน.. ติดอยู่กับวิธีการพวกนั้น เลยกลายเป็นจารีตประเพณี
จารีตประเพณีก็เลยอธิบายกันว่าพวกถือศีลได้แค่จารีตประเพณีเรียกว่า “สีลัพพตุปาทาน” ทั้งศีล พรต เป็นอุปาทาน ทั้งข้อศีลและการประพฤติคือพรต คำว่าถือศีลปฏิบัติธรรมก็ทำแต่ไม่สัมมาทิฏฐิทั้งศีลและข้อประพฤติไม่สัมมาทิฏฐิทั้งคู่ ก็เป็นอุปาทานยึดถือได้แค่นี้ไป ชาติแล้วชาติเล่าแล้ว applyศีล ประยุกต์วิธีปฏิบัติศีลไปอย่างนั้นอย่างนี้สารพัด วิปัสสนาทำอย่างนี้สมถะทำอย่างนี้
วิปัสสนานี่แหละ มันใช้เชิงปัญญาหลากหลายกระบวนการเหลือเกิน ทั้งลืมตาทั้งหลับตาวิปัสสนา แต่ละสำนัก แยกวิปัสสนากับสมถะก็ยังไม่ออกมีเยอะ แยกออกบ้างแต่อธิบายไปตามเชิงของเขา ซึ่งศีลพรต เป็นอุปาทานก็ขอตัดจบตรงนี้
ศีล, พรต เป็นสีลัพพตปรามาส ไม่ใช่สีลัพพตุปาทานที่ยังไม่เข้ากระบวนการสัมมาทิฏฐิยังเป็นมิจฉาทิฐิแท้ พอสีลัพพตปรามาส เข้ากระบวนการที่ถูกมีสัมมาทิฎฐิอยู่ในสังโยชน์ข้อที่ 3
สังโยชน์ข้อที่ 1 คือสักกายทิฐิ
สังโยชน์ข้อที่ 2 คือวิจิกิจฉา
สังโยชน์ข้อที่ 3 คือ สีลัพพตปรามาส
“ปรามาส” แปลว่าลูบคลำ แตะต้อง เล่นหัว ไม่เอาจริง ไม่ปฏิบัติจริงไม่ทำให้สำเร็จผล ยกตัวอย่างเหมือนโจรกับตำรวจ รู้แล้วมีสัมมาทิฏฐิ ศีลและพรตถูกต้องแต่ไม่ลงมือให้สำเร็จผล มันต้องเหนื่อยต้องลำบากนะสิจึงจะสำเร็จผลแต่ไม่ทำ อาตมาอธิบายถึงขนาดว่ารู้ว่าเป็นโจรนั่งกินข้าวต้มกุ๊ยอยู่ ก็ไปเล่นหวยอยู่กับโจรเลี้ยงโจรด้วยเอาไว้ใช้ เอาศีลไว้ใช้หลอกคน อ้างว่า ปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรม ศีลพรต หลอกคนกิน หากินกับโจร หากินกับความผิดความไม่ถูกต้อง
ไม่ถูกต้องซ้อนกับความถูก้อง คุณรู้ศีลพรตถูกต้อง แต่คุณไม่จัดการกับโจรที่มีข้อที่ต้องประพฤติกำจัดกิเลส โจรก็คือตัวที่เหลือนี่แหละแต่คนไม่กำจัดกิเลสสักที เลี้ยงกิเลสกินข้าวต้มกุ๊ยอยู่กับกิเลสวันแล้ววันเล่า กินอิ่มแล้วกลับไปนอนวันหลังก็มาเลี้ยงอีก โจรก็เป็นเชื้อสามารถไปต่อกับคนอื่นๆที่เลวด้วยกัน เอามาเป็นเยอะอีก ซ้อนนะ หากินกับคนผิด ตำรวจที่ชอบคนผิดนะ อย่าดังไป เพราะมันได้ตังค์ คนถูกมันไม่ได้ตังค์หรอก ใช่ไหมๆ ตำรวจนั่งอยู่นี่ คนผิดนี่มันได้ตังค์คนถูกไม่ได้ตังค์ เป็นข้อด้อยข้อเสียที่ปฏิรูปกันไม่สำเร็จสักทีก็ตรงนี้แหละ เลี้ยงคนผิด เลี้ยงคนที่ยังมีความผิด นี่แหละเป็นตัวซ้อนอยู่ในสังคม ตอนนี้อาตมาก็พูดกันจริงๆเห็นใจท่านประยุทธ์ เห็นใจจริงๆไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องทนไป สักวันหนึ่งน่า ขออย่างเดียวท่านประยุทธ์อย่าเพิ่งรีบตายอย่าเพิ่งรีบท้อ สักวันหนึ่งคงจะชนะ ดูท่าทีพอจะได้อยู่นะ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่ออีก มันเป็นวิบากของคนโทษไปถึงวิบากของประเทศด้วย
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…หากศาสนาพุทธสอนคนให้ถือศีลปฏิบัติธรรมได้ผล ในวงการตำรวจก็จะไม่เป็นอย่างนี้
ชาวอโศกอย่าเป็นเทวดาติดแป้น
พ่อครูว่า…ชาติรัฐผ่านกฎระเบียบคุณธรรมต่างๆ ชาติรัฐก็ต้องมีพฤติกรรมของความดีงามถูกต้อง ยิ่งถูกต้องเป็นโลกุตระ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
จนกระทั่งถึงความรู้โดยเฉพาะความรู้ทางธรรม ความรู้ทางธรรมจะว่าไปแล้วครอบคลุมหมด เพราะว่ามนุษย์ศึกษาธรรมะได้สูงสุดถึงโลกุตรธรรม โลกทางโลกียะเขาก็คุณธรรมเหมือนกันเป็นคุณธรรมที่เป็นคุณงามความดีแท้ตามสมมติสัจจะ โลกุตระก็ต้องมีความดีความงามอย่างที่โลกก็มีด้วย มันทวนกระแสกับโลกุตระ คือดีแต่ไม่ยึดดี ไม่เอาดีเป็นเราเป็นของเรา ทำแต่ทิ้งแล้วไม่ต้องยึด เป็นเราเป็นของเรา
อธิบายเป็นภาษาสั้นๆแต่ซับซ้อนลึกซึ้ง ทิ้งโดยไม่ต้องอาศัยนะ อาศัย แต่ต้องทิ้งอย่ายึดถือเป็นเราเป็นของเรา ซ้อนอยู่ในสภาวะ มันลึกซึ้งในละเอียดปรมัตถ์ อาศัย แต่ไม่ยึดเป็นเรา ไม่เอาไม่มี ไม่มี แต่มีดีไหม ดีๆๆ แข็งแรงถาวรด้วย แต่ไม่ติดอยู่ที่ตัวเราเลย ทำ แต่ไม่ยึดไม่มีไม่เป็นไม่เอา
พยัญชนะภาษาพูดได้แค่นี้ประมาณนี้
โลกุตระสามารถรู้ธรรมะสามารถทำให้คนบรรลุธรรมได้จริง เป็นความจริงแล้วมันก็ออกเป็นอัตโนมัติ มันก็เป็นผลดีกับสังคมประเทศชาติ อย่างพวกเรามีอัตโนมัติของโลกุตรธรรมอย่างที่เป็นที่มีได้มันไม่มีเหนื่อย กับเรื่องอัตโนมัติมันธรรมดาปกติสามัญของเรา แต่มันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขา เราก็ต้องปฏิบัติประพฤติพวกนี้ ให้มันมี จนมีแล้ว มันก็จะเกิดมวลมนุษยชาติ อย่างพวกเราชาวโลกุตระ ชาวอโศก ก็พยายามพากเพียรเพิ่มเติมให้มันเกิดพัฒนาการของมวลประชาชน
ตอนนี้ชาวอโศกก็ตามกลายเป็นชาวอโศกรู้มาก รู้มากยากนาน รู้มากแล้วก็ซับซ้อนซ่อนเชิงของตนเอง กลายเป็นผู้ที่ซ้อนอะไร โลกุตรธรรมได้แล้วเท่านี้มักน้อย ไม่เอาโลกุตรธรรมที่เจริญกว่านี้… (เขกกะโหลกให้)
มันเป็นอย่างนั้นก็มันสบายกว่าเขาอยู่แล้ว แล้วก็อยู่เท่านี้ ท่านเรียกว่าเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ในเมุนสังโยค 7 เมื่อได้บัลลังก์แล้วก็เป็นเทวดาติดแป้นเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งอยู่อย่างนั้น มันก็จะเสพกลายเป็นวัฏภิรตโสดาบัน หลงยินดีวนเวียน วัฏฏะ “ภิรตะ” แปลว่ายินดี ยินดีในสิ่งที่ได้ ติดยึดอยู่อย่างนี้
ซึ่งเป็นไปได้ทุกชั้นตั้งแต่โสดาบัน, สกิทาคามี, อนาคามี, อรหันต์ติดยึดได้หมด มาเสียเวลา ที่จริงเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ติดหรอก อรหันต์ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ไปทำงานเป็นโพธิสัตว์ต่อ อนาคามีก็มี แต่สกิทาคามีนั้นตัวดีติดนานมาก
สรุปแล้วจะต้องรู้จักธรรมะคุณธรรมที่ ผู้รู้ ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้ แล้วทำให้ตรง จะเป็นประโยชน์กับตนเอง ถ้าได้แล้วจะเป็นอมตะธรรม คุณจะเอาก็ได้ไม่เอาก็ได้ จะตายหรือจะเกิดก็ได้ คือ มันได้หมดเลยยืดหยุ่นจะทำอย่างไรก็ได้ เป็นจิตที่สมบูรณ์ด้วยวสวัติกะ วัสสวตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จิตเรานะไม่ใช่ยังจิตคนอื่น จะเป็นอะไรก็ได้เป็นตัวสุดท้ายของจิต วสวัตตี ยังจิตของเราให้เป็นไปในอำนาจ ไม่ใช่ไปยังจิตของคนอื่นนะ ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 เป็นต้น จะทำให้จิตอยู่ในระดับใช้งานเป็นฌานที่ 1 หรือฌาน 2, 3 หรือ เก่งจริงๆก็ใช้งานได้แม้กระทั่งชานที่ 4
พอฌาน 4 ก็เป็นวิหารธรรม พระอรหันต์จริงๆก็ทำงานอยู่กับเมตตากับอุเบกขา อุเบกขาคือฌานที่ 4 เมตตาคือพระพรหมไม่มีที่สุด อัปปมัญญา ช่วยคนได้อย่างไม่มีประมาณเลยตามบารมีของบุคคล ก็มีวิหารธรรมสุดท้ายคือเมตตากับอุเบกขา
ที่อาตมาอธิบายไปต่างๆนานา คนที่ฟังเข้าใจดีๆก็จะชัดเจนลึกซึ้ง คนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ก็ฟังไว้ คนฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มันบังคับไม่ได้
มีปัญญา 4 จะพ้นภัย 5
สรุปแล้วชาติรัฐต้องมีมนุษย์ที่มีคุณธรรมอย่างนี้ ประเทศชาติต้องมีคุณธรรมอย่างนี้ ถ้ามีคุณธรรมในมนุษยชาติของแต่ละประเทศแล้วมนุษยชาติเรานี้มีโอกาส ต้องเรียกว่าโอกาสได้ขึ้นไปบริหารประเทศ ได้ขึ้นไปอยู่ในคณะทำงานเป็นหน้าที่เป็นผู้ที่รับผิดชอบประเทศ ประเทศก็จะเจริญยั่งยืนดีไปพัฒนาไปได้เร็วได้มากได้ไกล แต่เราไปบังคับไปบันดาลบันดลเอาไม่ได้ มันต้องมีเหตุปัจจัยอาตมาก็ได้แต่ทำให้มันเกิดเหตุปัจจัย สำหรับอาตมานั้นบอกเลยว่าอาตมาเข้าไปเป็นพนักงานรัฐไปเป็นข้าราชการไม่ได้หรอก ถึงแม้สมมตินะที่มันเป็นไปไม่ได้ สมมุติเล่นๆ สมมุติว่าให้อาตมาไปเป็นนายกให้อาตมาไปเป็นรัฐมนตรี ให้อาตมาไปเป็นผู้อำนวยการ อาตมาไม่ไป เพราะอาตมาจะทำหน้าที่ทางนี้
ถ้ามันเร็วได้ก็ดีแต่ไม่รีบร้อนจะเร่ง มันเป็นไปได้ด้วยเหตุปัจจัยที่ครบสมบูรณ์มันก็จะได้ของที่ดีไม่ใช่รีบจำบ่ม เผาให้สุกไม่ใช่ ดอกไม้มันจะบานมันก็บานของมันเอง คุณจะไปดึงกลีบของมันออกมามันก็หักหมด มันไม่ได้มันก็ต้องบานของมันเอง เท่าที่มันจะทำได้ ต้องให้มันเป็นอย่างนั้น
_สู่แดนธรรม…ถ้าเขายกตำแหน่งที่ปรึกษานายกให้จะรับไหมครับ
พ่อครูว่า…ต้องตรองมากเลยนะ ขนาดไม่รับเป็นที่ปรึกษางานก็เยอะแล้วถ้าไปรับเป็นที่ปรึกษาจะไหวหรือไม่ ตอนนี้กำลังเล่นลูกเหล็กอยู่ ได้กล้ามขึ้นมาพอสมควรแล้วจริงไม่ใช่พูดเล่นหรอก อาตมาเอาจริง อาตมาเคยเล่นกล้ามมีรูปหลักฐานพอสมควร แต่ก่อนนี้อาตมาเล่นแล้วตรงช่วงปีกใหญ่ได้แต่ช่วงแขนไม่ค่อยใหญ่ ตอนนี้ ฟีบหมด ต้องสร้างใหม่ เค้าเดิมมีอยู่
สรุป “ชาติรัฐ” มีคนขึ้นมา คนเจริญก็พาให้เจริญทั้งชาติ แล้วซ้อนทีว่า คนเจริญชนิดนี้ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครในโลก โลกุตรธรรม ไม่เป็นพิษภัยกับชาติใดในโลก ซื่อสัตย์สุจริตมีน้ำใจ เสียสละ ไม่เป็นพิษภัยกับใคร มีแต่เสริมสานให้ดี เสียสละแม้แต่ชีวิตตายให้ได้เพราะเข้าใจความตายมันไม่มีปัญหาอะไร ยิ่งตายยิ่งดี เพราะตายในความดีงามตายด้วยความเสียสละทำประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติ จะตายมันก็ไม่มีปัญหา มันสุดยอด ตายอย่างมีคุณค่าตายอย่างเสียสละ ยิ่งเสียสละให้ชาติประเทศพลเมืองเยอะๆ ศาสนาอื่นเขายุไปตายเพื่อชาติไม่เสียหายนะ แต่มันก็ห่ามๆ แต่พุทธไม่ยุ ไม่ไปปลุกเร้าถึงขนาดนั้น แต่เข้าใจถ้ามันจำนนจะต้องตายก็ต้องตายเพื่อประเทศชาติโดยไม่ต้องเสียใจเลย เพราะมันไม่เสียอะไรมีแต่ดี
ถ้าเราจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน จบก็ตายไปเลย แต่ถ้าไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานคุณก็ต่อชาติ คุณก็มีแต่ได้เพิ่มมีความเจริญทับทวี ปฏิภาคทวีเพิ่มขึ้น ซึ่งมันเป็นจริงนะที่พูดนี้เป็นเรื่องสัจธรรม คนที่ตายแล้วจะไปตกนรกก็จะกลัาตาย ไปนรกเมื่อไหร่จะได้ขึ้นมาแล้วจะไม่รู้เรื่องด้วย จะไปเข้าท่าอะไร แต่นี่ตายไปก็ไม่เป็นไร ตายแล้วก็ไปอยู่เป็นสุขสงบ ถึงเวลาวาระถ้าเรายังไม่ปรินิพพาน ได้เหตุปัจจัยก็กลับมาเกิดใหม่ไม่มีปัญหา ถ้ารู้อย่างเช่นอาตมารู้ว่าจะไม่มีตัวอะไรศึกษาไปให้รู้เหมือนอย่างอาตมารู้คุณจะไม่กลัวตายจริงๆ เชื่อตัวเองเลยว่าตายแล้วไม่ตกต่ำ ตายแล้วมีแต่เจริญกับเจริญ ตายแล้วคิดทั้งบำนาญบำเหน็จทบเลย อย่างนั้นจริงๆพูดเป็นภาษาโลกนะ เพราะฉะนั้นจะไปกลัวทำไมตาย
ในสิ่งที่มันเจริญพระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ 4 อย่าง
มีกำลัง 4 แล้วจะพ้นภัย 5
-
ปัญญาพลัง (กำลังคือ ปัญญา)
-
วิริยพลัง (กำลังคือ ความเพียร ขยัน)
-
อนวัชชพลัง (กำลังคือ การงานที่ปราชญ์ไม่ติ)
-
สังคหพลัง (กำลังคือ การสงเคราะห์ช่วยผู้อื่น) เกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่นเพราะตัวเองเป็นศูนย์ กินใช้นิดหน่อย ให้ผู้อื่นเขาเลี้ยงไว้ก็เหลือแหล่ ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา ชีวิตของตน ชีวิตนี้ให้คนอื่นเลี้ยงไว้ มีเยอะเกินจะอยู่ได้แล้ว อย่างเช่นเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ต้องกังวลเลยจะกินจะอยู่ยังไง รับรองมีคนคอยบริการไม่ขาดเลย ไม่ต้องถึงนายกฯ หรอก รัฐมนตรีหรือ ผู้อำนวยการกอง ข้าราชการระดับ c5, c4, c7, c8 ก็เหลือกินผู้จะช่วยเหลือ ให้ทำงานจริงเข้าตาคนเถอะ ทำงานจริงเข้าตาคน เสร็จแล้วจะพ้นภัย 5
-
อาชีวิตภัย (ภัยจากการดำรงชีวิต หาอาหารเลี้ยงกาย)
-
อสิโลกภัย (ภัย คือ การติเตียนจากคนโลกๆ) คนจะตำหนิติเตียนคือคนโง่เท่านั้นแต่คนรู้ความจริงแล้วจะไม่ติเตียนเลยสำหรับคนที่ทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์
-
ปริสสารัชภัย (ภัยคือ การสะทกสะท้านต่อสังคม) ไม่ประหม่า เก้อเขิน
-
มรณภัย (ภัยคือ ความตาย)
-
ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ เช่น อบายภูมิ นรก เดรัจฉาน ฯ)
(พลสูตร พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 209)
นรกไม่ใช่หมดนะ แม้พระพุทธเจ้านรกก็ไม่หมดแต่มันเป็นหมาล่าเนื้อที่วิ่งไล่ตามไม่ทันตราบใดที่มีชีวิตอยู่ การก้าวหน้าของผู้ที่เจริญมันมีอัตราการก้าวหน้ามากกว่าตัวชั่วที่จะวิ่งตาม มันยังตามล่าอยู่นะ กุศลอกุศล ไม่มีหมดไปจากอัตภาพของบุคคล อย่าประมาท อกุศลก็ไม่หมด กุศลไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าถึงจัดว่าแม้แต่ตถาคตก็ไม่สันโดษในกุศล กุศลก็ไม่รู้จักพอแต่อกุศล จบ พระอรหันต์ทุกองค์งดบาปแล้วหยุดอกุศล มีแต่กุศลไม่รู้จักพอแล้วมันจะไปทำอย่างไรไม่มีทางทัน เป็นอัตราเร่งที่แน่นอน ไม่ต้องกลัว ตกนรกไม่ต้องกลัวตาย มันง่ายๆ ถ้าเข้าใจแล้วไม่มียากลำบากอะไรเลย
ฟังธรรมมากนั้นดี แต่อย่าให้เป็นสีลัพพตปรามาส
ทีนี้ ชาติรัฐ ถ้ามีคนอย่างนี้ก็สบาย อาตมาก็ได้แต่ถึงว่า พวกชาวอโศกเราก็ยังไม่พอเลยก็ต้องรอรุ่น นี่ยังไม่รู้เลยว่า รุ่นทิด พวกสึกไปแล้วก็ยังอยู่ ก็ยังไม่เท่าไหร่แล้วไม่เพิ่ม ผู้สึกก็ไม่เพิ่มแล้ว แล้วนักเรียนที่จะได้รับการศึกษาจากเราก็ปีละไม่มากเท่าไหร่ อัตราการก้าวหน้าก็ยังไม่มากเท่าไหร่ ก็ต้องพยายามช่วยกันใครจะมาช่วยสอนให้เด็กเราดีให้มีมวลมากขึ้นช่วยหน่อย ผู้ที่ถนัดสอนก็อย่าขี้เกียจนัก ขยันๆหน่อย มันจะเป็นอบายมุขนะถ้าขี้เกียจ ช่วยสอนช่วยแนะนำคนไปปลูกฝังกันไปสร้างขึ้นไป
มันซ้อน พวกเราก็ไม่ค่อยมีลูกมากด้วย ก็ได้แต่เอาลูกคนอื่นมาก็ต้องคัดเลือกมา คนที่มีบารมีถึงจะได้มา คนไม่มีบารมีก็ไม่ได้มา มันซ้อนๆข้างใน ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องใช้เวลาอาตมาถึงบอกว่ามันตายไม่ลง อาตมานี่คนเติมให้ ขอให้อยู่ 200 ปี เติมจาก 151 ปี มันจะไหวหรือ เอา!..ไม่เป็นไร ขนาดนี้ 87 ปียังแจ๋ว อีกไม่กี่เดือนก็เต็ม 87 ปี ขึ้น 88 ปีอีก 5 เดือนก็ขึ้น 88 ปี
ถ้า 88, 89, 90 ปี จะมีท่าทีแข็งแรงปราดเปรียว Active ขึ้นกว่านี้หรือไม่ โปรดติดตามอย่ากระพริบตา ถ้าอายุ 90 ปีแข็งแรงเพิ่มขึ้น อาตมาว่า 96 ปีของสบาย ฉลองไหมล่ะ?.. ฉลองด้วยกะหล่ำปลีหัวหอม ไม่มีปัญหาหรอกพวกเราก็ฉลองตามประสาพวกเรา สิ่งนี้ก็พูดกันไปสบายๆเป็นเรื่องจริงอาตมาก็เต็มใจ
พวกเราฟังธรรมได้ประโยชน์เพิ่มเติมหรือไม่ ก็ได้ประโยชน์เพิ่มเติมมีกำลังใจมีกำลังกายเพิ่มเติม ก็อย่าไปเหยาะแหยะ อย่าให้เป็นสีลัพพตปรามาส เตือนกัน รู้แล้วอย่าให้เป็นสีลัพพตปรามาส พวกเราไม่มีสีลัพพตุปาทานแล้ว ก็ทำให้สีลัพตปรามาสลดลง ให้เอาจริงเอาจัง เป็นแต่เพียงว่าอย่าไปตะกละเกินไปจนกระทั่งกลายเป็น อภิชัปปา ตัณหาล้ำหน้า อยากได้เร็วเกินการ มันจะเสียผลไม่ดีก็เติมเท่านั้น ก็ทำไป
อาตมาก็พยายามจะลากสังขารไป มันคงจะไม่สมบูรณ์ ทำอย่างไรได้ มันรีบๆเอาเลยลวกๆไม่ได้ ต้องเป็นของที่มันเต็มของมัน ดีไปได้เป็นระดับที่เป็นความเจริญโดยลำดับ อย่างน่าอัศจรรย์ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ตกลงปัจจุบันกำลังฟังอันนี้กันใช่ไหมพอ
ในการเกิดประเทศชาติชาติรัฐก็พอ
ดับ ชาติ 5 ด้วยวิชชา 8
อันที่ 5 ยึด “ทิฏฐิ” กับยึด “อัตตา”
“ทิฏฐิ” คือความเห็นความรู้ความเข้าใจ ยึดในอุปาทานนี้ยึด “ทิฏฐุปาทาน” คือยึดทิฏฐิ ยึดศีลยึดพรต คือยึดถือในสิ่งที่เรารู้ ยึดถือในสิ่งที่เราปฏิบัติข้อปฏิบัติอย่างนี้ไป ก็ได้มรรคผลเอาจริงเอาจังถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิเป็นศีลพรตที่สัมมาทิฏฐิ แต่ศีลพรตที่ไม่สัมมาทิฏฐิ ยิ่งมิจฉาทิฏฐิก็ยิ่งเลอะเทอะกันไปใหญ่ ทุกวันนี้น่าสงสารก็ได้แต่เตือนกัน ผู้ที่ฟังมี ปรโตโฆษะ แล้วปฏิบัติให้มีโยนิโสมนสิการก็จะเจริญ
ผู้ยึดทิฏฐิ ศีลพรตที่ถูกต้องนี่แหละแม้ยึดถืออย่างนั้นก็ต้องมีลำดับ
“อัตตา 3” มี โอฬาริกอัตตา, รูปอัตตา(มโนมยอัตตา), อรูปอัตตา
อันนี้ไม่ได้ตรัสไว้มาก ตรัสไว้ที่เดียว ใน
-
การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา ฯ)
-
การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ ปั้นรูปสัญญา ไม่อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆ แล้ว (มโนมยอัตตา ฯ)
-
การยึดครองหรือได้อัตตาที่หารูปมิได้ หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา ปฏิลาโภ) .