640319_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พ้นความโง่อวิชชากับปฏิจจสมุปบาท
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1N_ki3CBvNpnYcZGwth35G6aXRk-9ET953UAIlI4XZ-Q/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1kFEeEYvat0gYhiC3KrGxUKenoVk_k_h4/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/zvCDAyEjUOY
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อครูเพิ่งเดินทางกลับจากสันติอโศก เมื่อเช้าเพิ่งได้บอกกับชาวสันตินาครว่า การเดินทางของพ่อครูในทางไกลนั้นเริ่มลำบาก แลกกับความทรมานของร่างกายไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ ก็ให้ญาติธรรมติดตามทางออนไลน์ก็แล้วกัน ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่เดินทางไกล แต่ก็ไปแต่ละครั้งก็มีเรื่องจำเป็น ครั้งที่แล้วก็พระน้องชายเสียชีวิต ครั้งนี้ก็สิกขมาตุเสียชีวิต
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันปลุกเสกฯ ที่ประชุมก็ให้มีการสอบจากที่พ่อครูเทศน์ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม เป็นต้นไป ข้อสอบเน้นความเข้าใจการปฏิบัติมากกว่าความจำ ที่สำคัญให้เราเข้าถึงการปฏิบัติด้วย เช่นถามว่า คุณมีวรรณะ 9 อย่างไร..บางคนไปทบทวนก็พบว่า มีข้าวของที่ตนเองต้องเอาออกไปได้อีกเยอะเลย
พ่อครูว่า…ก่อนอื่นขอพูดให้ธรรมทัศน์สมาคม ที่ในภาวะโควิด ต้องปิดร้านไปนานพอสมควร ทางร้านก็เลยสร้างร้านค้าในเพจ ชื่อว่า อโศกอักษร ทางเฟสบุค เพื่อโฆษณาขายหนังสือทางอินเตอร์เน็ต ก็เลยขอเชิญชวนญาติธรรมเข้าไปดูหน่อย โดยพิมพ์ค้นหาในเฟสบุค คำว่า “อโศกอักษร” มีหนังสือธรรมะที่เขียนโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์และนักเขียนท่านอื่นๆ บทกวีธรรมะหนังสือธรรมชาติมีทั้งของดอกเตอร์ใจเพชร ผู้สนใจซื้อหนังสือของพ่อครูและอาจารย์หมอเขียวก็เข้า Facebook นี่แหละ “อโศกอักษร” พิเศษอยากประชาสัมพันธ์ในงานอโศกรำลึกว่า มี เป็นหนังสือเล่มใหญ่ที่สุดของพ่อครูคือหนังสือทางเอกภาค 1 ภาค 2 ภาค 3 เป็นเล่มที่อาตมายังไม่ประสีประสาในเรื่องพยัญชนะ มีแต่สภาวะ จึงใช้พยัญชนะ
อะไรที่ใส่เข้าไปเรื่อย ก็เลยมีพยัญชนะที่สับสน ผิดสมมุติเขาไปเรื่อย ก็เลยโดนท่านประยุทธ์ปยุตโตเขียนหนังสือว่ามา ว่า อาตมาอวดดี แสดงภูมิโดยเอาสภาวะมาสื่อ
ตอนหลังมีคนจะให้แก้ไขพยัญชนะในหนังสือทางเอก อาตมาก็ว่าเสียเวลาและ อาตมาก็ว่า มันไม่น่าจะต้องไปเสียเวลา เอาทิ้งไว้ให้ขายขี้หน้าตัวเอง ให้คนอื่นรับรู้ด้วยว่า เขาจับผิดได้นะ ก็เลยปล่อยไว้ อย่างนั้น อาตมาเขียนหนังสือเล่มใหม่ๆอีกเยอะแยะ
อาตมาก็ให้เขารวบรวมดู รวม กว่า 100 เรื่อง หลายเรื่องพิมพ์หลายครั้ง บางเรื่องพิมพ์เกิน 10 ครั้งก็มี แต่ละเรื่องพิมพ์ก็จำนวน เป็นพัน เป็นแสน หลายแสนก็มี แล้วเล่มที่พิมพ์หลายแสนเป็นเรื่องการเมือง ตอนออกไปชุมนุมประท้วงเขียนหนังสือเรื่องการเมือง พ.ศ.. 2551 – พ.ศ. 2554 พิมพ์ออกมาหลายแสนเล่ม ลอกคราบการเมืองใหม่ วิถีธรรมในสังคมใหม่ เปลี่ยนแปลงไม่ได้การเมืองใหม่ไม่เกิด นัยยะที่เราคิด(ใช้นามปากกา จริงใจตามภูมิ) ปาฏิหาริย์การเมืองไทย รวมแล้วหลายแสนเล่ม
อาตมาก็ได้ร่วมชุมนุมการเมืองมาไม่ใช่ธรรมดา ซึ่งคนเขาบอกว่าอย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมืองซึ่งเป็นความคิดที่อาตมาว่าวิปลาส เป็นความคิดของคนขี้โกงที่พูดอย่างนี้ เพราะธรรมะคือความถูกต้อง ความดีงามเรียบร้อยทุกอย่างความประเสริฐทุกอย่าง ส่วนนักการเมืองนี้ คารมของนักการเมืองก็เห็นลิ้นไก่แล้ว พูดตื้นๆแค่นี้ ซึ่งธรรมะคือความจริงความถูกต้องเขาก็กันเอาความจริงความถูกต้องออกจากการเมืองก็เห็นลิ้นไก่ของนักการเมืองชัดๆ เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงเชื่อ ใครจะเข้าใจตื้นๆว่า การเมืองอย่าเอาธรรมะมาวุ่นวาย โดยเฉพาะนักธรรมะที่แท้ แน่นอนถ้าเอานักธรรมะอ่อน ๆไม่มีแรง ไม่มีสมรรถนะความสามารถก็จะถูกนักการเมืองเอาไปปั่นหัวเป็นมวลก็ถูก แต่นักธรรมะที่แข็งแรงจริงๆแล้วอย่างอาตมานี้รู้ดี อย่างท่านพุทธทาสหรือคานธีก็บอกว่า ต้องเอาธรรมะไปสู่การเมือง สถาปนาเข้าไปในการเมือง อาตมาเอาธรรมะเข้าไปในการเมืองเลย มั่นใจว่าทำถูก
การเมืองคือการทำงานเพื่อมวลประชาชน ธรรมะคืองานที่ทำกับมวลประชาชน มันอันเดียวกัน มันเป็นความปรารถนาดี ต่อมวลประชาชนเหมือนกัน อัตตาตัวตนน้อย ความขี้โกงทุจริตน้อย มันก็เป็นนักการเมืองที่ดี เราทำเพื่อประโยชน์ประชาชนก็ไม่มีปัญหา อย่างนี้เป็นต้น
SMS วันที่ 17-18 มี.ค. 2564
ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนถูกหรือคนผิด
_เจนบุญ จน : กราบ นมัสการ พ่อท่านฯ ครับ ถ้าเรามองเห็นตามความเป็นจริงแล้ว ไม่เข้าข้างใดเลย อย่างงี้ได้มั้ยครับ / ถ้าเราเข้าใจว่า ใครทำถูก ใครทำไม่ถูก แล้วถ้าจิตเราไม่ผลัก ไม่ดูด เป็นกลาง ๆ วางใจได้เลยครับ
พ่อครูว่า…ได้ ขอให้เป็นจริง แต่ให้ดีกว่านั้น ถ้าเห็นความจริงตามความเป็นจริง ถ้าเราเข้าใจว่าใครถูกใครทำไม่ถูก แล้วถ้าจิตเราไม่ผลักไม่ดูด เป็นกลางๆวางใจได้เลยไหม? ได้
แต่ เป็นคนที่ยังโง่ เพราะความฉลาดนั้น คนที่ถูกต้องควรชนะ เราควรเข้ากับคนที่ชนะเสริมให้ความถูกต้องชนะใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราควรจะต้องไปสมทบกับกำลังของความถูกต้องใช่ไหม นี่ฉลาดหรือโง่ ..ฉลาด
คนที่เข้าใจว่าอันนี้ถูกอันนี้ผิดแต่เราอยู่กลางๆดีกว่า อย่าไปรบกัน อะไรโง่กว่ากันอะไรฉลาดกว่ากัน รู้ดีแต่เข้าข้างคนถูกกลับไม่เข้าข้างคนถูก อันไหนดีกว่ากัน ก็คือเข้าข้างคนถูกมีน้ำหนักมีความประเสริฐกว่า เข้าข้างคนไม่ถูกอันนี้พวกเราพิพากษาแล้วว่าโง่กว่า อันนี้เป็นเรื่องจริง
อาตมาเคยพูดแยกแยะไว้ชัดเจน เรื่องความเป็นกลางเข้าข้างคนดีหรือเข้าข้างคนไม่ดี มีอยู่ 3 ประเภท
-
โง่ ไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก
-
กลัว จะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสียตำแหน่ง เสียหน้า
-
เห็นผิด คิดว่า เป็นกลางแล้วไม่ควรไปอยู่กับฝ่ายไหน
ข้อ 3 นี้ไปถูกครอบงำความคิดมา ใครถูกใครผิดรู้แต่ว่าก็ไม่เข้าข้างใคร เป็นกลางๆงอันนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิและก็ยังโง่อยู่นั่นเอง นี่คือ อาตมาจำได้ เขียนรายงานที่ไปชุมนุมเป็นหนังสือเล่มเขียวเล็กๆ พิมพ์แจกเป็นแสนเล่ม โดยเฉพาะ 3 ประเด็นนี้
ที่ถูกต้องความเป็นกลางต้องเข้าข้างความดีความถูกต้อง สมทบความดีให้มีอำนาจ ให้มีกำลัง คนยิ่งมีฐานะทางสังคม ยิ่งมีตำแหน่งหน้าที่ได้รับการยอมรับทางสังคมสูงๆ ยิ่งมีพลัง ยิ่งควรเข้าข้างคนดีคนถูกให้มาก คนที่ได้รับความนิยมชมชอบทางสังคมมากแล้ว ถ้านิยมชมชอบความถูกต้องจริง ท่านจะเข้าข้างคนถูกต้องคนจริง เพราะท่านเป็นคนจริงคนถูกต้อง แต่ถ้าท่านไม่จริงไม่ถูกต้องก็จะไม่เข้าข้างคนดี ไม่เข้าข้างคนถูก มันก็เป็นของท่านถูกแล้ว เพราะความฉลาดของท่านยังไม่มีมากพอ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
ส่วน มวล ประชาชนใครจะเห็นอะไรเป็นธรรมวาที หรืออธรรมวาที ก็เป็นส่วนตัวแล้ว ตัวใครตัวมัน เราไปบังคับไม่ได้ก็ต้องจบอยู่ที่ตัวของใครเอง ต้องฉลาดรู้จักศึกษาให้ดีๆ
_0015 : มองอดีตสมณะดาวดินร่วมเดินทะลุฟ้ากับไผ่ ดาวดิน แล้ว เข้าใจความเห็นต่าง แต่การกระทำของท่านดาวดินครั้งนี้จะส่งผลต่อองค์กรชาวอโศกหรือไม่อย่างไรครับ
พ่อครูว่า…ไม่เห็นมีผลอะไรเลย อาตมาว่ามันเล็กน้อย มันมีคนเดียวแหกคอกไป ตามความเชื่อของตนเอง แม่ก็ยังน้ำตาไหลอยู่ในชาวอโศกอยู่เลย ไม่รู้จะทำอย่างไรห้ามไม่ได้เขาก็ไปของเขา เขาโตแล้วอายุ 40-50 ปีแล้ว ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็เอาก็ว่าไป ก็ปล่อยไป เพราะว่าคนเราก็เป็นไปตามอำนาจของโลก กว่ามันจะลงตัว ก็ต้องเป็นไปตามนั้นแหละ
_พลอยไพร ชาวหินฟ้า : ฟังพ่อครูบอกว่าถ้ามีเวลามากกว่านี้จะทำงานใช้แรงงานและเก็บรายละเอียดกว่านี้อีก ลูกได้ยินน้ำตาไหล กราบนิมนต์พ่อครูสอนธรรมะนั่นแหละค่ะ ลูกและลูกๆจะพยายามใช้แรงงานแทนเจ้าค่ะ
มีปัญญาเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี
_เดชา อำพร : “เข้าข้างคนดี”(“เตะเข้าประตูตัวเอง”อีกแล้ว) ยังไม่เห็นด้วยนะ”ท่านถักบุญ”ครับ โลกนี้,สังคมนี้ มีคนไม่ดีมากกว่าคนดี(คนดีมีเป็นส่วนน้อยๆ แล้วก็ยังไม่ชัด อยู่แบบแฝงๆซะเป็นส่วนมาก เลยไม่รู้ชัดว่าใครเป็นคนดีบ้าง)
เมื่อไปพูดว่า”เข้าข้างคนดี” ก็เท่ากับกำลังแสดงตัวเป็นศัตรูหรือคู่ขัดแย้งกับฝ่าย”คนที่ไม่ค่อยดี” ใช่หรือไม่? แล้วท่านบอกจะทำประโยชน์เพื่อพหุชน ใช่หรือไม่? แต่ไฉนจึงกลับแสดงตัว,ทำตัวเป็นศัตรูกับพหุชน เช่นนั้นเล่า? เมื่อท่านแสดงตัวรังเกียจ,ผลักใส,ไม่วางตัวเป็นกลาง,เพื่อเอื้อเฟื้อกับทุกฝ่าย แต่”ถือหางกับบางฝ่าย” โดยสรุปว่าฝ่ายที่ท่าน”ถือหาง”หรือ”เข้าข้าง”นั้นเป็น”ฝ่ายคนดี” ถามก่อนว่า ท่านรู้ถึง”ก้นบึ้งของหัวใจคน”แล้วหรือ จึงจะสรุปได้ว่าใครดีหรือไม่ดี? เมื่อท่านตั้งข้อเดียดฉันท์เขา เขาก็แสดงความรังเกียจพวกท่านคืนได้เช่นกัน ใช่หรือไม่?(โลกนี้จึงมีแต่สงคราม)
คนชอบเป็น100 แย่กว่าการมีศัตรูเพียงคนเดียวนะท่าน…
เอาเนื้อๆนะ วันนี้ชอบทั้ง 3 ท่านนะ ชอบเรียงตามลำดับนะ…
-
สม.กล้าข้ามฝัน
-
ท่านฟ้าไทย
-
ท่านถักบุญ
โดยเฉพาะ สม.กล้าฯและท่านฟ้าไทย ให้เทศน์ทุกวัน(ไม่ต้องเว้น) คนอโศกมีสิทธิ์หลุดจากกิเลสได้หลายๆตัว เป็นลำดับๆไปเรื่อยๆได้นะ
แล้วเราจะช่วยให้ขุมทรัพย์ที่เป็นกรรมฐานของจุดที่อโศกยังบกพร่องให้เรื่อยๆนะ…(รู้สึกว่า”ท่านฟ้าไทย”นี่จะไปไกลกว่าหมู่แล้วนะ)
พ่อครูว่า…อาตมาชมพวกชาวอโศก แล้วชาวอโศกดีจริงไหม อาตมาเป็นคนตรงไม่เหลาะแหละ เมื่อบอกว่าชาวอโศกดี อาตมาถูกหรือผิด เห็นไหม คนๆนี้เอาภาษามาพูด คนไม่สุจริตจะประชดคนถูกด้วยการแดกดัน นี่คือนิสัยของคุณอัมพร จิตคุณเป็นจิตลามกอย่างนี้ เอาคำประชดมายัดอาตมา อาตมาพูดตรง เขาใช้ศัพท์ประชดว่าเตะเข้าโกลตัวเอง แต่อาตมาพูดชมตัวเอง สภาวะเดียวกัน แต่คำพูดเขาคือคำประชด เขาหาพวก คุณเดชานี่อาตมาจับส้นคุณได้ คุณหาพวกเท่านั้เอง คุณไม่ได้เข้าถึงความจริง ถ้าตราบใดที่คุณยังไม่ฉลาด ก็ต้องเป็นอย่างนี้
คนดีอย่างอาตมาไม่แฝง มีแต่พูดเป็นหนึ่งไม่ดิ้นไปดิ้นมา คุณพูดสลับไปสลับมาเรียกว่านักมายากล ไม่ใช่สิริมหามายา โดยตนเองไม่รู้ตนเองว่าเป็นนักมายากล
คุณใช้ภาษาขี้ตู่ยัดเยียดพวกเรา คุณต่างหากไม่รู้ใจว่า อาตมาไม่เคยรังเกียจผลักไสคนไม่ดี
_สู่แดนธรรมว่า…คนในคุกเป็นคนชั่วมีจำนวนน้อยกว่าคนดีที่มีอยู่นอกคุก
พ่อครูว่า…อาตมาสงสารคนไม่ฉลาดไม่พอ คนโง่ คนชั่ว อาตมาไม่เคยแสดงออกผลักไสไม่ชอบคนชั่วเลย อาตมาจริงๆอาตมาเอื้อเฟื้อ ผู้ที่ชั่ว ผู้ที่โง่ ผู้ที่ดักดานแทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็นมากหนักหนื่อยเลยคุณเอ๋ย เห็นพฤติกรรมจริงของอาตมาไหม คุณพูดผิด ทีหลังแก้ไขคำพูดให้ถูก
อาตมาไม่เคยมีจิตเดียดฉันท์คนชั่ว สงสารหนักด้วย โดยเฉพาะคนที่มีค่านิยมทางสังคมสูง แต่ท่านไม่ฉลาดพอยิ่งน่าสงสารมาก คุณเดชาศึกษาดีๆ
อาตมาไม่เคยมีความเดียดฉันท์ในจิตใจ อุปกิเลส 16 พวกนี้ไม่มี คุณเข้าใจผิด คุณเดา อาตมาไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์ มีแต่ความสงสารปรารถนาดีหรือความรัก แม้แต่ศัตรูเราก็รัก
เพราะว่าคิดอย่างคุณโลกถึงมีแต่สงครามไงล่ะ คุณทำพูดเท่
ดี อนุโมทนาสาธุที่คุณชอบสามท่านนี้
ขอบคุณด้วยความจริงใจนะ ดีติดตามศึกษา แต่ตราบใดที่คุณยังวางตัวว่าข้านี่แหละใหญ่ๆ ไม่มีใครมาข่มความใหญ่ของข้าได้ แต่ผู้ที่ถามว่า ดินน้ำไฟลมนี้ไม่หยั่งลงไม่ตั้งลงที่ไหน มีที่สุดที่ไหน ก็ตอบว่า ข้านี่แหละใหญ่ ที่จริงตอบไม่ตรงคำถาม
ควรถามว่าไม่ตั้งลงไม่หยั่งลง ดินน้ำไฟลมไม่หยั่งลงตั้งลงที่ไหน ไม่ควรถามว่าดินน้ำไฟลมมีที่สุดอยู่ที่ไหน พระพรหมตอบไม่ได้ก็ตอบเลี่ยงไป ถามไปไหนมา.ตอบสามวาสองศอก ถามกี่ครั้งก็บอกว่าเรานี่แหละใหญ่ ผู้ไปถามคือ โรหิตตัส ก็เลยตอบถึง 3 ครั้งต่อหน้าบริวาร เสร็จแล้วก็ดึงโรหิตตัสไปหลังม่านแล้วบอกว่า เธอเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าทำไมไม่ถามพระพุทธเจ้ามาถามเราทำไม เราตอบไม่ได้ แต่ต่อหน้าบริวารเราตอบไม่ได้จะเสียหน้าให้กลับไปถามพระพุทธเจ้าเสีย คือความลับหลังไมค์ของพระพรหม
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ฟังแล้วเหมือนนิทานสนุกๆแต่มันเป็นตัวสัจจะ เป็นเรื่องของสัจจะ ยังมีอยู่ตลอดกาล ความเป็นพระเจ้า ความเป็นพระพรหม คำว่าพรหมก็คือ God คือพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่และมาในตัวบุคคลคือ เรียกอย่างไม่รู้ตัวเองก็คือพระบุตร บอกว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหนก็อยู่ในที่ลับ นี่แหละพระบุตรคือลูกของพระเจ้าเอามาประกาศ แต่ที่จริงแล้วพระบุตรไม่รู้ตัวเองว่า คำประกาศต่างๆนั่นแหละเป็นของตัวเองสะสมมาไม่รู้ตั้งกี่ชาติ แต่เขาไม่รู้เรื่อง rebirth ไม่รู้เรื่องการเกิดการตายการสะสมกรรม
-
กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
-
กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
-
กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
-
กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
-
กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 581)
ผู้ที่ทำกรรมกับตัวเองแยกจิตนิยามของตนเองเป็นอุตุนิยามดินน้ำไฟลมเลยไม่รวมตัวกันอีกแล้ว ที่พระพุทธเจ้าว่า เราหักเรือนยอดของมารได้แล้ว หมดอัตภาพอัตตา เป็นที่สำเร็จสูงสุดจึงยืนยันเปิดหน้าบอกมาว่า วิญญาณนั้นเป็นของเราเองไม่ใช่เป็นของพระเจ้า พระเจ้าไม่มีสิทธิ์บงการ ตายแล้วจะไปอยู่กับพระเจ้า..ไม่ เราตายแล้วแยกธาตุดินน้ำไฟลมเลย ไม่ใช่พระเจ้าบงการเป็นเจ้าของ นี่คือสัจจะที่ลึกที่สุดกำลังจะเปิดเผยขึ้นไป เทวนิยมที่ใส่ใจแสวงหาศึกษาให้ดีจะได้พบความจริง ถ้าไม่เช่นนั้นจะไปอยู่กับพระเจ้า เป็นทาสของพระเจ้านิรันดร แต่ความจริงไม่ใช่เราเป็นอิสรเสรีภาพ แม้ในจิตวิญญาณเราเองเราก็เป็นเจ้าของ ไม่ใช่ใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่พระเจ้าที่ไหนเป็นเจ้าของ เราสามารถสลายจิตวิญญาณเราปรินิพพานเป็นปริโยสานได้เลย นี่คือสุดยอดของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ จึงสามารถพิสูจน์ได้ว่า พระเจ้ายังไม่รู้ตัวเอง พระเจ้ายังไม่ได้ศึกษาตัวเอง พระเจ้ายังไม่รู้เลยว่าจริงๆตัวเองอยู่ด้วยสังขารที่เป็นอนัตตา
สังขารที่เป็นอนัตตาปรุงแต่งเป็นวิญญาณ เมื่อมีวิชชาแล้วก็จะรู้จักสังขารวิญญาณปรุงแต่งกันด้วยรูปนาม 2 อย่างคือเทว คือ กายคู่ ปรุงแต่งกันอยู่ ต้องมีผัสสะ อายตนะ แล้วเกิดเวทนา เวทนาคือสัญญาสังขาร ปรุงแต่งแจกแจงเป็นเวทนา 108
ไม่รู้ว่าผู้ที่ยังไม่รู้คือปุถุชน เป็นเคหสิตะ ก็เอาเหตุที่มันยังงมงายอยู่ คือกิเลส เอาออกไป กำจัด หรือเกิดวิชชาปัญญาหรือความรู้ รู้ว่าที่แท้มันอนัตตา ไม่มีความจริงหรอก อยู่ด้วยการอนุโลม อยู่ด้วยกันหรือจะไม่อยู่ก็เป็นสูญเลยจึงเป็นผู้จบความสูญกับนิรันดร
อะไรมากมายไม่มีที่สุดเลยกับ 0 เลิก 0ก็ 0 จะไม่เลิก0 จะอยู่ไปตลอดกาลจะเอาความอดก็ได้หรือมากจนไม่มีที่สุดไม่เอาแล้ว มากไม่มีที่สิ้นสุดไม่เอา มาเอา 0 สำหรับผู้ปรินิพพาน
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
_สมณะเดินดินว่า…ฟังคุณเดชา อัมพร … เหตุผลของเขากล่อมคนทั้งโลกได้ เขาก็ว่าคนเรามีชั่วเยอะดีน้อย หากไปเข้าข้างทำให้แตกแยก หากใช้ตรรกะก็จะยอมรับ ให้คะแนนเต็มเลย แต่พ่อครูว่า..เพราะว่าคุณคิดอย่างนี้จนเกิดสงครามเต็มโลก คิดอย่างคุณเราก็เข้าใจ แต่เรามาอยู่กับพ่อครู เรารู้ความคิดอีกอย่างที่ไม่เป็นอย่างที่คุณ ทำให้เกิดความสงบได้ อาตมามั่นใจว่าถ้าคุณเดชามาวันนี้มานั่งตรงกลางชาวอโศกรับรองว่าไม่มีใครจะทำร้ายคุณเดชา มีอะไรก็จะเอามาเลี้ยง ไม่ได้รู้สึกว่าคุณเดชาเป็นคนที่ต้องรังเกียจ
เหมือนคุณอนันต์ เสนาขันธ์ที่โจมตีชาวอโศก แต่พอเขาติดคุก เราเอาข้าวไปส่งให้เขา เขาก็ส่ง จม.น้อยมาบอกว่า ข้าวของท่านมียาง อย่างนี้เป็นต้น แม้แต่ ส.ศิวลักษณ์เคยจัดพวกเราอยู่ในพวกสมีนอกรีตแต่พอได้คบคุ้นเกื้อกูลกันก็เข้าใจพ่อครูมากขึ้น
เป็นสิ่งที่พ่อครูปฏิบัติมาตลอดชีวิตไม่ใช่ว่าใครเห็นต่างจะต้องเป็นศัตรูกัน ถ้าใครไปอ่านพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าบอกว่าแม้ใครจะเอาเลื่อยมาด้วยเราออกเป็น 2 ท่อนก็ไม่ควรไปตั้งจิตคิดร้ายกับเขาเลย
พ่อครูว่า…ก็เคยพูดไป อย่าว่าแต่เลื่อยสองท่อน แม้จะทำให้ร่างกายของเราแตกละเอียดเลยเราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปอาฆาตไม่ชอบใจคุณเลย จิตจะมีแต่สงสารว่า คุณไม่น่าทำเช่นนี้เลย จิตตัวนี้ อาตมาว่าเหมือนจิตที่พระพุทธเจ้าถูกพระเทวทัตกลิ้งหินทับพระบาท แน่นอน พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้โกรธ ไม่ได้ถือสาพระเทวทัต ไม่มีการผูกพยาบาท จะไม่มีความคิด มีแต่จะสงสารว่าคนโง่ทำอย่างคนโง่ อาตมามีความจริงใจอันนี้ คนโง่มีแต่ทำโง่ ต้องด่าเรา กระทืบเรา จริงๆแล้วยังโง่เขาไม่มีความรู้เพียงพอว่าไม่น่าทำเลยเพราะมันไม่ถูกต้อง แต่สิ่งที่เขาต้องทำยังไงเพราะเขาไม่รู้ นอกจากไม่รู้แล้วรู้ผิดด้วย นึกว่าเรามาทำร้ายสิ่งที่ดี ทั้งๆที่เราพยายามจะทำสิ่งที่ดีได้อย่างยากแต่คุณไม่เข้าใจเลย แล้วจะดึงคุณออกมา คุณก็ยิ่งเจ้าประคุณเอ๊ย เลยยิ่งหนักหนาสาหัส
เหมือนคนที่จะวิ่งลงอเวจี อาตมาอธิบายย้อนศร อธิบายง่ายๆตื่นๆว่า คนที่ลงอเวจีคนก็เห็นว่าไม่ถูกหรอก สองคนนี้ก็ดึงคนที่จะลงอเวจีขึ้นมา
แต่อาตมาอธิบายอีกว่า สองคนนี้จะดึงลงอเวจีแล้วคนนี้อยากออกจากอเวจี อาตมาอธิบายอย่างนั้น คนนั้นจะไม่อยากลงอเวจีจะดึงก็สู้แรง 2 คนนั้นไม่ได้ 2 คนก็ดึงลงอเวจีไปด้วยทั้ง 3 คน โลกมันเป็นอย่างนี้ต่างหากที่มันเป็นไปไม่รอด ใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้น
นี่คือพระพุทธเจ้าท่านยกอุทาหรณ์ ตัวอย่าง เอาไว้ในอาหาร ข้อที่ 3 ข้อที่เป็นมโนสัญญเจตนา ที่ 2 คนกับผู้ที่จะลงอเวจี ดึงรั้งกัน ใครเป็นใครนี่ ที่อาตมาอธิบายให้เห็นความซับซ้อนที่มันกลับไปอีกมุมนึงให้เห็น ว่าคนดึงลงนี้จริงๆมันคือคนปรารถนาดี แต่โง่ ก็เลยลงไปด้วยกันทั้งสองแรงก็ต้องแพ้คนที่มันไม่เอาไม่ลงอเวจี มันไม่อยากลงอเวจีก็ดึง 2 แรงก็ดึงลงไปทั้ง 3 คน แล้วก็ลงไปด้วยกันทั้ง 3 คนนี่คือโลกอเวจีที่มันไม่งอกเงย
เท่ากันกับอันที่ 4 ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นวิญญาณอาหาร โจรปล้นศาสนา พระราชาให้เอาไปฆ่าทิ้งด้วยหอก 100 เล่มตอนเช้า พอมาถึงตอนกลางวันไอ้นั่นก็ยังไม่ตาย พระราชามาถามว่าตายหรือยังก็ยังไม่ตายให้เอาไปฆ่าอีกด้วย 600 เล่นตอนกลางวัน เมื่อตกเย็นก็เจอกัน ก็บอกว่าฆ่าโจรตายหรือยัง ก็บอกว่ายังไม่ตาย ก็ให้เอาไปฆ่าอีกด้วยหอก 100 เล่ม เป็น 300 เล่ม ท่านก็พูดให้เป็นปากเปิดไว้แค่นี้ 300 เล่มแล้วก็ยังไม่ตาย ก็ต้อง 400 เล่ม 500 เล่ม 600 เล่ม แล้วเมื่อไหร่จึงจะจบก็เป็นปากเปิดให้ไว้คิด
อาตมาพูดเอาประเด็นเดียวคือเลิกหลับตาได้ประเด็นเดียวหยุดเลย ออกป่า หลับตา เลิก! มาศึกษาอย่างมีทวาร 5 ทวาร 6 มีผัสสะเป็นปัจจัยนี่แหละ แล้วค่อยๆศึกษาได้ตามหลักศีล, สมาธิ, ปัญญา หรือศีล, อปันกธรรม 3, สัทธรรม 7, แล้วก็เกิดฌาน 1 2 3 4 ไปเรื่อยๆๆๆ จนกระทั้งสิ้นอาสวะ มาศึกษาตามจารณะ 15 วิชชา 8 นี่เถิด ยังไม่ตื่นไม่ชาคริยา หลับอยู่ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ไม่ใช่แค่หลับแต่ตกอยู่ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ควานหาก็ยังไม่เจอ จะช่วยกันอย่างไรเจ้าประคุณเอ๋ย! เอาน่า อาตมาเชื่อว่า พวกคุณคงยังไม่จบอยู่ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า จมในมุมใดมุมหนึ่งของโลก ออกมาจากมุมใดมุมหนึ่งของโลกเถิดลืมตามาฟังให้ดีๆ
ลองแง้มใจว่า โพธิรักษ์ นี้ น่าจะเป็นสัตบุรุษจริงหนอ แง้มใจมาสัก 10 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษสัก 10% อันนี้อาตมาก็พอใจแล้ว แต่นี่ไม่แง้มใจเลย ปิดประตูลั่นดานใส่โซ่ล็อคกุญแจ 10 รอบเอาไปใส่ใต้มหาสมุทรอีกและมันจะออกได้ไหมนี่ ฮูดินี่ ถูกรัดเอาใส่ถังซ้อนกัน 10 ใบ เอาโซ่รัดล้อม เอากุญแจใส่อีก 20 ดอก แล้ว เอากุญแจขว้างในน้ำทะเลเสร็จแล้ว ฮูดินี่ก็ไขกุญแจออกมาได้ โผล่ออกจากถังได้เลย นี่คือนักเล่นกลที่ยิ่งใหญ่ชื่อฮูดินี่
_สู่แดนธรรม…มีผู้ส่ง SMS มาในขณะที่พ่อท่านตอบให้คุณเดชาอัมพร ตัวเขาเองไม่มีจิตอย่างที่พ่อครูเมตตาคุณเดชา
พ่อครูว่า…คำว่าเมตตานี้ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นความอบอุ่นโลกเลย เมตตาคือไม่ปรารถนาให้เขาตกต่ำอยู่อย่างนี้ ไม่ปรารถนาให้เขาจมอยู่ในอเวจี ไม่ปรารถนาให้เขาได้รับทุกข์ นี่เป็นความเมตตา ต้องการให้เขามีจิตอย่าได้มีทุกข์มีภัย อย่าได้มีการจมอยู่กับความบกพร่องความไม่ถูกต้องดีงาม ต้องการให้เขาเกิดความสุข ต้องการให้เขาพ้นทุกข์ ถ้าจะใช้พยัญชนะแค่ว่าสุขก็ยังดี แต่แท้จริงแล้วละเอียดเข้าไปถึงขั้นโลกุตระ แล้วก็พ้นทั้งความสุขความทุกข์ แต่นี่ค่อยๆพ้นเป็นชั้นๆเป็นความเจริญไปตามลำดับ
_สู่แดนธรรม…ส่วนคุณเดชาก็คิดเมตตากับชาวอโศกเหมือนกันว่า แล้วเราจะคอยให้กรรมฐานเป็นจุดบกพร่องของชาวอโศก ให้นะ
พ่อครูว่า…ก็ดี คุณเดชา แสดงออกมา อาตมาก็เอามาทบทวน เอามาขยายให้เห็นมุมเหลี่ยมด้วยความเมตตาปรารถนาดีไม่ได้เกลียดชังคุณเดชา
_สู่แดนธรรม…ลูกๆบางคนต้องมีจิตถือสาว่า ผู้ที่จะให้ขุมทรัพย์คนอื่นได้จะต้องมีจิตบริสุทธิ์มีภูมิธรรมสูงกว่า อันนี้เราจะอึดอัดว่า ผู้ที่ให้ขุมทรัพย์จะมีภูมิธรรมแค่ไหน
พ่อครูว่า…ความหมายของการพูดอย่างนี้แสดงออกอย่างนี้ด้วยใจจริง รู้ว่าเป็นการพูดอย่างนี้ทำได้อย่างนี้ ยถาวาที ตถาการี หรือยถาการี ตถาการี จริงอย่างไรก็พูดอย่างนั้น
พ้นความโง่อวิชชากับปฏิจจสมุปบาท
พ่อครูว่า…เข้าหาเนื้อหาสาระคือปฏิจจสมุปบาท อาตมาก็ว่า จะพยายามอธิบายค่อยๆไล่ให้ตัวอย่างประกอบไปดีๆ
อวิชชา เป็นความโง่หรือความไม่รู้ ความไม่ฉลาด ความไม่รู้นี้พระพุทธเจ้าเริ่มจัดทำแรกคือไม่รู้อะไรคือไม่รู้สังขาร ไม่รู้การปรุงแต่งของสภาวะตั้งแต่ 2 ขึ้นไป ถ้าเป็นวัตถุก็มีตั้งแต่บวกกับลบ พลังงานบวกกับพลังงานลบ
พอเริ่มต้นมาเป็นชีวะ ก็จะมีพลังงานของชีวะกับพลังงานของวัตถุ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าพลังงานชีวกับพลังงานวัตถุยังไม่ถึงจิตวิญญาณ เรียกว่าพลังงานที่มีชีวะที่ยังไม่มีกรรมครอบครอง ยังไม่มีวิญญาณครอง เพราะฉะนั้นพลังงานนี้ก็มีแต่ปรุงแต่งสังขาร กับสัญญา กับตัวที่กำหนดรู้ รู้ธาตุนั้นธาตุนี้อย่างเช่น พืชพันธุ์ธัญญาหารมันไม่ใช่วิญญาณ ไม่ใช่วิญญาณธาตุ เป็นแค่พีชนิยาม
ไม่ใช่จิตนิยาม ยังไม่มีความชอบความชัง ความสุขความทุกข์ ก็ยังเป็นกึ่งอัตตา มันมีแต่ตัวกูก็ได้ แต่มันไม่มีตัวกูไปทำร้ายคนอื่น พีชะนี่ มันมีแต่ตัวเองแล้วเอาไปดูดดึงเอามา เป็นธาตุวัตถุหรือเป็นธาตุพีชะด้วยกัน หรือธาตุของสรีระหรือสัตว์มันสามารถดูดได้นะ
พลังงานของจิตนิยามระดับต่ำมันสู้แรงงานของ พีชะไม่ได้ มันก็ดูดเอามาเป็นตัวมันโดยไม่มีจิตมุ่งร้าย มันมีแต่ตัวมันเองรู้ แต่ว่ามันจะต้องเอาสิ่งที่มันจะต้องเอา ธาตุของมะปราง มันก็จะเอามาเป็นมะปราง ธาตุของบัตเตอร์นัทมันก็จะเอามาเป็นบัตเตอร์นัท มะปรางยังมีเปรี้ยว แต่บักผูนี่ มีแต่ว่าไม่มีเปรี้ยวเลย ผลมันเหมือนกับมะปรางเลย แต่ลูกเล็กกว่า
ธาตุพีชะ ยังไม่มีเวทนายังไม่มีวิญญาณครองยังไม่มีกรรมครอง … ฉะนั้นมันจึงไม่มีวิบาก ธาตุพีชะ มันเอาแต่ตัวมัน ไม่ได้จองเวรกับใคร เอาแต่อัตตาตัวตนเต็มตัว ก็ได้แต่อัตตาตัวตนเต็มตัว ใครจะทำร้ายมันก็ไม่ทำร้ายตอบ พระพุทธเจ้าถึงเอาลักษณะพิเศษของพืชพลังงานทางชีวะ อาศัยพลังงานนี้ทำพลังงานของจิตนิยามให้เป็นพืช มันจบ เพราะมันไม่ไปสร้างวิบากต่อ แล้วมันก็ไม่สร้างอัตตาต่อ จิตวิญญาณที่เป็นพืช เป็นพีชนิยาม มันมีคุณลักษณะอย่างที่อธิบาย มันมีแต่ตัวเองที่มันสร้างตัวเองได้ ได้ธาตุอะไรมาสร้างตัวเองก็ได้ไม่ไปรุกรานอะไรใคร ไปตามที่แรงงานตัวเองมีได้ก็เอา ไม่ได้ก็แล้วไป ก็ได้ตัวเองไป ยืดชีวะของตัวเองไป ถ้าไม่ได้ชีวะแล้วหาธาตุที่จะมาปรุงแต่งเป็นตัวเองไม่ได้เลยก็เสื่อมลง กลายเป็นตระกูลอะไรก็ค่อยๆเสื่อมสกุลไป สุดท้ายก็สูญสิ้นตระกูล สูญพันธุ์ไปเลยไปตามธรรมชาติ เหมือนบักผู ที่ไม่รู้ว่าสูญพันธุ์ไปหรือยัง
คนเก่าคนแก่พอๆกับอาตมาก็น่าจะรู้จัก บักผู อาตมาเป็นคนอีสานรุ่นเก่าจนกระทั่งวัยรุ่นจึงไปต่อที่กรุงเทพฯ ตอนนี้ก็กลับมาย้อนอยู่ที่อีสาน อายุ 36 ปีบวชแล้วก็ยังอยู่ทางโน้นไม่ค่อยมาทางนี้ ยังอยู่ทางภาคกลาง จนกว่าจะย้อนมาที่อีสานก็อายุ 50 ปีกว่า
มาเข้าสู่ปฏิจจสมุปบาท…อวิชชา ไม่รู้จักสังขาร แค่นี้แหละ สังขารคือการปรุงแต่งของธาตุตั้งแต่ 2 ธาตุขึ้นไปเป็น 3 ธาตุ เป็น 3 ธาตุก็จะเป็นนิวเคลียส ซึ่งเป็นวัตถุนะ นิวเคลียสคือพลังงานปรมาณู พลังงานที่เต็มที่สุดได้เรียกว่าเป็น ไซคลิกออร์เดอร์
พลังงาน 3 อย่างบวกกับลบแล้วก็มีอีกอันนึง เป็นตัวพลังรวมของเจ้านี่ ทีนี้ นิวเคลียสเป็นพลังรวม มันเหมือนกับเป็นตัวกลางเป็นเจ้าดูแล 2 อันนี้ด้วยกันให้มันอยู่ด้วยกัน แต่มันก็ไม่ออกไปจากสามเส้า พลังงานที่ได้จนกว่าจะมีคนขยายทะลุให้มันระเบิดกระแทกเพิ่มพลังงานให้มัน เพิ่มพลังงานให้มัน cyclic order คือมันเต็ม 0 พอทะลุให้มัน เป็นพลังงานที่ผลักดันสะสมไว้ ถ้าหากนิวเคลียสที่มันสะสมพลังงานได้แน่นได้มากได้อัดที่สุด นั่นแหละที่เขาใช้ E=mc2 ก็เพิ่มพลังงานของ m คือมวล ให้มากขึ้น และเพิ่มอัตราเร่งของ c ให้สูงขึ้นก็จะมีแรงระเบิด แรงทำลายมากขึ้น เป็น Action Reaction พลังงานที่แน่นมากขึ้น มันก็จะระเบิดแรง ยิ่งอัดแน่นยิ่งเปราะบาง เมื่อมีอะไรกระทบก็ระเบิด ออกไป นี่เป็นพลังงานทางวัตถุพลังงานทางสสาร พลังงานทางดินน้ำไฟลม ที่ไอสไตน์คิดสูตรนี้ได้เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้กัน
ถ้าเอาพลังงานนั้นมาใช้ทางสันติภาพเป็นพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพมาสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ แม้แต่คอมพิวเตอร์อะไรต่างๆนานา ทุกวันนี้ก็ใช้กันมันก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้าหากเราใช้เป็นอาวุธ เป็นพลังงานเข่นฆ่าทำร้ายกันขนาดนี้ บาปมหาบาป เป็นบาปมหาศาลที่เขาไม่รู้จักความกลัว ความป้องกันตัวเองด้วยวิธีการยังไม่เจริญแบบเดรัจฉาน สร้างเขี้ยวงาสร้างพิษสงของตัวเองออกไปทำร้ายผู้อื่น พวกนี้ก็ยังสร้างบาปอยู่
เพราะฉะนั้น อาตมาเคยพูดว่า ประเทศที่คิดอาวุธได้เก่งแล้วก็ขายอาวุธเอาเปรียบเอารัดคนอื่นด้วย เอาอำนาจความมีฤทธิ์เดชของอาวุธเก่งไปขายแพงด้วย เป็นบาปหลายชั้น
-
สร้างอำนาจอาวุธที่มันร้ายแรงไม่น่าทำมันก็มาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ชีวิตมนุษย์ แล้วยังไปโก่งราคาขายคนอื่นอีก แถมเอาทั้ง 2 อย่างมีทั้งวัตถุที่สร้างได้กับโก่งราคาขึ้นให้มาก เอาเปรียบเขา คำว่า “เอาเปรียบ” คืออยู่ในสิ่งที่คุณสามารถทำอาวุธร้ายแรงได้ กับ คุณจะเอาเปรียบในราคาขาย ซึ่งเป็นเรื่องของสินทรัพย์ ลาภสักการะ ได้เปรียบต่างๆนานาทุกอย่าง