640414_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1zVaxly-67XEmV3djgLLATQZlZEEsnfZaNvAzkwAxop8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1j3d49VasAI4_FBszTcXwIgsw2yjNF8Jh/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/Q5uU7J0D4VQ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้เป็นการระบาดของไวรัสโควิด ระรอกที่ 3 ในประเทศไทย ติดจากแหล่งอบายมุขมากที่สุด เราอยู่แหล่งไม่มีอบายมุข เราก็ไม่ประมาท พวกนักศึกษาที่ถูกกักตัวที่หอพักก็ทนไม่ไหว โวยวายออกมา เพราะกิเลสเขามีมาก จึงทุกข์ทรมานมาก ทำให้คนเข้าหาธรรมะ อยากฟัง
ธรรมะเพิ่มขึ้น หากฟังธรรมะโลกุตระ จะช่วยคนได้ ทำใจในใจให้ลดทุกข์ได้
ต่ออายุให้ยืนยาวด้วยโพชฌงค์ 7 เป็นเช่นไร
พ่อครูว่า…ก่อนอื่นขอใช้กำลังยกกล้วยหวีนี้(จากสวนไสหม่วน) อีกอันกล้วยส้มมาเลย์ อาตมาพยายามพูดด้วยความจริงใจว่า เราประเทศไทยเป็นประเทศโซนที่เหมาะสมที่จะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารตลอดปี แม้จะเป็นหน้าฝน จะเป็นหน้าหนาว จะเป็นหน้าร้อน ปลูกได้ทุกฤดูกาลเลย แม้หน้าแล้งก็ไม่ขาดน้ำเสียทีเดียว พูดถึงการขาดน้ำแล้วนึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ก็ช่วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร โดยคิดไปสอยน้ำจากฟ้าลงมาให้ชาวไร่ชาวนา เก่งจริงๆเลย คิดได้ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยอดจริงๆ
เมืองไทยหลายๆอย่าง แต่อันนี้จะยอดเลย อาตมายิ่งเห็นไปในข้างหน้าเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก มันจริงที่สุด สัจจะความจริงที่เลี่ยงไม่ได้ ใครจะมาล้มล้างเปลี่ยนไปจากความจริงนี้ไม่ได้เลย อาหารเป็นหนึ่งในโลก โดยเฉพาะความเป็นมนุษยชาติ ต้องมีปัญญารู้อันนี้จริงๆ พยายามทำอาหารให้เป็นธรรมาวุธก็ได้ เรียกอาวุธก็ได้ ขึ้นมาให้แก่โลกเลย แล้วเรายิ่งศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ยิ่งจิตใจไม่มีตัวตน ไม่หวง ไม่แหน มีแต่จิตใจเกื้อกูล เอื้อเฟื้อเจือจาน ช่วยเหลือ เป็นจริง
พวกเราปฏิบัติธรรมมา อาตมาเห็นความจริงที่เกิดกลุ่มชาวอโศกที่เป็นจริงอย่างทุกวันนี้ มันเป็นใจประเสริฐ ที่เรารู้ความจริงอันนี้แล้วก็เข้าใจ จะไม่รู้สึกต่ำต้อย จะไม่รู้สึกริษยา จะไม่รู้สึกที่จะมีความคิดเชิงผลัก เชิงดูดเลย กับคนใดๆที่เขาจะคิดอย่างโน้นอย่างนี้ ระแวงอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งเราก็จะห้ามก็ไม่ได้ แต่นี่มันจริงๆเลย สุดยอดจริงๆเลย
อาตมาก็ยิ่งทำงานศาสนาพระพุทธเจ้า ยิ่ง แหม สัจจะอย่างหนึ่งคือความเสื่อม ความ ชรตา มันจริงๆเหมือนกัน อาตมาก็พยายามทวนกระแส ชรตา ไม่ให้มันถดถอย ไม่ให้มันตายง่ายๆว่าอย่างนั้นเถอะ แล้วก็ใช้พยายาม ใช้อิทธิบาทอันนี้ สร้างพลังงานอิทธิบาทให้เกิด coefficient พยายามโดยใช้โพชฌงค์อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา คือท่านตรัสว่าใช้โพชฌงค์ 7 ซึ่งเขาบอกว่าไปท่องโพชฌงค์ 7 ให้คนฟังแล้วจะหายป่วยอายุยืน
คำว่าโพชฌงค์ ความหมายไม่ได้พาซื่อเป็นฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์ พอได้ฟังก็เหมือนคาถาอาคมเลยไม่ใช่ แต่มันเป็นเรื่องของความรู้ ความเข้าใจ เป็นเรื่องของการเข้าใจอย่างแท้จริง แล้วปฏิบัติตามโพชฌงค์ ปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้านี้เถอะ ซึ่งมันมีนัยยะสำคัญรายละเอียดลึกถึงความหมาย ไม่ว่าจะเป็นเริ่มต้นด้วย สติ ธรรมวิจัย วิริยะ และจะเกิด ปีติ ปัสสัทธิเกิดสมาธิ เกิดอุเบกขา ก็ตาม ขยายเป็น โพธิปักขิยธรรม 37 แล้วมันยิ่งจริงที่สุดเลย ธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมาก็ใช้ธรรมะพระพุทธเจ้าพากเพียรพิสูจน์มาจนถึงทุกวันนี้ เลยมาได้ถึงอายุ 87 แล้วนี่ก็ยังเห็นความจริงดีว่าเป็นไปได้
อาตมาว่า อาตมาไม่ได้คิดผิด ไม่ได้เดาส่งไปว่า อาตมาอายุ 72 จะอายุขัยหมดไปแล้ว แต่คนก็เชื่อยาก จะไปรู้วันตายตนเองได้อย่างไร ก็ไม่รู้จะว่าไง อาตมาก็พูดความจริง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ เสร็จแล้วอาตมาก็พากเพียรมา แล้วก็ยิ่งจะจริงเลย พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าด้วย พิสูจน์ว่าคนปฏิบัติตามธรรมะพระพุทธเจ้าได้ด้วย
พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าด้วยว่าจริง และพิสูจน์ว่าธรรมะพระพุทธเจ้าเนี่ยคนปฏิบัติตามเป็นจริงตามที่พระพุทธเจ้าสอนได้ด้วย เป็น 2 ประเด็น ซึ่งมันเป็นเรื่องเหลือเกินวิสัย เป็นเรื่องสุดวิสัย เป็นเรื่องอจินไตย
คำว่า วิสัย ก็ไม่ง่าย อาตมาเข้าใจพยัญชนะ นิสัย วิสัย อนุสัย อาศัย มาแจก
ทั้ง นิ วิ อา ก็ขยายความถึงอนุ ก็ขยายความตามพยัญชนะ พวกที่เขาเรียนตำราตามสูตรสมัยใหม่ ไวยากรณ์ก็ยากจะเชื่อง่ายๆ ก็เอาคนเฉพาะที่เชื่อได้ อาตมาไม่มีเจตนาร้ายไปในทางต่ำอะไรเลย มีแต่เจตนาดีถ่ายเดี่ยว ที่จะบอกที่จะพูดขยายความจริงและพิสูจน์เอาตัวเอง พิสูจน์ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็คิดว่า ก็คงจะต้องอาศัยเวลาอีกก็ทำมาจนถึงบัดนี้ อาตมาว่าอาตมาจะตาย 72 ตอนนี้ไปถึง 84 ปีก็เป็นหนึ่งนักษัตร ถ้าไปถึง 96 ปีก็เป็น 2 นักษัตร มันก็เพิ่มความน่าเชื่อถือไปได้ ถ้าเติมไปถึง 108 ครบ 3 นักษัตร ครบสามเส้า คราวนี้ล่ะ อาตมว่า จึงพยายามอยู่
ยิ่งตอนนี้อาตมาเขียนหนังสือ อธิบายไปถึงความลึกซึ้งของความพยายาม วายามะ โอ้โห..เห็นความยิ่งใหญ่ของพยายามจริงๆ ความพยายามจะนำไปสู่ผลสำเร็จทุกอย่าง ถ้าไม่มีความพยายาม ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านเอามาเป็นคู่หูของสติ เอามาประมวลผูกเอาไว้เป็นสูตรสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อยู่ในมรรคมีองค์ 8 มีความพยายามกับมีสติ เป็นคู่หูยิ่งใหญ่ ที่จะช่วยกันเพื่อที่จะทำให้ทุกอย่างมันสมบูรณ์แบบได้
พลัง 2 อันนี้ ซึ่งเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สติ นี่มันเป็นตัว static พยายามเป็นตัว dynamic ที่เป็นคู่นิวเคลียส คู่บวกลบ คู่เอก ทำงานอยู่ตลอดกาล ตลอดเวลา พลังงานที่มันมีความพยายาม กับมีสติ เป็นคู่เอกที่ยิ่งใหญ่
โดยเฉพาะ สติ ก็พูดมายิ่งใหญ่ เป็นตัวนำหน้า เป็นตัวที่ 1 ของโพชฌงค์เลย เพราะฉะนั้นตัวพยายามนี้ ขาดไม่ได้อีกเหมือนกัน ขาดไม่ได้ การที่จะทำอะไรให้สำเร็จ ขาดความพยายามไม่ได้เลย
พยายาม โตขึ้นไปหน่อยก็เป็น วิริยะ มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เป็นพี่ของความพยายามก็เป็น วิริยะ ตัวพยายามจึงเป็นตัวต้น ตัวก่อ ตัวนำ ที่จะให้เกิดสิ่งเหล่านี้ ตั้งใจให้ดีๆอะไรที่มันท้อแท้ ก็อย่าให้ท้อแท้ พยายาม
SMS วันที่ 12 – 13 เม.ย. 2564
_Channarong Jindatham ชาญณรงค์ จินดาธรรม : สักวันหนึ่งในอนาคตอันไกลโพ้น หลายแสน หลายล้านปีข้างหน้า ถ้าผมมีบุญ(อันชำระมากแล้ว)มีกุศล(อันถึงพร้อม)ผมคงมีโอกาสได้กราบพ่อท่านโดยใช้คำว่า”ถวายบังคมแทบฝ่าพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะด้วยเศียรเกล้า” ผมผู้เป็นอจลศรัทธา(ศรัทธาอันไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย)ขอน้อมกราบแทบเท้าพ่อท่านพระผู้มีพระคุณยิ่งนั้นด้วยความเคารพเทิดทูนครับ.
พ่อครูว่า…อาตมามีปณิธานอย่างนั้น อาตมายังไม่เป็น แต่คุณคนนี้ก็มีใจก้าวหน้า อภิชปา ตัณหาล้ำหน้า คุณคนนี้มีความเข้าใจ ขอบคุณที่เข้าใจ อาตมาก็ไม่เผลอไผลตัวเองหรอกว่าเราอยู่ในฐานะอะไร ไม่บังอาจคิดเลยเถิดว่า ถึงในสิ่งที่ยังไม่ถึง ไม่หลง ไม่วิปลาส
_Phaisarn Sri ไพศาล ศรี : กราบนมัสการพ่อครูครับ ท่านสู่เเดนธรรมเจตนาดีครับ ไม่ขัดจังหวะแต่ประการใด… ฟังได้อารมณ์ไม่เคลื่อน
พ่อครูว่า…สู่แดนธรรมช่วยอาตมาได้เยอะ คนที่ยังมีความรู้สึกว่าสู่แดนธรรมขัดขวาง สะดุด ไม่ใช่นะ เขามาทำให้เกิดประโยชน์ ก็ตั้งใจฟังธรรมะพิสูจน์เดินตาม ตั้งใจเก็บตกช่วยเห็นคุณค่าอันนั้นก็แล้วกันพยายาม ถ้ายังไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เข้าใจอย่างนั้นอยู่ก็ไม่เป็น
_Naricha Hulden นริชา ฮุลเดน : น้อมกราบนมัสการพ่อครูค่ะ เข้ามารายการตัว ยังไม่ทราบว่าถามอะไร มันเยอะมากเยอะไปหมด แล้วยังมีข้อสงสัยที่ตัวเองยังจับต้นชนปลายไม่ถูกอีกหลาย ดิฉันยังต้องฟังไปอีกเรื่อยๆค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูค่ะ
พ่อครูว่า…ดี ทำความเข้าใจให้ดีๆ ข้อสำคัญคือปฏิบัติธรรมให้เกิดมรรคผลและมันจะช่วยให้เกิดความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น
_0015 : ช่วงงานปลุกเสกฯมีข่าวพระธุดงค์ติดถ้ำ ๓ วันเกือบคล้ายกรณีหมูป่า อ้างว่าไปปฎิบัติธรรม สื่อก็รายงานตรงกันว่าพระท่านไปปฎิบัติธรรมนั่งสมาธิ และที่รอดมาได้ น่าจะเป็นพระดังและมีคนศรัทธามากขึ้น ใช่ไหมครับ
ขอโอวาทในโอกาสวันสงกรานต์จากพ่อท่านฯด้วยครับ กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า…จะให้โอวาทก็คือตั้งใจศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าด้วยความตั้งอกตั้งใจ มีความพยายาม ดังที่อาตมาได้สำทับคำว่า ความพยายาม ไปเมื่อกี้นี้ให้ดีจริงๆเท่านั้นเอง แล้วไม่ต้องไปมีปัญหาล้ำหน้าที่จะอยากให้ได้เร็วเกินเป้าหมายไปสูง ทั้งๆที่ตัวเองยังไม่ถึง เดินยังไม่ถึงก็นึกว่าตัวเองถึง ก็ระวังไว้ก็แล้วกัน ก็ขอให้พรสั้นๆ
_ตุ้ม พรทิพย์ : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ การปฏิบัติธรรมโลกุตระเปรียบเหมือนการทำกสิกรรมไร้สารพิษ ทำได้ดี แต่ทำได้ยาก และ ต้องอาศัยปุ๋ย คำว่าปุ๋ยคือ เครื่องอาศัย(ฐาน)ของแต่ละคน เพื่อที่จะได้อาศัยปฏิบัติอยู่ในหมู่ได้ ตัวเองก็ยังต้องอาศัยปุ๋ยอยู่ค่ะ กราบนมัสการค่ะ
ปัญญา 8 กับมรรคมีองค์ 8
_Danuthum Virulhsirikul ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล : กราบนมัสการ”พ่อท่านที่เคารพยิ่งครับ”
ทุกวันนี้มีแต่”พุทธขี้หมา” พ่อท่านเคยพูดไว้ และ พระบางรูปได้สร้างเรื่องเหม็นๆ ให้กับศาสนาเป็นรายวัน อวดอุตตริสารพัด เสื่อมถอยลงทุกวัน.. ตู้พระไตรปิฏกที่อยู่ตามวัด น้อยนัก ที่พระน้อยรูปจะนำมาศึกษาพระธรรม คนเขานำมาถวาย ก็ปล่อยให้ผุพังไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งเป็นหน้าที่โดยตรงของพระ พระบางรูปเทศน์ตลกขบขัน คนเขาก็ชอบกัน แต่หาสาระทางธรรมไม่ได้เลย บวชแล้วไม่ศึกษา อย่างนี้ถึงบวชแล้วก็เป็น”โมฆะบุรุษ” ใช่ไหมครับ ผมเคยถามแม่ว่าไปฟังธรรม พระท่านสอนอะไรบ้าง แม่บอกไม่รู้แต่ท่านเทศน์ตลกขบขันดี เสียเวลาชีวิตเปล่าๆ ใครที่ได้มาฟังธรรมของพ่อท่าน”ทั้งพระและคนอื่นๆ” ถือว่าเป็นผู้มีบุญมาก ตรง ชัด และเข้าใจปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง..ไม่หลงโลก.ไม่หลงตัวเอง ไม่มีอัตตาตัวตน ไม่ยึดตัวยึดตนเพราะ ทุกคนเท่ากันหมด “คือทุกคนต้องตาย”
พ่อครูว่า…อาตมาได้อธิบายขยายความเรื่องปัญญากับอนัตตา แต่พูดติดต่อยืดยาดแล้วไม่ได้จบง่ายๆ เพราะเป็นตัวภาษาไม่ว่าจะเป็นปัญญาหรืออนัตตา อนัตตาแปลเป็นไทยว่าไม่มีตัวตน สัญญาก็แปลว่าความรู้
แต่ความรู้มันมีคำนิยาม มีความจำกัดที่สุดยอด อาตมาเอามาจากพระไตรปิฎก เล่มที่ 13 มาอธิบายขยายความข้อ 92 เราก็ได้ศึกษามากันเรื่อยๆ ก็อยากจะขอทบทวน มีคนที่ฟังธรรมะอาตมาหรืออ่านหนังสือที่อาตมาเขียนก็บอกว่า อาตมาพูดวนซ้ำไปซ้ำมา อาตมาก็เคยอาศัยว่าก็ไปอ่านของพระพุทธเจ้าสิ พระพุทธเจ้าวนยิ่งกว่าซ้ำยิ่งกว่า เขาบันทึกไว้ในพระไตรปิฏก ก็ยังต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจตั้งเท่าไหร่ หากตามพระพุทธเจ้าและท่านทบทวนไม่ให้ตกหล่นเลยตั้งแต่ต้นจนถึงปลายไม่มีตกหล่นเลย ยาวเท่าไหร่ท่านก็ต้องซ้ก เติมทีละมิตเบางครั้งคำเติมคำเดียวจากทั้งพารากราฟ
แต่ว่า ทุกอย่างมันวนเวียนซ้ำซากใครที่เรียนรู้ว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นทั้งนั้นแล้วก็ไปหานับไม่ถ้วน หนึ่งไปหานับไม่ถ้วน ที่นับไม่ถ้วนก็ย่อลงมา
ให้เห็นความสำคัญ หนึ่งในความสำคัญที่สุดที่ชื่อว่ามี จากความมีก็ไปหาความไม่มีคือ 0 มันก็มี 0 กับมี ถ้าใครทำสภาวธรรมเพราะเรายังมียังต้องอาศัยอันนี้ทำประโยชน์อยู่ในที่สุดเราสามารถทำตาย ทำไม่มี ให้แก่ตัวเองได้สูงสุด สูงสุดถึงขั้นตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ที่อาตมาได้แล้วคือได้อรหัตตผล ทำความเกิดความดับได้จริงให้แก่จิตวิญญาณ ทำความเกิดความดับของจิตวิญญาณ ให้มันสำเร็จได้ บริบูรณ์แท้จริงเลยได้
อาตมาก็ว่า นี่แหละคือความสูงสุดในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่สามารถทำ อัตตา หรือวิญญาณ (แตกแยกออกเป็นเทวะกับอเทวะ )เราก็พิสูจน์ยืนยันมาได้ จนสามารถแยกธาตุให้เป็นอุตุนิยามได้
เมื่อสามารถทำให้เป็นอุตุนิยามได้จริงนั่นแหละคือ อนัตตา ความไม่มีตัวตน ความไม่มีตัวตนของวิญญาณ ความสสจไม่มีตัวตนของอัตตตาของตน วิญญาณก็เป็นตน จิตนิยามก็เป็นตนอยู่ เรารู้ความจริงแล้วตามสภาวะ แล้วเราก็ยังมีความรู้มีปัญญาเข้าใจว่า ก็เรายังไม่ยอมแยกธาตุ ให้มันเป็นอุตุไปเมื่อเราตายลง กายสเภทาปรัมมรณะ หลังตายจากร่างก็ทำ นิพพาน 3 คือ
คือ ตายอย่างสูญเลยไม่สร้างนิมิตอะไรไว้ แล้วไม่ตั้งจิต อปณิหิตะ ว่างแยก ละลายไป หมดเลย สูญไปเลย
อาตมาปณิธานและสร้างนิมิตรให้แก่ตัวเองด้วย สูญ อาตมาทำได้จะปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ แต่ก็ยังไม่ทำได้ ยังไม่ยอมจบ มีหลายนัย อาตมาไม่มั่นใจว่าโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้าจะถึง 5,000 ปีไหมนี่ พยายามสืบทอดมา 50 ปี ได้กระหย่อมเท่านี้ พัฒนาการของมนุษยชาติ ปีนี้ตัวเลขประชากรจะหยุดเท่านี้หรือไม่ ตอนนี้ 7 พันล้านในอนาคตข้างหน้าอีก 100 ปีอัตราการก้าวหน้า จริงตอนนี้มันลดลง แต่ก่อนเขาไม่คุมกำเนิดเลย แต่เดี๋ยวนี้คุมกำเนิดกันและมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์คุมกำเนิดกัน ก็อาจจะลดลง แต่ถึงกระนั้นก็ดี มันก็ยังมีความเสื่อมที่เราไว้ใจไม่ได้ ว่ามันจะเสื่อม หรือมันจะเจริญ หรือรักษาสภาพ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาสภาพของโลกุตระธรรมไปให้ถึง 5,000 ปี โดยไม่มีพลังงานอะไรช่วยเลย
มันจึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องเป็นพลังงานช่วยเสริมเติม แล้วพวกเราก็ช่วยกันทุกคนคนละไม้คนละมือ ก็ต้องสร้างคนขึ้นมา ให้มาช่วยกันสร้างความจริงอันนี้ผลิตความจริงนี้ขึ้นไปให้มันมีขึ้นมากๆทั้งปริมาณ คุณภาพ
คุณภาพ อาตมาก็มั่นใจว่าเป็นคุณภาพที่ถูกต้อง ถ่องแท้ ไม่ผิดเพี้ยน จะมีผิดเพี้ยนก็ตามฐานะของบุคคลที่ยังทำได้ไม่สมบูรณ์เท่านั้นเอง ถ้าทำเต็มที่แล้วไม่มีใครมาทำให้โลกุตระธรรม หย่อนข้อแล้ว อาตมาว่าไม่มีใครหรอก นอกจากพวกเราแล้วไม่มีใครทำ เพราะถ้าเราทำโลกุตระธรรมให้เต็มเป็นอรหัตตผล แล้วเราอนุโลมหย่อนข้อแต่ตอนนี้ยังไม่เต็ม ก็ยังอ่อนข้อไม่ได้ แม้เต็มแล้วจะอนุโลมปฏิโลม ให้แก่คนอื่น คุณก็ไม่ได้เสีย ความอนุโลมไม่ได้เสีย เพราะสัจจะของพระพุทธเจ้า สิ่งที่เที่ยงแท้คือ นิพพานสมบูรณ์แบบ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) มีแต่จะแแข็งแรงทวีขึ้นๆ หรือว่าคุณภาพจะดีขึ้น มากขึ้น ไปเรื่อยๆ ความจริงแล้วไม่มีอะไรทำให้เสื่อม มีแต่เจริญทั้งนั้น
นี่เป็นสัจจะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ถือว่าเป็นอุตริมนุสธรรม ถือว่าเป็นคุณวิเศษที่ยิ่งใหญ่จริงๆเลย เพราะฉะนั้นก็มาเพิ่มเติมอีก ทบทวนที่ว่า
ความรู้เบื้องต้นที่ยืนยันกันเลยนะว่า โลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น คนจะรู้เอง ใครก็แล้วแต่ โดยเฉพาะเป็นชาวเทวนิยม ทิฏฐิเป็นเทวนิยม ลัทธิเป็นเทวนิยม ศาสนาเป็นเทวนิยม คุณยังไม่รู้จักโลกุตรธรรมเลย ไม่มีสิทธิ์จะมาละลาบละล้วงสร้างโลกุตระธรรมให้แก่ตัวเองขึ้นมาได้ มันไม่มี เชื้อของโลกุตระธรรมจะต้องต่อเชื้อมาจากคนจริงๆผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ถือว่าเป็นเจ้าของโลกุตระธรรม เป็นธรรมะสามี เป็นเจ้าของจริงๆ ที่จะมาประกาศลงไปให้โลก ผู้สนใจแสวงหามันก็มีอยู่ทุกยุคสมัย นอกจากในยุคพุทธันดร ซึ่งมีแต่คนที่มีภูมิธรรมจะศึกษาธรรมะได้แล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่ประกาศ ท่านก็รู้แล้วว่ากาละอย่างนั้นคนรับไม่ได้ ประกาศไปก็สูญเปล่า เขาไม่เอา มันต้องมีเหตุปัจจัยที่เหมาะสมกัน ถึงจะเป็นไปได้
ปัญญาข้อแรก ทำไมต้องเอามาจากพระพุทธเจ้า คนอื่นไม่มีสิทธิ์จะรู้ได้หรืออย่างไร
เพราะว่า ความรู้ที่จะรู้ต้นธาตุต้นธรรมความรู้เบื้องต้น คำว่าต้นธาตุต้นธรรมก็เป็นพยัญชนะที่ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ที่ต้น พระพุทธเจ้าองค์ที่อุบัติเป็นองค์แรกอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เราไม่รู้ที่ต้น เพราะฉะนั้นไปใช้คำว่า ต้นธาตุต้นธรรมหรือที่ต้นของศาสนาพุทธของโลกุตรธรรมนี้ มีคนที่รู้จักโลกุตรธรรมเป็นคนแรก ใคร?..ก็รู้ไม่ได้ เพราะทุกอย่างเป็นวิวัฒนาการของมนุษยชาติ
และเมื่อมันได้สิ่งที่ข้ามรอบวันนี้แหละเป็นเรื่องที่ยากเช่นโลกียธรรม เช่น พลังงานอุตุจะพัฒนาพลังงานเป็น พีชะ อย่างนี้ฟโดยธรรมชาติมันก็พัฒนาเองขึ้นมาได้แต่มันใช้เวลานานจนกระทั่งมันทะลุออกมาเองเลย อธิบายอย่างชีววิทยา
protoplasm มีเยื่อหุ้ม ข้างในมีนิวเคลียส รวมกันอยู่ ปรุงแต่งสังขารจนเต็ม ความยืดตัวของ cytoplasm ก็สุดท้ายต้องมีรูแตกร้าว เพราะมันเป่งจนมากสุด แต่ข้างนอกไม่มีสุด สามารถยืดหยุ่นได้ แต่จนถึงจุดจุดหนึ่งไม่มีของใคร ของมันเองนะมันก็ต้องรั่วพลุดออกไปได้ พลังงาน cytoplasm ก็จะออกนอก ไปเป็นตัวใหญ่
มันเป็นธรรมชาติธรรมดา พระพุทธเจ้าสอนวิธีลัด โดยไม่ใช่ว่าให้มันเต็มโดยธรรมชาติซึ่งมันนานเกิน ไม่หวาดไม่ไหวในการรอ คนหมดโลกก่อนพอดี พระพุทธเจ้าถึงใช้วิธีการที่แพร่ความรู้โลกุตระให้ทัน จะได้ช่วยคนได้ จึงมาค้นพบ เป็นทฤษฎีสำเร็จสูตรสำเร็จ เป็นทฤษฎีของพระพุทธเจ้านี่แหละ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรียกว่า จรณะ 15 วิชชา 8 หรือสรุปตัวปฏิบัติออกมาเป็นมรรคมีองค์ 8 เป็นหัวใจ
หัวใจของศาสนาคือมรรคมีองค์ 8 แต่ถ้าบอกว่าจรณะ 15 มันยากเกินกว่าที่จะรู้ เพราะมันมีมากกว่าหลายก็กว่า ภาคความรู้ปฏิบัติ 15 อย่าง แล้วต้องขยายความลงไปใน 8 อีก ก็มาสรุปลงเป็นมรรคมีองค์ 8 เอาความรู้ทั้ง 8 มาเป็นสัมมาทิฐิ แล้วก็กระจายความรู้ไปที่สติบ้าง ไปไว้ที่ความพยายามบ้าง นอกนั้นก็เป็นฐานในการปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นกัมมันตะอาชีวะ ใช้กรรมแท้ที่ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ
ทั้ง 5 องค์ทำงาน มี วายามะ กับสติ เป็นคู่หูคอยช่วยเหลือ สติเหมือนลม วายามะเหมือนไฟ หรือจะกลับกันก็ได้ เอาสติเป็นไฟ เอาวายามะเป็นลม ก็ได้
สภาวะจริงของลม ของไฟ คือ ประสิทธิภาพของมันก็เอาสาระของมันมาพยัญชนะจะไปเรียกไฟอย่าไปติดใจเลย อย่างนี้เป็นต้น สุดยอดของพยัญชนะของมรรคมีองค์ 8 คือ วายามะกับสติ เป็นคู่เอกที่ใหญ่จริงๆที่จะต้องมีอาการมันเป็นอย่างไร คุณต้องสร้างถ้าคุณไม่มีสติ แล้วมาไล่ทบทวนตรงนี้ ขยายความเป็นโพชฌงค์
3 ตัวแรก สติ กับธัมมวิจัย คู่เอก เหมือน ลมกับไฟคู่เมื่อกี้นี้ สติ คือ 100 พลังงานนับ static คือแกน ส่วน วาจามคือ ตัวเคลื่อน สองอันนี้ทำงานร่วมกันมาตลอด ขาดกันไม่ได้เลย สติกับธัมมวิจัย ศาสนาพุทธเจริญก็เพราะมีธัมมวิจัย หากไม่มีสติ ก็ไม่รู้ทั้งการขยายและรวม วิจัยไม่ออก นิ่งตายแน่นอยู่ที่ 1111
แล้วลัทธิเทวะนิยมไปต่อไม่ออกก็ไปตายที่ 1 สูงสุดได้เท่าไหร่ก็ตายอยู่แค่นั้น เทวนิยมสูงสุดโดยเป็นเทวะ แล้วยึดเป็น 1 แล้วก็มีความรู้เท่านั้น สรุปแล้วไปเป็นโลกีย์ออกมาสู่โลกุตระไม่ได้ สรุปที่จะทำลายเลิกอัตตา ไม่วนเวียนอีก(โลก) อัตตาก็ไม่เหลือ จบทั้งโลกทั้งอัตตาก็เพราะว่า ท่านชัดเจนให้ความรู้เรื่องโลก อัตตา
พลังงานที่เรียกว่า โลก พลังงานที่รวมตัวเป็น อัตตา
นั่นแหละสุดยอด ก็รู้ 2 สิ่งคือ อัตตากับโลก
ส่วนเทวนิยมนั้น อัตตาไม่รู้ ไม่รู้ตัวเอง แม้แต่ศาสดาก็บอกว่าไม่ใช่ความรู้ของตัวเองเป็นความรู้ของคนอื่น ของใครหนอ? ไม่เชื่อว่าตัวเองจะมีความรู้ได้เองขนาดนี้ แล้วไม่เชื่อด้วย ของใคร สุดท้ายไม่รู้จะทำอย่างไร ของใครก็เอามาใช้ประกาศให้แก่โลก ก็ได้รับตำแหน่งเป็นศาสดา แต่ตนเองไม่รู้ว่าได้มาอย่างไรความรู้นี้ บอกว่าได้จากพระเจ้า แล้วพระเจ้าประทานแบบไหน ยังไม่เห็นเลย ก็เห็นแต่ในหนัง เหมือนแผ่นบัญญัติ 10 ประการ เขวี้ยงออกมา ไฟลุกโชนมาให้โมเสกรับ ซึ่งเป็นผู้ประกาศคนหนึ่ง เป็นศาสดาคนหนึ่ง สำหรับโมเสคตามประวัติเขาก็ว่าอย่างนั้น คือ ความรู้มันไม่รู้ ก็เลยกลายเป็นชาดก ประวัติศาสตร์ ตำนาน ที่สร้างด้วยกันมาแล้วก็ดูไม่ออก แต่ก็มีนัยแฝงว่า เหมือนจะมีความจริงอยู่ในนั้น แต่มันก็รู้ไม่ได้ฝากไว้อย่างนี้แหละ ฝากไว้ๆ จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย
อาตมายืนยันทุกวันนี้ว่า ความรู้ที่เกิดมาแม้อาตมาเอง ความรู้ที่เป็นไปเพราะอาตมาสร้างมาเอง อาตมายังไม่ใช่ศาสดา ยังไม่ถึงขั้นเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง เพราะอาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า ถ้าหากอาตมาจะเป็นศาสดา ก็ต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่เป็นศาสนาเทวนิยมองค์ใดองค์หนึ่ง แบบนั้นอาตมาเคยเป็นมาแล้ว เพราะมันยังไม่สมบูรณ์ ยังมีอะไรเป็นความแฝงซ่อนอยู่ ขนาดพระเจ้าเขาก็ยังไม่รู้จริงเลย พระเจ้าแท้ก็คือตัวเขาเองแต่เขาก็ไม่รู้ตัวเอง พระเจ้าก็ไม่รู้ตัวเอง ตัวเองก็ไม่รู้ตัวเอง แล้วจะเอาอะไรกับศาสดาแบบนี้
เขาไม่รู้กรรม ไม่รู้วิบากที่เป็นอจินไตยอย่างหนึ่ง เขาไม่รู้การเวียนว่ายตายเกิด แม้รู้การเวียนว่ายตายเกิดที่ยังไม่ครบสมบูรณ์บริบูรณ์จริงๆ เหมือนอย่างศาสนาเทวนิยม เหมือนกันในทิฏฐิ 62 ที่รู้จักการเวียนตายเวียนเกิดแต่ไม่สมบูรณ์ ไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้โลก ไม่รู้ ก็ยังไม่จบ ก็ต้องมาพากเพียรศึกษาเรียนรู้ความจริง
ที่อธิบายไปนี้อาตมาเห็นจริงและเป็นจริงตามที่อาตมาพูดทั้งนั้น จึงไม่เอาสิ่งที่จะทำให้เสียเวลา เพราะเป็นสิ่งไม่เข้าท่า แต่เอาสิ่งที่จริง สิ่งที่ถูกต้อง เพราะอาตมารู้สิ่ง 2 แล้วก็เลือกเอาสิ่งที่เหนือชั้นกว่าเสมอ นี่เป็นเคล็ดวิชาวรยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า เรียนทีละ 2 และเลือกเอา 1 คุณก็คัด Champion ได้ ทีละ 2 แล้วก็ได้ผู้ชนะไปเรื่อยๆ คู่ชกหรือคู่ที่จะมาเทียบ ก็ต้องไล่เลี่ยสูงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายคู่ Champion สูงสุดเราก็ได้ผู้ชนะ Champion ผู้ที่ไม่ชนะก็คือผู้ที่ถือว่าเป็นรองแชมเปี้ยนไป
ตกลงศาสดาโลกุตระกับศาสดาโลกียะ ศาสดาโลกุตระก็คือ ผู้ที่เป็น Champion ศาสดาโลกียะก็เป็นรอง Champion ถ้าเป็นรอง Champion แบบศาสนาพุทธก็ไม่แย้งพระพุทธเจ้า เขาจะยกให้พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็แล้วแต่ ถือว่าเป็นแชมป์เปี้ยนทั้งนั้นนอกนั้นรอง ในยุคใดที่เราเกิดมาอย่างอาตมาเกิดในยุคนี้ มีใครยิ่งกว่าอาตมาล่ะ แล้วผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิตรงกัน จะไม่แย้งกันหรอก ผู้ที่ยังแย้งอยู่คือผู้ที่ไม่สัมมาทิฏฐิตรงกัน อาจจะมีตรงกันบ้าง ถ้ามีสิ่งที่ตรงกันแน่นอน มันต้องไม่เถียงกัน ไม่แย้งกัน ตรงกัน ถ้ามีสิ่งที่ไม่ตรงกันแล้วเราก็ยอมรับยอมเข้าใจว่า สิ่งที่ไม่ตรงกันนี้ของใครถูกของใครผิดหว่า ถ้าคนนั้นมีปฏิภาณก็จะรู้ว่าของเราผิด ของท่านผู้นั้นถูก(ไม่ใช่เรา) ผู้นี้ก็จบเหมือนกัน ยอมรับผู้นั้นว่าสูงกว่า แต่ถ้าผู้นี้บอกว่ายังไม่แน่วะ ก็แน่นอน ก็ต้องเอ็งกับข้า ข้ากับเอ็ง ใครจะแน่กว่ากัน
จนกว่าผู้นี้จะเข้าใจ เกิดความจริงที่ตรงกันเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาปฏิบัติ เป็นสัมมาปฏิเวธ ครบสามเส้า ตรงกันจริงๆได้ ก็จะไม่แย้งกัน เพราะเป็นสัจจะที่มีหนึ่งเดียวเท่านั้น ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน จูฬวิยูหสูตร หนึ่งเดียวจริงๆ จบในตัว อาตมาจึงไม่แปลกที่ผู้ที่แย้งอยู่นี้ ก็นับวัน ตอนนี้ แม้แต่ sms แม้แต่คอมเม้นอะไรแสดงออกมา ก็รู้สึกว่าจะเริ่มเข้าใจเพิ่มขึ้น ที่แย้งที่เถียงที่ด่าก็มีอยู่บ้าง แต่น้อยลง แล้วผู้ที่เข้าใจจะมองได้อย่างลึกซึ้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย
โพชฌงค์ 7 โดยพิสดาร
ไปที่โพชฌงค์ 7 สติกับวายามะ เป็นคู่หู ที่จริงแล้วแยกได้เป็น 2 แต่จริงๆแล้วไม่แยกกันหรอก ถ้าแยกกันแล้วไม่มีงาน ไม่มีผลธรรมอันประเสริฐ เพราะฉะนั้นก็ต้องทำงานร่วมกันไปเป็นคู่สำคัญ ทำให้คู่หู 2 ตัวนี้ต้องมีวิริยะเป็นตัวพลังงาน ขาดไม่ได้
2 กับ 1 นี้เป็น สติ กับธัมมวิจัย รวมตัวเป็น 1 แล้วต้องอาศัยวิริยะทำงานสามเส้า รวมตัวเป็น 2 กับ 1 ถ้าสองตัวนี้แย้งกัน บวกกับลบ แย้งกัน สักวันก็จะระเบิดเหมือนระเบิดปรมาณู พลังงานบวกลบแล้วจะรอเวลาเป็น 3
3 คืออะไร ตอนนี้เกาะกันอยู่ตัวหนึ่งตัวที่ช่วยเกาะกันอยู่คือตัวที่ 3 สุดวิสัยแล้วมันไม่เกาะแล้วตอนนี้ มันจะแยกกันแล้วก็แยกอย่างระเบิดเลยทีนี้ แยกเป็น bomb เลย ระเบิดแล้วมีแต่เรื่องทำลายชิบหาย ระเบิดอย่างบอมบ์ หรือใช้ explorsion ระเบิด แต่ รวมตัวกันอย่างดี
ในสามตัว สติ ธัมมวิจัย วิริยะ สติกับธรรมวิจัย เป็นตัวคู่หูแล้ว มีวิริยะจะเป็นประธานของสติกับธัมมวิจัย ก็ได้ จะถือว่า เป็นผู้ช่วยก็ได้ เมื่อมันไม่มีตัวตน ไม่ถือตัวตนแล้ว สติธัมมวิจัยก็ไม่ได้ถือตัว จะถือว่าเป็นประธานก็ได้ จะถือว่าเป็นผู้ช่วยก็ได้ เห็นไหม มันหมดตัวหมดต้นจะเป็นเช่นนั้น แต่ทำงานร่วมกันไม่แยกกัน ทำงานไปยังไม่มีอะไรขัดข้องเลยเสริมเติมกันไปตามหน้าที่ของแต่ละหน้าที่ ทำให้เต็มที่
3 องค์นี้ทำงาน มันก็จะเกิดผลสำเร็จเป็นผล เริ่มต้นเป็นผล เริ่มต้นเดินมรรคมีผลไปตามลำดับ มันก็จะเกิดความยินดีด้วยความปิติ ใช่ ตรวจสอบผลของการมีปีติ คือทำให้มันมีปัสสัทธิ ทำให้มันสงบ ทำให้มันบริบูรณ์ ให้มันมีคู่ตัวเคลื่อนกับตัวหยุด ก็ทำตัวหยุดหรือตัวดับกิเลส เพราะคนมันไม่ดับ คนมันอวิชชา คนมันมีแต่เกิดๆๆ ทำแต่ตัวชาติ ไม่ทำตัว 0 ตัวดับ ทำแต่ตัวมี ไม่ทำตัวไม่มี พอทำได้ก็จะตกผลึกเป็นปัสสัทธิ
ปัสสัทธิจึงไม่ใช่ตัวสงบที่เรียกด้วยพยัญชนะว่า สมถะ มันคนละสงบ อาตมาไม่ต้องลงลึกถึงพยัญชนะแต่ละตัว แต่ปฏิบัติให้เกิดสภาวะ แล้วมันจะเข้าใจ สภาวะมันเกิดก่อนพยัญชนะ คุณมีสภาวะแล้ว เอาพยัญชนะไปแปะ สลากยาไปแปะตัวยาสบายมาก ได้แต่พยัญชนะฉลาดยากแต่ไม่ได้สภาวะเดี๋ยวจะเลอะเทอะ
กิเลสมันสงบมันหมดไปก็ได้ว่ามีความสงบปัสสัทธิ
ปัสสัทธิ สันตะ กับ สมถะ
สมถะ ของพระพุทธเจ้าไม่เอา แต่เอาปัสสัทธิ ปัสสัทธิตกผลึกลงเป็นสันติหรือ สันตะ เดี๋ยวนี้ใช้กันเละ คำว่าสันติ เหมือนกับคำว่าปัญญา คำว่าบุญ เดี๋ยวนี้ใช้กันเละเทะ สันติ แต่แท้จริงใช้คำว่า สันตะ คือ 1 สันติคือ 3 ตัว สันตะ สันตา สันติ อะ อา อิ
ปัสสัทธิ สั่งสมลงเป็นสมาธิ แต่ไม่ได้หมายความว่าสั่งสมแต่ความสงบ สมาธิของพระพุทธเจ้าจึงเป็นอจินไตย เป็นความคิดที่เดาเอาไม่ได้ อย่าว่าแต่สมาธิเลย แค่ฌานก็เป็นอจินไตย ฌานวิสัย เป็นอจินไตย ฌานที่เขาเรียนรู้กันอยู่ทั่วโลกเป็นโลกีย์ พวกเดียรถีย์นั่งหลับตาปฏิบัติ ก็เก่งทางฌานสมาธิกันทั้งนั้น แต่เป็นฌานสมาธิโลกีย์ อยู่อย่างนั้น วิธีทำเป็นแบบนั้น แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นอีกวิธี ไม่เหมือนกัน
กว่าจะได้ปกติ กว่าจะได้ความสงบตกผลึกลงเป็น ความสงบนี้คือจิตที่สะอาดจากกิเลส สะอาดจากศัตรู สะอาดจากตัวกวน สะอาดอย่างไร คือตัวกวนถูกปราบ กิเลสถูกปราบ ตัววุ่นถูกปราบ กลายเป็นตัวสะอาด
เพราะฉะนั้นจิตสะอาดจึงมีทั้งตัวพลังงานสร้างสรร มีทั้งพลังงานหยุด พลังงานจบพลังงานสงบ มีทั้งสองสภาพตกผลึกลงๆ เป็นมุทุภูตธาตุ
จิตสะอาดเรียกว่า ปริสุทธา คือบริสุทธิ์ จิตที่บริสุทธิ์สะอาดจากกิเลสแล้วเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 จึงเกิดจิตปราศจากกิเลสอาสวะ ตัวสุดท้ายของจรณะ 15 ตัวสุดท้ายของวิชชา 8
เพราะฉะนั้นอาสวะเป็นตัวกิเลส เป็นตัวโจร เป็นตัวต้องดับให้ได้ หมดอาสวะแล้ว จึงเป็นจิตสะอาด จิตสะอาดแล้วจึงเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
สมาธิเป็นจิตที่รวมตัวตั้งมั่น เป็นจิตที่ปราศจากกิเลสร่วมด้วย เป็นจิตตั้งมั่น เป็นจิตที่หมดอาสวะแล้ว ทวนอีก จนกระทั่งถึงวิมุตติญาณทัสสนะว่าสะอาด เป็นวิมุติหลุดพ้นสะอาดจริงนะสะอาดแล้วจึงตกผลึกลงเป็น ปริสุทธา
จิตที่บริสุทธิ์เป็น ปริสุทธา กว่าจะมาถึงปภัสสรา
ปภัสราเป็นความบริสุทธิ์ที่สั่งส้มตกผลึกลงไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ตกผลึกเป็นปริสุทธา จิตใจบริสุทธิ์สะอาดตกผลึกตั้งมั่น ท่านจึงมีคำศัพท์ใหม่ว่าเป็น สมาหิตะหรือสมาหิโต ของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นจิตตกผลึกลงเป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่สมาธิของโลกีย์ที่ลวกๆทำตื้นๆ ทั้ง 2 แบบ กดข่ม เหมือนกับอาฬารดาบส อุทกดาบส หรือสั่งสมความสงบแค่ตรรกะ ไม่ใช่ แต่เป็นจิตที่มีกรรมวิธีของพระพุทธเจ้าที่สุดยอดจริงๆเลย
จึงเกิดจิตสะอาดมาสะสม ตกผลึกร่วมกันเป็นจิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นสมาหิโต ถึงไม่ใช่จิตตื้นๆ ง่ายๆ ดังที่เขาคิด เขาทำเอาอย่างนั้นเป็นลัดๆ ไม่ใช่ ต้องละเอียดลออ ครบครัน ไม่มีขาดหกตกหล่น บริบูรณ์เป็นลำดับ ต้นกลางปลาย ที่ละเอียดราบลุ่มเหมือนฝั่งทะเล สุดยอดเลย
จึงสะสมตัวสมาธิ เรียกด้วยพยัญชนะแทนไปก่อนแต่สะสมเป็น สมาหิตะ จึงเรียกว่าสมาธิของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นอย่าไปว่าแค่ ฌานเลย ฌาน คือตัวต้นที่จะเผากิเลส ทำลายกิเลสให้ได้ พอได้ก็เรียกว่า บุญ จากฌานมาเป็นบุญ พอบุญก็ได้จิตสะอาดมา สะอาดแน่ จบแล้วนะ ไม่ต้องมาทำบุญ ทำฌานอีก ไม่ต้องมานั่งเผากันใหม่ จบการเผาแล้วเป็นบุญแล้ว เป็นจิตที่ทวนแล้วทวนอีก จนเป็นวิมุตติญาณทัสสนะแล้ว จิตนี้ตกผลึกรวมกันเป็นสัมมาสมาธิหรือใช้พยัญชนะว่า สมาหิโต ยืนยันอยู่ในเจโตปริยญาณ 16
เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้อธิบายคำนี้กันแล้ว ก็อธิบายแต่คำว่าสมาธิ แต่กลายเป็นมิจฉาสมาธิเลอะไปหมด มันจึงไม่เกิดสภาพจริงของจิตสะอาดบริสุทธิ์ ที่ถาวรยั่งยืน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ…
สมณะฟ้าไท…พ่อครูได้ปัญญานี้จากพระพุทธเจ้า พ่อครูไขความว่า ทำไมต้องเป็นพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า…คำว่าสมาธิ ของพระพุทธเจ้านั้นแม้จะเรียกคำศัพท์ซ้ำกับของเขาว่า สมาธิ ที่จริงพยัญชนะเดิมมันถูก เป็นของพระพุทธเจ้า สมะ+อธิ เคยแจกแจงให้ฟังแล้ว
อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา หรืออธิโมกข์
สมาธิ ของพระพุทธเจ้านี่ ผู้ที่ไม่รู้จักสภาวะจริง สับสนเอาสมาธิของฤาษีมายืนยัน เขาอธิบายได้แค่นั้น ทำได้แค่นั้นจริงๆ แต่อย่างนั้นมันไม่ยากหรอกที่เขาทำกันได้ มันไม่ยาก แต่อย่างที่อาตมาพาทำ มัน คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
เป็นคำตรัสยืนยันของพระพุทธเจ้าว่า ธรรมะของท่านเป็นอย่างนี้
ต้องเอาตัวเองมาปฏิบัติ เรียกว่า สันทิฏฐิโก เอาตัวเองมาปฏิบัติเลย ถึงจะถึงของสูงที่ต้องเลือก โอปนยิโก จนได้แล้วเอามายืนยันกับโลก ยืนยันประกาศบอก เขาก็หาว่าอวดดี อย่างอาตมาประกาศ เขาก็หาว่าอวดดี ก็ดีต้องอวดโชว์สิ แต่คุณโชว์แต่ของไม่ดีขี้หมามาอวด เอาความซ้อนว่า คนอยากอวดดีมันไม่ดี แต่เราไม่ได้อยากอวด แต่เปิดเผยความจริง โดยจิตเราไม่มีสาเฐยจิตไม่อยากอวด แต่มันบอกควร ควรอวด ควรโชว์แสดง ควรให้คนอื่นได้รับรู้ตามมาเป็นของดี ถ้าจะว่าแล้วควรซ้ำควรย้ำควรทวน เอาให้หนักเลย ยัดเยียด แต่ยัดเยียด ไม่บริสุทธิ์ไม่สะอาด ต้องให้เขามีปฏิภาณปัญญารู้มาเอาเอง อาตมาไม่ได้ล่อหลอก ไม่ได้มาแฝง เพื่อให้ได้โลกียะไม่มี บริสุทธิ์สะอาด ใครได้ก็ได้ไม่ต้องมาขอบคุณ ไม่ต้องมายกย่อง ไม่ต้องมาทำอะไรให้ก็ได้ ไม่ต้องเลย ได้แล้วคุณก็เอาไปทำต่อก็แล้วกัน ไปช่วยมนุษยชาติต่อก็แล้วกัน ให้เขาลด ละหน่ายคลาย
พระพุทธเจ้าจึงสรุปว่าธรรมะนี้เป็นไปเพื่อความละหน่ายคลาย ไม่ต้องมาวนเวียนเพื่อเป็นบุญคุณ ต้องรู้คุณค่า ต้องมาเคารพนับถือ ไม่ใช่ ไม่ต้อง พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนอีกว่าความสรรเสริญนั้นมันไม่มีค่าเลยที่จะทำให้บรรลุนิพพาน สรรเสริญน่ะ มีแต่ขัดเกลาตำหนิ ตำหนิแล้วตำหนิอีก กำหราบแล้วกำหราบอีกไม่ยั้งมือ เป็นความสอดคล้องของธรรมะพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้มันลงตัวกันหมด ชัดเจน
เพราะฉะนั้นเมื่อลงสุดท้ายสั่งสมเป็นสมาธิของโพชฌงค์แล้ว ตัวสุดท้ายเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ คำว่า สัมโพชฌงค์ก็คือมีคำว่า สมะ เข้ามาประกอบ สม คำนี้ยิ่งใหญ่มาก
สัมโพชฌงค์เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ เป็นองค์ประชุมองค์ประกอบวิธีการให้เกิดความตรัสรู้ เมื่อมีสัมโพชฌงค์มาตลอดแล้วก็ปฏิบัติ สัมโพชฌงค์คือเครื่องปฏิบัตินั้นได้ผลมาเรื่อยๆจนมาถึงสมาธิ จุดจบอยู่ที่อุเบกขา ฐานนิพพานก็คืออุเบกขา สั่งสมลงมา เพราะฉะนั้นคุณสมบัติอันยิ่งใหญ่ของอุเบกขา คุณต้องรู้อาการของมันอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆเลยว่าสะอาดจากกิเลสแล้วก็สั่งสมตกผลึกลงมาบริสุทธิ์ คัดเอาตัวที่สะอาดบริสุทธิ์สิ้นอาสวะลงไปอีก ได้ตัวใหม่เพิ่มเติมขึ้นเป็น ปริโยทาตา ได้เพิ่มๆ แกนมุทุ
ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ 3 ตัวนี้เป็น 3 เส้าของ cyclic order ทำงานร่วมกัน สองตัวแรกเป็นตัวทำ มุทุเป็นตัวรวม ปริสุทธา ปริโยทาตา ตัว dynamic ส่วนมุทุ เป็นตัว static
ถ้า ปริสุทธา ปริโยทาตา เป็นสภาพรูป อีกสภาพต้องเป็นตัวนาม เป็นตัวตั้งตัวหนึ่งต้องเป็นตัวเคลื่อนแล้ว ปริสุทธา ปริโยทาตา อะไรเป็นตัวตั้งอะไรเป็นตัวเคลื่อน ปริสุทธา เป็นตัวตั้ง ปริโยทาตา เป็นตัวเคลื่อน ก็ทำเพิ่ม ก็ได้สั่งสมลงไปเป็นความบริสุทธิ์ แม้ที่สุดสั่งสมเป็นปภัสสรา ก็เป็นตัวบริสุทธิ์
มุทุ เป็นตัวประธาน ปริสุทธา ปริโยทาตา ตัวทำงาน 2 อย่างเป็น หวังเฉา หม่าฮั่น มุทุ ก็เจริญขึ้นเป็นการเอามาทำงาน เป็นกัมมัญญา เป็น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เป็นอธิปไตย เป็นพลังงานใหญ่ เอามาทำงานให้กับคนจำนวนมาก เป็นการทำงานที่ดีมีความสามารถ ทั้งปัญญาที่พร้อมทำงานได้อย่างดีที่สุด ไม่ขาดหกบกพร่องอะไร ตามเหมาะควร จึงเรียกว่าการงานมั่นเหมาะควร กัมมัญญา เหมาะควรตามองค์ประกอบ ตามกาละ เทศะฐานะ ทำลงไปทำลงไปก็เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ
สัปปุริสธรรม 7 ของสัตบุรุษ
จะทำหนักหนามากมายขนาดไหนผู้รู้จักประมาณ มีสัปปุริสธรรม 7 ก็ประมาณไม่ได้ให้ผิดพลาด ความเก่งของสัปปุริสธรรม 7 ประการก็ยิ่งเก่งยิ่งขึ้นๆ เก่งยิ่งขึ้น ถ้าให้อาตมาขยายความสัปปุริสธรรม 7 ประการ ก็พอขยายความได้
สัปปุริสธรรม 7 ประการ มี
-
ธัมมัญญูตา (รู้จักทุกองค์ประกอบ)
-
อัตถัญญูตา (รู้จักเนื้อหาเป้าหมาย)
-
อัตตัญญูตา (รู้จักตนเอง)
-
มัตตัญญูตา (รู้จักประมาณจัดสรรสัดส่วน)
-
กาลัญญูตา (รู้จักกาลสมัย)
-
ปริสัญญูตา (รู้จักหมู่กลุ่มบริษัทอื่น) .
-
ปุคคลปโรปรัญญูตา (รู้จักบุคคลอื่น)