640104_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 22
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1wioPmEOQ-Kyk50_zQKZG4H3thpF5nupV8Pn_mvW40Pw/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1eOjMyXXm0DrdmMddX2jWlnSHL1UeTAMJ/view?usp=sharing
ยูทูปที่ https://youtu.be/JXrLg9n_1UY
_สู่แดนธรรม… วันนี้วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก สถานการณ์ covid 19 ในสายตาพระอาริยะ ถือว่าเป็นเครื่องมือหยุดปรุงแต่งสังขารของโลกียะ ให้รู้จักพัก ผมได้ไปเห็นคาถาธรรมบท ของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ร่าเริงอะไรกันหนอ ยินดีอะไรกัน ในเมื่อโลกสันนิวาสถูกไฟไหม้โพล่ง แล้วเป็นนิตย์ ท่านทั้งหลายถูกความมืดหุ้มห่อแล้ว เพราะเหตุไรจึงไม่แสวงหาประทีป”
คนไม่ทำงานก็เดรัจฉานธรรมดา
เราชาวอโศกได้จบงานเพื่อฟ้าดิน มีโศลกที่พ่อท่านให้ไว้ในงานว่า “คน ไม่ทำงาน ก็เดรัจฉานธรรมดา”
กราบนิมนต์พ่อท่านให้ความหมายของโศลกนี้ครับ
พ่อครูว่า…ก็อย่างที่คุณตั้งข้อสังเกตก็ได้ ก็อย่าไปคิดให้ลึกเกินไปเพราะว่า โศลกปีนี้มันตรง คุณไปมองให้ละเอียดว่า ที่จริงเดรัจฉานมันก็ทำงานของมันเป็นธรรมดา จริง! เดรัจฉานมันทำงานของมันเป็นธรรมดา แต่งานของเดรัจฉานนั้น มันไม่ได้เป็นงานที่ลึกซึ้งสูงส่ง มีประโยชน์คุณค่าต่อสัตว์อื่น ต่อมนุษย์อื่นได้มากเหมือนมนุษย์ผู้เจริญ ต้องใช้คำว่า “มนุษย์ผู้เจริญ”
มนุษย์ผู้เจริญเป็นอาริยะ จะเป็นผู้ที่สร้างงานทำงาน ไม่ทำงานก็เป็นเดรัจฉานธรรมดา ก็คือทำ อย่างดีก็เพื่อกินเพื่ออยู่ของตนเอง ต่อสู้ดิ้นรน ฆ่าแกงคนอื่น ทรมานคนอื่น แย่งชิงกันไปเป็นธรรมดาๆ เหมือนสัตว์โลกียะสัตว์เดรัจฉานธรรมดา
แต่ผู้ที่สูงกว่านั้นก็ไม่ต้องเตือนเขา เพราะว่าเขารู้ว่าจะต้องทำงานแน่นอน บางคนทำงานเกินไปด้วยซ้ำก็ต้องเตือนกัน แต่ผู้ที่ไม่ค่อยทำงาน มาอยู่ในสังคมชาวอโศก มันชวนให้ไม่ทำงาน เพราะว่ามันข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน เพราะฉะนั้นคนนี้ก็ไม่เจริญด้วยการลดกิเลส ไม่เจริญด้วยการเพิ่มอาริยธรรมให้แก่ตัวเองแน่นอน
สำหรับคนแล้วพลังงานประสิทธิภาพความรู้ความสามารถของคนมันมีมากกว่าสัตว์ใดในโลก มากกว่าเดรัจฉานใดในโลก สัตว์มันอาจจะมีพลังแรงมากกว่าคน ไปปล้ำกับช้างก็สู้ช้างไม่ได้ ปล้ำกับควายก็สู้ควายไม่ได้เลยสำหรับคนนี่ แต่คนนี่ สำคัญที่ฉลาดเหนือ เพราะฉลาดซับซ้อนฉลาดลึกซึ้ง ยิ่งความฉลาดของพระพุทธเจ้าแล้วท่านบอกว่าคนนี้ ถ้าได้ศึกษาตามธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะฉลาดมี คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ศึกษาตามธรรมะพระพุทธเจ้าจะได้เป็นบัณฑิตที่แท้จริง ไม่ใช่บัณฑิตที่สอนอยู่ตามมหาวิทยาลัยแต่เป็นบัณฑิตด้วยสัจธรรม ไม่ต้องมีใครมามอบปริญญาหรือใบประกาศใบรับรองให้หรอก จะเป็นบัณฑิตแท้ๆ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถยอดเยี่ยมจริงๆ
คัมภีรา ลึกซึ้ง คนจะเห็นตามไม่ได้ง่ายๆ อย่างเช่นอาตมา เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ยังไม่ถึงพระพุทธเจ้าแต่ก็ยังมีโลกุตรธรรม แล้วก็เผยแพร่โลกุตรธรรม คนยุคนี้จึงเห็นตามไม่ได้ง่ายๆ ชาวอโศก 50 ปีก็ได้ประมาณนี้ ก็ไม่น้อย อาตมาว่าไม่ล้มเหลวแต่มันควรจะได้มากกว่านี้ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธหากไปเผยแพร่ที่ชาวเทวนิยมคงจะยาก เพราะว่าจิตของเขาไม่มีพื้นฐานอะไรเลย มันจะได้รับ อัญญธาตุ เป็นธาตุที่เริ่มต้นโลกุตระ ไม่ง่าย
เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมา 800-900 ปีตั้งแต่อ้อนแต่ออก จะมีศาสนาอื่นพยายามมาแทรกแซง ทุกวันนี้เมืองไทยก็ยังตรวจสอบแล้วก็ยังเป็นพุทธศาสนิกชนถึง 95% ดูเหมือนจะเป็น 94% แล้ว ก็ยังเป็นชาวพุทธกันอยู่เต็ม เผลอไม่ได้นะ อาตมาว่ามันไม่เผลอหรอก เพราะว่ามีคุณธรรมโลกุตระซ้อนไปในมนุษยชาติ และเป็นที่ตั้งของโลกุตรธรรมต่อไปอีก จนกว่าจะถึงพุทธกัปของพระสมณะโคดม 5,000 ปี ไปอีก 2,000 กว่าปี อาตมารับผิดชอบอันนี้อยู่ ไม่รู้ว่าจะต้องเวียนกลับมาเกิดอีกอาตมาฝืนอายุขัยมาจาก 72 ปีแล้วฝืนมาได้ 1 นักษัตร ตอนอายุ 84 ปี เกินที่จะต้องตายมา 1 นักษัตร เลยตอนนี้เป็น 87 ปี ก็ยังตั้งใจอยู่ว่าอย่างน้อยก็น่าจะสัก 108 ปี ก็จะเป็น 3 นักษัตร(84 ปี, 96 ปี, 108 ปี)
สู่แดนธรรม…ขอต่อรองให้เป็น 144 ปี ได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…ก็มีสิทธิ์ต่อรองอาตมาก็มีสิทธิ์ที่จะลอง มีต้นทุนเท่าไหร่เต็มหน้าตักก็สู้ แต่ไม่รู้จะถึงไม่ถึงก็อีกเรื่อง ไม่เป็นไร Try and Try พยายามเท่านั้น
ก็ขอสำทับเรื่องโควิด โดยเฉพาะในชุมชนอโศกทั้งหลาย แม้แต่ในบ้านราชฯนี่ก็เถอะ พยายามรักษา พยายามระมัดระวัง พยายามที่จะต้องอย่าการ์ดตก เข้มงวดขึ้นดีๆ อย่าประมาท ประมาทไม่ได้เลย เล่นกับมันไม่ได้เลย covid ตอนนี้เมืองไทยชักสถิติตกลง ตกลงแล้วนี่ (สม.กล้าข้ามฝันว่า…วันนี้ 746 คนติดเชื้อเพิ่ม ทางไปรษณีย์บอกว่าให้ระวังของที่ส่งทางไปรษณีย์ก็มีสิทธิ์ติดเชื้อตามกล่องไปรษณีย์ได้) พ่อครูว่า…จะต้องฉีดแอลกอฮอล์กล่องละสัก 5 รอบ อย่าเสียดายแอลกอฮอล์ ค่อยเอามาเปิด
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…กรรมการก็ได้ประชุมและคุยกันว่า(เฉพาะราชธานีอโศก) คนที่จะมาแบบเยี่ยมญาติอะไรแบบนี้เราของดหมดเลย ขอเพียงว่า ถ้าจะมาอยู่จริงก็ต้องมากักตัว แล้วก็ได้อยู่ต่อไป แต่ถ้าไปๆมาๆของดทั้งหมด แล้วผู้ที่สั่งของออนไลน์ก็ให้ลดลงให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้
พ่อครูว่า…แล้วเราก็อย่าลืม โศลก.. “คน ถ้าไม่ทำงานก็เดรัจฉานธรรมดา” ตอนนี้ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ อาตมาว่าวัฒนธรรมชาวอโศกประสบผลสำเร็จแล้วในระบบวิธี เรามีวัฒนธรรมมีระบบที่ พูดไปอธิบายไปธรรมะของพระพุทธเจ้า ใช้ชื่อมาผสมผสานให้สอดคล้องกับภาษาสมัยใหม่ ก็ใช้ เป็นสังคมที่ครบบวรเป็นสังคมที่มีเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบเป็นสังคมที่มีการเมืองบริหารกันอย่างทันสมัยนำสมัยด้วย เป็นการบริหารที่ไม่ต้องบริหารกันมากมาย ไม่ต้องจ้ำจี้จ้ำไช กฎหมายไม่ต้องมีอะไรมาก พวกเราก็มีกฎหมายเป็นหลักใหญ่คือศีล 5 เป็นหลัก กฎหมายย่อยก็มีส่วนปลีกย่อยบ้างนิดๆหน่อยๆ ก็อยู่กันได้อย่างสงบ
เพราะว่าแก่นแท้ของคนมีปฏิภาณปัญญาเพียงพออันนี้เป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องขยายความยากมากเลย ที่จะมีปัญญาเป็นวิสัยของชาวพุทธศาสนาที่จะเป็นได้ แต่ข้างนอก ยากมากเลยจะมีปัญญาได้ ยากจะมีปัญญา มีแต่เฉโก เป็นโลกียะ แม้จะมีปัญญาถึงขั้นขนาดพวกเรามาเป็นอยู่ร่วมกันเป็นสังคม อาตมาว่าสังคมเราเรียกว่าเป็นสังคม ชุมชนอนาคามีภูมิได้ มีแกนของอนาคามีเยอะ เพราะทำงานฟรี มีศีล 10 เสียภาษี 100% อย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้พูดเล่น เราทำอย่างไม่ได้ถูกบังคับไม่ได้ล่อหลอก แต่ใช้ธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศและพวกเราได้ปฏิบัติประพฤติ
ขออภัย ท่านที่นั่งฟังตรงจอต่างๆ
SMS วันที่ 30 ธ.ค. 2563 -2 ม.ค. 2564
_Kru Sa (ครูสา): เห็นความคลายการผลัก เพราะสัมผ้สถึงความผลักที่ก่อให้รับสัมผัสไม่สบายจิตค่ะ น้อมกราบด้วยความเคารพค่ะ
พ่อครูว่า…คุณจะผลักทางไหนล่ะ ผลักในสิ่งที่ไม่ควรไปสืบต่อไม่ควรจะไปรับ ควรจะหน่ายคลายออกไป คุณใช้ศัพท์ว่า ความคลายการผลัก มีแต่สำนวนพระพุทธเจ้าท่านใช้ว่าความหน่ายคลาย แต่นี่ใช้ คลายการผลัก สภาพมันแล้วดูยอกย้อน dialactic อยู่ในที คลายคือปล่อยออก ไปสัมผัสแล้วไม่สบายจิตแล้วก็เลยไม่อยากจะสัมผัส ฟังแล้วยาก
สู่แดนธรรมว่า…ผมเข้าใจว่า เขาได้สัมผัสความผลัก เขาเห็นว่ามันคลายออกไป
พ่อครูว่า…ก็ดีแล้วที่ศึกษาสภาวจิต
_Anusorn An (อนุสรณ์ แอน) : ช่องนี้บ้าแต่ดีครับ
จรณะ 15 วิชชา 8 คืออะไร
_ด.ช.อาร์ม (จากศาลีอโศก)…ผมจะมาถามว่าจรณะ 15 วิชชา 8 คืออะไรครับ
พ่อครูว่า…อายุเท่าไหร่ (8 ขวบ) พยายามจะอธิบายเป็นภาษาสำหรับผู้อายุประมาณยังไม่ถึง 10 ขวบให้ฟังดู “จรณะ” นี่แปลว่า การประพฤติ เข้าใจความประพฤติไหม? ความประพฤติของเรา เราประพฤติดีหรือไม่ดีในจรณะ ความประพฤติต่างๆพระพุทธเจ้าท่านมีหลักเกณฑ์ให้เรียกว่า “วิชชาจรณะ สัมปันโน” ผู้ที่บรรลุธรรมวิชชาจรณะแล้ว จะรู้จักหลักเกณฑ์ “จรณะ 15” (ข้อปฏิบัติ 15 เพื่อบรรลุวิชชา 3 วิชชา 8 หรือข้อประพฤติไปนิพพาน)
-
ศีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล 9. วิริยะ ปรารภความเพียร
-
อินทรีย์สังวร คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติ อันเป็นอาริยะ
-
โภชเนมัตตัญญุตา ประมาณในโภชนา 11. ปัญญา
-
ชาคริยานุโยค ประกอบความตื่น 12. ปฐมฌาน
-
ศรัทธา (เชื่อมั่น) 13. ทุติยฌาน
-
หิริ (ละอายต่อบาป) 14. ตติยฌาน
-
โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป) 15. จตุตถฌาน
-
พาหุสัจจะ แทงตลอดในพหูสูต (พตปฎ.ล.13/34)
จรณะนี้ให้ฝึกหัดประพฤติตามหลัก 15 ข้อ ซึ่งเป็นภาษาที่บอกว่าอันนี้ 1 แล้วก็ทำอันนี้จะเกิดอันนี้ เช่นท่านบอกว่า ศีล แล้วประพฤติในหลัก 3 อย่างนี้นะ
หลัก 3 อย่างมี 1 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเรา มันเป็นทวารรับสัมผัสรู้เรื่องอะไรต่างๆนานาแล้วก็จะเกิดจิตต่างๆ ก็ให้สังวรสำรวมระมัดระวัง ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ได้เห็นรูปได้ยินเสียงได้กลิ่นทางจมูก ได้รับรสทางลิ้นของเรา ได้สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งที่ผิวข้างนอกเข้าไปข้างใน หรือทางในใจของเราปรุงแต่งอยู่ข้างใน แล้วก็ให้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้น จะสัมผัสแล้วมีการคลุกเคล้าปรุงแต่ง
เอาแต่เรื่องการกินอาหารก่อน
คนปฏิบัติธรรมด้วยการกินอาหารแล้วก็เรียนรู้จักอาหาร ให้รู้จักการกินอาหารอย่างหยาบที่สุด เรากินอาหารให้เป็นมื้อเป็นคราว จะกินเลอะเทอะกินทุกอย่างที่ขวางหน้ากินแหลกกินไม่ยั้งกินจุบกินจิบ อย่างนี้ตายง่ายเลยคนนี้ หรือไม่ก็สุขภาพเสีย อ้วนฉุเละเทะ ดีไม่ดีเป็นโรค กินเข้าไปมากๆจะนึกว่าไม่เป็นโรคนะ อย่างน้อยก็เป็นโรคไขมันอุดตันเส้นเลือดตาย เห็นไหมบางคนกินมากจนกระทั่ง นอนคาเตียงเบะ น้ำหนัก 200-300 กก. แล้วให้เขาฝึกหัดอดกินบ้าง เขาหยุดไม่ได้… หรือกินแล้วไม่พิจารณาเห็นโทษเห็นภัย อะไรที่เป็นโทษ เช่น ให้รู้จักโภชเนมัตตัญญุตา อะไรไม่เป็นประโยชน์ไม่ควรกิน
สูงขึ้นไปเรารู้ว่าเรากินสิ่งที่ชอบ ชอบในรสในกลิ่นของมัน ชอบในสัมผัสของมัน กินแล้วเหนียวดี เคี้ยวแล้วอร่อย หรือกินแล้วกรอบดี ของทอดนี่ หรือของเหนียวก็ชวนให้เคี้ยว เคี้ยวแล้วมันเหนียวพอเหมาะ เคี้ยวดีเหมือนพวกชอบเคี้ยวหมากฝรั่ง ต่างๆนานาพวกนี้
สรุปแล้วให้เรียนรู้เรื่องกินอาหาร อย่าไปกินเละเทะ ศึกษากับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่บอกว่าอันนี้ควรกินอันนี้ไม่ควรกินอันนี้เป็นโทษ ผู้ใหญ่ที่อยู่กับพวกเราพอมีความรู้ก็ค่อยๆเรียนรู้ไปและเราก็จะมีปฏิภาณปัญญารู้ของเราเอง
อันที่ 3 เรียกว่าปฏิบัติไม่ผิดของหลักใหญ่เลยของศาสนาพุทธต้องมี 3 หลักนี้ ปฏิบัติไม่ผิด ถ้าไม่ปฏิบัติ 3 อย่างนี้ ไม่ได้เข้าพุทธเลย ไม่มีสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 การกินการใช้ โภชเนมัตตัญญุตา และฝึกพากเพียรให้เป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ
คำว่า การตื่น ชาคริยา หรือชาคระ มันเป็นความตื่นมีสติเต็มข้างนอก เต็มข้างใน สติเต็มทั้งในกายวาจา สติเต็มทั้งในจิตเข้ามารวมเป็นผู้ตื่นผู้มีความรู้ ทุกอย่างสติ อย่างมีโพชฌงค์ 7 สติที่ดีก็จะเกิดธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ มันขึ้นถึงขั้นสัมโพชฌงค์ ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าก็จะมี ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ด้วยความพากเพียรเรียกว่า “วิริยะสัมโพชฌงค์” เมื่อพากเพียรวิจัยธรรมะต่างๆแยกโลกุตระ-โลกียะ แยกวิธีที่จะรู้กิเลส รู้วิธีสร้างพลังงานฌาน พลังงานไฟที่จะไปเผาผลาญกิเลสจนหมด จนเกิดบุญกำจัดกิเลสได้ ชำระกิเลสจากสันดานได้ไปเรื่อยๆหมดไปเรื่อยๆ ก็เจริญเป็นคนอริยะบุคคลของพระพุทธเจ้า เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ไปเรื่อยๆ
คนผู้นี้ก็จะเกิดคุณธรรมในโพชฌงค์อีก 4 ข้อ ก็ขอบอกชื่อไว้ ไม่ขยายความ ก็จะได้ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
ปิติก็คือดีใจยินดีที่เราได้เจริญในธรรม สติเราดี ธรรมวิจัยเราดี พากเพียรได้ดีก็จะเกิดมรรคผลขึ้นมา เราก็ดีใจมีปีติ จิตใจเราก็จะสงบจากกิเลสเป็นปัสสัทธิ เมื่อจิตตั้งมั่นตกผลึกเป็นสมาธิแน่นเข้า เป็นสมาธิ จนกระทั่งสุดท้าย ความเป็นสมาธินั้น มันซับซ้อน เป็นสมาธิก็คือ การทำฌานทำจิตให้เป็นพลังงานเผากิเลสออกไป แล้วจิตจะสะอาดเป็นอุเบกขา
อุเบกขาก็จะตกผลึกแน่นแข็งแรงเจริญขึ้น เป็นตัวสุดท้าย เป็นฐานนิพพานคืออุเบกขา เพราะฉะนั้นอุเบกขาจึงเป็นตัวปลายของโพชฌงค์ 7 ตัวที่ 7 ของโพชฌงค์ 7 ที่จะพาให้เจริญเป็นสมาธิ อุเบกขากับสมาธิเป็นตัวสุดท้าย 2 ตัวที่จะปฏิสัมพันธ์กัน ช่วยกัน สลับไปสลับมา จนสมบูรณ์ มีจิตตั้งมั่น ตั้งมั่นด้วยอุเบกขา ตั้งมั่นคือจิตสะอาดจากกิเลส มีองค์ธรรม 5 ของอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ปริสุทธา บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสแล้วบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น แล้วจิตใจจะมีสภาพสองสภาพเป็นสภาพที่ตั้งมั่นและเคลื่อนรอบเร็วไว มุทุ แล้วจิตที่มีธาตุเก่ง พวกนี้จะทำการงานในโลกได้ดี มีแต่ประโยชน์คุณค่าไม่เป็นภัยไม่เป็นโทษอะไรเลย กัมมัญญา แล้วทำกรรมการงานทุกอย่างในเหตุปัจจัยในแต่ละขณะ และองค์ประกอบแต่ละหมวดแต่ละคราวแต่ละครั้ง อย่างพอเหมาะพอดีพอเหมาะสม เรียกว่า กัมมัญญา จะทำงานจะเป็นอย่างไรตลอดไป จิตใจก็ไม่มีเศร้าหมองไม่มีหม่นหมองไม่มีตกต่ำไม่มีเสื่อมเสีย มีแต่เจริญผ่องใสสะอาด สุขสำราญเบิกบานใจประภัสสรตลอดกาล
เอาละเด็ก 8 ขวบฟังดีๆ จะได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้นไม่เป็นไรเพื่อผู้ใหญ่เพื่อพูดที่ใส่ใจสนใจรับไป
สติสัมโพชฌงค์ไปถึง เจโตปริยญาณ16
_ด.ญ.เพ็ญน้ำฟ้า (จากศาลีอโศก)…สติสัมโพชฌงค์คืออะไรคะหลวงปู่
พ่อครูว่า…เมื่อกี้อธิบายไป เอาอธิบายอีก
โพชฌงค์นี้ คือโพธิ คือความรู้ที่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ความรู้แบบพระพุทธเจ้าที่ท่านเป็นเจ้าของ เป็นเจ้าของความรู้ แบบนี้ เป็นคุณธรรมแบบนี้ เรียกว่าเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็เอามาตรัสสอนคน ก็เรียกรวมสั้นๆด้วยภาษาว่า ตรัสรู้ ความตรัสรู้ นี่คือพระพุทธเจ้าทรงรู้มา ค้นพบมาเอง เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สุดยอดทางกายทางจิต รู้แล้วท่านก็มาประกาศให้มนุษย์โลกได้รู้ตาม เมื่อมนุษย์โลกรู้ตาม ก็เอามาปฏิบัติตามได้มรรคผลได้ประโยชน์ขึ้นมา ตามลำดับ
ลำดับที่ได้เรียกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้คนเกิดคุณธรรมนี้ตามลำดับเป็น “โพชฌงค์ 7” (องค์ธรรมที่เดินสู่การตรัสรู้)
-
สติ (ความระลึกได้) เปรียบเหมือนจักรแก้ว
-
ธัมมวิจัยะ (ความเฟ้นธรรม) เปรียบเหมือนช้างแก้ว
-
วิริยะ (ความเพียร) เปรียบเหมือนม้าแก้ว
-
ปีติ (ความอิ่มใจ) เปรียบเหมือนมณีแก้ว
-
ปัสสัทธิ (สงบจากกิเลส) เปรียบเหมือนนางแก้ว
-
สมาธิ (ความมีใจตั้งมั่น) เปรียบเหมือนคหบดีแก้ว
-
อุเบกขา (ความมีใจเป็นกลาง) เปรียบด้วยปรินายกแก้ว
(พตปฎ. เล่ม 11 ข้อ 81)
โพชฌงค์ 3 สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ 3 ตัวนี้เป็นตัวหลักในการปฏิบัติ ต้องสร้างสติให้เข้าข่ายตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน เรียกว่าความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าให้สร้างสติเป็นแบบนี้นะ แล้วก็มีธรรมวิจัย ก็เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนเรียกว่าโพชฌงค์ เป็นคำที่สมาสกันเข้าเป็นธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ เป็นการวิจัยธรรม ตามคำสอนพระพุทธเจ้าเรียกว่า ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์
แล้วพากเพียรธรรมอันนี้เป็นวิริยะสัมโพชฌงค์ พากเพียรตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน พากเพียรแล้วเราก็จะได้ผลมาตามลำดับ มีปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา อีก 4 หลักที่อธิบายผ่านไปเมื่อกี้แล้ว ปิติคือยินดี ปัสสัทธิคือจิตที่สงบจากกิเลส แล้วจิตที่สงบจากกิเลสก็ตกผลึกลงไปเพราะผนึกกันแน่นเข้าตั้งมั่นเรียกว่าสมาธิ
เกิดฌานที่ 4 เผากิเลสจนถึงขั้นจิตสะอาดจากกิเลสเป็นอุเบกขา อุเบกขามีคุณธรรม 5 อย่าง ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จิตสะอาดอย่างนั้นจึงจะส่งไปตกผลึก ไม่ใช่ไปเอาจิตที่ไม่สะอาดตกผลึกจิตเลอะเทอะก็เอาไปตกผลึกจิตได้สมาธิแบบฤาษีก็เอาไปตกผลึก อย่างนั้นไม่ใช่ ต้องเป็นจิตที่สะอาดที่กรองแล้วกรองอีก เป็นแบบของพระพุทธเจ้าเลยเป็นแบบโลกุตตรจิต เป็นจิตที่สะอาดหมดอาสวะไปเป็นเรื่องๆ แล้วก็ไปตกผลึก สิ้นอาสวะและไปตกผลึก
เพราะฉะนั้นสมาธิของพระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่ตื้นๆเลย แม้แต่ในจรณะ 15 วิชชา 8 ก็ไม่มีคำว่าสมาธินะ มีศีล อปัณกธรรม 3 ก็ไม่ใช่สมาธิ สัทธรรม 7 ก็มี ศรัทธา ธรรมวิจัย วิริยะสติปัญญา ไม่มีคำว่าสมาธินะ บวก ฌาน 1 2 3 4 รวมเป็น 15 ข้อของจรณะ 15
วิชชา 8 ก็ไม่มีคำว่าสมาธิ วิชชา 8 คือปัญญา ไม่ใช่สมาธิ อาตมาไม่ค่อยจะขยายความมากขยายความมาก มันจะพิสดาร ตั้งแต่มโนมยิทธิ อิทธิวิธญาณ โสตทิพย์ เขาอธิบายเป็นเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ไปเลอะเทอะ ส่วนเจโตปริยญาณ 16 นั้นเขาอธิบายกันไปเลอะเทอะ ไม่ได้เอาไปใช้เป็นมาตรวัดกิเลสในจิตเลย เช่น สราคะ สโทสะ สโมหะ ก็ทำให้กิเลสมันลดลงไป วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ทำให้กิเลสลดได้ก็จะเป็น สังขิตตังจิตตัง (เจโต) วิกขิตตังจิตตัง (ปัญญา) ทำให้จิดเจริญมากยิ่งขึ้นเต็ม มหัคตะ หรือไม่เจริญขึ้นเป็นอมหัตตะ ดีไม่ดีเสื่อมด้วย ก็ต้องตรวจไปเรื่อยๆ ต้องให้มหัคตะให้ได้ อย่าให้เสื่อมจากมหัคตะ ที่มันเจริญได้มากได้ดีได้ยิ่งใหญ่แล้วเจริญไปสู่ความ มหะ คือมาก อัคคะ คือ เจริญเลิศยอดไปเรื่อยๆ
ทำได้ก็ตรวจสอบไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเจโตปริยญาณคือการวัด ส่วนคู่ที่ 2 คู่สุดท้าย คือ สอุตระกับอนุตระ
สอุตระคือจิตที่ดี เป็นอุตระจิต ประกอบด้วยอุตรจิต เป็นจิตที่ดี แต่ดีกว่านี้ยังมีอีก ดีเป็นโลกุตรจิตแต่ยังไม่จบ จนกว่ามันจะไม่มีดีกว่านี้อีก สุดความดีแล้วเป็นอนุตรจิต สุดอย่างไร สุด เพราะว่ามันตั้งมั่นสะอาดเป็นสมาธิ สุดเพราะมันตั้งมั่น และสุดเพราะมันหลุดพ้นจากโลกีย์จากกิเลสหมด ภาษาที่ว่าตั้งมั่นก็คือสมาธิ ภาษาที่ว่าหลุดพ้นจากกิเลสจากโลกโลกีย์ก็คือวิมุติ
เพราะฉะนั้น จิต ที่เป็นสมาธิเรียกว่า สมาธิเต็มแล้ว สมาธิที่ได้เลือกเฟ้นแล้ว ภาษากลางๆคือสมาธิ พอมาเป็นของพระพุทธเจ้าคำที่เป็นสมาธิเต็มแล้วเรียกว่า สมาหิตะหรือสมาหิโต เป็นความตั้งมั่นของจิตแล้ว
เพราะฉะนั้นคำว่าสมาธิจริงๆนี้จึงมีนัยยะสำคัญที่จะต้องเรียนรู้ว่า สมาธิเป็นสัมมาสมาธิหรือเปล่า แม้เป็นสัมมาสมาธิแล้ว จะเต็มก็ต้องปฏิบัติตามหลักจรณะ 15 วิชชา 8 แล้วจึงตกผลึกลงสั่งสมเป็นสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิของพระพุทธเจ้าเต็มท่านจึงเรียกชื่อว่า สมาหิโต เพราะว่าหลุดพ้นยังตรวจสอบเป็นคู่สุดท้าย เรียกว่าวิมุติกับอวิมุติ ยังมีเผลอ เอ๊! นึกว่าวิมุติแล้วนะแล้วยังมาตีท้ายครัว แวบอีก เห็นไหมพระพุทธเจ้าไม่ให้ประมาทเลย นี่คือ “เจโตปริยญาณ 16”
เจโตปริยญาณ 16 คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์
-
สราคจิต (จิตมีราคะ)
-
วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
-
สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
-
วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
-
สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
-
วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
-
สังขิตฺตํจิตตํ (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่)
-
วิกขิตฺตํจิตตํ (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
-
มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)
-
อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
-
สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
-
อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า)
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
-
อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
-
วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น)
-
อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
นานๆทวนทีฟังดีไหม สุดยอด อาตมาไม่ได้ท่องนะ เพราะมันมีหมวดหมู่ มีคู่ อธิบายให้ชัดง่ายๆ หมวดต้นคือ ราคะ โทสะ โมหะ ทำให้กิเลสมันลดก็ได้ 6 อันแล้ว คู่ต่อไป สังขิตตัง กับวิกขิตตังอีกคู่เป็น มหัคตะ อมหัคตะ แล้วก็มาเจริญกว่านี้อีกมีไหม คือ สอุตระ กับ อนุตระ แล้วก็มาตั้งมั่น สมาหิโตหรืออสมาหิโตแล้วก็หลุดพ้นเป็นวิมุติหรือไม่หลุดพ้นอวิมุติ
หากมีสภาวะแล้วจะไม่ต้องท่องเลย
_1945 : สุขสันต์ปีใหม่จากใจแฟนเอฟเอ็มทีวีให้ชาวอโศกมีความสุขตลอดไป
พ่อครูว่า…ตั้งแต่เป็น for the earth television มาเป็น for mankind Television คือเขาท้วงว่า มีพรรคการเมืองที่ชื่อเพื่อแผ่นดิน เราก็ไม่อยากซ้ำ เราก็มาเอา For mankind Television FMTV เอามาเพื่อจิตวิญญาณดีกว่า
_Sukanya Manobal (สุกัญญา มโนบาล) : ฟังธรรมเบิกบานมากจากอเมริกาค่ะวันนี้ กราบสาธุ
_ตุ๊ก อัศวิน : น้อมกราบ_/\_พ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งขอแสดงความยินดีกับครอบครัวน้องรุณที่ได้สมาชิกใหม่ ด.ญ.ปุณย์ ด้วยความสวัสดี..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…บุตรคนแรกได้บุตรีชื่อว่า ปุณย์ อาตมาตั้งให้เอาชื่อมาจากพ่อของเขาคือ ปุ๊ก และรุณ เป็นปุนรุ๊ก ก็เลยได้ชื่อ ปุณย์ เป็นชื่อเล่น ชื่อจริงชื่อเต็มเขาชื่อ รวงทองแพง แม่ของเขาชื่อฟางรวงทองพ่อของเขาชื่อทองไทย ย่าของเขาชื่อทองธรรม บ้านนั้นบ้านทอง สี่ทองแล้ว ลูกหรือหลานออกมาคนนี้ก็ทองอีกคน ชื่อ รวงทองแพง รวงทองคืออะไรคงรู้ ที่ออกเป็นรวงคือรวงข้าว ก็เชื่อมโยงจากฟางรวงทอง แต่ลูกเป็นรวงทองเลย ข้าวมีราคาเป็นนิมิตหมายว่าให้ประเทศไทยเพิ่มข้าวให้ดีๆให้มากๆให้กระจายเผื่อแผ่ไปทั่วโลก ทั่วโลกกินข้าวกันเกือบทั้งโลก มีชาวเอสกิโมอาจจะกินข้าวไม่ค่อยเป็น เขากินปลาเป็นหลัก แม้แต่สัตว์มันก็มีน้อย พวกเรามันจะเป็นอย่างนี้เป็นครอบครัวใหญ่ มีลูกมีหลานออกมาก็ยินดีปรีดากัน
ฌานของพุทธต้องเข้าหรือออกด้วยหรือไม่
_แซมดิน เลิศบุศย์…คำถามที่ผมจะถาม เป็นคำถามที่ผมตอบข้อสอบผิดครับ สงสัยว่า “ทำไมฌานต้องออกด้วยครับ เวลาที่เราเจริญครบรอบ”
พ่อครูว่า…คำว่าออกฌาน จริงๆมันเป็นภาษาที่ติดมาจากทางโลกีย์เขา เพราะว่าฌาณทางโลกีย์เขาจะต้องนั่งหลับตา เข้าฌานและก็จะต้องออกฌาน เป็นภาษาที่ติดมาจากโลกียะ เพราะฉะนั้นฟังไปก็อนุโลมพูดตามตามเขาไปเท่านั้นเอง บาลีท่านว่า วุฒฐานะ ออก
พระสารีบุตรก็เคย ท้วง ท่านธัมมทินนาภิกษุณีท่านก็เคย ท้วงคนว่า ศาสนาพุทธนั้น ฌานก็ดี สมาธิก็ดี นิโรธก็ดี มันไม่มีเข้าไม่มีออก ไม่เข้าไม่ออกอะไรหรอก ทำพลังงานฌาน ก็ทำในดวงตาเปิดๆนี่แหละ ฌานของพระพุทธเจ้าก็สร้างจากจรณะ 15 สร้างโดยการปฏิบัติ จรณะ 11 กับ วิชชาอีก 8 จะช่วยกัน
จรณะ 11 กับวิชชา 8 คือ ปฏิภาณปัญญาหรือญาณ จะช่วยกันทำให้เกิดจิตเจริญ 7 การสร้างพลังงานขึ้นมาเรียกภาษาไทยว่าไฟ เป็นอุณหธาตุ พลังงานความร้อน มีทั้งความเย็นด้วย แต่เราเอาพลังงานร้อนเรียกว่าไฟมาใช้เผากิเลส จึงเรียกว่าฌาน ฌานแปลว่าเผาหรือแปลว่าไฟ ฌาปนกิจคือเผาศพ แล้วมี ฌ อีกหลายคำ
สรุปแล้วก็คือพลังงานที่สร้างให้เกิดพลังงานนี้ขึ้นมาอย่างลืมตาไม่ใช่หลับตา ฌานที่หลับตาไม่ใช่ของพุทธ พูดซ้ำซากจนเบื่อตัวเองแล้ว แต่คนที่เขาไม่เบื่อหน่ายคลายกันเลย ไปนั่งหลับตาทำฌานกันน่าสงสาร ฌานของพุทธนี้ศึกษาดีๆไม่ได้หลับตา แต่เป็นการลืมตาปฏิบัติตามจรณะ 15 กับวิชชา 8 แล้วก็จะได้ ฌาน 1, 2, 3, 4, 5 ตามลำดับ
จะออกจะเข้ามันก็เป็นคำที่ติดกันมา ก็อนุโลมพูดไปตามเขาไปอย่างนั้น คนที่อธิบายได้ก็อธิบาย คนที่อธิบายไม่ได้ก็นั่งหลับตากันไป คนที่อธิบายได้ฟังได้ก็มาศึกษาต่ออย่างพวกเราอธิบายส่วนตัวอธิบายกับพวกเขาไปเรื่อยๆก็จะเจริญทางโลกุตระที่เราพากันทำ
8 อ.หลักอายุยืนของชาวอโศก
_นภัสวรรณ กาวิชา : ชอบมากเจ้าค่ะ. คำว่าควรยกย่องชาวนาชาวเกษตร เพราะเป็นกระดูกสันหลังของชาติ อยากให้ปลูกสติปัญญาของชาวไทย
พ่อครูว่า…ลูกบอลเข้าเท้าเลย อาตมาก็อยากจะพูดอันนี้อยู่ คนนี้พูดนำขึ้นมา ควรยกย่องชาวนาชาวเกษตรฯ เพราะเป็นกระดูกสันหลังของชาติ อยากให้ปลูกสติปัญญาของชาวไทย
เอ้า! ชาวไทยทั้งหลายฟังดีๆ เมืองไทยนี่ เป็นเมืองเคยมีสถิติเป็นเอกที่ปลูกข้าวได้มากที่สุด ส่งไปเลี้ยงชาวโลก ตอนนี้สถิติตกแพ้ญวน แพ้เวียดนาม อินเดีย ก็อยากจะสำทับว่าเมืองไทยนี้เป็นเมืองที่สร้างข้าว สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร อาตมาเน้นพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่เน้นปศุสัตว์ ไม่เน้นประมง เพราะเป็นเรื่องของการทำลายสัตว์ฆ่าสัตว์มันเป็นบาปมันมีวิบาก อาตมาไม่ส่งเสริม แต่คนเขาก็ต้องมี มันไม่หมดไปจากโลกง่ายๆหรอก ยังไงก็ไม่หมด เพราะว่ามันพัฒนามาจากเดรัจฉานที่กินเนื้อสัตว์มันก็ติดมา เพราะฉะนั้นคนที่หมดเชื้อเดรัจฉานแล้วเลิกกินเนื้อสัตว์เลย เพราะคนไม่ใช่สัตว์กินเนื้อสัตว์ ไม่ใช่กินทั้งเนื้อและผักก็ไม่ใช่ แต่เป็นคนกินพืช คนเป็นสัตว์กินพืชเต็มๆ อย่างเดียว เพราะฉะนั้นอยากจะให้เห็นความสำคัญอันนี้
คุณจะกินเนื้อสัตว์หรือไม่กินเนื้อสัตว์ก็ตาม คุณต้องกินพืชเพราะพืชเป็นอาหารของคน อันนี้อาตมามั่นใจและก็เชื่อมั่นอย่างยิ่ง แม้แต่ชาวเอสกิโม เอาพืชไปให้เขากินเขาก็จะอายุยืน จริง แต่เขาไม่ชินเขาก็อาจจะไม่กิน แต่เขาเข้าใจแล้วนะก็พากเพียรฝึกกินกินพืชผักอายุจะยืน อายุเฉลี่ยของชาวเอสกิโมขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้อายุสูงสุดของเขา 40 ปีตาย พออายุ 25 ปี ก็เริ่มแก่แล้ว ถึง 30 ปี ก็แก่แล้ว 40 ปี นี้ถือว่าสูงสุด พวกชาวขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้เพราะกินสัตว์เป็นหลัก ต่างจากพวกชาวหรรษา(ฮันซา)ที่อยู่บนเขา กินพืช ตรงกันข้ามกับพวกเอสกิโม เขาอายุ 100 ปีเป็นธรรมดา สำหรับพวกหรรษา อายุ 100 ปีถือเป็นปกติ
เพราะฉะนั้นชาวอโศกเรากำลังตื่นตัว อาตมาก็พยายามจะพาทำ ยอมตายตั้งให้เป็นเลยพาทำเลย อาตมาก็ยืนยันว่าชาวอโศกจะเป็นคนอายุยืน แล้วจะเป็นกลุ่มคนอายุ 100 ปีเป็นหลัก อายุร้อยเป็น สามัญธรรมดา พวกที่นั่งอยู่นี้จงหวังไว้เถิดจะมีอายุ 100 ปีกันพากเพียรให้ดีๆ แต่อย่าอภิชัปปา ตัณหาล้ำหน้าไปนะ ค่อยๆศึกษาไปตามลำดับ พวกเรา
อย่างอาตมาพิสูจน์ตัวเองเลย แต่ใครก็ไม่ค่อยเชื่อนะ ถ้าอาตมาอายุ 100 แล้วยัง Active อยู่อย่างนี้นะ คนก็จะพอเชื่อแล้วว่า ถ้าอาตมา100กว่า 108 คนจะรับรองเลย ดีไม่ดียูเนสโกจะรับรองอาตมาขึ้นทำเนียบ อาตมายังไม่มีใครจะรับรองยิ่งต่างประเทศ แต่เรื่องนี้เขาจะฟังขึ้น มีวิธีการที่จะทำให้อายุยืนเขาก็จะฟังขึ้นเขาชอบ แต่บอกว่าลดกิเลสเขาฟังไม่ค่อยขึ้น ยูนิเซฟไม่ค่อยรู้เรื่องหรือ Nobel prize ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง อาตมาว่าถ้าอาตมาได้ Nobel prize ตลกตายเลยนะแสดงว่าโลกเจริญ ระดับนี้มีปัญญาเข้าใจว่า ต้องอย่างนี้สิ มนุษย์เจริญต้องแบบนี้เป็นโลกุตรธรรมอย่างนี้ เขาเข้าใจเราก็ทำได้ เขาจึงจะตัดสินให้รางวัลได้ พูดไปพูดมาขออภัย พูดเข้าตัวเองนิดหน่อย รางวัลแมนเฮให้อาตมา จะถือว่าเป็นรางวัลแรกก็ไม่ได้
อาตมาได้รางวัลมาถือว่าได้ 2 รางวัล รางวัลอื่นอาตมาก็ไม่พูดถึงหรอก รางวัลพวกแต่งเพลง เคยเล่ามาจนเมื่อยแล้ว
เป็นรางวัลที่รางวัลแมนเฮเขาให้ก็คือ เป็นผู้สร้างสันติภาพ เป็นผู้ที่ชักชวนให้มนุษยชาติเกิดสันติภาพ ได้มาร้อยล้านวอน ถ้าเป็นเงินไทยประมาณ 2 ล้าน 6 แสนกว่าบาท ก็ไม่น้อยเหมือนกันนะ ใช้เป็นผุยผงหมดแล้ว
แล้วของวัดชิลซังซา ให้มาเป็น เป็นอีกรางวัลที่สนับสนุนรางวัล Manhae อันนี้
ก่อนที่จะได้รางวัลนี้เคยได้รางวัลเป็นโล่ห์ชุบทอง เป็นโลหะจากพณฯท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นอันแรกเลย รางวัลเชิดชูคุณธรรม
ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ได้เป็นตำแหน่งสำคัญในประเทศหลายอย่าง เป็นคนเดียวที่สถิติได้เป็นทั้งนายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานสภา เป็น 3 สถาบันหลักเลย ยังได้เป็นประธานองคมนตรี และยังเคยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย
ท่านเคยมาคุยกับอาตมาเมื่อตอนที่อาตมาบวชใหม่ๆ ที่ห้องภาพสุวรรณมาขอพบเลยตัวต่อตัว อาตมาก็นั่งทำหนังสือกันอยู่ที่ห้องภาพสุวรรณ แล้วก็มานั่งโต๊ะ layout ท่านก็ซักไซ้ไล่เลียงคุยกันชั่วโมงกว่า ท่านก็สนใจธรรมะ ท่านต้องเอาคำสอนท่านพุทธทาสไปสอนศาลฎีกา ออกจากนั้นท่านก็ไปพูดกับใครอาตมาก็ไม่รู้ แต่มีข้อมูลข่าวสารว่า ท่านไปรับรองอาตมาว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้รับรองอาตมาว่าองค์นี้เป็นอรหันต์ แต่ก็ไม่ได้แพร่หลายมาก จากนั้นอาตมาก็โดนเถรสมาคมขึ้นมา ท่านก็ไม่กล้าจะแสดงตัวอะไรมากมาย มันก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย พ.ศ. 2525 พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ ก็มาเล่นงานอาตมา จากนั้น.. ขออภัยท่านประยุทธ์ ปยุตโตก็ซัดอาตมา เถรสมาคมก็เลยร่วมมือกันซัดอาตมาใหญ่ เอาทั้งธรรมยุตและมหานิกายร่วมกัน บ้อม! อาตมาใหญ่ ลูกระเบิดไม่ใช่ Little Boy นะ ชื่อ Little Boy แต่ที่จริงไม่เล็กเลยบรรลัยจักรตายกันเป็นแสน
การขยายอายุนั้น อาตมาทำหลักที่คนทั่วไปเข้าใจและทำได้ง่ายก็คือ 8 อ. หลายคนก็ฟังก็แล้วกัน
-
อิทธิบาท
-
อารมณ์
-
อาหาร
-
อากาศ
-
ออกกำลังกาย
-
เอนกาย
-
เอาพิษออก
-
อาชีพ
ถ้าจะไปขยายความมันก็จะยาว ไปทำความเข้าใจไม่ยากหรอก มันจะยากที่อารมณ์ ต้องมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ต้องมาเรียนรู้วิธี เวทนาคืออารมณ์ สรุปแล้วทำให้อารมณ์ดี จะสามารถยังอายุให้ได้ถึง กัป หรือเกินกว่ากัป นี่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้านะ อย่างพระพุทธเจ้าท่านจะอายุ 100 ปี 120 ปี 180 ปี อย่างพระอานนท์ พระกัสสปะก็ได้ แต่ 80 ปีท่านก็พอแล้ว เออรี่รีไทร์แล้ว 80 ปีท่านก็ไปแล้ว อานนท์ไม่เอาแล้ว เราได้ปลงอายุสังขารเสร็จแล้ว เสร็จแล้วพระอานนท์ก็ไม่อาราธนาให้อยู่ต่อ
เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ที่สามารถ ทาง 8 อ.แล้ว มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง ทำจิตวิญญาณนี่แหละให้แข็งแรงเป็นพระอาริยะเป็นพระอรหันต์ให้ได้ ไม่เป็นพระอรหันต์ก็จะมีพลังที่ยังขันธ์ ให้ยืนยาวไปได้จริง
การจะตาย นี้มันตายเพราะพยาธิ เพราะโรค นอกนั้นก็ตายอุปัทวเหตุ ไอ้โรคนี้ มันมีทั้งโรคที่เป็นวิบากมีทั้งโรคที่เราโง่ไปหามาเอง ไปดิ้นไปวุ่นวายไปเอามาไปติดมาจากที่อื่น
เพราะฉะนั้น ถ้ามาศึกษาธรรมะแล้วเราจะไม่วุ่นวายไปติดได้ อยู่กับหมู่พวกที่ปราศจากเชื้อโรค ปราศจากโทษภัยอย่างอยู่ในหมู่พวกชาวอโศกมันเป็นที่ที่ปลอดภัย
เพราะฉะนั้นในการที่จะทำให้อายุยาวยืน มีทั้งองค์ประกอบตามที่กล่าวมาคร่าวๆนี้
ถ้าเผื่อว่าเราจะอายุยาวยืน เราก็จะต้องอายุยาวยืนอย่างแข็งแรง ไม่ใช่อายุยาวยืนอย่างมนุษย์พืช มนุษย์ติดเตียง มนุษย์พิการ มันก็ไม่ดีใช่ไหม มันก็ต้องเป็นมนุษย์ที่แข็งแรง เวลาจะตายก็ตายไปอย่างสงบอะไรอย่างนี้นะ แข็งแรงอยู่ดีๆเลย กลางคืนตื่นเช้ามาไม่ลุกแล้ว ไปดูก็ไปเสียแล้วอย่างนี้ แบบนี้ไปอย่างสงบไปอย่างเรียบร้อย เหมือนอย่างสุเทพ วงศ์กำแหง ตายอย่างสงบดีหรือหลายคนจะมีแบบนี้ ตายอย่างสงบ นอนไปแล้วก็ตายไปเลย หรือจะนอนกลางวันกลางคืนก็แล้วแต่ บางทีนอนกลางวันพักไปก็ไม่ตื่นตายไป หรือนอนกลางคืนรุ่งเช้าทำไมไม่ตื่นสักทีพอไปดู ชีพจรไม่มีแล้วอะไรอย่างนี้ ก็ตายอย่างสงบ ตายอย่างสงบนี้ดีที่สุด
เกษตรกรแข็งขันคือกระดูกสันหลังของชาติ
สมณะเดินดิน…เมื่อสักครู่พ่อครูบอกว่า “ลูกฟุตบอลเข้าเท้าแล้วจะเตะหรือเปล่าครับ เขาบอกว่าควรยกย่องชาวนากสิกร”
พ่อครูว่า…กสิกรแข็งขันเป็นกระดูกสันหลังของชาติ หรือกสิกรแข็งขัน แต่อาตมาชอบแข็งขลัง ให้มันสัมผัสกับกระดูกสันหลังของชาติ เป็นกระดูกสันหลังของชาติจริงๆเป็นกระดูกสันหลังของโลกด้วย ไม่ใช่กระดูกสันหลังของชาติเท่านั้น เป็นกุศลที่สุด อาหารเป็นหนึ่งในโลก ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ทำไมท่านใช้คำว่าข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง เพราะว่าข้าวเปลือกอยู่ได้นานกว่าข้าวสาร เพราะฉะนั้นเป็นทรัพย์ที่รักษาไว้ ตุนได้นาน ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ถ้าเป็นข้าวสารมันก็ไม่นานกว่าข้าวเปลือก ข้าวเปลือกเอาไปปลูกได้เอาไปสีได้ อยู่รักษาได้นานกว่าข้าวสาร พระพุทธเจ้าถึงลึกซึ้ง เอาไปปลูกต่อพันธุ์ได้อีก
เพราะฉะนั้นลึกซึ้งที่ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง อย่าว่าแต่ข้าวเลยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ทุกวันนี้เราเจริญก้าวหน้าในการพัฒนา breed ทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆดี อย่างเช่นชาวอโศก ยกมาดูซิ! นี่ขนาดเฉลี่ยที่ปลูก อ.ข้าดินทำได้ดี มีมันพร้าว หัวมันใหญ่จริงๆ ธรรมดามันไม่ใหญ่ขนาดนี้หรอก พืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆเป็นอาหารของมนุษย์อื่นๆก็กินเพราะฉะนั้นถ้าเราจะส่งเสริมชาวไร่ชาวนาชาวสวน ทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร
อาตมาเคยพูดถึงขั้นว่าให้เหรียญตราเลย ถ้าเหรียญตราจากองค์กรก่อนก็ได้ ถ้าหากพระราชทานจากเบื้องบนด้วยยิ่งประเสริฐ ให้เหรียญตราแก่ชาวนาที่ควรได้รับเหรียญ (สมณะแก่นเกล้า ว่าปู่ผมได้เป็นชาวนาดีเด่นได้เหรียญทองคำจากอำเภอด้วย) ให้เป็นประเพณีเป็นฤดูกาลเลยอย่างเช่นฤดูพืชมงคล พระราชทานรางวัลเหรียญตราให้แก่ชาวไร่ชาวนาชาวสวน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ตระกูลของเขา เขาจะภาคภูมิใจ เพราะว่าเป็นพลเมืองกระดูกสันหลังของชาติและก็เป็นสิ่งที่ชั้น 1 ของโลก ไม่ใช่แค่ชั้น 1 ของประเทศไทยเท่านั้น
เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อเราพยายามสนับสนุนส่งเสริมการโดยวิธีการของคน ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร แต่เป็นวิธีการที่เข้าใจกันอยู่ทั่วโลกที่ให้กัน
สู่แดนธรรม…คุณธงชนะ พรหมมิ เคยเห็นได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นของจังหวัด จากสมเด็จพระเทพฯ
พ่อครูว่า…ให้เท่ากับข้าราชการเลยหรือให้เท่าที่ควรได้ควรมี ซึ่งไม่เหมือนข้าราชการก็เป็นพิเศษก็ได้จริงๆ ที่จริง คนไทยนี่ อาตมาว่า แต่อ้อนแต่ออกแต่เดิม อาตมานี่ ปู่ย่าตายายก็ทำนาทำสวนทำไร่ ตั้งแต่เด็กอาตมาก็อยู่กับสวนกับไร่กับนา อาตมาอยู่ที่พิบูลมังสาหารและก็มาอยู่ที่วาริน จบ ม.6 แล้วจึงเข้ากรุงเทพฯตั้งแต่อายุ 14 ปีจากนั้น 50 ปีกว่าจะได้วกกลับมาตั้งหลักฐานที่วารินชำราบ อยู่ชีวิตทางฆราวาส 36 ปี แล้วก็บวชอยู่ที่กรุงเทพฯ บวชที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ แล้วก็ทำงานไปทางโน้น ตั้งนานกว่าจะออกมาจากที่โน่น ย้อนกลับมาที่นี่จนกว่าจะมาปลูกฝังอยู่ทางนี้ ก็มาอุบลนี่แหละ เพราะอาตมาเป็นเหลนท้าวคำผง หรือเจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง ณ อุบล) อาตมาเป็นทายาทลำดับ 7 ของเจ้าคำผง
อาตมาเมื่อเรียนจบมาก็ไม่ได้รับราชการเลย ไปทำงานสถานีโทรทัศน์ จึงไม่ได้รับยศตำแหน่งทางราชการเลย พวกน้องๆเขาก็ยังได้รับตำแหน่งราชการบ้าง อาตมาก็ทำแต่งานส่วนเอกชนส่วนตัว มีส่วนตัวเป็นหลักจนกระทั่งเลิกแล้วงานทางโลก ก็มาทำงานทางธรรม 51 ปีย่างเข้าแล้ว แล้วก็จะทำต่อไปอีก
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สัทธรรม 7 ศรัทธาก่อหิริโอตตัปปะในปัญญา 8
_อ.หมอเขียว …ดอยแพงค่าภูผาฟ้าน้ำ…กราบนิมนต์พ่อครูอธิบายเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าการปฏิบัติศีล จะทำให้เกิดปัญญา เกิดหิริ โอตตัปปะ ความละอายเกรงกลัวต่อบาป ได้อย่างไรครับ
พ่อครูว่า…สัทธรรม 7 มีปัญญา เป็นตัวที่ 7 สัทธรรม 7 มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา
สัทธรรม 7 คือธรรมของคนดีที่มีสัมมาทิฏฐิ
-
ศรัทธา (ความเชื่อมั่นอย่างสัมมาทิฏฐิ)
-
หิริ (ละอายต่อการกระทำผิด)
-
โอตตัปปะ (เกรงกลัวต่อการกระทำผิด)
-
พหูสูต (ฟังมาก รู้มาก ปฏิบัติธรรมแทงตลอด
ได้มาก)
-
วิริยารัมภะ (ปรารภความเพียร)
-
สติ (ระลึกรู้ตัวไม่เผลอใจ)
-
ปัญญา (รู้แจ้งชำแรกกิเลสได้)