640516_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1jiccqbeFbbyzyXOlqeTthJ063Ovg0CZZSNm-3DQF6vs/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1PyZmXmDEjYBsXcLW5fy_B8o8-zRM_lpR/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/6mDV13lscGw
จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล
พ่อครูว่า…วันนี้ วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู อาตมานำเอาเรื่องของเทวะ มาให้ศึกษา เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ผู้ที่เป็นเทวะตีไม่แตกแยกไม่ออกจะจำนนกับ 1คือ พระเจ้า ทั้งที่พระเจ้ามีทั้งศาสนาเทวนิยมและอเทวนิยม
พระเจ้าของเทวนิยมนั้นลึกลับ ไม่รู้อยู่ไหนไม่มีใครเคยรู้จักพระเจ้า สัมผัสไม่ได้ แต่พระเจ้าของศาสนาพุทธนั้นสัมผัสได้ เรียนรู้ได้ ตีแตกแยกแยะพระเจ้าได้ ครบถ้วนเลยว่าประกอบไปด้วยอะไร คืออะไรแท้ๆ ใครเป็นพระเจ้า พระเจ้าเป็นใคร รู้แจ้งจบ จนสุดท้ายก็รู้ว่าพระเจ้าคือ อนัตตา
แต่ของเทวนิยมนั้นพระเจ้าคือ อัตตา เพราะว่าเขาไม่ได้ศึกษาเหมือนกับศาสนาพุทธ ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่สามารถตีแตกแยกแยะเทวะออกได้ด้วยธรรมะ 2 เทวะ แปลว่า 2 ไม่สามารถวิจัยธรรมะ 2 เป็นคู่เทียบไปเรื่อยๆจึงจะรู้แจ้งจบ การเทียบทีละคู่ๆนี่แหละ คือ มีพยัญชนะกับสภาวธรรม แล้วก็จัดการกับสภาวธรรมได้ถูกตัวตนอย่างแท้จริงสำเร็จ
คำว่า เทวะ นี่ จึงยิ่งใหญ่ จนสุดจะกล่าว ในเรื่องของธรรมะทั้งโลก ทางเทวนิยมเขาก็เห็นว่าเทวะ ยิ่งใหญ่ พระเจ้าเป็นเทวะผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีอะไรเทียม เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างหมดเลย เพราะว่าพระเจ้าหรือเทวะเป็นอัตตา เป็นอาตมัน หรือเป็นปรมาตมัน ที่ชาวเทวนิยมจมอยู่กับตัวตน จะไม่รู้ตัวตนกันได้ง่ายๆเลย ตราบเท่าที่ยังไม่ได้พบกับพระพุทธเจ้าหรือไม่ได้พบกับสัตบุรุษ ชาวเทวนิยม จะไม่รู้จักตัวตน เทวะ ตราบเท่าที่ยังไม่ได้พบพระพุทธเจ้าหรือสัตบุรุษ ก็จะอยู่กับตัวตน อยู่กับตัวตนตลอดกาลอันไม่มีที่สิ้นสุด เดี๋ยวนี้เขาก็ยังไม่รู้จัก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่รู้จัก อัตตา อาตมัน หรือปรมาตมัน
ซึ่งก็น่าเห็นใจมาก ผู้มีจิตนิยาม แต่รู้จักโลกุตระภูมิปัญญารู้จักโลกรู้จัก อัตตาอยู่ในโลกและอัตตาเรียกว่าโลกุตระ ก็จะจมลงอยู่กับเทวะอันอวิชชา นาน นานจนนิรันดร จนกว่าจะได้ยินสัตบุรุษพูดโลกุตรธรรมให้ได้ยิน แล้วท่านก็ปฏิบัติให้เห็นด้วยและก็มีหมู่กลุ่มที่ปฏิบัติโลกุตระเป็นสังคมโลกุตระ จะเกิด แม้แต่ยุคนี้ ที่เป็นยุคที่ศาสนาพุทธเสื่อมมามาก จนโลกุตระใน 2,500 ปีนี้ไม่เหลือแล้ว อาตมาเกิดมาก็ต้องมาฟื้น เอาโลกุตรธรรมนี้คืนมา
พอฟื้นขึ้นมาได้มีผู้เข้าใจยินดี เริ่มมีฉันทะกัน ฉันทะ ในความเป็นโลกุตระ ลึกซึ้งนะ คำว่ายินดีในโลกุตระ เพราะธรรมดาจะไม่มีฉันทะไม่มียินดีหรอก เช่น โลกุตระสอนให้มาจน เขาก็ไม่เอา ศาสนาแบบนี้ไม่เอาหรอก มาสอนให้จน สอนให้มาหมดเนื้อหมดตัวเขาก็ว่าเนื้อหมดตัวได้อย่างไรมันต้องมีมากๆสิ จะให้ไม่มีตัวตนไม่มีของของตน เขาก็ไม่เอาหรอก เขาจะไม่ยินดี แต่ผู้ที่เกิดธาตุรู้ที่เป็นธาตุรู้หรืออันประหลาด เรียกว่า อัญญธาตุ ธาตุรู้ที่ไม่เกิดในโลกียสามัญคนธรรมดาทั่วไป ผู้ใดมีธาตุรู้ตัวใหม่ แตกต่างเหมือนคนต่างดาว คนละโลกเลย โลกโลกียะก็โลกหนึ่ง ส่วนโลกโลกุตระก็เป็นอีกโลกหนึ่ง
ผู้ที่กล่าวสอนโลกุตระคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านรู้เรื่องนี้หรือ หรือสัตบุรุษ ท่านรู้เรื่องนี้หรือ โอ้โห! ได้เจอพระพุทธเจ้า ได้เจอสัตบุรุษแล้วก็ยินดี ความยินดีจึงเป็นเรื่องที่มีฉันทะเป็นมูลกา ในมูลสูตร 10 โอ้ ยินดีก็เข้าพบ เข้าคบหา เข้าคบคุ้นฟังธรรมท่าน เกิดปัญญาข้อที่ 1 2 3 4 จนเป็นปัญญา 8 ข้อ
เพราะฉะนั้นคำว่ายินดีคำนี้ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่มียินดี ไม่มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ยินดีต้องมีเป้าหมายด้วยนะ มีความยินดีในโลกุตระ ถ้าไม่มีความยินดีในโลกุตระไม่มีทางที่จะทำการมนสิการเกิดผล ไม่มีการทำใจในใจจนเกิดผล ชาวพุทธเราทุกวันนี้ก็ตาม เป็นเดียรถีย์กันนั่งหลับตาเต็ม มิจฉาทิฏฐิกัน มนสิการไปทำใจในใจอย่างมิจฉาทิฏฐิ ไปปฏิบัติการทำใจในใจของตนอย่างมิจฉาทิฏฐิ แล้วไปหลงยินดีในมิจฉาทิฏฐิ
พอพระโพธิสัตว์หรือสัตบุรุษ แต่เขายังไม่เข้าใจโพธิสัตว์ สัตบุรุษ ไม่เข้าใจในผู้สัมมาทิฏฐิ เขาจะไม่ยินดีในโพธิสัตว์ ไม่ยินดีในสัตบุรุษ เพราะไปยึดเอามิจฉาทิฏฐิเป็นที่ตั้ง เป็นที่นับถือ แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ยินดีนั้นแล้วด้วย จึงยากมากเลย ยากมากที่จะแกะออก เพราะทางโน้นเมื่อไปปฏิบัติ เมื่อไปประพฤติแล้ว อยู่ในหมู่คนมิจฉาทิฏฐิด้วยกัน มีอวิชชาด้วยกันก็จะหลงในสิ่งนั้น หลงในโลกียะนั้นว่าถูกต้อง หลงยินดีกับการได้อวยลาภ ยศ สรรเสริญสุข แก่กันและกันอยู่ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แกะไม่ออก ติดโลกียะหนัก
คนผู้ใดก็ตามถ้าเริ่มเห็นคนผู้หนึ่งในโลก คนไหนก็ตามเริ่มเห็นคนผู้หนึ่ง ก็ลองนึกถึงตัวเองกันนะใครก็ตาม ถ้าเริ่มเห็นคนผู้หนึ่ง ในโลกปัจจุบันนี้แหละ ที่เราก็กำลังมีชีวิตร่วมอยู่ด้วยนี้แหละว่า เป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็นสัตบุรุษ เป็นคนที่คุณยอมรับว่าเป็นสัตบุรุษอยู่ในโลกขณะนี้ขณะที่คุณยังมีชีวิตร่วมอยู่ด้วยขณะนี้ ดังนี้แหละจึงจะนับว่าคุณมีปัญญา นอกนั้นยังไม่มีปัญญาหรอก พวกคุณจึงเป็นพวกที่มีปัญญา ปัญญา 8 นี้จึงลึกซึ้งไม่ใช่ปัญญาโลกียะ จึงจะนับว่ามีปัญญาหรือเริ่มเกิด อัญญธาตุในจิต เห็นสัตบุรุษ หรือเห็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้
ในยุคพระพุทธเจ้าก็มี ชื่ออะไรยังไม่รู้แต่ว่าในนิยายเขามาแต่งเป็นชื่อกามนิต ที่นอนคุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืนก็ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า อย่าว่าแต่สัตบุรุษเลย ขนาดพบพระพุทธเจ้านอนคุยพุทธเจ้าทั้งคืนเขาก็ยังไม่รู้จักว่าคือพระพุทธเจ้า แต่พวกคุณแค่สัตบุรุษคุณก็รู้จักแล้วแสดงว่ามีบารมี
ยอมรับว่า คนผู้นี้เป็นผู้ปฏิบัติถูกต้องโลกุตระตามธรรมะพระพุทธเจ้าจริงๆ สัมมัคคตา เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามธรรมะพระพุทธเจ้าจริงๆ เป็นผู้บรรลุอาริยธรรมอย่างแท้จริง สัมมาปฏิปัณนา แล้วก็คบหากับสัตบุรุษ สัปปุริสังเสวะ ฟังธรรมท่าน เช่น มาพบอาตมาเห็นว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษ ก็เลยเข้ามา มาคบหา มาฟังธรรมอาตมา คุณจึงมีปัญญา จากอัญญธาตุก็มาเป็นปัญญา อัญญาเป็นธาตุรู้ ตัวใหม่ที่เป็นธาตุตัวอื่นแล้วจากที่เคยรู้มา แต่ก่อนก็รู้แบบ เฉโก ไม่ได้เป็นปัญญา แต่เขาแยกไม่ออกก็เอามาใช้แทนกันปนเละไปหมด แต่พวกเราแยกแยะได้ ก็จะไปถือสาเขาไม่ได้
เพราะว่าเรามีเชื้อของโลกุตระเกิดขึ้นมาในจิตของเรา ยิ่งได้เรียนรู้จากสัตบุรุษจริงๆก็จะได้เกิดปัญญาครบ ปัญญา 8 ซึ่งปัญญา 8 ก็จะทำความเกิดความดับให้แก่ขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ได้จบหมด คุณจะรู้จักความเกิดความดับของสังขารทั้งหลาย แล้วก็มีอภิสังขาร สามารถดับสังขารทั้งหลายได้ เป็นอุตุนิยามไปเลย อย่างนี้เป็นต้น
ปุถุชนจะเกิดธาตุรู้ขึ้นมาเองไม่ได้ ไม่มีใครเกิดธาตุรู้ขึ้นมาเองได้ พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เป็นเจ้าของปัญญาที่เป็นโลกุตรธรรม จะรู้เองไม่ได้เพราะคุณยังไม่เจอเจ้าของ หรือไม่เจอสัตบุรุษผู้เป็นลูกของเจ้าของ หรือผู้ที่เป็นผู้มีโลกุตตรธรรมในตนขึ้นมาแล้ว พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เป็นเจ้าของปัญญาที่เป็นโลกุตระธรรม และได้นำมาถ่ายทอดให้ผู้อื่นรู้ตาม แล้วคนที่ได้มาฟังตามก็จะรู้เองในตนจะมีในตนขึ้นมาเองตาม จนกระทั่งเจริญๆๆ ถึงขั้น สยังอภิญญา ถึงขั้นเป็นเองรู้เองในตนข้ามชาติ ขออภัยยกตัวอย่างอาตมา สอนไม่เหมือนเขาแล้วเหมือนมาล้มล้างเขาด้วย เขาก็ต้องเคืองเป็นธรรมดา
เมื่อผู้ที่ได้มีชีวิตข้ามชาติถึงขั้นชื่อว่า สยังอภิญญา ซึ่งต้องเกิดเป็นปัจจัตตังมาก่อนแล้ว มีของตนมาก่อนแล้ว มีภูมิสูงถึงขั้นปัจเจกบุคคลขั้นต้น จากปัจเจกขั้นต้นจึงจะเจริญสูงขึ้นเป็นสยังอภิญญา ขีดสยังอภิญญาจึงเป็นปัจเจกในระดับ 7 มีความรู้ข้ามชาติได้โดยไม่ต้องมีครูบาอาจารย์ ซึ่งผู้ที่เป็น สยังอภิญญา หากไม่ได้ได้ยินจากโอษฐ์ จากปากพระพุทธเจ้า อย่างน้อยก็ต้องได้อ่านจากพระไตรปิฎกหรือตำราของสัตบุรุษ หรือผู้ที่รู้จริง สัมมาทิฏฐิจริงเขียนไว้ จะรู้เองโดยที่ว่าไม่ได้มีเชื้อจากสัตบุรุษ จากพระพุทธเจ้า ไม่ได้
และผู้ที่จะหลับตาแล้วก็ระลึกชาติเอาโลกุตรธรรมเก่าทึ่ตนเองมีมาแล้ว แล้วก็มารู้ในชาตินี้ใหม่ขึ้นมาได้ คนผู้นั้นก็ต้องมีโลกุตรธรรมของตนเองมาแต่ชาติก่อนแล้ว ถ้าไม่มีแล้วจะมาระลึกขึ้นมาได้อย่างไร ระลึกเอาอย่างไรก็ไม่ได้ถ้าตนเองไม่เคยมีมาแต่ชาติก่อน หรือมารับรู้จากสัตบุรุษจากพระพุทธเจ้า หรือจากผู้ที่อยู่ในฐานะครูมาสอนมาพูดให้ฟังในชาติใหม่
หากคุณยังไม่เคยมีของเก่าในคลังสัญญาตนเองที่เป็นอัตตสัมมาปณิธิมาก่อน แล้วของเก่านั้นก็เป็นโลกุตระธรรมที่คุณได้เคยสั่งสมมาคือ บุพเพกตปุญญตา อีกด้วย
กำลังอธิบายในองค์ธรรม 2 ข้อ ของจักร 4 อัตตสัมมาปณิธิกับปุพเพกตปุญญตา
หากคุณไม่มีของเก่ามาก่อนคุณก็ระลึกและคิดเพ้อเจ้อไป เช่น ผู้บอกว่าตนเองเป็นพระศรีอริยเมตไตรย เป็นต้น สัตบุรุษจริงจะรู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิดซ้อนในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าองค์อื่นได้อย่างไร คนนี้ก็บ้าเท่านั้น ยุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยของพระพุทธเจ้าสมณโคดมอยู่ยังไม่หมด พระศรีอาริยเมตไตรย คือตำแหน่งของพระพุทธเจ้าที่จะมาเกิดใหม่องค์ต่อไป ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พระศรีอริยเมตไตรยไม่ใช่ชื่อบุคคลแต่เป็นชื่อตำแหน่ง
เพราะฉะนั้นคุณจะมาระลึกเอาของที่คุณไม่เคยมีของเก่ามาเลยมันก็ไม่ได้ คุณระลึกคิดไปก็เป็นการเพ้อเจ้อเอาของเก๊ๆ เละเทะเลอะเทอะ ไม่ใช่โลกุตรธรรมขึ้นมาใหม่ ไม่ได้ระลึกเอาโลกุตรธรรมของเก่าตนเองขึ้นมา
อัตตสัมมาปณิธิ คือ สิ่งที่เราตั้งจิตปรารถนาขึ้น และทำให้เกิดภาวะนั้น เป็นโลกุตรธรรมที่คุณตั้งขึ้นมาเกิดขึ้นมาในตนขณะนี้เป็นโลกุตระธรรมอันสัมมาทิฏฐิแท้ มันก็ต้องมีในตนเองมาเป็นโลกุตระก่อน เพราะในชาตินี้คุณไม่ได้มีครูบาอาจารย์ไม่ได้พบเจอพระพุทธเจ้าไม่ได้พบเจอสัตบุรุษที่ไหน คุณก็ต้องระลึกเอาของตนเองมาคุณต้องมีมาเป็นของเก่าแล้ว เพราะฉะนั้นใครจะมาโมเมโดยที่ในยุคนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า ในยุคนี้ก็ต้องมีสัตบุรุษเท่านั้น ผู้เป็นสัตบุรุษก็ต้องเป็นไก่ตัวพี่ในศาสนาพุทธยุคนี้ เพราะจะไม่มีไก่ตัวไหนใหญ่กว่าไก่ตัวนี้ พระเจ้าตรัสว่าพระองค์เป็นไก่ตัวพี่ในศาสนาพุทธ เป็นไก่ตัวพี่ถึงขนาดเป็นพระพุทธเจ้าด้วย จะมีพระพุทธเจ้าองค์ก่อนซ้อนอยู่ไหม..ก็ไม่มี แม้ในกาละอันใกล้ ก็ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้เพราะพระพุทธเจ้าแต่ละองค์เกิดมาก็ระยะเวลาห่างกันอย่างน้อยก็ 5,000 ปี หลังจาก 5,000 ปีหมดจากศาสนาพุทธแล้วก็ยังมีพุทธันดรเป็นเวลาที่ว่างจากศาสนาพุทธไปอีกนาน กว่าจะมีศาสนาพุทธขึ้นมาในโลกแต่ละยุค เพราะฉะนั้นผู้ที่พบศาสนาพุทธในแต่ละยุคจึงยิ่งใหญ่มาก มันสุดยอดแล้ว คนในโลกนี้ 7 พันล้าน พบศาสนาพุทธโดยเฉพาะที่เป็นสัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกุตระมีเท่าไหร่ ก็มีเท่านี้เล็กน้อย แม้แต่ในเมืองไทยประเทศอื่นไม่มีหรอกเพราะไม่มีชมพูทวีป จึงไม่มีศาสนาพุทธ จะเป็นพม่า เวียดนาม ลาว ก็ไม่มี มีประเทศไทยนี่แหละที่เป็นชมพูทวีป มีสุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามีสถานที่ ปฏิรูปเทสวาสะ เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สัตบุรุษจะเกิดแล้วก็มีสัตบุรุษเกิดมา ผู้มาพบและมาคบหากับสัตบุรุษ สัปปุริสูปัสสยะ คบหา
การ ตั้งตนขึ้นมาได้มีขึ้นในตน ระลึกตั้งขึ้นมาได้สำเร็จ พอได้สำเร็จ ก็เกิดปุพเพกตปุญญตา
แม้คุณจะไม่มีโลกุตตรธรรมในตนเองเลย เมื่อได้พบสัตบุรุษในโลกยุคไหนก็ตามที่มีสัตบุรุษเกิด คุณก็มาพบและคบหา แล้วคุณมาระลึกหรือว่านึกขึ้นมาได้ อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนเพื่อฟื้นตัวเองขึ้นมาได้ก็รู้สึกว่ามันตั้งขึ้นมาได้แล้วนะ ไอ้สิ่งที่ตั้งขึ้นมาได้นี่แหละคือ ความเป็นผู้มีบุญอันได้ชำระมาแล้วแต่ก่อน อันได้ชำระกิเลสมาแล้วแต่ปางก่อน เป็นที่พึ่งที่อาศัยมาเก่าแล้ว มี ปุพเพกตปุญญตา
จักร 4 (ดุจล้อรถนำไปสู่ความเจริญ)
-
ปฏิรูปเทสวาสะ (การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม) .
-
สัปปุริสูปัสสยะ (การคบหาสัตบุรุษ) .
-
อัตตสัมมาปณิธิ (การตั้งตนไว้ชอบธรรม)
-
ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำแล้วในปางก่อน ไว้เป็นที่พึ่งอาศัย) (พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 31)
ทั้ง 4 ข้อนี้สัมพันธ์กัน หมายถึงผู้ที่จะ นำกงล้อของธรรมะโลกุตระนี้เข็นไปตลอดได้ จึงเป็นหน้าที่ของผู้ที่จะเข็นธรรมจักร 4 ข้อนี้ไม่ใช่ของปุถุชนแต่เป็น 4 ข้อของผู้ที่จะเข็นธรรมจักร เกิดมาชาติไหนก็จะมาเข็นธรรมจักร 4 ข้อนี้จึงไม่ใช่เกิดของปุถุชน
ท่านได้เกิดมาในสถานที่อันเหมาะสม ท่านอาจจะมาพบสัตบุรุษอื่น แล้วท่านก็จะมาช่วยเข็นธรรมจักร ถ้ามีไก่ตัวพี่ที่เป็นสัตบุรุษที่เกิดก่อน แต่ถ้าไม่มีไก่ตัวพี่ท่านก็จะตั้งตนไว้อย่างชอบเอง เพราะท่านมีปุพเพกตปุญญตาแล้ว ฉะนั้นคนที่จะมาอวดดีบอกว่าจะมาเข็นธรรมจักรนั้น อย่าพูดเสียให้ยากเลย ธรรมจักรของคุณเข็นก็เป็นธรรมจักรซิงเกอร์ ก็เข็นกันไป ผู้ที่มีปัญญารู้ทันก็จะตามกันไปจูงกันไปก็น่าสงสาร ก็เห็นอยู่ อาตมาเกิดมาในชาตินี้ก็ได้แต่กล่าวคำว่าน่าสงสาร จริงๆมันเป็นความรู้สึกเห็นใจ เขาก็มืดบอดนะ พูดอย่างเป็นสัจจะเลยเขาไม่เห็นเราเป็นสัตบุรุษ ขนาดกามนิตนอนคุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืนฉันใด โถ จะมาไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าสักหน่อย เขาไม่เคยมานอนคุยกับอาตมาทั้งคืนด้วยไม่อยากมาไม่เห็น คือพบแล้วก็ไม่เชื่อ ไปเชื่ออย่างที่เขายึดถือ พวกคุณอาจจะเคยไปหลงเชื่ออย่างอื่นมาก่อน แต่เมื่อมาพบอาตมาแล้วก็บอกว่า อันนี้ใช่กว่า
เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นอัตตะที่เป็นโลกุตรธรรม ตนเองใฝ่หาโลกุตรธรรม อัตตสัมมาปณิธิ คือ อัตตา สัมมา ปณิธิ คือ สิ่งที่ตนเองตั้งจิตปรารถนาขึ้น แล้วก็ทำให้เกิดภาวะนั้น ที่เป็นโลกุตรธรรม ขึ้นมาได้ดังจิตปรารถนาจะให้เกิดก็ตั้งขึ้นมาให้ได้ และตรงตามของพระพุทธเจ้าคือ สัมมา ระลึกขึ้นได้ก็ตรงตามพระพุทธเจ้า จึงมีภาวะนั้นเป็นตนขึ้นมาในจิต ศัพท์ก็คืออัตตา ก็จึงระลึกขึ้นมาได้ ตั้งขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นคำว่าอัตตสัมมาปณิธิ คำว่า อัตตา อันนี้เป็นโลกุตระธรรมที่พระอาริยบุคคลย่อมมีได้อย่างไม่ได้หลงเป็นมิจฉา ไม่ได้หลงยึดตนที่ผิดมา ต้องยึดตนที่ถูกต้องเป็นสัมมา ไม่ได้เป็นคนอุตริ ระลึกตั้งตนขึ้นมาเองเหมือนพระศรีอริยเมตไตรยสมัยนี้ แต่ตัวเองต้องมีอัตตสัมมาปณิธิมาแล้ว เพราะว่าตนเองได้เคยมีปุพเพกตปุญญตาคือได้ล้างกิเลสของตนเองอย่างเป็นสัมมาทิฏฐิมาก่อน แต่ปางก่อนแล้ว ติดตัวมา มาระลึกถึงได้ในชาตินี้
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าใครก็จะมีจักร 4 มาเข็นกงล้อศาสนาพุทธอย่างในศาสนาพุทธ ทุกวันนี้มีอยู่เต็มไปหมดที่บอกว่าเป็นอย่างนั้น ก็เป็นกงล้อเซียงกงเท่านั้น
สู่แดนธรรม…อย่างพวกเราก็อธิบายจากข้อ 4 มาก่อนก็น่าจะได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…ได้ ยิ่งยุคนี้ไม่มีสัตบุรุษอื่น ถ้ามีสัตบุรุษที่เป็นไก่ตัวพี่ แล้วคุณไม่รู้ไม่เห็นไก่ตัวพี่ ที่เป็นสัตบุรุษแท้คุณอาจจะเห็นแต่คุณไม่เชื่อก็ปิดประตูไป อันนี้ก็น่าเห็นใจไม่รู้จะไปบังคับความรู้ บังคับความเฉลียวฉลาด บังคับความเห็นกันนั้น บังคับกันไม่ได้
บุพเพ + กต + ปุญญา และ + ตา
ปุญญะ คือการฆ่ากิเลส กต คือการทำได้สำเร็จแล้ว แต่เขาอธิบายคำว่าบุญไม่ได้ บุญต้องทำฌานมาก่อน จับตัวกิเลสได้แล้วก็เผากิเลสได้สำเร็จจึงเป็นบุญ บุญจึงเป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่มากที่ทำหน้าที่ มาปะหน้าว่า กิเลสตายหมดแล้วนะ ฆ่าให้แล้วนะ ประหารให้แล้วนะ แล้วบุญก็หายไป ไม่อยู่มารอรับหน้า ไม่รับสรรเสริญ ไม่รับยกยอ ไม่รับผลตอบแทนอะไร ไม่มี ปุญญา ไม่มารับผลตอบแทนอะไร
ผู้ที่มี ปุญญะมาแล้ว กต ได้ทำมาแล้ว ปุพเพ ก็เป็นของเก่าที่ระลึกขึ้นมาได้นี้ ที่จริงแล้วก็คือ ศัพท์ที่เป็นไวยพจน์กันคือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ส่วนคำว่า ตา เป็นตัวตบท้ายคือ ภาษาที่ทำให้บอกว่า นี่เป็นคำนามนะ
เป็นคำนามนะ แต่ไม่ใช่นาม อย่าไปเข้าใจ ปุพเพกตปุญญตาเป็นนาม แต่เป็นภาษาที่เรียกว่า คำนาม
เพราะคำนี้หมายถึงรูป คำว่าปุพเพกตปุญญตาหมายถึงรูปที่เคยเป็นนามมาในอดีต
ภาษาว่า คำนาม นี้คือภาษาหรือคำความที่พูดถึงกิริยาหรือนามธรรม อันเคยทำให้เกิดมาได้แล้วเท่านั้น ไม่ใช่กิริยาจริงๆที่กำลังเกิดในปัจจุบันนี้ดอกนะ มันแค่คือภาษาบอกให้รู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ที่มันเคยมีเคยเป็นกิริยานั้นๆมาแล้วในกาลก่อน คืออดีตที่พูดถึง แม้ว่าเคยเป็นนามในอดีตเอามาพูดถึงจึงเรียกว่า คำนาม
อาตมาอธิบายแยกแยะทั้งภาษาและสภาวะ แต่ทุกวันนี้คนได้แค่ภาษาความรู้ไม่เข้าถึงสภาวะ พูดแล้วก็นึกถึงผู้ที่เป็นปราชญ์ศาสนาพุทธในปัจจุบันนี้ แล้วตัวเองไม่พ้นแม้แต่สักกายทิฏฐิที่เป็นสังโยชน์ข้อ 1 เราเข้าใจคำว่า กายไม่ได้ เข้าไม่ถึงสักกะคือตน เข้าใจกายก็ไม่สัมมาทิฏฐิ ขออภัยที่พูดเหมือนตีทิ้งเขาหมด
พูดแล้วก็นึกถึงเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งสมัยเป็นฆราวาส เขาเป็นหัวหน้าคณะละครวิทยุแล้วให้อาตมาเป็นตัวแสดงด้วย อาตมาก็ต้องไปรับจ้างเขาแสดง ตอนนั้นอาตมาเริ่มปฏิบัติธรรมแล้ว เขาบอกว่าให้ไปพบท่านประยุทธ์ ปยุตโต ท่านเป็นปราชญ์เขาก็แนะนำให้อาตมาไปพบ อาตมาก็คิดว่าเพื่อนคนนี้เขาจะเข้าใจหรือ คนนี้เป็นผู้หญิงนามสกุลปราณีประชาชน ซึ่งเป็นนามสกุลใหญ่นะ
คำที่อาตมากำลังกล่าวก็ตาม เป็นคำนาม เป็นคำกล่าวเอามาบอก ขณะนี้ได้นำสัญญาเก่าที่เคยเกิด ซึ่งตอนนี้เป็นเพียงความจำที่ตกผลึกแล้วเป็นสัญชาตญาณ เป็นสัญชาติของอาตมาเท่านั้น มันเดินทางผ่านกาละมาแล้ว แม้จะเคยเกิดเป็นกิริยาหรือนามเป็นอดีตเคยเกิดมาแล้ว เมื่อผ่านปัจจุบันอันโน้นมาแล้วก็มาเป็นผลของกรรมดั้งเดิม ที่เคยทำมาแล้วนำมาพูดใหม่ตอนนี้
ตอนนี้เป็นอดีตกรรม แค่นำมากล่าวขึ้นเป็นภาษาบอก ถ้าคุณไม่เชื่ออาตมาไม่นับถืออาตมา คุณก็ไม่ฟังหรอก เพราะมันยาก มันเข้าใจยาก
-
ถ้าคุณมีบารมีพอฟัง ก็บอกว่าฟังดูเข้าท่า
-
คุณก็บอกว่าบุคคลผู้นี้น่าฟัง แสดงธรรมพูดธรรมะ เข้าท่าแฮะ คุณก็สนใจยินดีมาฟังก็ได้รับฟังได้รับรู้ไปเรื่อยๆ