640505_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ หมู่บ้านสาธารณโภคีมีจริงได้แม้ใกล้กลียุค
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1STIeqSR-Dg6zUM8ggqBNZC4eDgcnYTmj1NG7oMG9VRU/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1BSGvPRDkmcylQn54_Bzva5VAkBcBG_9K/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/493979631741734
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ปัญหาโควิดในประเทศไทยก็สร้างความเดือดร้อน รัฐบาลก็เร่งแก้ไข ฝ่ายค้านตีกระแสจะออกไปอยู่ต่างประเทศ
สาธารณโภคีที่ยิ่งกว่ายูโทเปีย
พ่อครูว่า…ที่อาตมาพาทำ อาตมามั่นใจว่าเป็นโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆซึ่งพูดไปแล้วคนไม่เชื่อเขาก็ไม่เชื่อ ทั้งๆที่เราพูดไปก็มีคนเข้าใจ เข้าใจแล้วเห็นดีเห็นงามมาปฏิบัติตาม ปฏิบัติตามแล้วก็บรรลุธรรมได้มรรคได้ผล ตามที่เห็นดีเห็นงาม ปฏิบัติแล้วก็ได้ ได้แล้วก็เปลี่ยนแปลงชีวิตมา ไม่ใช่คนเดียวก็เปลี่ยนชีวิตมาเป็นคณะหลายคน รวมกันจนกระทั่งกลายเป็นชุมชนแบบนี้ถึงขั้นสาธารณโภคีเลย
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากเลยสาธารณโภคี มันเป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึง คิดไม่ออกได้หรอก พวกคุณว่าเป็นจริงได้ไหม พวกเราก็อยู่ในสาธารณโภคีกันจริงๆคือมีส่วนกลางเป็นสาธารณะ จะกินจะใช้อะไรก็รวมกันกับกองกลาง ซึ่งโลกยุคนี้เป็นโลกใกล้กลียุค ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้นะ ในยุคที่ไม่ถึงขนาดนี้น่าจะทำได้ก่อน แต่มันไม่มีคนพาทำ มันไม่มีใครสามารถที่จะอธิบายให้คนเห็นจริง แล้วก็รู้ว่าอย่างนี้ดีเหมือนพวกคุณ อาตมาอธิบายจนเข้าใจเห็นจริงเหมือนพวกคุณ ก็เห็นว่าดีกันก็เอามาชีวิตมาทิ้งทางนี้เลย จนกระทั่งก็เผากันไปหลายคนแล้วเอามาทิ้งไม่ทันที่จะตายไปหลายคนก็เผากันหลายคนแล้ว หลายคนก็บอกว่าอันนี้แหละอยู่ทางนี้แหละให้ทางนี้เขาไปเลย สบาย ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงใจจริงๆเลย
เป็นเรื่องที่พิสูจน์ยืนยันกันในโลกซึ่งคนยังไม่กระดิกหูในเรื่องสาธารณโภคี คนที่มีปฏิภาณปัญญาฟังเพราะรู้เข้าใจคืออะไร แต่ก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันยิ่งกว่ายูโทเปีย เป็นเรื่องจริงใจทางจิตวิญญาณ ตามความหมายของเขาคือเอาคนมารวมกันกินใช้ส่วนกลาง เขาก็พยายามกันที่จะทำมีหลายกลุ่มในโลก แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ไปไม่ได้ยืนยาวเท่าไหร่ก็อ่อนแรงสลายไป
แต่อาตมาพาทำสำเร็จมา 50 กว่าปีแล้ว แล้วก็จะทำต่อไป ยูโธเปียยังไม่เป็นผลสำเร็จ ยังเป็นความคิดของโทมัสมอร์เฉยๆ แต่ยังไม่มีการ เอามาอธิบายพิสูจน์ยืนยันอะไรกัน จนกระทั่งมีคนเห็นด้วยและมาปฏิบัติเหมือนกับคอมมิวนิสต์ ที่เอามาปฏิบัติจนสำเร็จ แต่ ยูโธเปีย อันนี้สูงส่งกว่าคอมมิวนิสต์ มันเป็นของส่วนรวมที่เป็นไปด้วยจิตวิญญาณ คอมมิวนิสต์ยังมีกฎระเบียบกฎหมายบังคับอีกเยอะ แต่สาธารณโภคีไม่ได้บังคับ เป็นการสมัครใจเข้ามาเป็นสมาชิกของสาธารณโภคีเอง เป็นอิสระเสรีภาพ
ซึ่งในยุคนี้พิสูจน์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันก็เป็นไปได้แล้ว และเป็นกลุ่มเป็นแก่นเป็นก้อนหยั่งราก ทุกอย่างก็ต้องเสื่อมต้องสูญ แต่อันนี้มันจะไม่สูญไปง่ายๆหรอก มันจะอยู่ไปอีก 100 ปีหลายร้อยปี 500 ปี ทุกวันนี้เจริญกว่านี้ มีคนเข้าใจยินดีเห็นด้วยมีจำนวนประมาณอย่างนี้ ต่อไปคนจะมาเพิ่มขึ้น จะมีอัตราการก้าวหน้าไปได้เรื่อยๆจนถึง 500 ปี (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท…พ่อครูสร้างมาเราก็ได้อาศัย
พ่อครูว่า…
sms
_ประเสริฐ จริยา : กราบนมัสการพ่อครู สมณะ สิกขมาตุค่ะ การออกมารักษาตัวอยู่ข้างนอก (ป่วยทางด้านสมองและอาการดีขึ้นเป็นที่น่าพอใจของหมอ)ตอนนี้ข่าวแม่เพนกวินโกนหัวประท้วงศาลให้ปล่อยลูกและมีพิธีกรบางคนสนับสนุนเห็นด้วยตามตรรกะผู้มีปัญญาทางโลกว่าแม่ทำถูกแต่เรามองว่าแม่ควรสอนลูกให้รู้ผิดถูกอย่างโลกุตระจะดีกว่า มิตรดีสหายดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ทุกวันนี้ดิฉันให้เงินทุน 1 ล้านบาทกับหลานสาวเรียนแพทย์ พร้อมทำทานข้าวสาร และผลไม้กับบุคคลทั่วไปอย่างนี้ทำกุศลได้น้อยกว่าฝึกอยู่ในวัดใช่ไหมคะ ถ้าหายแล้วจะกลับไปเป็นนักรบอยู่วัดค่ะ
พ่อครูว่า…ใช่ ถ้ามาปฏิบัติก็ดีกว่าไปทานธรรมดา ทานก็ทำได้ด้วย ซ้อนไป ถ้าหายแล้วก็เชิญ
ปัญญาวิมุติเป็นตัวจบหรือไม่
_วันชัย สหมโนธรรม : ถ้าเราเจอผัสสะแล้วเราเกิด.ราคะ โทสะ เราต้องใช้ปัญญาวิมุต เป็นตัวจบใช่ไหมครับ.
พ่อครูว่า…เจโตวิมุติก็จบได้ ปัญญาวิมุติก็จบได้ แต่ ถ้าเจโตวิมุติ คือ จิตมันดับไปตะพึดตะพือ เจโตนี่มันไม่มีปัญญา ไม่ได้แยกแยะมันดับทางจิต ดับไปเรื่อยๆก็ดับได้เหมือนกันเรียกเจโตวิมุติ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีปัญญา รู้ว่าเราไม่ใช่ดับทั้งยวงของจิต แต่ดับเฉพาะกิเลส ต้องแยกแยะกิเลสออกจากจิต แล้วก็ดับเฉพาะกิเลสให้ได้ จิตก็ยิ่งจะใสสะอาดมากขึ้นเป็นอย่างนั้น สิ่งหนึ่งเกิดสิ่งหนึ่งตาย เพราะฉะนั้นวิมุติของศาสนาพุทธหรือว่าทำฌานกำจัดกิเลสได้ ฌานหรือวิมุติได้
ผู้ที่ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า ยิ่งจิตเป็นฌานแล้วฆ่ากิเลสได้เป็นบุญที่เป็นตัวปลายของฌาน จิตยิ่งสดใสเบิกบานจิตยิ่งแคล่วคล่อง ไม่ใช่ยิ่งทื่อเฉื่อยๆ กายก็ยิ่ง นัจจะคีตะวาทิตะก็ยิ่งคลอ่งตัว อย่างอาตมา กิเลสตายไม่ได้ดับจิตสะกดจิตทั้งดวง แต่กำจัดกิเลส กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมก็ยิ่งคลอ่ง ท่าทีลีลา สุ้มเสียงสำเนียงก็ยิ่งใส วาทิตะก็ยิ่งสรรหาคำที่เหมาะควรมาพูดได้เยอะแยะมากมาย นั่นคือฌานสมาธิวิมุติของศาสนาพุทธ แต่ของฤาษีนอกรีตยิ่งช้าเฉื่อยๆแข็งทื่อไม่พูด ยิ่งไม่เอาใจใส่ก็ยิ่งดับนิ่งคนเดียว หนีสังคม หนีสัมผัส มันมีนัยยะต่างกันชัดเจน
_พิสิษฐ์ นฤนาทดำรงค์ · # ผลเกิดมาแต่เหตุ ไม่มีเหตุ ผลไม่ตามมา เหตุก็คือความอยากความอยากคือพาหะไปสู่ผล.
พ่อครูว่า…ถูกต้อง
_Pornthip Thaiiad · พรทิยพ์ ไทเอียด… กราบขอบคุณสิกขมาตุรินฟ้าที่ทำให้ได้เข้าใจระดับจิตของตัวเอง ได้ทำความเข้าใจในการปฏิบัติของตัวเองว่าเราทำได้จริงหรือไม่ได้ มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน ขอบคุณมากค่ะ
_แก่นนวน มาลัยขวัญ · พ่อครูมีประมาณที่ถูกต้องแล้ว. เจ้าค่ะ“เมตตาเกินประมาณพบคนพาลทั่วเมือง”พี่น้องญาติธรรมทุกคนเชื่อพ่อครูนะคะ
_พิณเจ็ดสาย แห่ง ตำหนักวังสิสิร : มีคนว่าภาษาไทยเป็นภาษาที่ยากที่สุดในโลก…เห็นจะจริง
พ่อครูว่า…ภาษาไทยมีวรรณยุกต์ อาจจะจริงภาษาไทยนี่ยากที่สุดในโลก
_Veraro ANN (เวราโร แอน) : สภาวะธรรมเป็นเครื่องตรวจสอบสุข คือสุขทางกาย โสมนัส คือสุขทางใจ อันใดที่เกิดจาก กามคุณห้า นี้เรียกว่า กามสุขถ้ารู้แบบนี้ คือปุถุชน แต่ อริยะ ผู้มีปัญญาจักขุ แล้ว จะเห็นสิ่งนี้ด้วยความเป็นทุกข์
_สิรภพ สุขพูล : กราบนมัสการ พ่อครูฯ เช้านี้วันจันทร์ที่ 3 พ.ค. ผมฟังธรรมพ่อครูฯ ผมมีความรู้สึกว่า.พ่อครูบรรยาย ธรรมมะ เหมือน จะ เนือย ๆ ผมมีความรู้สึกว่า พ่อครูฯ สุขภาพไม่ค่อยดีเลยครับ
พ่อครูว่า…ขอบคุณที่เป็นห่วงเป็นใย อาตมาก็ยังไม่ถึงสุขภาพไม่ดี มันก็ดีอยู่แต่เป็นไปตามวัยบ้าง ไม่ใช่จะแข็งแรงฟิตเปรี๊ยะเหมือนอายุ 30 40 เท่านั้นเอง เป็นธรรมดาธรรมชาติตามสมวัย
_7649 : ขอน้อมคารวะพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงครับ ประเสริฐ จริยา ถ้าเราไม่ได้มรรคผลในชาตินี้ตั้งแต่โสดาบัน เกิดชาติหน้าถ้าไม่พบพุทธแท้ ๆ สอนคงทุกข์แน่นอนคิดแล้วน่ากลัวจริง ต้องเพียรเรียนรู้กิเลส ลดละให้ได้ตามปัญญาของเราให้มากเท่าที่จะมากได้ ชาตินี้เกิดมาพบพุทธแท้ ได้ฟังคำสอนแล้วเข้าใจและมีสัมมาฯ พ่อบอกว่าไม่ใช่ง่าย ๆ คงมีวาสนาบารมีระดับหนึ่ง กราบนมัสการพ่อ สมณะ สิกขมาตุค่ะ
_แดง ลานกราบ : บางทีก็เบื่อนะคะยิ่งฟังยิ่งตามไม่ทัน ยากมากที่จะเข้าใจ ตอนนี้ขอทำเท่าที่ทำได้คือ ทำใจไม่ให้มีความหมองให้ได้ก็พอค่ะ ถึงเบื่อก็ขอตามฟังไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตามทันค่ะฟังจนกว่าจะเข้าใจได้ค่ะ
_ตุ๊ก อัศวิน : ‘ตรีตา’ หมายถึง ๑. ตาเนื้อ(รูปนาม ขันธ์๕) ๒. ตาทิพย์(ตาเทวธรรมแบบโลกียะ ถูกหลอกได้เพราะเป็นธรรมสอง) ๓. ตาปัญญา(ปัญญาทางโลกุตตระ ปัญญาที่เห็นสภาวะตามความเป็นจริง เป็นสัจจะ)..เช่นนี้..ชิมิ..เจ้าคะ
พ่อครูว่า…
_ประเสริฐ จริยา · ดิฉันจริยา มีประเสริฐ การที่เราอยู่วัดแล้วออกมาอยู่ข้างนอกหรืออยู่บ้านถือว่าตกร่วงทั้งนั้นทำไปตามลำดับ ถ้าเราอยู่วัดในส่วนกลางไม่ได้ไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ตาม เช่นใช้วิบาก หรือป่วยนั่นแหละเราเสื่อมในทางธรรม ถ้าไม่เสื่อมก็ต้องอยู่ในส่วนกลางให้ได้ แม้ว่าจะป่วย เพราะดีกว่าอยู่บ้านหรืออยู่ข้างนอก ได้เห็นความเฉโกในปัญญาของคนที่ตกร่วง กลับไปอยู่บ้านมักจะพูดเข้าข้างตนเองว่าฉันอยู่วัดก็ได้แตฉันต้องใช้วิบาก เราเห็นว่าอย่างน้อยเราก็ใช้เงิน อยู่บ้านตามใจกิเลส แล้วมันดีกว่าคนอยู่วัดตรงไหน ซึ่งไม่จริงเลยค่ะ
กรรมฐานกินอยู่หลับนอนของพุทธ
_“…กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง
เวลามีคนมาตำหนิพ่อครู จะด้วยอคติ หรือไม่เข้าใจที่พ่อครูประกาศตัวเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระอรหันต์ อย่างไรก็ตาม และยังบอกว่าพ่อครูแสดงธรรมผิดอย่างนั้น ผิดอย่างนี้ ขอเรียนถามว่าจะสมควรหรือไม่ ที่จะขอให้พ่อครูช่วยเล่าถึงประสบการณ์ในการฝึกฝนตนเอง เรื่องการกิน อยู่ หลับ นอน ด้วยความมุ่งมั่น ฝึกจิตด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งจริงจัง ทั้งลำบากยากเย็นอย่างไร จึงสามารถบรรลุธรรมจนถึงวันนี้ได้ เพื่อจะได้ลดอคติของพวกเขาเหล่านั้นลง และเพิ่มศรัทธามากขึ้น แม้พวกเราเองบางคนก็จะได้มีโอกาสเข้าใจมากยิ่งขึ้น จากปกติมีความศรัทธาอยู่แล้ว ก็ยิ่งจะศรัทธาเพิ่มมากยิ่งขึ้น และหันมาฝึกฝนตามเทคนิควิธีการของพ่อครูเพิ่มมากขึ้นด้วย…”
ควรไม่ควรสุดแล้วแต่พ่อครูจะโปรดพิจารณาครับ
ขอกราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง
สมณะน่านฟ้า สุขฌาโน
พ่อครูว่า…พูดมาตั้งไม่รู้กี่ทีแล้วที่อาตมาประพฤติปฏิบัติมีประสบการณ์มา ท่านก็เป็นนักอ่านนะ เจริญชีพด้วยการก้าวเต็มที่ไม่ยาวไม่มากเท่าไหร่ ปฏิบัติอย่างไรก็บอกไว้ชัดเจน แล้วยังจะให้มาพูดซ้ำซาก ก็มีความคิดจะให้อาตมาพูดเรื่องการปฏิบัติ การปฏิบัติคือการกินอยู่หลับนอนนี่แหละ
ที่จริงก็ถูกต้อง อาตมาก็พูดอยู่บ้างตลอดเวลา ไม่ได้ปล่อยปละละเลย เพราะการกินอยู่หลับนอนคือ อปัณณกปฏิปทา 3 ซึ่งเป็นการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าที่ไม่ผิด กินอยู่หลับนอน
เป็นอยู่คือ สำรวมสังวรอินทรีย์
กิน คือ โภชเนมัตตัญญุตา
หลับนอน คือ ชาคริยานุโยคะ
เขาบอกว่าชาวอโศกมีกรรมฐานอย่างไร ก็บอกว่ากิน อยู่ หลับ นอน อาจารย์ต่างๆก็งงเขาไม่ทราบไม่รู้ เพราะว่าเขาได้เสื่อมไปจากศาสนาพุทธไปแล้ว ไปนั่งหลับตานั่นคือความเสื่อมสนิทสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ศีลสนิทหรือซื่อสนิทนะ นี่เขาเสื่อมสนิท ไม่ได้แกล้งพูดนะ ไปนั่งหลับตาเป็นเดียรถีย์ 100% พูดแล้วพูดอีกจนกระทั่งไม่มีใครเห็นอย่างนี้ว่าเป็นตัวสำคัญ จะพอรู้ก็ไม่กล้าพูดเพราะไม่มีความเข้าใจชัดเจน อาตมามีความเข้าใจชัดเจนและมีความเข้าใจในหลัก อปัณณกปฏิปทา 3 ซึ่งในวิชชาจรณะที่เป็นพุทธคุณ 9 เลย ถ้าไม่มีอันนี้ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย นี่ก็เป็นการยืนยันแข็งขันแรงมาก
คนที่หลับตาปฏิบัติออกนอก 3 ข้อนี้ก็น่าจะสะดุ้งเฮือกว่าหลงผิดมานานแล้ว หรือไปเป็น กลุ่มหมู่เป็นเดียรถีย์เต็มบ้านเต็มเมือง พวกชาวอโศกมีนิดเดียวแต่พวกโน้นมีไม่รู้กี่สำนัก สำนักอาจารย์มั่นเป็นต้นนั่งหลับตากันอีกไม่รู้กี่สำนักทั้งนั้นเลย ซึ่งมันได้ผิดถนัดเลย มีพวกเราเป็นเจ้าเดียวที่พูดเรื่องเหล่านี้นอกนั้นไปหมดเลย เพราะฉะนั้นก็เลยมันยากจริงๆพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วใน อาณิสูตร ท่านก็บอกว่า ในอนาคตโลกุตรธรรมจะเสื่อมสลายไปเหมือนกลองอานกะ ถูกเปลี่ย ถูกครอบ เปลี่ยนแปลงสาระแก่นแท้ไปหมด ไปได้ของปลอมเปลือก แล้วยึดติดเปลือกว่าเป็นแก่น เอาเรื่องปลอมมาเป็นแก่น ซึ่งมันน่าสงสารพูดไปแล้วไม่รู้จะทำยังไง
แล้วเขาก็ปักมั่นเหลือเกิน ซึ่งมันยากมากที่ในยุคกึ่งพุทธกาลแล้ว เขาได้หลงผิดเป็นถูก ยึดแต่ความผิดเป็นความถูกอย่างมั่นใจ เมื่อคนถูกเอาความถูกมาพูด เขาก็ฟังไม่ขึ้นเห็นเป็นตัวตลก เห็นว่าจะเป็นตัวมาทำร้ายขัดแย้ง ที่อาตมาพูดได้ทุกวันนี้เพราะมีพระไตรปิฎกเป็นหลักฐาน แม้แต่จรณะ 15 วิชชา 8 เท่านี้แหละรวมคำสอนเป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้า เป็นหนึ่งในพุทธคุณ 9 ของพระพุทธเจ้าอันนี้เป็นตัวเนื้อเลย คือ วิชชาจะระณะสัมปันโนคือเนื้อหาแท้ๆของศาสนาพุทธ เขาก็เถียงไม่ได้เพราะว่าเรายืนยันหลักฐาน เขาก็จำนน แต่ก็ยังไม่เชื่ออยู่นั่นเอง ผ่านมา 50 ปีแล้ว อาตมามายืนยันปฏิบัติตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระธรรม เป็นโพธิปักขิยธรรมหรือศีลสมาธิปัญญาที่สัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่อย่างที่เขาปฏิบัติ ศีลก็ไปอย่างหนึ่ง สมาธิก็ไปนั่งหลับตา ส่วนปัญญาก็ไปเรียนเอาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งมันไปกันใหญ่ ผิดไปจากธรรมะพระพุทธเจ้า แยกส่วนศีล สมาธิ ปัญญา กันไปหมด หั่นเป็นตอนๆๆไปเลยตัดขาดเป็นตอนๆไป
ก็ยังมีผู้ปฏิบัติได้ผล มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ตราบใด โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ เปรี้ยงเลย อาตมายืนยันตนเองว่า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็น สยังอภิญญา จริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลย ปางนี้ไม่เคยรู้อย่างนี้ อาตมารู้ของอาตมามาก่อนเอง ชาตินี้อาจารย์ต่างๆก็ไม่เหมือนอาตมาด้วยขัดแย้งด้วย เพราะฉะนั้นถ้าหากอาตมาผิดเขาก็ถูก ถ้าหากอาตมาถูกเขาก็ผิด พูดกันมา 50 กว่าปีแล้วยืนยันกันชัดเจน พูดไม่ไว้หน้าไม่เกรงใจว่ามันผิด
มันผิดแล้วอธิบายเอาพยัญชนะหลักฐานเนื้อหาสาระด้วยมาประกอบยืนยันอ้างอิงอธิบายเช่น มันผิดไปตั้งแต่คำว่า กาย
ซึ่งเป็นคำแรกที่จะต้องเรียนรู้ เริ่มบวชปั๊บ มีธรรมวินัยให้อุปัขฌาย์แยกกายแยกจิตก่อนอื่นเลย ถ้าไม่เข้าใจแยกกายแยกจิตได้ไม่มีทางได้เป็นอรหันต์ บวชได้แต่เพื่อความเป็นอภิสิทธิ์ บิณฑบาตเลี้ยงชีวิตไปจนตาย คนเขาเคารพผ้าจีวร มันก็เลยกลายเป็นเรื่องเปลือกๆเรื่องแย่เลย มันแย่อะไรไม่แย่เท่ากับเขาเข้าใจผิดไปหมดแล้ว เมื่อเราเอาของถูกมาประกาศยืนยัน ดันจะมาล้มล้างของที่ถูก แล้วไปยึดถือสิ่งที่ผิดซึ่งมันน่าสังเวชใจ น่าสงสารจริงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็ทำอยู่อย่างที่อาตมาพาทำ
อาตมาจะลากสังขารไปให้ยาวที่สุดฟื้นร่างกายไม่อยากให้ตายง่ายๆ เพื่อที่จะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ใครจะบอกว่าวนเวียนซ้ำซาก ซึ่งพระพุทธเจ้าบอกว่าสัจจะมีหนึ่งเดียวด้วยซ้ำไปมันจะไม่ซ้ำได้อย่างไร
แนวคิดการรับประทานอาหารมังสวิรัติของพ่อครู
_คุณไพฑูรย์ถามมาว่า พ่อท่านทานม้งสวิรัติ เริ่มมาจากหลักธรรมหรือแนวคิดอะไรครับ
พ่อครูว่า…เรื่องที่อาตมากินมังสวิรัติก็ไม่ได้ไปเอาของใคร แต่ก็มีคนที่กินมาก่อนบ้างเช่นพวกคนจีน แต่ทั่วไปเขาก็ไม่รู้เรื่องมังสวิรัติกันหรอกมีแต่เจจีนกัน ที่อุบลราชธานีก็มีร้านเจไม่กี่ร้าน พออาตมาเอามังสวิรัติมาลงก็รู้จักกันทั่วเลยว่าเป็นมังสวิรัติ ทำหนังสือหนังหาออกเผยแพร่ด้วยจนคนเข้าใจมังสวิรัติได้ดี
ที่ถามมาว่าเริ่มจากหลักธรรมหรือแนวคิดอะไร? ถามลึกซึ้งดี
แนวคิดที่ไม่กินเนื้อสัตว์ มันลึกซึ้งถึงกรรมถึงวิบาก หลักธรรมของกรรมของวิบาก ลึกซึ้งมากนะเรื่องกรรมวิบาก ใครไม่เชื่อกรรมไม่เชื่อวิบาก ไม่เชื่อว่ากรรมเป็นของของตนไม่เชื่อว่าความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้เรื่องกรรมวิบาก
ศาสนาเทวนิยมสอนเรื่อง god ติดกันแน่น ศาสนาพุทธสอนเรื่องกรรม ไม่ได้ติดกันแน่น
กรรม เป็นการเคลื่อนของกิริยา กิริยา กาย วาจา ใจ กรรมคือการเคลื่อน อาการเคลื่อน แล้วก็ทำให้เกิดบทบาท เกิดเคลื่อนเป็นบทบาททางกายวาจาใจ แล้วกรรมเป็นทรัพย์ ใครกระทำกรรมแล้วก็เป็นอันทำ ทำแล้วจะบอกว่าไม่ทำไม่เป็นวิบากไม่ได้ ทำแล้วสั่งสมเป็นวิบากเลย ติดตัวเป็นของๆตน ไม่หายไปไหน แม้คุณจะทำลืมๆอยู่ มันก็ออกฤทธิ์อยู่ในตัวไม่ว่าคุณจะลืมมันออกฤทธิ์โดยคุณไม่รู้ตัวด้วย กรรม มีผล มีฤทธิ์มีแรงเป็นวิบาก
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงให้เรียนรู้เรื่องกรรมยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ถามว่า อาตมามีแนวคิดอย่างไรในการกินมังสวิรัติ เพราะว่าอาตมานึกถึงกรรมวิบาก มันรัก ชัง ผูกพยาบาท
ไปกินเนื้อเขา แน่นอนเราไม่ได้ไปกินอย่างเป็นๆหรอก แล้วรู้ไหมว่า ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน มันก็ยึดติดเป็นตัวกูของกูเท่าไหร่ ขนาดคนนี่ศึกษาว่านี่ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ก็ยังยากเลย ยึดอย่างกับอะไร แล้วสัตว์เดรัจฉานมันจะไม่รู้หรือว่านี่เนื้อหนังของกู ตายไปแล้วก็ยังของกูอยู่นั่นแหละ แต่มันก็ไม่โง่เท่ากับมนุษย์ มันก็รู้วาระที่ตายแล้วก็ทิ้งร่างไป แต่คนนั้นยังมีตัวกูของกูเยอะ แม้ตายแล้วก็ไม่ยอมทิ้งร่างจนกลายเป็นคนไม่เน่า เป็นคนโง่เป็นคนมิจฉาทิฏฐิ คนที่ตายแล้วไม่เน่าแล้วก็กราบเคารพคนมิจฉาทิฐิ คนอวิชชา สอนกันมาผิดๆแล้วยึดถือกันผิดๆแล้วกลายเป็นคนผิดตายแล้วก็คือตาย จิตวิญญาณก็ต้องออกไปหมด ระดับของจิตนิยามหายไปแล้วเหลือแต่ พีชนิยาม เพราะว่าไม่ได้เรียนรู้ความละเอียดลึกซึ้ง
ถ้าได้อาหารเหมือนกับพืช ก็จะอยู่ไปอีกนานไม่เน่า ทำปฏิกิริยาเป็นพืช คนตายแล้วยังมีเชื้อพืชอยู่ ไม่เน่า เนื้อหนังมังสา เล็บ ผม ก็ยังเหมือนเดิม ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิที่ไปเรียนมาผิด ไปนิยมนับถือบูชาใส่โลงกระจกโลงแก้วปิดทองเข้าไปอีก นี่คือมิจฉาทิฏฐิ
พระพุทธเจ้าสอนให้ทิ้งอะไรก็ไม่ใช่ของเรา นี่ยึดเป็นเราจนกระทั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาว่ายึดถือในเรานี่แหละยิ่งไม่เน่า ยิ่งเป็นผู้ที่มีความเก่งทางธรรมะ ถือว่าเป็นความพิเศษซึ่งมันตรงกันข้ามกัน ไปยึดถือความผิดไปเป็นความถูกต้อง เป็นเพียงความเข้าใจผิดเลยการเอาความโง่มาเป็นความฉลาด มานับถือความโง่เป็นความฉลาด
อาตมากินมังสวิรัติเพราะว่าเป็นแนวคิดที่ลึกซึ้ง และใช้พวกนี้เอามาขยายความอยู่ทุกวันนี้ ด้วยมังสวิรัติ อาตมาอธิบายไปก็ยังรู้สึกว่าตัวเองอธิบายยังไม่เก่ง ยังไม่ถึงแก่นที่อาตมาทำไมต้อง อาตมาเผยแพร่ธรรมะเอามังสวิรัติเป็นบุญญาวุธหมายเลข 1 เลยนะ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ก็ค่อยเข้าถึงเนื้อหาปรมัตถ์
_ใจประณม ..อยู่บ้าน แทบจะไม่ออกไปไหนเลยค่ะ กลัวเป็นอโศกคนแรกที่ติดโควิด
จักษุ 5 ของพุทธ
_ฝากถวายพ่อครูด้วยครับ..
จักษุ 5 พระไตรปิฎกเล่มที่ 30 ข้อ 492
ข้อ 1 มังสะจักษุ
ข้อ 2 ทิพยจักษุ
ข้อ 3 ปัญญาจักษุ
ข้อ 4 พุทธจักษุ
ข้อ 5 สมันตจักษุ
อีกเรื่องหนึ่งคือการพิจารณาธรรมเป็น 2 อย่าง จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 ข้อ 390 เป็นธรรมะที่จัดในหมวด 2 อยู่หลายข้อ ครับ
พ่อครูว่า..ทิพยจุกษุ คือรู้รายละเอียดลึกขึ้นเหมือนได้ยินเสียงดนตรีมาแต่ไกลก็แยกออกว่า นี่เสียงกลอง นี่เสียงตะโพน นี่เสียงเปิงมาง เพราะเรามีภูมิปัญญาแยกแยะออกได้ นี่คือตาทิพย์ของพระพุทธเจ้า มีนิมิตแยกลิงคะออกได้
ทิพยจุกษุ แยกออกเป็นสองได้ อันหนึ่งเป็นทิพย์อันหนึ่งเป็นธรรม กลองเหมือนกันแต่กลองก็มีต่างกันอีก ชื่อนั่นชื่อนี้
ถ้าไปเอาความหมายที่เวทนา 2 มี เวทนาแท้ เป็นความรู้ตรงทุกคนสัมผัสก็เห็นอย่างเดียวกัน อีกอันหนึ่งเป็นการปรุงแต่งพิเศษของส่วนตัวของใครของมันเช่น ชอบ ไม่ชอบ ก็ชอบไม่ชอบก็เป็นความเห็น ความรู้สึกที่สัมผัสอันนั้น ตาก็เห็นรูป หูก็ได้ยินเสียง จมูกก็ได้กลิ่น ลิ้นก็ได้รับรส แล้วความรู้สึกแท้ก็คือรู้ความจริงตามความเป็นจริงของมัน โดยไม่มีความชอบไม่มีความชัง นี่คือความเป็นทิพย์ของพระพุทธเจ้า
ตาปัญญา ปัญญาจักษุรู้ครบรอบ เป็นปัญญาโลกุตระจริงๆเลย ผู้มีปัญญาเข้าสู่พุทธจักษุ เป็นตาของพระพุทธเจ้าที่จะรู้ได้สูงส่งไปได้เรื่อยๆ เป็นพุทธจักษุ
สมันตจักษุ คือ รู้ครบ รู้รอบ รู้ถ้วน หมดเลย
เทวนิยมคือ มีความยึดถือว่า เทวะนี้เที่ยงเป็นหนึ่ง อย่าไปวิจารณ์วิจัยแยกแยะ เอาตามที่พระเจ้าว่าไว้อย่างเดียวเลย ไม่มีการใช้การวิจัยวิเคราะห์ไม่มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีวิจัยก็เป็นเพียงพื้นๆไม่เข้าถึงแก่นถึงที่สุดเลย เพราะฉะนั้นจึงต่างกันมากในความรู้ของพระพุทธเจ้ากับความรู้ของเทวนิยมส่วนใหญ่
แค่อธิบายเรื่องธรรมะ 2 ก็ดี เรื่องที่จะรู้ความจริงครบทั้งนอกและใน ทั้งหยาบและละเอียดทั้งหมดจึงเป็น สมันตจักษุ ก็ไม่ใช่ง่าย
หมู่บ้านสาธารณโภคีมีจริงได้แม้ใกล้กลียุค
_Hr Td เอชอาร์ ทีดี…โมเม..พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสเรื่องสาธารณโภคี ไม่เคยตั้งหมู่บ้านปลูกผักกินเอง ทำตัวเป็นคนมีหมู่พวกมากสอนคนกินผักกินพืชตามได้แค่หยิบมือเดียว แล้วก็ผยองว่าตัวเองเป็นศาสดาใหญ่ ยกตัวเทียบว่าสมณโพธิรักษ์=สมณโคตมะ ดูหมิ่นพระมหากัสสปะ..พระพุทธโฆษาจารย์ บูรพาจารย์ทั้งหลาย..ทำสังฆเภทแล้วยังไม่รู้ตัว…
พ่อครูว่า.. ใครจะว่าอาตมาทำสังฆเภทอาตมาไม่ได้ทำ อาตมาทำนานาสังวาส การทำสังฆเภทเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด เป็นอนันตริยกรรม ใครจะคิดแยกอาตมาเป็นการทำสังฆเภทอาตมาก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น คนไม่รู้ก็พูดไปส่งๆไปเรื่อย คนรู้ก็พูดกันได้
ที่ว่า สาธารณโภคีพระพุทธเจ้าไม่เคยพูด ก็เพราะ คุณไม่เคยเปิดเจอเองในพระไตรปิฎก
สู่แดนธรรมว่า พระไตรปิฎกมีพูดไว้เพียงเล็กน้อย แต่ทำไมพ่อครูสามารถเอามาขยายผลให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้อย่างดี เป็นเพราะว่าพ่อครูมีบารมี นี่แหละกลองดียิ่งตียิ่งดัง
พ่อครูว่า…มันเป็นยุคสมัย ยุคกาล ยุคพระพุทธเจ้าท่านได้ทำมาแล้วในหมู่สงฆ์ สาธารณโภคีที่ดีด้วย ไปบิณฑบาตแล้วก็ได้ลาภโดยธรรมเอามารวมกันกองกลางและเอามาแบ่งกันกิน บางรูปบิณฑบาตมาไม่ได้เลย บางรูปบิณฑบาตได้มามาก ก็เอามาแบ่งกัน ในยุคนั้นท่านทำได้แต่วงการสงฆ์ เพราะว่าเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน อาตมาเคยอธิบายไปหมดแล้วแต่คุณก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังแล้วมาตู่อาตมา
อาตมาเห็นว่า สาธารณโภคีเป็นเรื่องยิ่งใหญ่แต่ก็มาสรุปกันว่าจะทำได้หรือ เริ่มต้นตั้งหมู่บ้านมาก็คิดว่าเป็นสาธารณโภคีไม่ได้ แต่พอตั้งขึ้นมามันก็เป็นไปเองเลยจะเป็นอย่างอื่นมันก็ไม่เป็นเริ่มต้นก็เป็นสาธารณโภคีแข็งแรงตั้งแต่แรกเลย หมู่บ้านปฐมอโศกหมู่บ้านแรกตั้งขึ้นมาก็ทำโดยมีวิธีการ ที่ดินก็ซื้อแล้วเป็นของส่วนกลางหมดนะทุกคนจ่ายสตางค์ซื้อ แต่ทุกคนไม่ได้โฉนด โฉนดเป็นของส่วนกลางของสมาคมของมูลนิธิหมด ไม่มีใครเอาเป็นของส่วนตัวได้ แต่ใครจ่ายตังค์ ก็มีอาณาบริเวณได้ แล้วมีส่วนเผื่อไปเป็นส่วนกลาง จัดสรรกันอย่างนั้นแล้วก็อยู่กันจนกระทั่งไม่มีรั้วไม่มีขอบเขต ทุกคนอยู่ร่วมกัน ถือว่าช่วยกันดูแลรักษาส่วนกลางคือสร้างสาธารณโภคีมาตั้งแต่เริ่มต้นแผ่นดินที่มาอยู่ร่วมกัน แล้วก็อยู่กัน ในการทำงานมีการปลูกพืชผักพืชพันธุ์ธัญญาหาร การทำงานอาชีพ สร้างอะไรต่ออะไรขึ้นมาเพื่อเลี้ยงชีพด้วยกันมา ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ก็เป็นรูปเป็นร่าง เป็นสิ่งที่เข้าใจกันได้ เป็นรูปธรรมที่มันซ้อนเนียนลึกซึ้ง เป็นชีวิตที่มีวัฒนธรรม เป็นจารีตประเพณีวัฒนธรรมของสังคมมนุษย์อีกชนิดหนึ่ง ในโลก ยืนยันได้เลย ว่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นของเล่นๆ แต่เป็นเรื่องจริง
สู่แดนธรรม..แสดงว่าพ่อท่านมีวิชาความรู้ติดตัวมาอยู่ในสัญญาขันธ์ ยืนยันได้ว่าพ่อท่านคือพระสาวกในสมัยพุทธกาล
พ่อครูว่า…มาในตัวเองฝังหัวมาเลย คุณเข้าใจคุณก็พูดได้ถูก คนไม่เข้าใจก็ฟังไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจไม่เข้าท่า อาตมาพูดเรื่องโลกุตระ เขากล่าวหาว่าอาตมาจะมาทำลายศาสนาด้วย ตามที่เขาติดอยู่ในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขและความรู้
1.ยึดติดในการปฏิบัติ
2.ยึดติดในความรู้
1 พวกยึดติดในการปฏิบัติก็หลงผิดไปออกป่าเขาถ้ำนับถือกันว่า เป็นพระปฏิบัติต้องหลับตาและออกป่าเขาถ้ำ เป็นเดียรถีย์เป็นมิจฉาทิฐิ ซึ่งมันออกนอกประเทศไปเลย
2 ส่วนพวกที่หลงความรู้ หลงบัญญัติภาษาพยัญชนะก็ไปกันใหญ่เลย ในคำสอนของใครต่อใครเอามารวมกัน หลงในความรู้อยู่นั้น น่าสงสาร
สมณะฟ้าไท …
พ่อครูว่า…คุณ Hr Td เอชอาร์ ทีดี…โมเม..พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสเรื่องสาธารณโภคี ไม่เคยตั้งหมู่บ้านปลูกผักกินเอง ทำตัวเป็นคนมีหมู่พวกมากสอนคนกินผักกินพืชตามได้แค่หยิบมือเดียว แล้วก็ผยองว่าตัวเองเป็นศาสดาใหญ่ ยกตัวเทียบว่าสมณโพธิรักษ์=สมณโคตมะ ดูหมิ่นพระมหากัสสปะ..พระพุทธโฆษาจารย์ บูรพาจารย์ทั้งหลาย..ทำสังฆเภทแล้วยังไม่รู้ตัว..
พ่อครูว่า…ใส่ความอาตมาขี้ตู่อาตมา คุณคนนี้ไม่ได้รู้เรื่องอะไร อาตมาก็ยืนยันให้ฟัง คนกินพืชผักไม่กินเนื้อสัตว์ อาตมาขอบอกความจริงให้ฟังว่ายุคพระพุทธเจ้าไม่กินเนื้อสัตว์กันหรอก ผู้ที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่บ้างมันมีน้อย ก็ยังติดอยู่มากก็กินบ้าง
ในพระของพระพุทธเจ้าในยุคของท่านนั่นแหละ เพราะฉะนั้นท่านก็ไม่จำเป็นจะต้องไปออกกฎทำไม เพราะว่าคนส่วนใหญ่แม้แต่พระเทวทัตก็ยังกินมังสวิรัติไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วพระเทวทัตนั่นแหละบอกให้พระพุทธเจ้าออกเป็นกฎระเบียบวินัยว่าทุกคนต้องกินมังสวิรัติให้หมด พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่บังคับ
ทำไมไม่ออกกฎระเบียบบังคับ แล้วก็ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าท่านฉันมังสวิรัติแม้แต่พระเทวทัตก็ฉันมังสวิรัติอย่างนี้เป็นต้น แล้วมาขอให้พระพุทธเจ้าออกกฎระเบียบให้ทุกคนกินมังสวิรัติให้หมด แต่พระพุทธเจ้าไม่ออก เพราะว่าส่วนใหญ่เขาไม่กินอยู่แล้ว มันมีเล็กๆน้อยๆที่กินอยู่ ไม่ต้องไปบังคับเขาหรอก เขาเข้าใจกันหมดอยู่แล้ว แต่ในยุคนี้มันเพี้ยนไปหมดไปกินมังสวิรัติเป็นหลักแล้วกินมังสวิรัติเล็กน้อยมันกลับกันตรงกันข้ามเลย มันก็เลยต้องบอกว่าต้องมากินมังสวิรัติมันต้องพูดต้องบอกต้องเป็นอย่างนี้ เพราะว่าไปกินเนื้อสัตว์กันเป็นหมู่ใหญ่แล้ว ก็ในยุคพระพุทธเจ้าไม่กินเนื้อสัตว์เป็นหมู่ใหญ่ กินเนื้อสัตว์มีนิดหน่อยเป็น error อย่าว่าแต่ศาสนาพุทธเลย ศาสนาที่มาบวชเป็นภิกษุโดยเฉพาะตั้งแต่พราหมณ์มา เขาไม่กินเนื้อสัตว์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ฮินดู พราหมณ์ นอกจากพวกกเฬวราก
ชั้นต่ำฮินดูชั้นต่ำ ก็กินเนื้อสัตว์ แม้พราหมณ์ ฮินดู นักการศาสนา ในอินเดียผ่านมา 20 กว่าปีจนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังรู้ดี คนอินเดียเขารู้ดีกันหมด ถ้าพระภิกษุของพุทธไปที่โน่นไปกินเนื้อสัตว์กัน เขาก็จะบอกว่า พระภิกษุของพุทธอะไร ทำไมกินเนื้อสัตว์
สู่แดนธรรมว่า..พระของชาวพุทธเอาเนื้อสัตว์ไปตากที่อินเดียเขาก็รังเกียจกัน
พ่อครูว่า..ประชาชนคนอินเดียเขารู้กันหมดมีแต่ประชาชนคนไทยนี่แหละ ขออภัย ไม่มีปัญญา ไม่ได้ว่าโง่นะ ทึบตื้ออยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีสติปัญญาไหวพริบ
สู่แดนธรรมว่า..ในยุคพระพุทธเจ้าทำไมไม่สร้างหมู่บ้าน
พ่อครูว่า..ทำไม่ได้ จะไปทำได้อย่างไร เพราะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคทาส แล้วทุกคนไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน มีสิทธิ์นับถือศาสนาก็นับถือได้ แต่ก็ไปบังคับไม่ได้พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าแล้วแต่ใครจะมาเข้ารีตจะมาสนใจสมัครเองเป็นอิสรเสรีภาพ ฉันนั้นไม่ง่ายเมื่อมาอยู่เป็นชาวพุทธไม่ง่ายขนาดนั้นพระพุทธเจ้าก็ยังสร้างศาสนาสำเร็จคนก็ยังมาเข้าใจมาเป็นหมวดหมู่มากจนกระทั่งศาสนาดำเนินมาได้จนถึงป่านนี้ปลูกฝังเอาศาสนาพุทธลงไปได้สำเร็จซึ่งสร้างได้ยากศาสนาพุทธนั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
สู่แดนธรรม…คนที่ยังไม่เข้าใจพ่อท่านก็จะเอาจุดนี้มาเถียงพ่อท่าน อาจจะบอกว่าพ่อท่านเก่งกว่าพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า…พูดอย่างนั้นก็ไม่ผิดนะ เพราะพระพุทธเจ้าไม่สามารถจะเกิดมาอธิบายในยุคนี้ได้ อาตมาก็ต้องเก่งกว่า ไม่มีใครเก่งเกินในยุคนี้ ใช่ไหม พระพุทธเจ้ามาไม่ได้เสียของหมดเลยเกิดในยุคนี้ ไม่คุ้มกับความเป็นพระพุทธเจ้า ต้องให้อาตมาเก่งก็ถูกแล้ว แต่อาตมาก็ไม่ได้หลงผิดแล้วเถอะ อาตมาไม่ใช่ศาสดา อาตมาไม่ได้ประกาศตนเป็นศาสดานี่ก็ไปเข้าใจผิดกันใหญ่ คือ ก่อนจะมาตำหนิอาตมาตั้งหลักให้ดีก่อน มีหลักฐานอ้างอิงยืนยันบ้างจะมาตู่อาตมา มาตู่เละเทะ มันโดนศรเสียบย้อนไปเสียบคอตัวเอง
สงฆ์หมู่ใหญ่ของเถรสมาคม ไม่เป็นสาธารณโภคีเลย กระเป๋าใครกระเป๋ามัน ดีไม่ดียักของวัดเข้าตัวเองด้วย
สู่แดนธรรม..พ่อครูเคยพูดเรื่องระบบสาธารณโภคียังไม่เกิดกับสังคมฆราวาสสมัยพุทธกาล
ในสมัยพุทธกาล ระบบสาธารณโภคียังไม่เกิดกับสังคมฆราวาส เพราะ…
-
ยุคสมัยนั้นยังเป็นยุค สมบูรณาญาสิทธิราชย์
-
ยุคสมัยนั้นประชาชนยังจำนนในยุคของสังคมทาส คนซื้อขายทาสกัน ดูตรงฟัน ฟันดีจะแข็งแรงอายุยืนกว่า
-
คนยุคสมัยนั้นยังไม่มีความรู้เรื่อง“สิทธิ”ต่างๆ ที่มนุษย์พึงมี ตามธรรมชาติ ตามกฎหมาย ตามวัฒนธรรม และพึงมีตามสัจธรรมกันอย่างดีพอ
-
ยุคสมัยนั้นสังคมยังไม่เลวร้ายหนักหนาสาหัสเท่ากับสังคมยุคนี้ ยุคนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีกลุ่มสังคมที่ไม่เลวร้าย เพราะยุคนั้นมีสังคมคนดี มีวัฒนธรรม คนดีที่ดีอย่างเข้มข้น ที่ดีอย่างเป็นตัวอย่างได้จริงชัดเจน ยังไม่ต้องยืนยันความเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ ถึงขั้นเป็น “สาธารณโภคี” เกิดขึ้นในสังคมฆราวาส เพื่อถ่วงดุลหรือจูงนำสังคมที่ยังไม่ดีส่วนใหญ่ นั้นเลย
-
ทรัพยากรของโลกในยุคโน้น ยังไม่อัตคัดขาดแคลนเท่ายุคสมัยนี้
-
สิทธิในทรัพยากรในยุคโน้น ยังไม่เคร่งครัดแย่งชิงเท่ากับสมัยนี้
-
ทรัพยากรสาธารณะในยุคโน้น ยังมีมากมายเหลือเฟือ มีมากกว่ายุคสมัยนี้หลายเท่า
-
ความมีอิสรเสรีภาพของคนยุคโน้น ยังไม่รุ่งเรืองเท่าในยุคสมัยนี้
-
และในยุคโน้นยังไม่ถึงขั้นเปิดโลก หรือยังไม่ถึงยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) อย่างสมัยนี้.