631228_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 21
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1wx5opGNqo1Zd_kLcndhSNtJqy6VFT7l4ZuPmUIuh6Ts/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1m2BE24cE3lLbALJwgvJcK85f92dANXV0/view?usp=sharing
ยูทูปที่ https://youtu.be/-LsT6BVhLd4
_สู่แดนธรรม…วันนี้วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก เรามาพบกับรายการโสเหล่โลกุตระอีกครั้ง วันนี้ได้ข่าวว่าผู้ว่าจังหวัดสมุทรสาครก็ติดเชื้อโควิดไปแล้ว เป็นเรื่องที่น่าห่วงใย
พ่อครูว่า…จะอ่านบทกวีอ่านบทกวี “รากแก้วแก่นสยาม” ของอ.เป็นต้น นาประโคน ติงว่า การใช้โคลงสี่สุภาพ ซึ่งเป็นของไทย ควรเคารพรักษาแบบแผนด้วย
ชาติ ชื่อรวมเผ่าเชื้อ ผองชน
ศาสน์ ช่วยบ่มเพาะกมล มนุษย์ไว้
กษัตริย์ กษัตริย์ประมุขช่วยดล ราษฎร์รื่น รมย์เฮย
สามหลักเส้าผนึกให้ รากแก้ว แก่นสยาม
ดิน ดินรองรับฝ่าเท้า เสมอมา
น้ำ น้ำหลากล่องสู่มหา สมุทรให้
ลม ช่วยพัดนำพา ให้โลก เย็นเฮย
ไฟ ไฟเพิ่มอุณหภูมิไซร้ เช่นนี้กาลนาน
วิหคเหินสู่ห้วง เวหา
ปราศจากรอยบาทา ฝากไว้
อาทิตย์อัศดงลา ลับโก แล้วแฮ
ความมืดทมิฬฝากให้ สู่ห้วง ราตรี
ส่งสำเนียงสื่อถ้อย วาที
บ่งบอกไพร่ผู้ดี แยกได้
พาลบัณฑิตย่อมมี คู่โลก เสมอนา
กรรมวิบากมีให้ ห่อนเว้น สักคน
ถ่มเขฬะสู่ฟ้า คราใด
เขฬะเลอะหน้าใคร ไป่รู้
เจตนาด่าผู้ใด โสตสดับ รู้นา
เตือนสติให้แก่ผู้ กล่าวร้ายระเริง
นักเรียนนอกอวดโอ้ โอหัง
อวดเก่งเบ่งกันจัง พวกเจ้า
ผึ้งยังรักรวงรัง ไพรพฤกษ์ พนาเฮย
หลอกราษฎร์เพื่อปลุกเร้า ถ่อยถ้อยทรชน
ปลุกสำนึกมนัสน้อม คำนึง
ฝากพระพายรำพึง มอบให้
เด็กเอยอย่าดื้อดึง กันนัก เด็กเอย
เงินค่าจ้างที่ได้ ห่อนคุ้มกะลาหัว
ครูพงษ์พากเพียร เตียงประโคน : บันทึก อ. เป็นต้น นาประโคน : ประพันธ์
๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓
_อ๋อย บริงโซ จากเดนมาร์ก… ตอนนี้มากักตัวอยู่ที่พัทยาค่ะ…ขอรายงานตัวค่ะ
_ฝั่งบุญ…เนื่องจากเมื่อเช้านี้ประชุมออนไลน์ 06:30 น นะคะ มีผลการประชุมว่าพ่อครูสั่งให้กลับบ้านราช ฟังหลายครั้งฟังแล้วฟังอีกก็งง เพราะว่าอ่านเวทนา 2 ไม่ทัน พอหลังประชุมเล็กน้อย ก็ไปประชุมกันอีกว่าแปลว่าอะไร ก็เลยพากันรีบอ่านเวทนา ก็โทร.กลับมาบอก เพิ่งจะเข้าใจชัดเจนว่าพ่อครูบอกให้กลับบ้านราช
พ่อครูว่า…ที่นั้นเราตกลงว่า เราไม่ซื้อ เราก็ไม่มีสิทธิ์จะอยู่ในที่ของเขา ก็ให้ออกมา ไปอยู่ในที่ของเขาทำไม ก็ตามควร ทำไมไม่ไหวทัน
_ฝั่งบุญ…คิดว่าสัญญาถึงเดือนเมษายนค่ะ ก็เลยมัวแต่งง เป็นโอกาสได้อ่านเวทนาทั้งวันเลยค่ะวันนี้ ก็กราบขอบพระคุณที่ได้โอกาสไป อีก 5 วันจะครบ 9 เดือน ก็ได้เรียนรู้ภาควิชาทวนกระแสเสียงที่พี่น้องบอกว่าไม่เจียมสังขาร แก่ก็แก่ ก็ทดลองกำลัง วันนี้ก็จะมากราบขอบพระคุณพ่อครู ท่านสมณะสิกขมาตุญาติพี่น้องที่ให้ความเมตตา กว่าจะได้รู้เวทนา 2 อัตตาใหญ่ ที่ท่านสิกขมาตุเป็นหญิงได้ให้บ่อยๆ ก็เลยจะมาตั้งใจแก้ไขใหม่ค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ ได้รับการต้อนรับจากผู้ใหญ่บ้านอย่างดีให้ได้รับการเว้นระยะห่าง ไม่ต้องกักตัว(เพราะว่าไม่ได้ไปไหน อยู่แต่ในสวนค่ะ)
พ่อครูว่า…อยากจะให้อีกคนหนึ่งเขารู้สึกอย่างคุณจังเลย
_ดาวเพ็ญ นาวาบุญนิยม…ร้องเพลง..กลับมาแล้ว…ได้ไปอ่านภพ ภพมันมีแรงมากด้วย ดำนาถึงสองทุ่มก็ทำ ภพมันลึกมาก ที่ขุดภพเจอเพราะพ่อครูบอก สมณะสิกขมาตุบอก คำว่าอวิชชามันลึกมาก มันหลงใหลใฝ่หาก็เป็นตัณหาแส่หา ดิ่งไม่รู้สักกี่ชาติ กราบขอบพระคุณพ่อครูและสมณะสิกขมาตุที่ได้แนะนำ
พ่อครูว่า…ต้องใช้บทเรียนที่มีประสบการณ์จริงเขาใช้สำนวนไทยว่า คางคกถ้าเลือดหัวไม่ตกยางไม่ออกก็ไม่รู้สึก ภาษาโบราณเขาว่าอย่างนั้น
โลกียะต่างจากโลกุตระอย่างไร
_สมณะลือคม (จากศาลีอโศก)…กราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ครับ วันนี้น้องเพ็ญน้ำฟ้าจะมีคำถาม เรียนถามหลวงปู่ครับ
_ด.ญ.เพ็ญน้ำฟ้า…กราบนมัสการค่ะหลวงปู่ หนูจะมาถามหลวงปู่ว่า โลกียะกับโลกุตระมันแตกต่างกันตรงไหนคะหลวงปู่
พ่อครูว่า…โลกียะ คือความรู้ปฏิภาณปัญญาของคนของใครก็แล้วแต่ ถ้าเผื่อว่ายังไม่รู้จักกิเลส ยังไม่รู้จักจิตของเรา ความรู้สึกของเรา ความรู้สึกของเรามันเกิดขึ้นแล้ว คนที่เป็นโลกุตระ จะรู้ทันว่า มีกิเลสร่วมเข้ามาในความรู้สึกตอนนั้น
โดยทั่วไปปุถุชนจะต้องมีกิเลสเข้ามาร่วม แน่นอนยังไม่หมดกิเลส ยังมีกิเลสประจำอยู่ในชีวิต ผู้ที่เป็นโลกุตระ เมื่อศึกษารู้ว่าเราต้องปฏิบัติอันนี้ พอสัมผัส เกิดความรู้สึก ปั๊บ เกิดอารมณ์เกิดความรู้สึกขึ้นมาในจิต
หนึ่งแม้ไม่รู้ก็จะต้องเริ่มมีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสติเต็มเป็นโพชฌงค์ มีธรรมวิจัย แล้วก็พากเพียร จะมีความวิริยะมีพากเพียรด้วยนะ โพชฌงค์ 3 จะทำงาน
เสร็จแล้วก็อ่านจิตมีความรู้สึกว่า จิตเรามีกิเลส คนนี้แหละคือคนมีโลกุตระ
นี่เอาสภาวะมาอธิบายให้ฟังว่าอย่างนั้นก็ไม่รู้สักทีว่าโลกียะโลกุตตระคืออะไร
ส่วนคนที่ไม่ได้เรียนรู้เรื่องโลกุตระเลยในชาวพุทธหรือในทั่วประเทศไทยหรือในประเทศอื่นก็ตาม ถ้าไม่มีความรู้อย่างที่อาตมาอธิบายไปคร่าวๆเมื่อกี้นี้ แล้วปฏิบัติเป็นจริง นั่นคือยังไม่พบโลกุตระ
ต่อให้จบเปรียญ 9 จบปริญญาเอกเป็นศาสนาอาจารย์ใหญ่มโหฬาร เป็นเจ้าสำนักขนาดไหน ถ้าไม่ได้มีอย่างที่อาตมาว่า ก็ไม่ใช่พุทธ เพราะว่าพุทธนั้นคือโลกุตระ โลกียะนั้นเป็นศาสนาทั่วไปทั้งหมด
ที่นี้ประเด็นสำคัญอันหนึ่งโลกียกับโลกุตระต่างกันอย่างไร
ภาษาวิชาการง่ายที่สุด โลกียะไม่มีนิพพาน โลกุตรธรรมจะมีนิพพาน
เพราะฉะนั้นโลกุตระเป็นของศาสนาพุทธ จุดหมายสำคัญของชีวิตมนุษย์ต้องไปนิพพานให้ได้ ถ้ายังไปนิพพานไม่ได้ยังไม่มีทางไปนิพพาน คนนั้นยังจมอยู่ในโลกโลกีย์ปุถุชนอีกนานไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ จนกว่าจะมีจิต มีอัญญธาตุ
อัญญธาตุ คือธาตุใหม่ธาตุโลกุตระที่เริ่มจ่อกระแส เรียกว่ากระแสโสดาบัน
โสดาบันแปลว่าจิตเข้ากระแส โสตาปันนะ แปลว่าจิตจุติเข้าสู่กระแสโลกุตระ
เมื่อเริ่มแล้วมันก็จะมีภาวะศึกษาต่อ เพราะคนที่เริ่มต้นมีจิตยินดีตามมูลสูตร มูลสูตรมี 10 หลัก
1.มูลกา 2.สัมภวะ 3.ผัสสะ 4.เวทนา 5.ประมุข(สมาธิ ) 6.สติ 7.ปัญญา 8.วิมุติ 9.อมตะ 10.ปรินิพพานเป็นปริโยสาน
10 ข้อ 10 หลักของมูลสูตร เป็นหลักของศาสนาพุทธที่ให้ผู้ศึกษาได้เรียนรู้เลยว่า เราเริ่ม แม้แต่ข้อที่ 1 มีมูลมีราก เริ่มต้นเลย เรามีความยินดีในศาสนาพุทธ ในการจัดปฏิบัติธรรม ศาสนาพุทธจะต้องไปโลกุตระไปนิพพานเรายินดีที่จะมีจิตไปนิพพานไหม ถ้ายังไม่มีจิตยินดียังไม่ใช่
เพราะฉะนั้นชาวพุทธทั่วไปทั้งหลายแหล่ ขออภัย พูดง่ายๆ พุทธขี้หมาทั้งนั้น ยังไม่มีจิตไปนิพพาน ยังมีแต่เดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ทั้งหมด ยังไม่ได้แตะ มูลกา เริ่มต้นดีๆในพุทธศาสนา แล้วพุทธศาสนาจะยินดีในพระนิพพาน ต่อให้บวชกี่ชาติต่อให้เป็นเจ้าคุณในระดับไหนก็ตาม ถ้าจิตไม่เข้าใจในนิพพานต้องมีความรู้ตัวว่ามีจิตยินดีในนิพพาน คนมีจิตใจดีจากไขว่คว้าแสวงหาเอาเนื้อแท้ แสวงหาอันนี้นั่นคือคนมีจิตยินดี
คนไม่มีจิตยินดีเริ่มต้นเป็นมูลกา โมฆะ เปล่าดาย ไม่ได้สาระของศาสนาพุทธหรอก
เริ่มต้นมีจิตยินดีแล้วผู้มีจิตดีแสวงหาจึงจะหามาฝึกหัดทำให้เกิด มนสิการ เป็นข้อที่ 2 ของมูลสูตร มาทำให้เกิด จิตทำจิตในจิตเป็น
มนสิการ อาตมาแปล เป็นพยัญชนะของสภาวะเลยว่าแปลว่า เรามาทำจิตในจิตของตน มนสิการเป็นคำกลางๆ ศาสนาพุทธเข้าหาจิตไม่ใช่แค่กายวาจา เข้าหาที่จิต
เพราะฉะนั้นเมื่อทำจิตในจิตตัวเองเป็น เป็น ก็หมายความว่ามีโยนิโส มนสิการ ในมูลสูตรมีแต่คำว่ามนสิการ ไม่มีคำว่าโยนิโส
จะทำจิตในจิตก็มี 2 แบบมาทำจิตในจิตที่ไม่โยนิโส คืออโยนิโสมนสิการ ก็คือชาวพุทธที่โมฆะไปนั่งหลับตาปฏิบัติเป็นต้น มีความศรัทธามีความยินดีในนิพพานนะแต่ข้อ 2 สอบตก มนสิการสอบตก เพราะว่าอโยนิโสมนสิการ ปฏิบัตินอกทางพุทธ ปฏิบัติมิจฉาทิฏฐิเป็นการปฏิบัติแบบโลกีย์ไปหมด อย่างพวกนั่งหลับตาพวกที่ไม่มีจรณะ 15 วิชชา 8 ไปปฏิบัติฌาน ด้วยการหลับตาปฏิบัติสมาธิด้วยการหลับตาปฏิบัติธรรมที่ไม่มีอปัณกปฏิปทา 3
จรณะ 15 ต้องมีศีล หากไม่มีศีลเป็นหลักจะไม่ได้เดินอยู่ในกระบวนการของจรณะ 15 วิชชา 8 ก็ไม่ใช่พุทธ พุทธ จะเริ่มต้นด้วยศีล
คนที่เริ่มต้นด้วยศีลแต่ไม่มีอปัณกธรรม 3 ก็เป็นการปฏิบัติธรรมนอกศาสนาพุทธแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ จะไม่รู้จักบุญ คุณได้แต่กุศลอย่างเดียวไม่เข้าเขตบุญแสวงบุญก็ออกนอกเรื่องไม่ได้บุญ บุญ คือ จับจิตเป็น มนสิการเป็น ทำให้กิเลสลดได้นั่นคือบุญ บุญไม่ใช่กุศล เขาทำกันได้แต่คุณงามความดี ได้แต่สังคมยกย่องเชิดชู อย่างนั้นเป็นแค่กุศล ถ้าหากเป็นบุญจะต้องทำให้กิเลสลดได้จึงจะชื่อว่า บุญ
เพราะฉะนั้นคำว่าบุญ ความหมายคำว่าบุญทุกวันนี้มันไม่รู้จักความหมายที่แท้จริงกันแล้ว ไปตีค่าคำว่าบุญนี้เท่ากับกุศล ซึ่งมันผิดเพี้ยนไปมาหลายพันปีแล้ว มันก็เลยยาก อาตมานำมารื้อฟื้นจากเป็นงานหนักมาก 50 ปีนี้ ถ้าไม่ใช่โพธิรักษ์โพธิสัตว์ระดับ 7 อาตมาทำงานมา 50 ปีนี้หนักมากเลยนะในตลอด 50 ปีทำงานหนัก แล้วอาตมาร่างกายจะทรุดโทรมกว่านี้อีกเยอะเลย ถ้าไม่ใช่สมณะโพธิรักษ์ แต่อาตมามีอิทธิบาท มีโพชฌงค์ จึงสามารถทำให้ชีวิตอายุ 86 ปีนี้ ยังเต่งตึงอยู่พอสมควร
เอ้า จริง นี่เป็นเรื่องธรรมะนะ อาตมาไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้พูดประโลมใจหรือสนุกๆ แต่เป็นเรื่องจริง อาตมาทำงานหนักมา 50 ปีถ้าเผื่อว่าอาตมาไม่มีโพชฌงค์ ไม่มีโพธิปักขิยธรรม 37 ของพระพุทธเจ้า อาตมาทรุดโทรมกว่านี้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นพลังในการพูด ในการแสดงกายกรรมออกมา จิตมันอาจจะแข็งฟฟแรงเต็มที่ แต่ออกมาไม่ได้แล้ว จะให้แสดง นัจจะ คีตะ วาทิตะ ออกมา
นัจจะ คือท่าทางที่จะแสดงออกมาทั้ง กายวิญญัติ คือเคลื่อนไหวออกมาข้างนอกให้เห็นทั้งหมด กายวิญญัติ มันจะเห็นเลยว่าคนที่ไม่มีแรง มันแก่เป็นคนแก่ อาตมาเห็นว่าอาตมายังไม่ได้แก่ แต่เขาหาว่าอาตมาดิ้น แสดงธรรมไม่สุภาพ
สุภาพคือมันไม่ผิดสัจธรรม ไม่สุภาพมันคือผิดสัจธรรม สุภาพมันคือถูกสัจธรรม ทุภาพ คือ มันผิดสัจธรรม ไม่ใช่ว่าไม่สุภาพคือไม่สงบ ไม่สงบคือนิ่งเฉยๆนั่นคือ ศาสนา มะรื่อทื่อ ศาสนาเดียรถีย์
สุภาพคือไม่ผิดสัจธรรม สุภาพคือภาวะที่ไม่ออกนอกประเทศ นอกเรื่องของพระศาสดา ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ของพระศาสดา ไม่ผิดอาชีวะ 5 ไม่ผิดกัมมันตะ 3 ไม่ผิดวาจา 4 ไม่ผิดสังกัปปะ 3 อย่างนี้เป็นต้น
นั่นคือคำสุภาพ ไม่ได้ไปอ่านตามอาการว่าดิ้นไม่นิ่งไม่สุภาพ โอ้โห เด็กๆจริงๆเลย เรียนศาสนาเด็กๆไม่เข้าเรื่อง อย่างนั้นเป็นความแข็งทื่อ ของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งสุภาพ ยิ่งเข้าหลักธรรมพระพุทธเจ้า กิเลสยิ่งลด ยิ่งเป็นพระอาริยะ ยิ่งเป็น กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา เพราะจิตใจแข็งแรงแคล่วคล่อง มุทุภูตธาตุดี กายกรรม วจีกรรมมโนกรรม เเคล่วคล่องดีเรียกว่า ปาคุญญตา เป็นต้น
สู่แดนธรรมว่า…พ่อท่านเป็นตัวอย่างของสัปปุริสธรรมแบบพุทธ
พ่อครูว่า…พอมิถุนายน 2564 ก็เต็ม 87 ขึ้น 88 แล้ว
ละกามคุณ 5 เข้าสู่สาธารณโภคี
_ปิ่น นาง (จากมาเลเซีย)…กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพเจ้าค่ะ ชื่อพ่อครูตั้งให้ว่า “คำเพียงเพชร” มีคำถามพ่อครูเจ้าค่ะ คือเมื่อสัปดาห์ก่อน ได้สนทนาธรรมกับพี่น้องจิตอาสา ในเรื่องเหลี่ยมมุมของกิเลสเรื่องคนคู่ แล้วมีพี่น้องจิตอาสาท่านหนึ่งพูดถึง คำคมที่พ่อครูเคยเทศน์ไว้ค่ะ …
เรื่อง : ผู้หญิง คือ ถุงขี้ผูกโบว์
ผู้ชาย คือ หนังควายหุ้มขี้
หากพ่อครูสะดวก ขอความเมตตาช่วยขยายธรรมะหมวดนี้ให้ตามสมควรเจ้าค่ะ
และหากจะไปหาฟังธรรมะหัวข้อนี้ ที่พ่อครูเคยเทศน์ไว้ จะเซิร์จ คำว่าอะไรบ้างจึงจะเจอเจ้าคะ เคยเซิร์จ คำว่า “621220 รายการพุทธศาสนาตามภูมิ” ตามข้อมูลที่ทราบมา แต่ไม่เจอเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ สาธุ…
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้เป็นคนบัญญัติ ผู้หญิง คือ ถุงขี้ผูกโบว์ ผู้ชาย คือ หนังควายหุ้มขี้ อาตมาฟังมาก็เห็นว่าดีก็เลยเอามาพูดต่อก็ขอบคุณคนที่พูดไว้ด้วย
_ปิ่น…จะหาธรรมะพ่อครูที่เคยเทศน์ไว้ จะหาคำไหนใน Google ดีคะ
พ่อครูว่า…อาตมากดไม่เป็นเลย เครื่องมือเครื่องใช้พวกนี้
_สู่แดนธรรม…เดี๋ยวผมจะหาคำตอบจากหลวงปู่พิสุทโธ ท่านจะแม่นเรื่องนี้
เรื่องกามกิเลส ผู้หญิงผู้ชายที่จะให้เบื่อหน่ายคลายกำหนัด
พ่อครูว่า…เรื่องคนคู่เรื่องเมถุน เรื่องเพศสัมพันธ์ มันเป็นเรื่องของสัตว์โลก เป็นเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากมากเพราะฉะนั้นอย่าไปกังวลนะเป็นแต่เพียงเราจริงใจ คำว่าอย่ากังวลมากนักก็คืออย่าไปหมกมุ่น หรือว่าปักดิ่งจะเอาเป็นเอาตายมันจะเครียด แต่ให้เข้าใจความสำคัญ ว่าศาสนาพุทธเรานี้ เป็นโลกุตรธรรม คือเป็นศาสนาที่จะไปนิพพาน จะเลิกเล่นแล้วนั้นเพื่อไปนิพพาน
เพราะฉะนั้นในประเด็นเรื่องของ กาม เป็นเบื้องต้น กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา กามเป็นเบื้องต้น คนไม่รู้จักกามเลย กามคือ ภายนอกที่มีทวาร 5 ทั้งภายนอก
กาม หมายถึง กามคุณ 5 ก็คงจะเคยได้ยินกัน กามคุณ ไม่ใช่มี 2 หรือ 3 หรือ 4 ไม่ใช่มี 6 แต่กามคุณมี 5 คือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่จะต้องกระทบกับทางตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะ คือทั้งร่างกายภายนอกทั้งหมดกระทบกับอย่างอื่นอยู่แล้วมันจะเกิดกิเลส เกิดกิเลส
เพราะฉะนั้นต้องเรียนรู้อันนี้เป็นเบื้องต้น เรียนรู้กาม กิเลส เป็นเบื้องต้น แล้วก็ล้างกิเลสที่เป็นเบื้องต้น เราจึงจะศึกษากิเลสที่เหลือ เมื่อหมดกิเลสหรือกิเลสภายนอกมันเบาบางไปเกิน 50% เราถึงจะไปล้างกิเลสภายในได้
เหมือนเราจะเข้าไปถึงใจกลางภูเขา หรือเราจะเข้าไปกินเนื้อในเมล็ดของผลไม้เราก็ต้องฉีกเปลือกออกก่อนแล้วฉีกเนื้อจึงจะเจอเมล็ดที่อยู่ภายในเป็นชั้นๆอย่างนั้น
แต่คนที่ไม่รู้จักความเป็นจริงตามธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้อย่างศาสนาพุทธ ที่ไปนั่งหลับตาเลยเข้าไปภายในเลย ไม่เริ่มต้น กาม ไม่เริ่มต้นที่กายภายนอกแล้วก็ล้างกิเลสออกไปก่อนไปตามลำดับ มันเป็นโมฆะเลย ศาสนาพุทธจึงไม่มีมรรคผลเลย อาตมาก็พูดเรื่องแบบนี้มาก เขาก็ยังไม่กระเตื้องเลย เพราะอาตมาเกิดมาชาตินี้ต้องพิสูจน์ตัวเองว่า อาตมาเกิดมาในชาตินี้ไม่มีเครดิตทางศาสนาเลย ที่มันไม่มีเครดิตเพราะอะไร
เพราะโลกสังคมพุทธมันได้เสื่อมมาก ไม่ใช่ว่าอาตมาไม่มีเครดิตเอง แต่เพราะสังคมมันเสื่อมมากจนไม่รู้ว่าที่อาตมาพูดนี่แหละคือเพชร เพชรของศาสนาพุทธ คือโลกุตระของศาสนาพุทธแต่เขาฟังไม่เป็น เขาหลงไปยึดติดลงไปในทางออกนอกประเทศไปเป็นมิจฉาทิฐิจนสนิทสนมแล้ว แล้วมันก็นาน มันหลงผิดมานานครูบาอาจารย์หลายรุ่นผ่านมาหลายร้อยปีเป็นพันปี ผิดเพี้ยนไปไปยึดถือเอาสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ถูกไปยึดถือเอาเดียรถีย์เป็นเรื่องถูก อาตมาเอาโลกุตระมาประกาศออกไปมาบอกออกไป เขาก็บอกว่า หาว่าอาตมาจะมาทำลายศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเขาคิดว่าเป็นอย่างที่เขายึดถืออยู่อย่างนั้น มันก็เลยยากแต่อาตมาไม่ได้ท้อ รู้ว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ รู้อยู่ว่าอาตมาเกิดมาในชาตินี้จะต้องเอาโลกุตระสถาปนาลงไปในชาวพุทธให้ได้
ถึงวันนี้อาตมาก็มีผลสำเร็จไปไม่โมฆะแล้ว เพราะมีชาวอโศก ชาวไทยที่เห็นว่าต้องมาเอาโลกุตระก็มา จนมาปฏิบัติได้มรรคผลจนกระทั่งเกิดหมู่ชนสาราณียธรรม 6 ที่เป็นเครื่องอ้างอิงยืนยันได้ว่าคนจะต้องได้ทำมาอย่างนี้
สาราณียธรรม 6 คือ มารวมตัวกันอยู่เป็นหมู่กลุ่ม มารวมตัวเป็นสังคมชุมชนเลย เหมือนอย่างชุมชนชาวอโศก มีสาราณียธรรม 6 อยู่กันด้วยเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วข้อที่ 4 คือมีสาธารณโภคี ได้ลาภมาก็เอามารวมไว้กองกลางกินใช้ร่วมกันซึ่งเป็นสาธารณะ ชาวอโศกเป็นเศรษฐกิจระดับสาธารณโภคีเป็นเศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกยังไม่รู้จัก นักเศรษฐศาสตร์ของโลกเลยระดับ Noble Price หรือระดับขนาดไหนก็แล้วแต่ เป็นนักเศรษฐศาสตร์มือหนึ่งชั้นเยี่ยมขนาดไหนก็ยังไม่รู้จักเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นสาราณียธรรม 6 นี้จึงสุดยอด ชาวอโศกปฏิบัติเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าที่อาตมาเอามาอธิบายจนกระทั่งเป็นจริงยืนยันได้ กลุ่มชนชาวอโศกคือพวกมีสาราณียธรรม 6 และมีวรรณะ 9 เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย เป็นคนที่มักน้อย เป็นคนที่สันโดษใจพอ เป็นคนขัดเกลาตนเอง เป็นคนมีศีลเคร่ง ไปตามลำดับได้จริงๆจนเกิดอาการที่น่าเลื่อมใสและเป็นคนไม่สะสม
คนที่ไม่สะสมนี่แหละทำมาหาได้พากเพียรขยันหมั่นเพียร มีผลผลิตมีรายได้แต่ไม่สะสมสะพัดออก เพราะมักน้อยมีน้อยเอาความจนเข้าว่าเป็นหลัก ชีวิตมีวรรณะ 9 แต่ขยันหมั่นเพียรมีวิริยารัมภะ หลัก 9 นี้ คือหลักเศรษฐศาสตร์ที่สูงสุดของมนุษยชาติซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ของโลกยังไม่รู้จัก แม้จะเป็นชาวพุทธแม้จะเป็นชาวไทยชาวพุทธก็เรียนเศรษฐศาสตร์ จบปริญญาเอกก็ยังไม่เข้าใจวรรณะ 9 แม้ว่าจะจบดอกเตอร์ทางศาสนาด้วย มีเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาเอกด้วย ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้
นักเศรษฐศาสตร์ที่บอกว่าทำเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธก็ไม่ได้เข้าใกล้สาธารณโภคีนี้เลย ไปดูเถอะวิทยานิพนธ์หรือว่าวิจัยเล่มใหญ่ๆของนักเศรษฐศาสตร์ปริญญาเอก ระดับเป็นพระก็ตาม หรือจะเป็นฆราวาสก็ตาม ทำเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธเล่มเบ้อเริ่ม ก็ไม่มีสาธารณโภคีไม่เข้าใจยังไม่เข้าใกล้เลยอย่างนี้เป็นต้น
_ สมณะบินบน ถิรจิตโต (จากลานนาอโศก) …เสียงไม่ออกมา…
สู่แดนธรรม…พ่อครูกล่าวอย่างอาภิสวาจามาก แต่ประเทศไทยไม่รู้กัน
สัมมาสติของพระอาริยะเป็นเช่นไร
_สมณะบินบน ถิรจิตโต (จากลานนาอโศก)…ที่ลานนาอโศกวันนี้มีการเผาศพญาติธรรมชาวแพทย์วิถีธรรม ชื่อคุณสนั่น สายหยุด อายุ 70 ปี ได้ขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่ดอยแพงค่ากับอาจารย์หมอเขียว ต่อมามีไข้ลงไปรักษาโรงพยาบาลนครพิงค์ ติดเชื้อในกระแสเลือด เมื่อวันที่ 25 ที่ผ่านมา ไม่ใช่เชื้อโควิด ตอนนี้ที่เชียงใหม่ก็ยังปลอดเชื้อโควิดอยู่ครับ
อยากให้พ่อท่านอธิบายลักษณะของสัมมาสติ
พ่อครูว่า…คำนี้ก็ดีมาก คำว่าสัมมาสติมีอยู่ 2 คำต่อกันคือคำว่า “สัมมา” กับคำว่า “สติ”
สัมมาหมายความว่าอะไร? คำนี้น่าจะเข้าใจกันไม่น่าจะยาก สัมมาคู่กับคำว่ามิจฉา มิจฉาแปลว่าผิดคำสอนพระพุทธเจ้า สัมมาแปลว่า ถูกคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้มันจำเพาะลงไปอย่างนั้น ไม่ใช่คำว่ามิจฉาก็ผิดไปหมดเลย แบบผิดกฎหมาย ผิดวัฒนธรรมผิดอะไรเป็นมิจฉามันไม่ใช่ มิจฉานี่คือผิดคำสอนพระพุทธเจ้า สัมมานี้คือถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้า เอาให้ชัดเจนต้องนิยามให้ชัด
ทีนี้คำว่าสติ สติคือการรู้ตัวทั่วพร้อม เขาแปลตามพยัญชนะภาษาไทยว่าอย่างนี้ รู้ว่าตัวเองมีความตื่นเต็ม มีความรู้ตัวตื่นเต็ม ลืมตาหูจมูกลิ้นกายใจตื่นเต็มทุกๆทวาร รับรู้อะไรต่างๆนานาเป็นปกติของชีวิตตื่นเต็มชาคริยา ชาคริยาแปลว่าผู้ตื่น ตื่นเต็มถ้าใครไม่ตื่นเต็มซึมๆ เซื่องๆ อย่างที่ไปนั่งหลับตาแล้วอยู่นิ่งสะกดจิตให้นิ่งๆอันนั้นมันนอกจากการสร้างชาคริยานุโยคะ นอกจากการทำตัวให้ตื่น เพราะฉะนั้นจะมีสติเต็มไม่ได้ การหลับตาปฏิบัติจึงโมฆะจากศาสนาพระพุทธเจ้า แม้แต่สติก็ไม่เต็มคือ อปัณกปฏิปทา 3 ต้องปฏิบัติให้สติเต็มตื่น ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตื่นกับการพัฒนาทางทวาร 5 ภายนอก และมีจิตร่วมกับทวาร 5 ภายนอก มีปสาทรูป โคจรูป ทำตามวิสัย ก็จะมีนามธรรม เข้าไปร่วม ร่วมกับการโคจระ โคจร คือ เกิดการดำเนินบทบาทขึ้น
ประสาทตาหูจมูกลิ้นกาย ทำงาน โคจระ ก็จะเกิดวิสัย วิสยรูป เกิดรูป ที่ตัวเองมีรูปโดยมีนามเป็นผู้รู้ แล้วก็มีสิ่งที่ถูกรู้ ทางตาหูจมูกลิ้นกายอย่างชัดเจน เต็มไม่เบลอ ไม่เลือนลางเลอะเทอะ คม แม่นชัด เต็ม ตามวาระ มีตามสถานะของแต่ละคน รู้จักเวทนา 108 นั่นก็ยิ่งดีใหญ่ เป็นคนที่ปฏิบัติธรรมมีโลกุตระควรจะทำแยกเนกขัมมะกับเคหสิตะ 18 ได้ผล ทำงานสำเร็จเป็นอุเบกขา 7 ทำงานเป็น ปริโยธาตา สะอาดขึ้นเรื่อยๆ จิตมุทุภูเต ทำกรรม กายวาจาใจเหมาะควรมากยิ่งขึ้นจิตใจยิ่งประภัสสรยิ่งผ่องใส ยิ่งยินดี สะอาดบริสุทธิ์ ยิ่งเบิกบานร่าเริง เหมือนอย่างอาตมาเป็นจิตประภัสสรอยู่ตลอดเวลา ร่าเริงเบิกบานผ่องใสอยู่ตลอดเวลา อาตมา มันไม่มีความเศร้าหมอง อโศกะอย่างแท้จริงไม่มีหมอง มีแต่จิตประภัสสร สว่างสะอาด สงบเรียบร้อย
อาตมาสุภาพที่สุดและคนพาซื่อบอกว่า อาตมาดิ้น มีมือไม้ปากคอเนื้อตัวพูดคล็อกๆๆ นี่แหละคือคนมีกายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา มีองค์ประกอบของกายวาจาใจคล่องแคล่วปราดเปรียว
โดยเฉพาะไม่มีมิจฉาในการพูดเช่นมิจฉา 4 ไม่มีมิจฉาในการกระทำทั้งหมดกัมมันตะ เป็นต้น ไม่มีปาณาติบาต ไม่มี กาเมสุมิจฉาจาร พูดไปด้วยจิตสะอาดหมด
เรื่องอทินนาทาน ก็ไม่มีการทุจริตอะไรอยู่ในการให้การรับ อทินนาทาน ไม่มีทุจริตหยาบกลางละเอียด ปาณาติบาต อย่าว่าแต่ฆ่าหรือเบียดเบียนสัตว์ มีแต่จิตปรารถนาดีต่อสัตว์โลกทั้งหมดเลย มีความเอ็นดูปรารถนาดี มีความหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่จริงๆ เต็มรูปของพ้นปาณาติบาต
นี่คือธรรมะพระพุทธเจ้าที่อาตมาอธิบายย่ออย่างสั้นสังเขป ตามหัวข้อธรรมเอามาขยายความ ถ้าผู้ที่ฟังเป็นจะรู้ว่า อาตมานี้พูดภาษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ชัด คมแม่น ทุกคำ ทุกความ ทุกปริเฉท ทุกบริบท ฟังให้ดีๆธรรมะพระพุทธเจ้า ขอขยายความและสรุปอีกทีว่า
พระพุทธเจ้านี้เกิดมาเพื่อที่จะทำให้คนได้ธรรมะเป็นพุทธธรรม ที่สุดยอดแห่งชีวิต เพราะฉะนั้นกรอบสุดยอดของชีวิตที่คนควรได้คือ เป็นพระอรหันต์ จากพระอรหันต์ จะเจริญต่อไปจนสุดยอดเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างที่อาตมาเป็นโพธิสัตว์นั่นคือสุดยอดอีกระดับหนึ่ง สุดยอดระดับเป็นอรหันต์ให้ได้ ต่างกันอย่างไรกับโพธิสัตว์ กับพระอรหันต์
โพธิสัตว์นั้นสุดยอดคือจะต้องสร้างศาสนามาให้แก่โลกเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งของศาสนา ส่วนพระอรหันต์ก็เอาแต่ตัวเองให้รู้จักว่ากิเลสหมดดับกิเลสตายไปเป็นแยกธาตุเป็นอุตุนิยาม ไม่มีอะไรเหลือที่จะเกิดอีกเลยไม่มีชีวะอีกเลยได้ นั่นคืออรหันต์ทุกองค์ อย่างนี้เป็นต้น
สรุปแล้วสุดยอดของการศึกษาในความเป็นมนุษย์ที่เกิดมาเป็นมนุษย์จนกระทั่งตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานเป็นสัตว์เซลล์เดียวจนมาเป็นมนุษย์ มนุษย์ก็จะวนเวียนโคจรในโลกียอีกนานกว่าจะมาพบโลกุตระ กว่าจะมาพบโลกุตระว่าจะเป็นคนนั้นสุดยอดขนาดไหนเมื่อเป็นพระอรหันต์นั้นถือว่ายอดแล้วจะเป็นสุดยอดต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อยู่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อโลก พระโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้าจะสร้างความเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุดให้แก่ความเป็นมนุษย์ในโลก จะเกิดอีกกี่ชาติต่อกี่ชาติเป็นล้านล้านชาติ เกิดมาเป็นคนจึงมีประโยชน์ที่สุด โพธิสัตว์นั้นกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าก็อีกไม่รู้กี่ล้านชาติ
คุณลักษณะ 12 ของ พระอรหันต์ผู้มีอิสระยิ่ง
-
เป็นคนหมดทุกข์ (ดับทุกข์อริยสัจ) คำนี้เป็นคำยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธเป็นอริยสัจคือความจริง เป็นสัจจะของผู้ประเสริฐสุด เป็นอริยะแท้ๆ ถ้าผู้ที่ไม่ใช่เป็นอารยะแท้ๆจะไม่เห็นว่าการมาเรียนรู้ทุกข์ แล้วก็ดับทุกข์ให้ได้ จะไม่เห็นอันนี้เป็นสุดยอดของความเป็นมนุษย์ ศาสนาโลกียะทั้งหมด ไม่รู้จักเรื่องทุกข์เรื่องสุข ไปรู้จักแต่เรื่องดีเรื่องชั่วสอนกันแต่ดีแต่ชั่ว ให้ทำดีทำดีทำดีและละชั่วประพฤติดีทำใจให้ผ่องใส ความผ่องใสก็แค่รู้ดีรู้ชั่วยังไม่เป็นโลกุตระ ทาผ่องใสนั่นคือรู้จักอเลสแล้วดับกิเลสหมด แล้วจิตไม่มีบาปเลยบุญก็ไม่มีเรียกว่า สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง ไม่มีบาปทั้งปวง บุญก็ไม่ต้องทำแล้ว จบ ทำกรรมกิริยาอยู่ก็มีแต่ กุสลัสสูปสัมปทา กรรมกิริยาของพระอรหันต์ต่อไปมีแต่กุศลถ่ายเดียว ไม่มีบุญไม่มีบาป ปุญญปาปปริกขีโณ
พระอรหันต์ทุกองค์ดับทุกข์ดับสุขหมด ความทุกข์ความสุขเป็นเทวดาเป็นคู่แยกไม่ออก มีทุกข์ต้องมีสุข มีสุขต้องมีทุกข์ เพราะฉะนั้นพวกเทวนิยมนี้เป็นสุขนิยมยังติดความสุขอยู่ ตายแล้วก็ไปอยู่สวรรค์ ความสุขคือสวรรค์อยู่กับพระเจ้านิรันดรนั่นคือศาสนาไม่มีนิพพาน ศาสนาไม่ดับเทวะ ไม่ดับทุกข์ดับสุขนั่นคือข้อที่ 1 พระอรหันต์จะรู้
-
เป็นคนไม่มีภัย ผู้จบอรหันต์แล้วไม่มีโทษภัยอะไรในโลกอยู่กับสังคมได้โดยไม่มีอกุศลเลย อกุศลทางกายกรรม วจีกรรมไม่มี เพราะจิตใจไม่มีอกุศลแล้วจริง แต่อาจจะย้อนแย้งกับโลก พูดอีกครั้งหนึ่ง อาจจะย้อนแย้งกับโลกสำหรับพระอรหันต์ เพราะว่าโลกเขาติดยึดแบบโลกๆ ติดในสมมุติ แต่พระอรหันต์ไม่ได้ไปตามใจสมมุติ ไม่ได้ติดชุดไหนสมมุติอนุโลมปฏิโลมเท่านั้น แล้วก็ทวนกระแสสังคมโลกด้วยสำหรับพระอรหันต์แต่ไม่ใช่ภัย เป็นคนที่มีภูมิธรรมดึงคนออกมาจากความไม่เป็นอารยะให้มาเป็นความเป็นอาริยะ
-
เป็นคนมีคุณค่า คนจะเป็นคุณค่าก็คือเป็นพระอรหันต์นี่แหละเป็นพระโสดาบันก็มีคุณค่าพระสกิทาคามีก็เริ่มสูงขึ้น พระอนาคามีก็เริ่มสูงขึ้นยิ่ง พระอรหันต์ก็ยิ่งมีคุณค่ารู้จักโลกรู้จักอัตตาเต็ม รู้จักโลกาธิปไตย รู้จักอัตตาธิปไตย และรู้จักธรรมาธิปไตย จึงเอาธรรมะทำงานอยู่กับโลก ทำงานอยู่กับอัตตาของคนอื่น ส่วนพระอรหันต์นั้นไม่มีอัตตาแล้ว เพราะฉะนั้นจึงทำงานมีแต่คุณค่า นอกจากไม่มีภัยแล้วจึงมีกรรมการงานกัมมันยา กรรมมีความเหมาะควรทั้งนั้นเลย ในกรรมกริยาของพระอรหันต์ที่ทำกับโลก เป็นคนมีคุณค่า
-
เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว ตนไม่มีแล้ว กิเลสไม่มีตัวตนไม่มี ไม่เพื่อตัวเองเลย หมดตัวตนจริง ฟังให้ดีนะ ลักษณะ 12 ของพระอรหันต์มีอิสระเต็มที่แล้วก็มีคุณสมบัติ 12 ประการนี้ อันนี้อาตมาเองเป็นผู้เรียบเรียงออกมา ไม่มีในพระไตรปิฎก
เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว ตนเองไม่ได้ทำประโยชน์เพื่อตัวเองเพราะประโยชน์ตนเองคือกิเลสหมด ศาสนาพระพุทธเจ้าประโยชน์ตนคืออะไรก็คือกิเลสหมด หมดกิเลสแล้วหมดประโยชน์ตนเอง มีแต่ประโยชน์ท่านทั้งนั้นเลยทีนี้ พระอรหันต์จึงคือผู้ที่ไม่มีประโยชน์ต่อตนเองแล้ว มีแต่ประโยชน์เพื่อผู้อื่นเท่านั้น
-
เป็นคนไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง อันนี้เป็นศัพท์กลางๆสามัญทั่วไป แม้หยาบกลางละเอียดไม่มีเลย แม้แต่ละเอียดธุลีละอองก็หมด
-
เป็นคนมีเมตตาจริง เมตตานี้ลึกซึ้ง คนนี่เอาคำว่าเมตตาไปใช้ตีกิน ที่จริงแล้วไม่ได้เมตตาอะไรหรอก เป็นคนมีแต่ขี้ตาไม่มีเมตตาหรอก
เมตตาคือคนที่จะต้องเป็นคนไม่มีภัย แต่เป็นคนมีคุณค่าทำประโยชน์ต่อผู้อื่น เมตตาคือต้องการให้คนพ้นทุกข์ไม่เป็นโลกียสุข คือ ต้องการ ไปพบกับใคร ก็ต้องการให้เขาไม่ต้องมีทุกข์มีสุข พ้นทุกข์พ้นสุข นี่คือข้อที่ 1 ของเมตตา
ข้อ 2 มีกรุณา ก็ลงมือช่วย ลงมือทำเพื่อให้เขาพ้นทุกข์ และไม่มีสุข ไม่ติดสุข ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เรียกว่าอุเบกขาเรียกว่า อทุกขมสุข พอช่วยเขาได้ กรุณาคือลงมือช่วย ช่วยเขาได้ผลสำเร็จ ก็มีจิตมุทิตา
มุทิตาคือจิตก็อนุโมทนาด้วยให้เขาพ้นทุกข์พ้นสุขเป็นอรหันตผล เมื่อเขาบรรลุแล้วเราก็มีจิตมุทิตาจิตก็ยินดีด้วยที่คุณพ้นทุกข์พ้นสุข
ข้อที่ 4 คืออุเบกขาทำเสร็จแล้วก็ปล่อยวาง จิตก็บริสุทธิ์ไม่ต้องไปติดอยู่ในคุณธรรมหรือคุณค่าที่เราทำกับคนอื่นที่เขาได้ผลดี หรือไปหลงติดในความยินดีที่ตนเองได้ช่วยเขา เป็นปีติเป็นปราโมทย์อะไรอยู่ไม่ต้องไปติดยึด จบเป็นจบ รู้แล้วเป็นแล้วสำเร็จแล้วก็จบไป จึงเป็นอุเบกขาสมบูรณ์แบบ
สู่แดนธรรม…ผมเคยเห็นลีลาเมตตาของพ่อท่าน เป็นสิริมหามายา หากลูกบางคนดื้อมากก็สอนด้วยสิริมหามายา
พ่อครูว่า…เมื่อไม่นานมานี้อาตมาก็ใส่ด้วยฝ่ามืออรหันต์อยู่
สู่แดนธรรม…หากคนมีอัตตาก็จะหาว่า พ่อท่านเป็นคนไร้เมตตา
พ่อครูว่า…เช่น อาตมาพูดว่าพวกนั่งหลับตาเขาก็หาว่าไปว่าเขาทำไม อาตมารู้แล้วแบบนั้นน่ะจะไปปฏิบัติทำไม แต่จะช่วยคนอื่นอาตมาเป็นโพธิสัตว์มาเป็นล้านชาติแล้ว เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7
สู่แดนธรรมว่า…พ่อครูว่า ด่าเอาบุญ
พ่อครูว่า…ด่าแล้วขัดเกลากิเลสเรียกว่าเอาด่าเอาบุญ
-
เป็นคนมีอุเบกขาจริงแท้… สำคัญมากนะ อุเบกขาคือฐานของนิพพาน จิตที่มีอุเบกขาก็เริ่มต้นทำจิตอุเบกขาได้ คุณต้องรู้เวทนา เคหสิตเวทนาก็ทำให้เป็นเนกขัมสิตเวทนา
สุขเวทนาก็ดี ทุกขเวทนาก็ดี มันเป็นอาการของจิต ภายนอกทั้งหมด คุณก็จิดไม่อยากอยู่ หมดแล้วทำให้ไม่ติดความทุกข์ความสุขภายนอกก็เหลือภายในเรียกว่าโทมนัส โสมนัส มันก็ยังติดอยู่ลึกภายในเป็นรูปภพ อรูปภพ คุณก็ล้างอีกให้เป็นอุเบกขา นี่คืออินทรีย์ 5 ของเวทนา ทุกข์สุข โสมมนัส โทมมนัส แล้วก็อุเบกขา ล้างได้
ฐานอุเบกขาคือ จิตสะอาดจากกิเลส คุณทำได้ชั่วคราวก็ได้ ปฏิบัติได้ชั่วคราวเรียกว่า ผู้ที่ยังไม่รู้ก็เอาแต่ ข่ม วิกขัมภนปหาน ผู้ที่รู้วิธีของพระพุทธเจ้าก็ทำให้เป็นอุเบกขาได้อย่างวิปัสสนาได้อย่างสัมมาทิฏฐิ อย่างที่ตาลืมมีสัมผัสกระทบใจก็รู้อยู่ ทำจิตให้เป็นกลางไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่ผลักไม่ดูด ไม่ชอบไม่ชัง ได้กลางๆ ไม่มีความเป็น 2 มีความเป็นกลางๆเรียกว่าอุเบกขา มีความสะอาดชั่วคราวก็ตาม ข่มนั้นมันไม่ค่อยรู้เรื่องแต่คนทำได้เรียกว่า วิกขัมภนวิมุตติฐาน
ตทังคปาน คือปหานได้เป็นครั้งเป็นคราวจนเก่งขึ้นๆ จนเด็ดขาดเรียกว่า สมุจเฉทปหาน พอทำได้เก่งขั้นไปอีก ทำสลับไปสลับมามีเหตุปัจจัยกระแทกกระทบกระเทือนเก่งขึ้นเป็น ปฏิปัสสัทธิปหาน จนเด็ดขาดเลย นิสรณปหาน คือ ไม่ต้องไปทำอะไรอีกเป็นไปโดยอัตโนมัติติดตัวเป็นที่พึ่งได้เลยเป็นนิสรณะโดยไม่ต้องทำไม่ต้องฝึกแล้วหรือยังฝึกอยู่ยังไม่คล่องแคล่วก็ทำให้มันสมบูรณ์ด้วย นิสรณปหาน ทำให้สมบูรณ์แบบด้วยปหาน 5
อาตมาอธิบายโดยสภาวะที่อาตมามีเป็นอยู่รู้อยู่ไม่ได้เรียงลำดับเอาภาษาตำรามาพูดอธิบายทีเดียว มันก็จะไม่เหมือนทีเดียวแต่เนื้อหาสาระฟังให้ดี อาตมาสภาวะเป็นหลัก
-
เป็นคนไม่ทำบาปแล้ว คนที่ไม่ทำบาปแล้วคือคนสิ้นบุญแล้ว เพราะบุญมีหน้าที่ล้างกำจัดให้จิตไม่เกิดบาป เพราะฉะนั้นบาปไม่เกิดอีกแล้ว อดีตแล้วไปอดีตมันผ่านไปแล้วอดีตมันเคยมีบาปก็เรื่องของอดีต แต่ปัจจุบันผู้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ารู้จักกิเลสว่าเป็นบาปเป็นอกุศล เกิดจากความโง่เป็นอวิชชา เกิดสัมผัสและเกิดจิตเป็นอกุศลหยาบกลางละเอียดก็แล้วแต่ ก็กำจัดไม่ให้มีบาปเกิด กระทบสัมผัสอย่างไรก็ไม่มีบาปเกิด เมื่อหมดบาปไม่เกิดอีก สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง กรรมทุกกรรมก็มีแต่กุศล ท่านจึงใช้คำ 2 คำ คำว่าหมดบาป ส่วนอันที่สองก็ไม่ใช้คำว่าทำแต่บุญ ไม่ใช่ ใช้คำว่าทำแต่กุศล อันที่เป็นบาปนั้นคืออกุศล แต่จริงๆมันเป็นกิเลส บาปกับอกุศลต่างกันคือ กุศลเป็นเรื่องของโลกีย อกุศลก็เป็นภาษาโลกียไม่ดี แต่บาปนั้นคือมันประกอบด้วยกิเลส เพราะฉะนั้นเมื่อทำกิเลสหมดแล้วหมดบาป หมดบาปแล้วก็หมดบุญ เพราะว่าบุญคือการชำระบาป เมื่อไม่มีบาปให้ชำระ บุญก็ไม่ต้องเกิด เพราะฉะนั้นการที่จะทำต่อไปอีกก็มีแต่กุศลไม่มีบุญไม่มีบาป ปุญญปาปปริกขีโณ นี่คือธรรมะของอรหันต์ ในข้อไม่มีบาป
-
เป็นคนทำแต่กุศล ธรรมของพระอรหันต์ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ ทำกรรมทุกกรรม ก็มีแต่กุศล กุสลัสสูปสัมปทา
10.เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้ว ไม่มีประโยชน์ตนที่ต้องทำให้ตนอีกแล้ว คนผู้นี้เป็นคนหมดตัวตนไม่มีประโยชน์ตน อรหันต์นี้หมดตัวตนหมดประโยชน์ตัวตน เพราะมันครบแล้วจบแล้วหมดสิ้นแล้วไม่มีประโยชน์ตนที่ต้องทำให้ตนอีกแล้ว
-
เป็นคนรู้จักสวรรค์ นรก นิพพาน ถูกถ้วน เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นอรหันต์ผู้ที่หมดประโยชน์ตนครบแล้ว จึงเป็นผู้ที่ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก มีแต่นิพพาน เข้าใจนิพพานเข้าใจสวรรค์ เข้าใจนรก ศาสนาเทวนิยมทั้งหลายแหล่ไม่รู้จักนิพพาน และหลงสวรรค์ สวรรค์กับนรกแยกกันไม่ออกเป็นเทวะ แยกคำกว่าเทวะ ที่แปลว่า 2 ไม่ได้เพราะฉะนั้นคุณก็ติดสวรรค์ คุณจึงคือสวรรค์สุขนิยม จะต้องอยู่สวรรค์ เพราะฉะนั้นไม่มีนิพพานไม่มีศูนย์ อยู่กับอัตภาพอัตตา อาตมันนิรันดร นี่คือผู้ที่เป็นอรหันต์จะรู้จักสวรรค์ รู้จักนรกรู้จักนิพพานถ้วน แล้วปฏิบัติไม่ผ่าน แม้แต่นิพพานก็ไม่ได้ยึดถือเป็นเราเป็นของเราสุดท้ายปรินิพพานเป็นปริโยสานก็สูญหายไปเลยไม่มีอะไรเลย ถึงสุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อปณิหิตนิพพาน
-
เป็นคนรู้จักและมีนิพพานสัมบูรณ์ คำว่าสัมบูรณ์หมายความว่า มันเต็มอย่างบริบูรณ์ ยิ่งกว่าบริบูรณ์ บริบูรณ์แปลว่าเต็มรอบ ปริ แปลว่ารอบ บริบูรณ์เต็มตามรอบ