640719_รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 1
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1Iamd2wE5873QY7HQGE-aUrG9IhpK2wd7BN3ghW3TB68/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1W2sD8pvf5Xhq2pV4WjgLJPlwd-m_91L7/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/9SZFneICrbE
พ่อครูว่า…เอ้า.. วันนี้พบกันด้วย ตะลุ่มตุ้มม้ง เป็นวันแรกรายการเบิกฤกษ์ทางบุญนิยมทีวี วันนี้วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564 ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 8-8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
รายการตะลุ่มตุ้มม้ง ตั้งใจจะให้เป็นรายการที่ครบเครื่องธรรมะ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีสิ่งวิเศษสิ่งพิเศษ ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่พูดอย่างหลงใหลได้ปลื้มหลงตัวหลงตนกับศาสนาพุทธ แต่ว่ามีสิ่งที่มันแปลกแยกแตกต่างออกไปจากศาสนาทุกศาสนาเลยในโลก ศาสนาพุทธนี้มีความแตกต่างแต่ไม่ใช่แตกแยกทะเลาะวิวาท แต่มีสิ่งที่แตกต่างจากศาสนาอื่นๆทั้งหมดในความเป็นนามธรรม ในทางจิตวิญญาณ เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง ยากที่เราจะคิดเอาเองได้ เพราะเป็นอจินไตย เป็นศัพท์เฉพาะของศาสนาพุทธ ภาษาบาลี
อจินไตย แปลว่า ธรรมดาคนคิดอย่างไรใช้ภูมิปัญญาค้นคิดขบคิด เพื่อที่จะให้เข้าไปรู้ในความจริงในความเป็นอจินไตย ไม่มีทางจะรู้ได้ คิดให้หัวแตก 7 เสี่ยง ใครจะมีความเป็นอัจฉริยะเก่งขนาดไหนในทางความรู้ กี่ยุคกี่สมัย เมื่อไหร่ๆก็ตาม ถ้าไม่ใช่พุทธ ไม่ใช่ศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความรู้นี้เกิดในวงการนั้น ในผู้นั้น โดยจะมีเจ้าของคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ต้น แต่ละยุคๆ จะนำมาเปิดเผย
หมายความว่า แต่ละยุคกาลสมัย ยุคที่ไม่มีความรู้ของพุทธเลย ก็คือเป็นความเป็นอจินไตย เดี๋ยวจะได้พูดถึง อจินไตย 4 ประการ
เรามีการเชื่อมโยงรายการ ตุ้มตะลุ่มตุ้มม้ง ในการซูมจากที่ต่างๆ แต่ก่อนมีโสเหล่ก็ไม่ค่อยกว้างขวางมาก แต่ตอนนี้เราให้กว้างขวางที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่าที่จะใช้เทคโนโลยีได้ อย่างประโยชน์สูงประหยัดสุด ถูกที่สุด ดีที่สุด ประเสริฐที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ถูกที่สุดนี่รับรองว่าเราทำอะไรในสังคม เปรียบเทียบกับกลุ่มไหนก็แล้วแต่ ในทางโทรทัศน์ในการสื่อสาร ไม่มีสถานีไหนในโลก ต้นทุนที่ทำถูกที่สุด เพราะว่าคนทำงานฟรีกันทุกคน ไม่มีรายจ่ายในเรื่องตัวบุคคล นอกจากการกินอยู่ร่วมกันก็ถือว่าเป็นครอบครัว ส่วนรายจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าตัวค่าแรงงาน ไม่มีเลย ตั้งแต่ตั้งต้นทำโทรทัศน์มา บุญนิยมมา เราไม่ได้จ่ายเลย เพราะว่าเราเป็นลักษณะของสาธารณโภคี
ก็เจริญธรรมทุกแห่งที่ ซูมเข้ามาร่วมด้วย ที่ไม่ได้อยู่ในราชธานีอโศก ทุกคนได้ยินเสียงดีนะ ทีนี้ จะมีอะไรอยากจะแทรกแซงอยากจะถาม ใครอยากจะร่วมเข้ามา ก็ส่งเข้ามาที่ไลน์กลุ่มประสานงาน เรามีคณะทำงานรับเรื่อง คอมเม้นท์คำถาม อะไรต้องรีบเสนอก็จะได้เสนอกันเลยก็บอกไว้ก่อน
สู่แดนธรรม… ได้ข่าวว่า สองสามวันมานี้พ่อท่านประกาศอิสรภาพ เช่นจะไม่ยอมทำตามคนกำหนดต่างๆนานา อันนี้พ่อท่านจะกำหนดตัวเองอย่างไร
พ่อครูว่า… อาตมาเองไม่มีตัวตนมานานแล้ว เอาตามเหตุปัจจัยที่เข้ามา อันใด ที่มีน้ำหนักใกล้ชิดเกิดปฏิกิริยาแก่กันและกัน อาตมาก็ทำไปตามเหตุปัจจัยในปัจจุบันธรรมอย่างนั้นมาตลอด ตอนนี้อาตมาก็เลยเห็นว่า อาตมาจะไม่มีตัวตนเสียเลยแบบนั้น มันก็คงจะเหมือนเดิม ดั่งที่ได้ปฏิบัติมา ก็เลยขอเปลี่ยน (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม… แสดงว่า เมื่อก่อนแสดงความไม่มีตัวตน ด้วยการให้ผู้อื่นสร้างกรอบให้ คราวนี้ก็เดาว่าพ่อท่านจะขอเป็นเอกราชยิ่งกว่าเอกราชทั้งปวงในปฐพี
พ่อครูว่า… ไม่ใช่ เป็นลักษณะที่กลับกัน แต่ว่า ฟังดูจะเหมือนกลับไปกลับมา แต่จะไม่มีตัวตนแล้วจะกลับมามีตัวตน คืออาตมาจะขอสิทธิ์ขึ้นมามีตัวตนใช้สิทธิ์ขึ้นมาว่า อาตมาจะเป็นอย่างนี้บ้าง ไม่ใช่แต่ก่อนเอาคนอื่นเป็นหลักหมดเลย ซึ่งอาตมาถือว่าลักษณะที่ไม่มีตัวตน เอาผู้อื่น โดยเฉพาะผู้อื่นที่เป็นองค์รวม
องค์รวมอยู่ในกรอบที่สมควร อย่างประเทศไทยก็เป็นองค์รวมของประชาชน ในบ้านราชก็เอา ประชาชน ของชาวบ้านราชฯ เป็นองค์รวมของสิ่งนั้นตัดสินอย่างน้อยก็เอา เยภุยสิกา หมายความว่าเอาส่วนมากเป็นใหญ่เป็นการตัดสิน
ทีนี้อาตมาก็ว่า อาตมาจะเอาความเห็นของอาตมาเป็นหลักบ้าง ตอนนี้ไม่เอาแต่เฉพาะของทั่วไปทั้งหมด เขาว่าเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ แต่อาตมาจะเอา ประชาธิปไตย ที่มี 2 ความเห็น ของส่วนรวมด้วย อาตมาก็มีอิทธิพล บางที อาตมาจะใช้ จะเรียกว่าอำนาจบาตรใหญ่ก็ไม่สมควรเรียก แต่ว่าจะขอใช้เอกสิทธิ์ส่วนตัวที่จะต้องขอให้เป็นอย่างนี้ คุณจะยอมหรือไม่ยอมก็ตามใจ ถ้าคุณไม่ยอมคุณก็ทำกัน แต่ถ้าคุณยอมเห็นว่าอาตมามีน้ำหนัก จะทำตาม ก็ดีก็เอา แต่ถ้าบอกว่าไม่ยอมตามอาตมาเลย คุณก็ทำ อาตมาก็คงจะร่วมมือด้วยน้อย ไม่ถึงกับขัดแย้ง คุณจะทำก็ทำ แต่อาตมาคงร่วมมือด้วยน้อย
สู่แดนธรรม… ผมถือว่า เป็นธรรมดาของผู้ที่เป็นเจ้าของธาตุนี้ ไม่มีใครกล่าวหาได้ว่าพ่อท่านเป็นคนยึดตัวยึดตน เพราะอย่างนี้เป็นแค่เจตนาที่จะเห็นว่าขณะนี้สมควรในปัจจุบัน เปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ แต่ตอนนี้พ่อท่านจะเอาความเห็นของตัวเองเป็นเอกเทศบ้าง ก็คงไม่มีใครว่าอะไร
พ่อครูว่า… ว่าก็ช่าง อาตมาจะทำ ไม่มีปัญหาอะไร หรือจะพูดว่ามีปัญหาอะไรไหม พูดอย่างนักเลง อาตมานักเลงหัวเราะเป็นกันเองไม่ใช่นักเลงดุเดือดดุดันเอาเป็นเอาตายไม่เข้าเรื่อง
สติที่ไม่มีอัตตา
สู่แดนธรรม… มีคนฝากคำถามมา
_พิมพ์เพชรรุ้ง… เมื่อเร็วๆนี้พ่อครูได้อธิบายเรื่องสติ ที่เป็นอธิปไตย เป็นสติเต็มตื่นกำกับกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม พ่อครูกล่าวว่า เป็นสติที่ไม่มีอัตตา
ลูกพอเข้าใจสภาวะของความไม่มีอัตตาในบางเรื่องได้บ้าง แต่ไม่เข้าใจสภาวะของสติที่ไม่มีอัตตาเป็นสภาวะอย่างไรคะ
พ่อครูว่า… สติที่ไม่มีอัตตา
คำว่าอัตตา มีความหมายเฉพาะ คำว่าอัตตาคือ ความหมายแบบมีกิเลสกับความหมายแบบที่ไม่มีกิเลส แต่อัตตาหมายถึงสภาวธรรมชนิดหนึ่ง ก็คือ จิตวิญญาณของใคร คนนั้นก็เป็นเจ้าของ ความเป็นเจ้าของจิตวิญญาณนั่นแหละคืออัตตา เป็นเจ้าของที่จะใช้ธาตุรู้หรือวิญญาณ หรือประธานสำคัญก็คือจิตวิญญาณและเป็นธาตุรู้นี่แหละของคนแต่ละคน เป็นประธานของตัวเอง คำว่าอัตตา บางทีก็แปลว่าตัวเอง เป็นประธานของตัวเอง แล้วก็แสดงอะไรต่ออะไรร่วมกันอยู่กับคนทั้งหมดในโลกที่สำคัญอยู่ หรือ แสดงของตัวคนเดียว ก็เป็นอัตตา ผู้ที่ยึดอัตตา จนกระทั่งกลายเป็นสภาพที่ไม่ใช่ 2 ไม่ใช่ร่วมกับสิ่งอื่นอีกสิ่งหนึ่ง ร่วมกับสังคมเขาเป็นต้น เป็นอัตตาเดี่ยวๆ กูจะไม่เกี่ยวกับใคร สุดโต่ง อย่างนี้เป็นอัตตาแท้ๆเลย
ลักษณะอย่างนี้มีในโลกก็คือลัทธิเชน ของพระศาสดามหาวีระ ไม่มีพระเจ้าเหมือนกัน แต่เป็นตัวเองที่จัดจ้านสุดโต่งไม่เกี่ยวกับใคร คนจะนุ่งผ้าฉันไม่นุ่งผ้า จะใช้อุปกรณ์เข้าใช้ให้น้อยที่สุดจนกระทั่งไม่ใช่อะไรเลย ในชีวิต มีภาชนะ 1 ชิ้น กับไม้ปัดอ่อนนุ่มที่สุด เพื่อไม่ให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยได้รับการกระทบแรง แล้วจะระมัดระวังชีวิต ถือว่าชีวิตเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นชีวิตเล็ก ชีวิตน้อย ชีวิตจิตวิญญาณสัตว์โลก ตั้งแต่เป็นจิตนิยามถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุด อย่างนี้เป็นต้น แล้วไม่เกี่ยวกับสังคมใดๆเลยจะมาเกี่ยวกับสังคมก็มาโชว์ตัวเท่านั้นนั่นแหละคืออัตตามานะเป็นกิเลสตัวใหญ่เอามาโชว์ตัว โชว์ว่าตัวนี้เด่นตัวนี้สูงส่ง ตัวนี้พิเศษสำเร็จ คนอื่นๆในโลกนี้ไม่มีใครสำเร็จ มีแต่พวกเขานี้พวกสำเร็จ สำเร็จทุกอย่างไม่มีกิเลสนิดนึงน้อย หนึ่งก็ไม่มี กิเลสอะไรก็ไม่มี ตัวตนก็ไม่มี สุดโต่งไปทางไม่มีตัวตนไม่มีอัตตา
ซึ่งมันก็ตีกลับได้ อัตตาอย่างยิ่ง อัตตาชนิดที่อีกนานเลยเขาจะสามารถสลายอัตตาได้ อาตมาก็ไม่สามารถใช้ภาษาพยัญชนะอธิบายความเป็นอัตตาที่ศาสนาเชนเขายึดถือ เพราะมันหนักยิ่งกว่าอาฬารดาบสอุทกดาบส ยิ่งยากใหญ่เลย
ทวนกลับมาประเด็นที่กำลังพูดนี้ ที่ว่า คือ สติที่ไม่มีอัตตา
ทีนี้อัตตามันไม่ตื่นมารู้โลก มีสติอยู่แค่ตัวเองนิ่งเฉย ไม่คิดไม่นึกอะไรเลย แล้วก็กินข้าวหายใจไปเพื่อที่จะให้ชีวิตร่างกายนี่มันอยู่กับโลกแล้วก็ตายเอง จนกระทั่งดับขันธ์ตายไปเองเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ยิ่งกว่าดินหินก้อนหนึ่ง ยิ่งกว่าทรายเม็ดนึง ไม่มีประโยชน์อันใดเลยในโลก แต่อาศัยกินใช้วัตถุดิบ หายใจอวกาศกินอาหารเปลืองเปล่า ไม่มีประโยชน์คุณค่าอะไรเลย มีแต่อยู่เฉยๆกินนั่งนอนยืนเดินอยู่ในป่าเขาถ้ำไม่เกี่ยวกับใคร นานๆก็โผล่มาในเมืองมาโชว์
ทีนี้ สติ มันตรงกันข้ามกับ อัตตา
สติ ตื่นเต็ม ตื่นทางกาย ทางวาจา ทางใจ ตื่นทางใจอาจจะยากหน่อย แต่นักธรรมะจะไปฝึกสติให้ตื่นทางใจนี่ก็สุดโต่ง นักธรรมะในไทยนี่แหละ จะต้องหลับตาทำสติให้ตื่นอยู่ภายในสว่าง เหมือนที่เปิดโลกสว่าง ให้ตื่นอย่างนี้ แล้วก็ทำอะไรตามเรื่องของเขา ก็เลยกลายเป็นอุปาทาน เป็นนิรมาณกาย เป็นกายซ้อนกาย เป็นความมีวิญญาณซ้อนวิญญาณ แล้วเขาก็สร้างภพชาติสว่างไสวเหมือนกับธัมมชโยธรรมกายเขาตื่นกัน ตื่นสว่างไสวใส แล้วก็เขาต้องอาศัยความตื่นในทางภพชาตินั้นในภวังค์นั้น ให้ทางทวารนั้น คิดนึกสร้างวิมานอะไรขึ้นมา เป็นเรื่องเป็นราวอะไรได้สารพัดเรียกว่าโลกจินตา เป็นอจินไตย ข้อสุดท้าย เขาจะสร้างอะไรก็ได้ข้อสุดท้าย เขาจะพยายามประกอบเรื่องราว ตัวตน ภาวะอะไรก็แล้วแต่ เขาจะสร้างขึ้นมาสารพัด เลอะเทอะไปหมด
อย่างเช่นธัมมชโย เขาสร้างอุปาทานหมู่ สร้างรูปเรื่อง แล้วเอามาบอกครอบงำทางความคิด ให้แก่ลูกศิษย์หรือพูดให้ฟังว่าเข้าใจเป็นอะไรอันหนึ่ง เพิ่มเป็นสิ่งที่เป็นของแต่ละคนคิดไม่มีความจริงในโลก ในโลกปกติสามัญที่เขารู้ร่วมกันไม่มีหรอก เขาเนรมิตขึ้นมาเป็นอะไรต่ออะไรเอง เป็นของที่มันสมมุติขึ้นมาเอง ปั้นขึ้นมาเอง เป็นตัวเป็นตนมีเรื่องมีราวมีฤทธิ์เดช มีคุณภาพมีประสิทธิภาพวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ ประเสริฐอย่างนั้นอย่างนี้เขาก็ว่าไปเรื่อย ผู้ที่หลงตามก็จะเชื่อตามเรียกว่าสัมโภคกาย ความจริงมันเป็นนิรมานกายไม่มีสิ่งนั้นจริง แล้วให้คนมาร่วมรู้ร่วมคิดร่วมเห็นกันไป ซึ่งแต่ละคนก็สมมุติว่านี่ของตัวเองเท่านั้น ต่างคนต่างไม่มีใครเห็นความจริงเลยว่าความจริงนั้นคืออะไร เพราะมันไม่มีอะไร ฟังทันนะ มันไม่มีอะไรเป็นการสมมุติแล้วก็พูดพล่ามไปเฉยๆ ให้คนอื่นเขาคิด ต่อหัวต่อหางต่อกลางต่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างเรื่องราวให้คนอื่นแต่ละคนคิดตาม เสร็จแล้วเขาก็เชื่อ แต่ทุกคนก็อาทิสมานกาย ไม่มีใครเห็นของใคร ไม่รู้ของใคร ต่างคนต่างยึดถือของตัวเองทั้งนั้น
เป็นของที่สร้างขึ้นมานึกว่ามีจริงแต่มันไม่มีจริงในจักรวาลโลกที่ไหนก็ไม่มี สมมติของไม่มีมาเป็นของมี สมมุติของมีมาเป็นของไม่มี แล้วก็หลงเพ้อบ้าบอไปกับสิ่งนั้น นี่แหละมันโง่ได้ที่ เป็นคนโง่ได้ที่ แล้วก็หลอกกันไป เป็นอย่างนั้น
สมณะเดินดินว่า… อยากจะช่วยพ่อครูพูด
พ่อครูว่า…
อาตมาว่า อจินไตย มันจะน่าฟัง ขอเก็บไว้ก่อน เอา sms ก่อน
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : คุณณวัฒน์ ได้ขอเงิน CP ร้อยล้าน เพื่อเอาไปเป็นประโยชน์ในการทำวัคซีน แต่เขาไม่ให้ เหตุผลคือเขาทำบุญเป็นพันล้านอยู่แล้ว เช่น แจกหน้ากาก
พ่อครูว่า… อาตมาไม่มีความคิดเห็นหรอก อาตมาไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับ คุณณวัฒน์ ที่เป็นโควิด อาตมาจะไปคิดอะไร เขาไม่ให้ก็มีเหตุผลของเขา คุณณวัฒน์จะเอาไปทำอะไรก็มีเหตุผลของคุณณวัฒน์ อาตมาไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับคุณณวัฒน์ แล้วไม่มีข้อมูลของ CP ว่าทำไมเขาไม่ให้ อาตมาก็ตอบไม่ได้ อันนี้ไม่ใช่ไม่ขอตอบใดๆ แต่ตอบไม่ได้จ้ะ ก็ไม่รู้เรื่องเลยที่จะตอบตอบแทนไม่ได้หรอก ไม่ใช่แฟนตอบแทนไม่ได้ อาตมาไม่ได้เป็นแฟนทั้งณวัฒน์ ทั้ง CP ก็เลยตอบแทนไม่ได้ ถ้าจะบอกว่าเป็นแฟนลุงตู่ก็พอจะเป็น แต่ถ้าบอกว่า CP กับณวัฒน์ อาตมาไม่ได้เป็นแฟนเขาเลย
อัตตา อาตมัน และปรมาตมัน
_จาก เอฟซี พื้นที่สีแดง
๑.กระผมขอทราบความหมายของคำว่า อัตตา อาตมัน และปรมาตมัน พอสังเขป
พ่อครูว่า… อัตตาเป็นภาษาบาลี แปลว่าตัวตน แปลว่าวิญญาณ แปลว่าชีพ ชีวะ ชีวิตของสัตว์โลก จิตนิยามเป็นอัตตา ผู้ที่มีพลังงานชีวถึงขั้นอัตตา
พลังงานชีวะมีตั้งแต่พืช แต่เป็นพลังงานที่ยังไม่มีเวทนา ยังไม่มีวิญญาณ เป็นพลังงานที่มีแค่สัญญาและสังขาร ก็ขออธิบายทิ้งไว้แค่นี้ก่อนในพยัญชนะ ในรายละเอียดของสภาวะเคยอธิบายมามากแล้วก็ติดตามให้ดีๆ ถ้าจะเรียนรู้ ยังตอบไม่หมด
อาตมัน เป็นภาษาสันสกฤต อัตตา เป็นภาษาบาลี ดังนั้นอัตตากับอาตมันเป็นอันเดียวกัน หมายถึง จิตวิญญาณ จิตนิยามของสัตว์โลก สัตว์โลกเดรัจฉานตั้งแต่เซลล์เดียว จนกระทั่งเป็นล้านเซลล์ จนกระทั่งถึงความเป็นคน เป็นคนที่ยังเป็นเทวนิยม เป็นชาวโลกีย์ ก็เป็นอาตมัน แล้วอาตมันของชาวโลกีย์เจริญพัฒนาเฉลียวฉลาด อัจฉริยะ รู้ มีความรู้ เป็นความหยั่งถึงความจริง เป็นคนที่มีความรู้และเป็นคนที่หยั่งถึงความจริง
อาตมาแบ่งสภาวะของทุกสิ่งทุกอย่างไว้ 2 อย่างคือ 1 ความรู้กับความจริง 2 คำ ในพยัญชนะส่วนสภาวะก็ติดตามไป อาตมาพยายามขยายความอยู่
ศาสดาในโลกเทวนิยมหรือชาวโลกีย์พยายามทำตนเองให้เจริญรู้ลึกมีความรู้ และหยั่งถึงความจริงให้ได้มากที่สุด สูงที่สุด ดีที่สุด เขาก็ทำได้จนกระทั่งเขาทำได้สูงสุด เรียกว่า บรมอัตตา นี่ภาษาไทย ส่วนภาษาสันสกฤตก็เรียกว่า ปรมาตมัน
ปรมาตมัน จึงยิ่งใหญ่กว่า อัตตา ใหญ่กว่าอาตมัน ปรมาตมันคือ จิตวิญญาณที่เก่งที่สุดสูงที่สุดในชาวโลกียะซึ่งมีเยอะ คนที่สูงก็ไปสร้างกลุ่มหมู่สร้างลัทธิ หรือสร้างศาสนาของตนขึ้นสำเร็จ จึงมีศาสดาแต่ละศาสนาของเทวนิยม เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม ศาสนาบาไฮศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนายิว ศาสนาอะไรอีกมาก อาตมาไม่ค่อยรู้กว้างศาสนามีเยอะ พวกนักศาสนาค้นคว้ามาก็มีเป็นร้อยเป็นพันศาสนา แต่อาตมารู้น้อย
อัตตา กับอาตมัน ก็เป็นอย่างเดียวกัน ส่วนปรมาตมัน เป็นภาษาที่บอกถึงความเป็นพระเจ้าหรือศาสดาในศาสนาเทวนิยจงม โลกียะ นี่แหละเป็นความไม่รู้ของศาสดา
ศาสดาบอกว่าความรู้และความจริงนี้ไม่ใช่ของตน เป็นของพระเจ้า ตนเองเป็นแค่พระบุตรเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าประทานมาให้ตนเองเป็นผู้ประกาศ เพราะฉะนั้นศาสดาทุกพระองค์จึงเป็นผู้ประกาศ เรียกว่าปกาศก ผู้ประกาศศาสนาของพระเจ้าของตน ซึ่งจะไม่เหมือนกัน จะแตกต่างกันไปตามหลากหลายศาสนา เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาบาไฮ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ก็จะมีอีกเยอะแยะ
อาตมัน จึงจะมีความต่างกัน หรืออัตตา มีศาสดาสูงสุดในความเป็นอัตตา แล้วก็ไม่สูญ เป็นนิรันดรเป็นอาตมันหรือเป็นอัตตามีอยู่นิรันดร ไม่มีความรู้ในการที่จะเป็น อนัตตาสูญไปเลย ไม่มี จึงยืนหยัดยืนยันที่จิตวิญญาณเป็นอัตตา จิตวิญญาณเป็นสิ่งที่คงที่เที่ยงไม่สูญหายไปจากโลก สูงสุดตายแล้วไปไหน.. ก็ไปอยู่กับพระเจ้า อยู่สวรรค์ เป็นสวรรค์เป็นความสุขที่สุดถือว่าอย่างนั้น
สรุปแล้วปรมาตมัน อัตตาที่สูงสุดใหญ่สุดใครยึดถือคนนั้นเข้าไป ยึดถือตนกระทั่งตนเองเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง ส่วนของพระพุทธเจ้านั้น ตรงกันข้ามกัน
ส่วนพุทธไม่เป็นอัตตาเที่ยง อาตมันเที่ยง ปรมาตมันเที่ยง ศาสนาพุทธไม่ถือว่ามีอยู่นิรันดร ศาสนาพุทธถือว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตาเที่ยงในความเป็นตัวตนที่มีอัตตาก็อาศัยอัตตา ที่มาทำงานที่ประเสริฐที่ดี แต่คนไม่รู้ก็ไปทำสิ่งชั่ว ไม่รู้ความละเอียดว่าเกิดจากการปรุงแต่ง ก็เลยหลงไปกับวิบาก จึงต้องศึกษาวิบากกรรม หรือกรรมจากวิบาก เป็นอจินไตย 4
มายากับสิริมหามายาต่างกันอย่างไร
๒.กระผมฟังการอธิบายคำว่า สิริมหามายา มาตลอด แต่ก็ยังจับหลักไม่ได้ว่าคืออะไรกันแน่ กรุณาอธิบายอีกสักครั้ง เผื่อกระผมจะพอเข้าใจขึ้นมาได้บ้าง ขอบคุณครับ
พ่อครูว่า… สิริมหามายาคงจะรู้กันดีในชาวพุทธว่าเป็นชื่อของมารดา เป็นชื่อของแม่ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสมณโคดมชื่อสิทธัตถะ มีพระมารดาชื่อสิริมหามายา ก็คือคำว่ามายา
มายาคือสิ่งที่ไม่จริง แปลมายาอีกที ไม่จริง ก็คือเท็จ เท็จแปลว่าหลอกลวง
คำว่า ไม่จริงคือภาษาไทย แล้วแปลไปอีกทีว่าหลอกลวง แปลไปอีกทีแปลว่า เล่นกล มายาคือการเล่นกล หลอกลวงว่าอันนี้ใช่ที่จริงไม่ใช่ อันนี้ไม่ใช่ แต่ที่จริงใช่นะ
เช่น เฃาเอานกพิราบเนรมิตขึ้นมาให้เห็น เสร็จแล้วก็หายไป ไม่ทราบหายไปที่ไหนก็ไม่รู้ อาตมาเล่นกลอันนี้ไม่เป็น แต่แน่นอน ความจริงมันเป็นไปไม่ได้ มีนกพิราบมันก็ต้องมี แต่เขาซ่อนไว้ มีลูกปิงปองก็ต้องมีอยู่ แต่เขาเก่งในการซ่อนได้ คนก็ไม่รู้ อันนี้ล่ะคือมายากล การเล่นกลของคนที่เก่ง คนที่ชื่อว่านักมายากลหลอกลวงความจริงกับความไม่จริงกลับไปกลับมาได้เก่งในโลก เขาจะเจตนาหลอกก็ตาม เขาจะไม่เจตนาหลอกก็ตาม แต่อันนั้นมันคือหลอก อันนั้นคือความไม่จริง อันนั้นคือมารยา มายา นี่แหละ เป็นคู่กับความจริง
จะเอาความไม่จริงกับความจริงใครจะเอาอันไหน …เอาความจริง แต่ความไม่จริงมันมีอยู่ตลอดเวลาที่มันหลอกคนที่มีอวิชชา
อวิชชาคือ ความไม่รู้ความจริง ไม่มีใครหรอกที่อยากได้อวิชชา ไม่มีใครอยากจะไม่รู้ความจริง ทุกคนอยากรู้ความจริง แต่ทุกคนไม่มีปัญญาไม่มีความรู้จะไปหยั่งเข้าไปรู้ความจริงที่ต้องมีหนึ่งเดียว คนที่มีความสามารถรู้ความจริงที่ควรจะรู้
ความจริงที่เป็นของโลกมายา เขามีนะ อันนั้นแหละคือความจริงที่ยังไม่จบ ความจริงที่เป็น 2 ซึ่งความจริงมีเพียง 1 เท่านั้นไม่มี 2 เป็นเด็ดขาด
เพราะฉะนั้นคนที่จะรู้ความจริงได้สูงสุดคืออะไร อรหันต์ท เท่านั้นที่จะรู้ความจริงเป็นหนึ่ง
อันนี้แหละยากมาก พูดอย่างไรก็ไม่รู้มันเป็นวิสัย
วิสัย ที่ลึกซึ้ง มี 4
-
พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
พ่อครูว่า… แปลว่าวิสัยของความเป็นพระพุทธเจ้า เป็นภูมิปัญญาความรู้ความจริงของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ซึ่งผู้ที่พยายามจะเรียนรู้ทำตนให้มีความรู้ความจริงสูงจนเป็นโพธิสัตว์เหมือนอย่างอาตมา ก็จะมีความรู้ความจริงเหมือนพระพุทธเจ้าคล้ายพระพุทธเจ้าจริงจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ พยายามจะให้เท่าเทียมกับพระพุทธเจ้า เมื่อเท่าเทียมพระพุทธเจ้าได้เมื่อใดก็เป็นพุทธวิสัย หากว่ายังไม่เท่าเทียมพระพุทธเจ้าก็ยังไม่ถึงวิสัยที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ความรู้ความจริงที่สูง ลดขั้นลงมาเป็นพยัญชนะ จากคำพุทธก็คือฌาน จากฌาน ก็คือกรรมวิบาก จากกรรมวิบากก็เป็นสิ่งที่บ๊วยที่สุดคือโลกจินตา
-
ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน
พ่อครูว่า… ต้องอาศัยการปฏิบัติตามด้วย หากไม่ปฏิบัติตามก็จะไม่เข้าถึง หากปฏิบัติตามจะเกิดภูมิปัญญามีญาณรู้ความจริงได้ ธรรมดาคนทุกคนจะมีโลกจินตา มีโลกที่เป็นความคิดของตัวเองตั้งแต่เป็นเด็กถึงผู้ใหญ่จนเป็นศาสดา อัจฉริยะศาสดาจนกระทั่งเป็นถึงพระพุทธเจ้า เป็นของตนเอง ของตนเองที่สัพเพเหระคือโลกจินตา ความคิด ของชาวโลก คิดอะไรก็ได้คิดอย่างบ้าบอที่คนอื่นเขาคิดตามไม่ได้เลย สมมุติตามไม่ไหวกับคุณ คุณรู้ของคุณอยู่คนเดียว หรือคุณพยายามให้คนอื่นเขารู้ด้วย คุณก็มีหมู่มีพวก จนเป็นอุปาทานหมู่ก็เป็นโลกจินตาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นจะต้องไปคิดตามเขาหมด โลกจินตา ตามไม่ไหวหรอกจะคิดจะสมมุติอะไรขึ้นมาก็ได้บวกลบคูณหาร เอาอะไรมาผสมผเส ต่อหัวต่อหางขึ้นมาก็ได้ -
วิบากแห่งกรรม วิบากแปลว่าผล กระทำปั๊บก็เกิดผลสองอันนี้ กรรมกับวิบาก เป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก ศาสนาเทวนิยมแยก 2 อย่างคือผลกับการกระทำ ไม่ได้ ไม่รู้จักกรรมไม่รู้จักวิบาก แยกไม่ได้ และมาร่วมกันผสมกันจึงกลายเป็นหนึ่งเดียวจนเป็นจิตนิยาม แยกได้ตามความรู้ แต่แยกจริงๆไม่ได้มันจะผสมรวมกันอยู่
แยกโดยปุถุชนโลกียไม่ได้ แต่มาเรียนรู้พุทธศาสนาจะแยกได้ แยกได้แล้วก็คุณก็จะทำได้ทำให้ทีละอย่างสูญๆๆไป ก็เหลืออีกอันหนึ่งเรียกว่า 0 กับ 1 ทำที่เป็น 0 ให้ได้ไม่ให้มีในตัวเรา ไม่ให้เกิดในตัวเราไม่ให้เป็นในตัวเรา เราสัญญามีความจำได้นึกขึ้นมาได้ แต่มันไม่มีฤทธิ์อะไรกับเราเลย นี่คือคนที่ทำได้ในชีวิตเป็นๆนี่คือพระอรหันต์ทุกองค์ทำได้ คุณก็ทำ 0 กับ 1 ให้ได้ ในชีวิตตอนเป็นเป็นๆ
สุดท้ายคุณทำตัวเองให้สูญสลายอัตภาพอัตตา สูญสลายความเป็นชีวะ แม้เป็นจิตนิยาม แม้เหลือแค่พีชนิยาม คุณก็ไม่ให้เหลือ ไม่ให้เป็นชีวะเลย ให้เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย แยกธาตุจิตให้เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย อัตตาของคุณก็ถูกแยกทิ้งไปหมด ไม่เหลือแม้แต่จะมาเป็นพืชเป็นชีวะที่เป็นพืช เป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟไปเลย เรียกว่าเป็นชีวะของคนใดคนหนึ่งไม่ได้แล้ว นี่ศาสนาพุทธทำได้ สูงถึงขนาดนั้น จึงเป็นศาสนาที่จิตวิญญาณไม่นิรันดร พระเจ้าที่ไม่รู้การแยกธาตุอันนี้ของจิตวิญญาณเลย จึงเป็นจิตวิญญาณนิรันดรอยู่ทุกวันนี้ เรียกว่าไม่รู้ครบ ไม่รู้คือไม่รู้ว่าตัวเองไม่มีตัวตน อนัตตา แต่ตัวเองทำไม่ได้ ก็จึงต้องจำนนอยู่กับความเป็น อัตตา แต่เป็นอัตตา ที่เก่งที่สุด จะเก่งที่สุดเท่าไรก็ตาม เป็นพระเจ้าเท่าไรก็ตาม คุณต้องเวียนวนกลับมาเกิดอีก เกิดไปตามกรรมวิบากอีก
กรรมวิบากที่ทำไว้นับไม่ถ้วน กรรมวิบากชั่ว กรรมวิบากบาป กรรมวิบากไม่ดี มันก็ต้องวิ่งมาหาเราอีกจนได้ เจ้าตัวอัตตานี้ไม่รู้ แม้ชาวพุทธ แม้เป็นพระอรหันต์ทุกองค์ก็ไม่รู้ วิบากบาปที่ตนเองมีอยู่ในอดีต นับเป็นล้านๆชาติก็ไม่รู้ แต่มันวิ่งมาถึงปัจจุบันเรา มารวมตัวตอนนี้ ทันเปรียบเหมือนวิบากเก่าเหมือนหมาไล่เนื้อ ตามมาทัน ตัวไหนบวกลบคูณหารกัน มันมีนับไม่ถ้วน หมาไล่เนื้อ มันมีความเป็นวิบากบาป เพราะมันเคลื่อนที่อยู่ไม่เคยหยุด กรรมวิบากก็เคลื่อนที่อยู่ไม่เคยหยุด
พระพุทธเจ้าสอนทำที่ปัจจุบัน จึงสามารถสลาย อัตตา ในปัจจุบันนี้แล้ว ตัวเราก็หายไป อัตตาก็หายไป ชีวะ ชีวิต ที่เป็นจิตนิยามของผู้ใดผู้หนึ่ง สลายตัวไปหมด จบ นี่คือความจบที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้ธรรม ทำได้แล้วเอามาสอนให้ทำ เริ่มทำได้ไปทำได้เป็นพระอรหันต์ แม้ว่าพระอรหันต์จะไม่รู้อะไรมากมาย แต่ทำวิบากตัวเองในปัจจุบันนี้ สลายวิบากตัวเองในปัจจุบันให้เป็นดินน้ำไฟลมไปได้ ตายลงไปก็สลายตรงนั้น
เมื่อสลายเป็นดินน้ำไฟลมก็เลิกกัน
เป็นดินน้ำไฟลมแม้จะจับตัวกันเป็นชีวะใช้เวลาเป็นล้านๆๆๆๆปี เป็นอัตตาตัวใหม่มาอีกมันก็ไม่ใช่ตัวเก่า ไม่ใช่อรหันต์ผู้สูญสลายไปแล้วนั้น นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้าที่อาตมาพอรู้แล้วเอามาอธิบายสู่ฟัง
-
ความคิดเรื่องโลก (จักรวาล เอกภพ)