640208_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 27
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1BItJbySwNJl9NbrFh1WQXiDL5xNfuaPEMxaudwGnCyc/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/12wTdH8RhrvltM66LX3H8sbuEilYeYzBp/view?usp=sharing
ยูทูปที่ https://youtu.be/6UnyaL_ykQY
_สู่แดนธรรม…วันนี้วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ได้ข่าวว่าอีกวันสองวันฝนจะตกตอนนี้อากาศก็ร้อนอบอ้าว แต่ชาวบวรของชาวอโศกก็ยังคงร่วมไม้ร่วมมือกันอย่างดีมาตลอด ซึ่งเป็นเรื่องที่หายไปแล้วจากสังคมทุนนิยม ของพวกเราไม่มีค่าจ้างแรงงานแต่ทำงานฟรี คล้ายๆกับว่ามีรายได้เท่าไหร่ก็เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วยังสามารถเบิกบานทำงานประสานหมู่ได้ซึ่งหาได้ยาก
พ่อครูว่า…ตอนนี้เลยวันเกิดอาตมาไปแล้ว ตอนนี้อายุ 86 ปี 8 เดือน 3 วัน ถึงวันที่ 5 มิถุนายนก็จะครบ 87 เต็ม ขึ้น 88 แล้วย่าง 88 ขึ้นวันที่ 1 เลย ในวันที่ 5 มิถุนายน 2564 นี้ ไปเรื่อยๆวันเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง กาละ เดินๆๆ เดินไปเรื่อยๆ ไม่เคยหยุดเลยวันเวลาเพื่อนที่ไป ถ้าโลกหยุดหมุนก็คงยาก โลกไม่หยุดหมุนเวลาก็ต้องเดินไปเรื่อยๆ ตามแรงเคลื่อนของจักรวาลที่เคลื่อนไม่เคยหยุด อะไรหยุดอันนั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกกระแทกไปกระแทกมาเท่านั้นเอง
ในเรื่องรายละเอียดที่เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง ที่อาตมาพูดพาดพิงไปถึงก็ขอยกไว้ วันนี้มีปัญหาเยอะนะ
ดื่มคำตำหนิได้ทำให้เกิดสมานัตตตา
_ สมณะบินบน ถิรจิตโต (จากลานนาอโศก)…มีเหตุการณ์ในอดีตที่ระลึกได้มี 4 เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา
4 ปีที่แล้ว 9 ปีที่แล้ว 11 ปีที่แล้วและ 28 ปีที่แล้ว
4 ปีที่แล้ว เมื่อ พ.ศ. 2560 วันนั้นตรงกับวันพุธ พวกเราไปร่วมงานฌาปนกิจศพ คุณครูรัชฎา ทองมี อายุ 84 ปี ที่วัดตุ๊กตาตำบลบางกระเบาอำเภอนครชัยศรีจังหวัดนครปฐม คุณครูรัชฎาเป็นญาติติธรรม เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560 ด้วยโรคมะเร็ง ญาติธรรของปฐมอโศกไปช่วยงานที่ มรฐ.
วันนี้เมื่อ 9 ปีที่แล้ว 2555 ตรงกับวันพุธ ญาติธรรมร่วมกับพธม.ยื่นคัดค้านการแก้กฎหมายมาตรา 112 ผวจ.เชียงใหม่มารับหนังสือด้วยตัวเอง
วันนี้เมื่อ 11 ปีที่แล้ว 2543 ทางกองทัพธรรมและเครือข่ายทวงคืนเขาพระวิหาร ที่ประสาทตาเมือนโต๊ด
วันนี้เมื่อ 28 ปีที่แล้ว 2536 เป็นช่วงงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ 37 พ่อท่านได้เทศน์หัวข้อ 4578 ของชาวอาริยะ และพ่อท่านได้กล่าว ดื่มคำตำหนิได้จึงเข้าถึงสมานัตตตา ดื่มคำตำหนิไม่ได้ ก็ไม่มีทางถึงสมานัตตัตตา
พ่อครูว่า…สมานัตตตา มีคำว่า สมานัตตะ (ตาเป็นคำลงท้ายตัดใจเพื่อให้เป็นคำนาม) สมานัตตตาก็แปลว่า การสมานกัน ระหว่างอัตตาของคนนั้นคนนี้ ของเรา เสมอสมานกันขึ้นมาเชื่อมโยงกันขึ้นมาได้ เชื่อมโยงกันได้ปรองดองกันได้ อยู่กันอย่างสัมพันธ์กันไม่ขัดแย้งไม่ทะเลาะวิวาท ไม่เป็นศัตรูแก่กันและกันเป็นต้น เพราะฉะนั้นการตำหนิกัน มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก ผู้ที่เข้าใจแล้วจะไม่ประหลาดอะไรในเรื่องกันตำหนิ ใครจะตำหนิมันก็เป็นธรรมดา ผู้ที่เขาไม่เข้าใจและเห็นว่าเราไม่ดี มันเป็นเจตนาดีก็ได้จะเป็นเจตนาร้ายก็ได้ สำหรับคำตำหนิ ถ้ามีเพื่อจะทำร้าย เพื่อให้คนได้ยินได้ฟังจะได้รับความเชื่อถือ จะได้ไม่รับความนับถือ ไม่ยอมรับนับถือก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้าเราเข้าใจแล้วเรามองในมุมดี การตำหนินี้พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจน เรื่องตำหนิผู้ที่ทนต่อคำตำหนิได้รับคำตำหนิเอามาเป็นประโยชน์ ได้ประโยชน์ถ่ายเดียว ท่านบอกว่าคำสรรเสริญเสียอีกเป็นเรื่องเลวร้าย เป็นเรื่องทำลายคนได้ง่ายสำหรับคำสรรเสริญ แต่การตำหนินี้ไม่ทำลายคนได้ง่าย ข้อสำคัญผู้ที่จะตำหนิเขาต้องระมัดระวัง ที่จะสะท้อนกลับ ต้องประมาณให้ดีถ้าประมาณไม่ดี การสะท้อนกลับจะมาทำร้ายกับเรา เรียกว่าไปทำให้เขาโกรธแรงร้ายก็หน้ามืด ไม่รู้ เขามาทำร้ายเราก็เสียท่านั้นเอง อย่างนี้เป็นต้น
การตำหนิเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เป็นเรื่องดีมากอาตมาทำงานอยู่ทุกวันนี้อยู่กับการตำหนิคนอื่นเขา แล้วเขาก็ต้องมีอาจจะมา อาตมาก็เข้าใจอย่างที่พูดไปแล้วอาตมาไม่เคยโทสะไม่เคยโกรธเคือง ในเรื่องที่คนมาตำหนิ เรื่องคนมาด่า ตำหนิแรงหยาบคือด่า ด่าอย่างมีความโกรธ อย่างสาดเสียเทเสียตำหนิทิ้งขว้าง เพื่อที่จะย่ำยีเขาเท่านั้นอันนี้ก็จะมี ก็แล้วไป เราก็ดูว่า คนนี้เขาเข้าใจไม่ได้เลยเขาแรงตอนนี้อย่างสาดเสียเทเสียแสดงว่า อันนี้ทีหลังก็ระมัดระวังคนนี้เพราะว่ามันไม่เป็นประโยชน์ทำให้เขาโกรธแรงจนหน้ามืด ไม่ได้ยั้งคิด สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โทสะขึ้นแรงมันไม่ดี
การเข้าใจมุมที่เป็นโทษกับมุมที่เป็นคุณให้ชัด แล้วก็เลือกปฏิบัติประพฤติ ประพฤติในส่วนที่จะเกิดผลดี ผลร้ายผลแรงอะไรผลที่จะให้เกิดความเสียหายเราหลีกเว้นได้ผู้ที่ฉลาดและผู้ที่รู้ความจริงนี้แล้ว ก็จะไม่พยายามให้เกิดอะไรที่จะเป็นกายกรรมวจีกรรม ผ่านมโนกลั่นกรองออกมา จะไม่ทำอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์จะทำแต่สิ่งที่เกิดประโยชน์คุณค่าขึ้นเท่านั้น ถ้าเสียประโยชน์ไม่เกิดประโยชน์แล้วไม่ทำเจ๊เลยอันนี้เป็นสัจจะความจริงของผู้รู้ ผู้รู้จริงๆจะไม่ทำ ไม่มีการเจ็บใจแก้แค้นด้วยไม่มีคนที่ยังมีอยู่ก็คือเรื่องของผู้ที่มียังพอตอบแทนได้ จะต้องด่าตอบตอบโต้ทำร้ายคืนอย่างนี้คนมีกิเลสก็ทำ แต่หากเราแม้จะกระทบอย่างแรงยังเบาก่อให้เกิดประโยชน์คุณค่ามีแต่ประมาณเอาอย่างนั้น
สู่แดนธรรม…มีคำว่าเปยยวัชชะ
พ่อครูว่า…เปยยวัชชะ คือ ตำหนิให้เป็นของควรดื่ม ใครทำได้สำเร็จคนนั้นแหละมีปิยวาจา เป็นคำอันน่าเป็นที่รัก แล้วตอนนี้ให้เขาดื่มได้มันอาจจะเป็นยาขมบ้างแต่เขาก็ใจจะดื่มเป็นประโยชน์กับเขา ถ้าเป็นโรคก็ดื่มยานี้เข้าไปก็จะรักษาให้หายได้
สู่แดนธรรม…ก็มีแต่พ่อท่านที่อธิบายอย่างนี้
พ่อครูว่า…ก็มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องเป็นประโยชน์อย่างยิ่งมีแต่อาตมาก็ถูกแล้วเพราะคนอื่นไม่รู้อย่างอาตมาก็อธิบายไม่ได้
สู่แดนธรรม…บางคนตำหนิด้วยอวัจนภาษาก็เกินรับได้นะครับ เช่น ตำหนิด้วยการไม่พูดเลย
กรณีศึกษา ความเหนือสามัญของพระโพธิสัตว์ระดับ 7
_มีคนตั้งข้อสังเกตมา พระโพธิสัตว์ระดับ 7 กรณีศึกษา Case Study ที่ยิ่งใหญ่ ของนักวิชาการโลกุตระ
-
อย่าบอกว่าอาตมาคือพระสารีบุตร เพราะอาตมาเจริญยิ่งกว่านั้น
พ่อครูว่า…การเกิดการตายแม้จะจริง สมมุติว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตรจริงตอนนี้มันก็ไม่ใช่ พระสารีบุตรก็ตายเนื้อหนังมังสาจิตวิญญาณก็ผ่านไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทีนี้ แล้ว ประเด็นที่อาตมาท้วงคือ ถ้าเผื่อว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตรจริง แล้วคุณมาบอกว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตร แต่ว่าคุณดูถูกอาตมา คือนึกว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตรองค์นั้นมีความนิ่งความเจริญเท่าเดิมอยู่กับที่ เป็นการดูถูกอาตมา ถ้าอาตมาเป็นพระสารีบุตรจริงก็เท่ากับคุณดูถูกอาตมาว่าอาตมาไม่เจริญขึ้นเลย แน่นอนถ้าอาตงมาเสื่อมลงมาไม่เจริญนั่นอีกเรื่องหนึ่ง อาตมาว่ามันไม่อยู่กับที่หรอก มันเปลี่ยนเพราะฉะนั้นจะบอกว่าอาตมาใช่ก็ได้ไม่ใช่ก็ได้ เพราะจริงๆแล้วมันได้ 2 อย่าง ไม่ได้พูดเล่นนะใช่ไหม มันจะเป็นได้อย่างไร พระสารีบุตรองค์นั้นกับองค์นี้มันคนละร่างกายความรู้ก็ไม่เหมือนเดิมไม่เท่าเดิม อาจจะมี แกน แน่นอน แกน ตัวตั้งเป็นคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งนั้นแล้วก็เจริญขึ้นเรื่อยๆไม่ประหลาดที่จะเป็นองค์ไหนก็แล้วแต่ นี่ก็คือประเด็นที่ 1
-
อาตมาไม่รู้สึกหิวหรือกระหาย
พ่อครูว่า…อันนี้ฟังแล้วน่าหมั่นไส้แต่อาตมาก็พูดความจริง อาตมาไม่กล้าพูดคำโกหก ถ้าโกหกมันบาปจริงๆอาตมาไม่ได้พูดโกหก แล้วอาตมาต้องดูด้วยว่าอาการหิวกระหายของคนเป็นอย่างไร คนธรรมดาก็ต้องมีแล้วอาตมาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าอาการหิวหรือกระหายคืออย่างไร แล้วมันไม่มีจริงๆอาตมาก็พูดความจริงให้ฟังอันนี้จึงเป็นเรื่องอจินไตยที่ลึกซึ้ง ไม่หิวไม่กระหาย ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอก ร่างกายมันต้องการก็ได้ แต่คุณไม่หิวไม่กระหาย เช่น คุณเพลินกำลังสู้กับสิ่งนี้อยู่ เรียกว่าสมาธิจดจ่อสมาธิโลกๆ เขม็งติดยึดอยู่ จดจ่ออยู่กับอันนี้เวลาก็เดินทางผ่านไปเรื่อยๆ ร่างกายก็ไม่ต้องการอะไรแล้วมันลืมไปเลย ไม่หิวไม่กระหาย อย่างนี้ก็เคยกันมาทั้งนั้นมากน้อยก็แล้วแต่ มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ อาการไม่หิวไม่กระหายอย่างนั้นแหละ อาตมามี
อาตมาก็มาได้ความรู้ว่าเราฝึกจนกระทั่งรู้จักความหิวความกระหาย คือความต้องการมาให้ตนเองมันไปเสริมบำเรออัตตา
แต่ถ้าเผื่อว่าเราต้องการสิ่งที่ควรจะเอามาใช้ในร่างกายก็ต้องเติมน้ำเติมอาหาร ถ้าเราไม่ให้มันพอดีมันไม่เหมาะสมพอดีมันก็เสื่อมสิ อันนี้ก็ต้องเป็นความรู้ของแต่ละคน เพราะฉะนั้นอาตมาถึงบอกว่าบอกความจริงก็หายหิวไม่มี ออกกำลังกายหนัก ควรจะกระหายน้ำก็ไม่เคยกระหาย แต่เขาเอาน้ำมาให้ดื่มก็ดื่มได้
สู่แดนธรรม…ผมเคยเห็นในพระไตรปิฎกว่าพระอรหันต์เป็นผู้ที่ไม่ความระหาย รากเหง้าคำว่าระหายคือไม่มีตัณหา
-
อาตมาเป็นคนแห้งมาแต่ไหนแต่ไร
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ใช่เป็นคนบวมหรือเป็นคนท้วมเป็นคนแห้ง มาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งหนุ่มจนกระทั่งผ่านอายุหนุ่มมา ก็แห้งๆมาอย่างนี้ตลอด จนมาถึงทุกวันนี้ พยายามจะทำตัวเองให้อ้วนได้ถึง 60 กิโลกรัม มีอยู่ครั้งเดียวในชีวิต ทำให้น้ำหนักขึ้นได้ถึง 60 กิโลกรัม เสร็จแล้วไม่นานมันก็กลับไปอยู่ในฐานที่เราเองเป็น ก็เท่านั้น ก็ไม่เห็นมันจะดีเด่อะไรเราก็คล่องแคล่วปราดเปรียวอย่างที่เราเป็น เป็นแต่เพียงว่าทุกวันนี้ออกกำลังกายเพื่อจะสร้างกล้ามเนื้อ หรือว่าเนื้อหนังสรีระต่างๆ มันค่อนข้างจะเหลว ค่อนข้างจะไม่แน่นเหมือนเดิมก็พยายามเติมสาร เติมพลังงาน โดยการออกกำลังกายเสริม เรื่องอาหารเขาก็ว่าไป
เรื่องอาหารนี่นะ ใส่เข้าไป ถ้าไม่มีพลังงานที่จะต้องการเอาอาหารพวกนี้ใส่ไว้มันไม่ขึ้นหรอก เพราะฉะนั้นถึงต้องออกกำลังกายเพื่อที่จะให้เกิดปฏิกิริยาของเซลล์ประสาทต่างๆในร่างกายมันต้องการอาหาร แล้วมันถึงจะเพิ่มได้ขึ้นมาจริงๆ ถ้าไม่มีต่อให้เอาอาหารใส่เข้าไปเท่าไหร่ก็ระบายออกหมด อย่างที่เขาพยายามเติมอาตมาอาตมาว่าแน่นๆแล้วเขาก็พยายามเติม อาตมาก็เคารพเจตนาดีก็เท่านั้นเอง อาตมาถึงได้พยายามออกกำลังกาย ทุกวันนี้พยายามออกกำลังกายอย่างตั้งใจหมุนเวียน แม้แต่ยกลูกเหล็กก็ทำเพิ่มเติมแล้ว ตอนนี้มีเทรนเนอร์มาช่วยบริหารทำ ก็ดูดีขึ้น ก็ดูต่อไปว่า มันจะเป็นอะไรแค่ไหน ตอนนี้แค่นี้ก็ไม่หย่อนไม่ต้องเต้นแล้วแต่ก่อนถ้าแกว่งอย่างนี้ต่องแต่งแล้วนะเดี๋ยวนี้ไม่โตงเตงแล้ว ตอน ต่อไปจะมีกล้ามเนื้อไบเซพไตรเซพขึ้นให้เห็น
4.อาตมาไม่มีรสอร่อย มีแต่รับรู้รสตามความเป็นจริง
พ่อครูว่า…อันนี้ทุกคนต้องเรียนรู้ ผู้จะเป็นอรหันต์ต้องเรียนรู้ ไม่มีรสอร่อย มีแต่รสแท้รสจริง มันไม่มี มันมีแต่รสหวานก็หวาน เค็มก็เค็ม เปรี้ยวก็เปรี้ยว หรือจะเรียกผสมส่วนเรียกว่านัว (ภาษาอีสาน) มันได้สมส่วนได้ที่ มันนั่วเลย มันเข้ากันอย่างดี ได้สัดส่วนพอดีเหมาะใจของใครของมัน เราก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง อาการของความอร่อยที่เสริมขึ้นมานี่แหละสำคัญ ตัวนี้คือตัวตัดสินของความเรียนรู้ การเรียนรู้ทางสัจธรรมเรียกว่าเวทนาเก๊ มันจะมี 2 เวทนาค้นหาวิชาจะมีรสอร่อย รสชังหรือรสชอบ ไม่อร่อยกับอร่อย คุณจะเฉยๆคุณจะไม่รับเลย ถ้าข้างๆเฉยๆคุณไม่รับเหมือนน้ำล้างชาม จืดๆไม่เอา ถ้าไม่ชอบก็ไม่เอา ถ้าชอบมากก็เอามาก กินมากหรือมากเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นผู้ที่หมดรสชอบรสชัง หมดรสอร่อยไม่อร่อยก็รู้จริงตามความเป็นจริง ไม่ใช่ลิ้นไอ้เข้รสอะไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่ หวานมาเค็มมา เรียกมาผสมส่วนมาก็รู้ตามคนที่เขารู้ทั้งนั้น แต่เรารู้สังขารที่มันไม่มีแล้วของเราคนอื่นยังสังขารปรุงแต่งอยู่อย่างนี้เป็นกิเลสตัวชอบไม่ชอบก็ไปปรุงร่วม เรียกว่าสสังขาริกัง ของเราอสังขาริกัง ไม่มีกิเลสพวกนี้ไปปรุงร่วม
-
อาตมาเคยถูกรถชนลอยกระเด็น ขาที่เจ็บไม่มีบาดแผล แต่กระดูกแตกภายใน
พ่อครูว่า…อันนี้อาตมาถูกรถเก๋งใหญ่ รถโอเปิ้ล แคปปิตัน ยาวใหญ่ อาตมาก็ขับมอเตอร์ไซค์ดั๊กลาส หม้อน้ำมันใหญ่ เหมือนพวกฮาเล่ย์รุ่นเดียวกัน นั่งทำงานอยู่ที่กรมประชาสัมพันธ์ ราชดำเนิน ติดกับ สนามหลวง ขับมอเตอร์ไซค์ออกมา แล้วรถเก๋งคั้นนั้นก็มาชน อาตมากระเด็นลอยไปข้างบน สามล้อจอดอยู่ข้างทางเห็นเหตุการณ์ เขาก็มาเล่า โอ้โห พี่ลอยขึ้นไป ดีนะที่รถมันก็วิ่งผ่านไปถ้ารถมันวิ่งช้ากว่านี้ไปทับตายเลยนะ เพราะพี่ลอยรถมันก็ผ่านไปแล้ว พี่ก็ตกไปที่หลังรถ กระเด็นไปทางด้านข้าง ซึ่งตอนถูกชนขาเขาอาตมาอัดข้างหม้อน้ำมันที่เป็นเหล็ก เสร็จแล้วเพื่อนลงมา หามส่งโรงพยาบาลตำรวจ มันบวมเต่งเลย ถอดกางเกงก็ถอดไม่ออก ต้องตัด เอากรรไกรตัดขากางเกง ดูสิ เป็นไง ไม่มีรอยแตก (ตอนนั้นเล่นไสยศาสตร์หนังเหนียวไม่มีแตก ) หมอตรวจแล้วก็ไม่มีแตกไม่มีอะไร เขาก็ไม่ได้ดูอะไรมากกว่านั้นก็เอามารักษา รักษาอยู่หลายเดือนกว่าจะหาย ก็ไปเอ็กซเรย์ดูว่ากระดูกมันร้าวมันแตก ส่วนเนื้อมันไม่มีแผลภายนอก เลือดไม่ออกสักหยด แต่ช้ำเขียวแดงดำ เสร็จแล้วเนื้อตรงนี้ทุกวันนี้ก็ยังบุ๋มบุ๋มลงไปเลย มันจะเป็นพังผืดแห้ง
เป็นกรณีศึกษาถ้าไปเล่นไสยศาสตร์ มันก็จะเสียหายเพราะว่าข้างในมันเสียหายเราไม่เห็น แต่ถ้าเราเห็นแผลมันก็จะรักษาได้ง่ายกว่า
ตั้งแต่บัดนั้นมาอาตมาไม่หนังเหนียวเลย ซึ่งแต่ก่อนเล่นไสยศาสตร์เอามีดโกนกรีดก็ไม่เป็นแผล แต่เดี๋ยวนี้ไม่เอาแล้วทิ้งหมดเลย มันเป็นอุปาทาน อาตมาก็เรียนรู้อุปาทานนี้มาเยอะ เรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ ทดสอบ สะกดจิต มันเป็นไปได้เรื่องอุปาทาน อย่างที่ภูเก็ตเขาจะแทงตรงไหนก็ไม่เจ็บ เป็นเชื่อมั่น เป็นอุปาทานรักษาก็หายไม่เป็นแผล มันเป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างที่บอกว่าเป็นปาฏิหาริย์แบบนั้น เป็นการเกิดจากจิตอุปาทานทั้งนั้น เดินลุยไฟไม่ไหม้ไม่พองไม่เจ็บ ก็อุปาทานทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร แล้วคุณทำไปทำไมมันก็เก่งแต่ไม่ได้เรื่องอะไร
-
อาตมารับมอบอำนาจหน้าที่จากพระพุทธเจ้าสมณโคดมให้มากอบกู้และสืบสานศาสนาให้มาถึง 5,000 ปี
พ่อครูว่า…อันนี้อาตมาก็พูดหลายที ถึงรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิ 10 นี่เอง แล้วอาตมาก็รู้ว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญา เกิดมาในยุคนี้ไม่มีครูบาอาจารย์มีความรู้ได้ด้วยตัวเองเป็นความรู้ระดับ สยังอภิญญา ไม่ใช่ความรู้ระดับสยัมภู
สยังอภิญญา ก็มีความรู้ของตนจริงๆ อาตมาพูดไปนี้ผู้ติดตามจะได้ติดตามศึกษาว่าจริงนะไม่มีใครมาพูดมีแต่อาตมาเอามาพูด ซึ่งเป็นโลกุตระด้วยและเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ด้วย มนุษยชาติปฏิบัติได้ตามเป็นได้ด้วย อย่างพวกเรามาเป็นคนจนมาเป็นคนไม่ต้องมีรายได้ต่างๆนานา มันเป็นเรื่องปาฏิหาริย์นะ และมีความสุขไหม มีความสุขมากจริงๆ แล้วสุขมันเป็นอุปาทาน ทีนี้เรายิ่งไม่อุปาทาน แต่เราสมาทานด้วย ยึดไว้อย่างมีปัญญา อุปาทานคือยึดไว้อย่างอวิชชา อย่างนี้เป็นต้น
อาตมาก็ได้ จะเข้าใจว่าอาตมารับมาแล้วอาตมาจะเป็นใคร อาตมาเคยเป็นสาวกในยุคนั้น พระพุทธเจ้ามอบหน้าที่แล้วอาตมาก็รับมาอาตมาก็มายืนยันว่าใช่อาตมารับหน้าที่มา แล้วก็ทำหน้าที่อยู่ 50 ปีแล้ว ทำหน้าที่มาอยู่นี่ 50 ปีแล้วยังจะมีคนศึกษาติดตามอาตมาอยู่ต่อไป ที่อาตมาทำมา 50 ปีมีผลที่เกิดเขาจะเอาไปตรวจสอบที่สุดยืนยัน ถูกต้องจริงตามพระพุทธเจ้าหรือเปล่าเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าถูกหรือเปล่า ถูกตรงตามของพระพุทธเจ้าตรงกันเป็นอย่างเดียวหรือเปล่า เขาก็ค่อยๆเช็คตรวจสอบไป เดี๋ยวนี้เขาก็ยัง
-
เขายังไม่มีภูมิปัญญาที่ตรวจสอบ
-
ตรวจสอบแล้วพอช่วยเหลือได้บ้างแต่ยังไม่แน่ใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยเวลากับปริมาณและคุณภาพที่อาตมาจะทำเพิ่มขึ้นจนมากพอเขาจึงจะจำนน อาตมาตายแน่นอนง่ายๆจะต้องพากเพียรอยู่ต่อ มันก็เป็นผลดีที่ถ้าหากอาตมายังตายไม่ได้ก็ต้องฝืนสังขาร ต้องเพิ่มให้แก่ตัวเอง แม้จะหมดอายุไขแล้วก็ต้องพยายาม เพิ่มอายุขัยตัวเองด้วยอะไรต่างๆใช้สัมประสิทธิ์ของCoefficient ต่างๆ แม้แต่ 8 อ. ด้วยทั้งรูปทั้งนามก็ดูไป