640711_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตอบปัญหาออกจากป่า พาบรรลุจรณะ 15 วิชชา 8
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1DzZd_1YmG2gTagFjH3xZLp_-Hc5IwADmCBzXwASBZLw/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1KJNe26dzmvz7kKWXjLLqH8YIpSVmzOpZ/view?usp=sharing
และดูวีดีโอได้ที่ https://youtu.be/pbHNS4VbLs8
พ่อครูว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม 2564 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 8 (แปดรอบที่ 2) ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
SMS วันที่ 9 ก.ค. 2564
สามเส้าหลักของการเมืองโลกุตระ
_Somsak (สมศักดิ์) : เชื่อและศรัทธาพ่อครูและหมู่กลุ่มของท่านทุกเรื่อง…. ยกเว้นเรื่องการเมืองเท่านั้น กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ ผมมีเพื่อนเป็นนายทหารท่านนึง เค้าบอกว่าเค้าศรัทธาอโศกมาก แต่ว่าอโศกมีเรื่องที่รู้ไม่จริง หรือรู้ไม่หมดในวงการทหาร
พ่อครูว่า… อย่าไปปักใจเชื่อมั่นเกินไป แต่เชื่อมั่นก็ดีแล้ว
แล้วเราไม่จำเป็นต้องรู้ไปทั้งหมดในเรื่องอะไรๆ เพราะเรามีความรู้เรื่องหนึ่งเดียวที่ชัดเจนแน่วแน่อยู่แล้วว่า สัจจะมีหนึ่งเดียว ความจริงความตรงมีหนึ่งเดียวคือความสะอาดบริสุทธิ์ แล้วเราก็เข้าใจความสะอาดบริสุทธิ์ จะมีอะไรก็มี 2 สะอาดบริสุทธิ์ก็คือ 1 1 ไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่มีอื่น เพราะฉะนั้นรออยู่ที่ 1 หนึ่งๆ อะไรอื่นที่จะมาหลากหลาย ทหารก็มีเรื่องราวหลากหลาย อะไรที่มีแตกต่างหลากหลายก็หลากหลายมันก็หลาย 2 ก็ล้วนแล้วแต่แตกต่างไปจากสัจจะที่มีหนึ่งเดียวเท่านั้นเราจะไปกลัวอะไร สัจจะหนึ่งเดียวนั่นคือความสะอาดบริสุทธิ์ซื่อสัตย์
ในการเมืองมี คือ
-
นักการเมือง จะต้องไม่มีตัวตนไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่พวกไม่เห็นแก่ใครเลย จิตต้องบริสุทธิ์ซื่อสัตย์ สะอาด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
-
ต้องมีความรู้ ความรู้ที่สำคัญโดยเฉพาะเรื่องมนุษย์และสังคม ซึ่งผู้ศึกษาธรรมะจะต้องศึกษาเรื่องชีวะที่เป็นมนุษย์จิตนิยาม กับสังคมที่อยู่ร่วมกัน เป็นสาราณียธรรม มีคุณสมบัติทั้ง 7 และมีคุณสมบัติของวรรณะ 9 คนที่มีความเป็นจริงของวรรณะ 9 และพุทธพจน์ 7 ใครมีก็เลือกได้ จะมีความเห็นร่วมอย่างไรเสร็จ มันก็เป็นหมวดหมู่เป็นกลุ่มก้อนของความบริสุทธิ์สะอาด
นัยยะลึกซึ้งของสิ่งเหล่านี้ 3 เส้าคือ
-
ไม่มีตัวตน
-
มีความรู้ความสามารถในความเป็นมนุษย์และสังคม
-
ทำงานรับใช้ประชาชนจริง เสียสละจริง สละนั้นอยู่ในความสะอาดแล้ว ทำงานมีความรู้ความสามารถก็มีความรู้เรื่องมนุษย์และสังคม ทำงานมีกรรมกิริยาลงมือทำไม่ใช่เอาแต่ปากพูดต้องครบทั้งกายวาจาใจจริงๆ
นี่คือพฤติกรรมของมนุษยชาติจริงๆ คนที่มีอย่างนี้ก็จะไม่สงสัย นี่เป็น 3 เส้าหลักของความเป็นประชาธิปไตย
ยังมี 3 เส้า รองอีก ตอนนี้ยังไม่พูด ตอนนี้ชาวอโศกไม่ได้ไปร่วมในการเมืองเพราะสะสมบุญญาวุธอยู่ สักวันหนึ่ง ดอกไม้จะบานสะพรั่ง สักวันหนึ่งคนจริงจังจักหลากหลาย สักวันหนึ่งคนดีทั้งหญิง-ชาย จะเกิดขึ้นมากมายในแผ่นดิน ไม่ต้องรอมีทั้งแผ่นดิน สักวันหนึ่ง พูดเหมือนท้าทายแต่เราทำจริงอยู่
แม้อาตมาจะเสียชีวิตไปแล้ว พวกเราก็มีเชื้อของโลกุตรธรรมอยู่ในจิตกันแล้ว แล้วพวกคุณก็จะยังชีวิตต่อไป คุณจะงอมืองอเท้ากันหรืออย่างไร คุณจะหนีออกป่ากันหรือยังไร คุณก็ไม่หนีออกป่าคุณไม่หนีไปไหน ไม่งอมืองอเท้าก็เดินหน้าเท่านั้นเอง เป็นแต่เพียงว่าเรามีความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าเราจะทำเป็นผลีผลามใจร้อน ก็ไม่ทำ เราทำอย่างสุขุมประณีตทำอย่างดีตามลำดับที่เป็นไปได้เป็นไปจริง ถ้าเป็นเตี้ยอุ้มค่อมเราก็ไม่เอา เราก็ทำไปเรื่อย
เราไม่มีปัญหาที่จะต้องการอำนาจ ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เราไม่มีโลกธรรม เพราะฉะนั้นไม่มีตัวใดที่จะมาดันโลกธรรม เมื่อไม่ดันเราก็ทำตามสภาวธรรมของเราเท่านั้น เพราะฉะนั้นการผิดพลาดมันก็น้อย แต่แน่นอนเราเป็นมนุษย์ เหมือนกับทุกๆคนก็อาศัยอยู่อย่างที่มันเป็นประโยชน์คุณค่าเป็นสิ่งที่ควร สิ่งที่เหมาะสมที่เราจะต้องกระทำเราก็ทำสิ่งนั้นไป ตามที่เราพอมีเหตุปัจจัยมีองค์ประกอบ ที่สามารถทำได้
เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวหรอก เดี๋ยวนี้ เกริ่นไว้แล้ว พวกบัณฑิต สัมมาบัณฑิต ก็พยายามรวมตัวกันแล้ว บางคนก็มีครอบครัวบางคนก็ไม่มีครอบครัวแต่ก็ไม่ได้มาบวช เป็นบัณฑิตก็รวมตัวกันอยู่ ตั้งชื่อพรรคแล้วด้วย “สัมมาธิปไตย” เท่เสียไม่มี รู้เลยว่า อาจจะโกนหัวทุกคน เป็นแฟชั่นใหม่สกินเฮด พอเห็นหัวเหลื่อมมาบๆรู้เลย นั่งในสภาก็เลยว่าอยู่ตรงไหนแต่ส่วนมากเขาจะจัดที่ให้อยู่รวมกันในแต่ละกลุ่มพรรคใดก็อยู่เป็นกลุ่มๆไป
ซึ่งมันจะได้มันจะเป็นไปมันจะได้พิสูจน์ความจริงกันว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนไม่ทำการเมือง แต่ทำการเมืองมาแต่ในยุคพระองค์ แต่เป็นการเมืองแบบพระพุทธเจ้า การเมืองแบบมีธรรมาธิปไตย แล้วเป็นผู้ที่สามารถรู้องค์ประกอบของโลก องค์ประกอบขององค์รวมของสิ่งอื่นๆที่รวมกันอยู่นอกตัวเรา สิ่งที่รวมกันอยู่นอกตัวเราแล้วเราต้องอาศัยเกี่ยวข้อง
เหมือนกับร่างกายและจิตใจ เราเป็นตัวประธานคือจิตใจกับร่างกายก็ต้องอยู่ด้วยกัน โลกก็ต้องอยู่ด้วยกันกับอัตตา อัตตาคือจิตวิญญาณ โลกก็คือร่างกาย ฟังเพลงมาร์ชประเทศคือชีวิตสิ รวมความละเอียดอยู่ในนั้นแล้ว
เพราะฉะนั้นมันมีหลัก พวกเราชาวอโศกมีหลัก พระพุทธเจ้าสอนให้พวกเรามีหลัก หลักนี้ไม่ใช่ของเราเท่านั้น หลักนี้เราสืบทอดมาจากพระพุทธเจ้า ไม่รู้กี่พระองค์มาก็ตาม ซึ่งพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น ผ่านการบริหาร ผ่านการช่วยมนุษยชาติ ทุกพระองค์ ตั้งแต่เป็นคนกัลยาณชน ช่วยกันในหมู่กลุ่มตั้งแต่ครอบครัวจนถึงเป็นหมู่คณะเพื่อนพ้องน้องพี่ แล้วก็เป็นคณะใหญ่ร่วมงานกับข้างนอก จนกระทั่งรับหน้าที่อย่างเป็นหน้าที่ ช่วยทำงานเป็นข้าราชบริพารเป็นข้าราชการเป็นคณะทำงานอย่างเป็นหลักเป็นฐาน จนรับตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้นไปจนกระทั่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พูดอย่างหลัดๆ เป็นพระเจ้าแผ่นดินในแคว้นเล็กจนกระทั่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินในแคว้นใหญ่ต่อ พระโพธิสัตว์ผ่านมาทั้งนั้น กว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้า
ผ่านมาทั้งนั้น สลับกัน ทางธรรมะเด่น ทางโลกเด่น สลับกันชาติแล้วชาติเล่า จำไม่หวาดไม่ไหว อาตมายังรื้อฟื้นไม่ออกเลยแต่รู้อย่างคร่าวๆมา เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ชีวิตของพระพุทธเจ้านี้เป็นชีวิตที่มีประสบการณ์จริง ผ่านมาจริงเป็นจริงได้แล้วทำจริงสะสมฝึกฝนเป็นของจริงเป็นสภาพคู่ ทั้งมีสภาวะจริงและมีความรู้ เป็น อุภโตภาค มาทั้งนั้นๆไม่บกพร่องเลื่อนลำดับมาอย่างลุ่มลึก เรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงาม ไม่มีอะไรกระฉึกกระฉัก
เมืองไทยจะเป็นเมืองประชาธิปไตยต้นแบบของโลก ซึ่งความเป็นประชาธิปไตยเขาก็ยังเข้าใจไม่ได้กลายเป็นเข้าใจประชาธิปไตยเก๊ พิลึกพิลั่น ประชาธิปไตยแบบมีตัวตนหลักมีอำนาจมีทรัพย์สินเงินทองมีเครือแหมีวิธีการทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะอย่างเช่นอเมริกามีตัวอย่าง เป็นตัวอย่างผสมอะไรกันหมดเป็นสายฟุ้งซ่าน สายความคิด
ส่วนสายศรัทธาพาซื่อ จะออกนอกรีตไปเป็นคอมมิวนิสต์ เหมือนเกาหลีเหนือ หรือไม่ก็ซื่อเงียบไปเลยเหมือนกับธิเบต มีรูปแบบมีตัวอย่างให้ดูทั้งนั้น แต่อย่างธิเบตก็เป็นนอกรีตออกไปธิเบตแบบเป็นได้สูงสุดก็เป็นพวกเดินแก้ผ้าโทงๆ พวกเชน ก็มีเท่านี้ ตัวอย่างก็มีอยู่ในโลกให้อ้างอิงยืนยันได้ เป็นจริตนิสัยของคน รวมแล้วก็อย่างที่เขาเป็นกัน
หรือไม่ก็พวกไสยศาสตร์ซึ่งเป็นได้ไม่คงทน ใช้จิตจะรวมให้เป็นพลังงานทำอะไรพิลึกพิลือ แต่ไม่รู้ที่มาที่ไปมันลึกลับมาแบบแปลกๆ เหมือนพวกผีสาง มันก็รับมือยาก แต่มันไม่ทนพวกนี้ไม่ทนพลังงานช่วงแวบก็ทำได้ อาตมาก็เล่นมาก่อนเลยรู้ดี ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นหนังเหนียวทำได้ เอามีดโกนยิลเลตต์ที่บางและคมกรีดผิวหนังก็ไม่ระคาย
อาตมาเล่นไปไม่นาน มันก็ฟันเข้า มันไม่คงทน ต้องฮึดใหม่ ได้เป็นช่วงๆ ต้องรวมพลังใหม่ พลังของสิ่งที่เราไม่รู้ เหมือนเรารวมพลังแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้ามา มันก็ได้ชั่วคราวเพราะมันไม่มีรูปไม่มีน็อตไม่มีโซ่ไม่มี Epoxy มาติดกันจิรงๆ มันไม่ใช่รูปธรรม มันเป็นนามธรรมรวมกันเดี๋ยวเดียว ขนาดน้ำเคยเห็นดอกน้ำมั้ย ผลึกน้ำมันจะมีรูปร่างต่างๆสวยนะ รวมกันเดี๋ยวก็แยก ขนาดน้ำนานกว่าอากาศ ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้ามันเร็ว มันไม่ทน ถ้าเป็นวัตถุก็รวมกันได้มากขึ้นนานขึ้นเท่านั้นเอง
สรุปมาที่การเมืองคือพฤติกรรมมนุษย์ระบบระเบียบมนุษย์ ระบบระเบียบที่สูงสุดของการบริหารปกครองคือประชาธิปไตย มีประชาชนเป็นอำนาจ แม้ผู้นำไม่เอาตัวเป็นใหญ่เอาตัวเสมอกับ ประชาชน เป็นแต่เพียง ประชาชน อื่นๆเขายกให้เป็นหัวหน้าเป็นผู้นำคิดเป็นผู้ชี้เป็นผู้คิดบอกวิธี เจริญเฉลียวฉลาดทางความคิดความรู้ แล้วก็ลงมือทำได้ด้วย แต่ลงมือเท่าๆกับคนอื่นได้ด้วยแต่หัวคิดมันต้องสูงกว่า ฝีมือฟันดาบเท่ากับประชาชนทุกคนเลย มีนักดาบ 10 คนฝีมือของหัวหน้าก็พอๆกันกับนักดาบอีก 10 คน แต่หัวความคิดความรู้สูงกว่าเขา อันนี้เป็นยอดเป็นเลิศความยอดที่จริง
แล้วเป็นสภาวะโลกุตระที่ย้อนแย้งก็คือ นักรบที่เก่งที่สุด ต้องเป็นนักรบที่ทำให้คนตายโดยไม่ต้องกระทบเขาเลย ยกมือปั๊บตายไปเลย ไม่ต้องกระทบให้เจ็บปวดไม่ต้องไปรู้สึก เห็นพวกหนังกำลังภายในไหม ยิ่งเบายิ่งเป็นลหุธาตุ
ในสัจจะก็เรียกเป็นสัจธรรมคือ ลหุตา มุทุตา กัมมัญญา แล้วมีกายวิญญัติกับวจีวิญญัติ เป็น 5 นี่คือวิกายรูป 5 วิกายรูป 2 อัน คือ กายกับวจีวิญญัติ เห็นได้สัมผัสได้ง่าย แต่อีก 3 อันลหุตา มุทุตา กัมมัญญา สัมผัสได้ยาก กัมมัญญายังพอรู้เป็นกิริยาของจิต ยิ่งมุทุกับลหุตาบางเบาที่สุด เป็นคู่สุดท้าย
มุทุตา กับลหุตา จะเอาอะไรเป็นบวกหรือลบสลับกันไปกันมาก็ได้ จะเอาลหุตา เป็น เบา หรืออ่อน มุทุอ่อน ลหุเบา จะเอาอ่อนหรือเบาขึ้นก่อนก็ได้ หมุนเวียนเป็นสิริมหามายาได้เป็นคู่สุดท้าย กาละใดองค์ประกอบใดสมัยใน โลกใด ที่มีเหตุปัจจัยต่างๆร่วมกันแล้วครบอย่างนี้ เราจะใช้หน้าไหน
จะใช้หน้าลหุขึ้นก่อนหรือใช้หน้ามุทุขึ้นก่อน จะว่าจริงๆแล้ว ลหุกับ มุทุ
ลหุ เป็นเรื่องของพลังงานแท้
มุทุ เป็นเรื่องของจิตแท้
ลึกๆเข้าไปแล้ว ลหุตา แม้พยัญชนะก็ห่างไปจากจิต แต่ มุทุ คือ ม คือจิต ล คือพลังงาน
ใช้ทั้ง ม และ ท ส่วนตัว ท คือพลังงาน กำลัง ที่เป็นกลุ่มก้อน ทห ทหาร มีรูปธรรม ก็เอาสระมา อะ อิ อุ มาใส่ เป็น มุ หรือ ทุรวมแล้ว สามเส้าของ ม กับ ท เป็นคู่ที่ทำงานอยู่ในโลก สัจจะพวกนี้เป็นเรื่องจริงเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อาตมาศึกษามาถึงขั้นนี้เอามาพูดนำเสนอด้วยความจริงใจเป็นเรื่องที่มาเปิดเผยต้องอธิบายสืบทอดกันไว้ เพราะเป็นวิทยาศาสตร์ทางธรรมะเป็นวิทยาศาสตร์ของพระพุทธเจ้า วิทยาศาสตร์ที่เราจะต้องรู้ไว้เท่าที่ตัวเราจะมีบารมีในแต่ละคน ก็ค่อยๆเอามาใช้ได้
สรุปแล้วเรื่องของการเมืองก็เป็นเรื่องของคน เรื่องการเมืองเป็นเรื่องของช้างของม้าของไดโนเสาร์ไม่ได้ เรื่องการเมืองเป็นเรื่องของคน แล้วคุณจะให้การเมืองไปอยู่ที่ช้างม้าที่ไดโนเสาร์ได้อย่างไร มันทำไม่เป็นหรอก แต่คนนี่แหละทำเป็น อย่าโง่หนักนักเลย ว่า อย่าเอาธรรมะมาใส่การเมือง คุณไปหลอกคนโง่ๆนู่น คนโง่ก็เชื่อคุณ แต่คนที่ฉลาดแล้วเขาไม่เชื่อหรอก อย่าเอาธรรมะมาใส่การเมือง คือความคิดของพวกคนโง่ทำให้การเมืองฉิบหาย คุณก็พากันไปเป็นพวกฉิบหาย เอาเรื่องฉิบหายๆมาใส่ในเรื่องที่เป็นเรื่องเจริญมันคนละตระกูล เพราะฉะนั้นเขาไม่พูดกันหรอกผู้เจริญ เขาก็ต้องพูดกันอย่างที่เจริญและดีงาม
เพราะฉะนั้นผู้ที่พูดมาบอกว่าผมมีเพื่อนเป็นนายทหาร ซึ่งอาตมาไม่มีเพื่อนเป็นนายทหาร แต่อาตมามีนายทหารมาคอยเรียนรู้กับอาตมาอยู่ ซึ่งเขาไม่สามารถมาตีตัวเสมอเป็นเพื่อนได้ พูดเสียให้มันเท่อย่างนี้
แล้วคุณก็บอกว่าเขาบอกว่าเขาศรัทธาอโศกแต่มีเรื่องที่อโศกรู้ไม่จริง ซึ่งก็เป็นความรู้ของคุณที่คุณคิดว่าเป็นเช่นนั้น
พลังงานของความถูกต้องดีงามความประเสริฐมันมีพลังงานละเอียดไปจนกระทั่งเป็นฉัพพรรณรังสี อย่างที่เคยอธิบาย เป็นพลังงานที่ไร้สภาพที่มากั้น ที่คุณจะผ่านเข้ามาไม่ได้เลย พลังงานรังสีที่ละเอียดคุณยังผ่านเข้ามาไม่ได้เหรอ เป็นพลังงานเหมือนกัน แต่พลังงานของคุณเป็นพลังงานแบบผิดๆ แต่อันนี้เป็นพลังงานที่เป็นสัจจะ พลังงานที่ผิดเข้ามาเจอพลังงานที่เป็นสัจจะมันก็เข้ามาไม่ได้
หรือพลังงานปัญญาพลังงานฌานพลังงานบุญ มันซัดพลังงานราคะ โทสะ โมหะ ตายหมดเกลี้ยงไปหมดเลย
การเมืองไทยแบบนี้นักรัฐศาสตร์ยังเข้าใจไม่ได้ไม่ยอมรับความจริงทั้งทั้งที่มันเป็นแล้ว แต่พวกเราเป็นลูกพระพุทธเจ้าแท้ๆ ไปรบปราบรัฐบาลชั่วไปตั้ง 4-5 รัฐบาล ด้วยบุญญาวุธ ด้วยธรรมาวุธ เอาความสงบเอาความไม่รุนแรงไม่ใช้อาวุธ เอาสัจจะความจริงไปรบชนะมาแล้ว แต่คุณจะต้องศึกษาต่อไปกว่าจะยอมรับได้รู้ว่าประเทศไทยทำจริง ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณสมัคร สมชาย อภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ดีกว่าอันอื่นหน่อย
อาตมาพอรู้ในสังคม globalization Social Media ไม่มีประเทศไหนทำได้ เก่งอย่างไรก็ทำสู้ประเทศไทยไม่ได้ที่มีโลกุตรธรรมสุดยอด เป็นเรื่องการเมืองที่ยิ่งใหญ่ แล้วก็ดำเนินอยู่ ยังดำเนินต่อไปอยู่
ตอนนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็รับหน้าที่ เป็นแชมป์เปี้ยนต้องมีคู่ชกเสมอ หากว่าเป็นแชมเปี้ยนและไม่มีคู่ชกเลยเดี๋ยวเขาก็ปลดขึ้นคาน เพราะฉะนั้นต้องพิสูจน์ไปเรื่อยๆ ให้ Champion มา รอง Champion ที่จะขึ้นมาปะมือ ก็ต้องพยายามจะเก่งเท่ากับแชมป์เปี้ยนให้ได้ ดูแต่ข่าวคราว ผู้หญิงก็ไม่มีเว้นไม่ใช่มีแต่ผู้ชาย ผู้หญิงก็ประมือกันได้ เป็นธรรมดาของสัจธรรมอย่าให้อ่อนแอ อย่าเพิ่งให้ไปติดโควิตก็แล้วกัน จริง ส่งข่าวถึงพลเอกประยุทธ์ อาตมาเอาใจช่วยเต็มที่ แข็งแรง เบิกบาน ร่าเริง ตายเป็นตายเลย ใจเย็น ไม่ต้องรีบร้อนวูวาบ สู้ด้วยปัญญาดีๆ ปฏิภาณที่ดีๆ ซึ่งปฏิภาณไหวพริบดีแล้วไม่ต้องห่วง แต่อย่า
ประมาท ยังเป็นไปยังแข็งแรงใช้ได้ ดูยังมีกำลังวังชา โจ ไบเด้น เขาตั้งอายุ 74 ปี พลเอกประยุทธ์ยังไม่ 70 เลย
อาหารการกินประเทศไทยเราดี อย่าไปกินทุเรียนมากเกินก็แล้วกัน บนโต๊ะก็มีอินท
ผาลัมเยอะเลยนี่ เมื่อวานอาตมาเผลอฉันไปตั้ง 15 เมล็ด
สรุปอีกที เรื่องการเมือง พวกเราช้าๆ ค่อยๆเป็นไป ตอนนี้พรรคสัมมาธิปไตย กำลังให้อาหารป้อนวิตามินกันอยู่ ก็ว่าไป มันทิ้งไม้ได้หรอกสังคมประเทศชาติมวลชน มันต้องช่วยกันคนละหัว 2 หัว
จรณะ 15 สู่ วิชชา 8
_สงกรานต์ สติมา : กราบคารวะพ่อท่านอย่างสูง หมวดธรรมที่พ่อท่านเน้นเสมอมา ตั้งแต่เริ่มการเผยแพร่ธรรมของพ่อท่าน จนทุกวันนี้คือ จรณะ ๑๕ (หรือ เสขปฏิปทา)
ข้อปฏิบัติหลัก คือ ๔ ข้อแรก (สังวรศีล / สำรวมอินทรีย์/ โภชเนมัตตัญญุตา /ชาคริยานุโยคะ)
ส่วน อีก ๗ ข้อ ต่อมา (คือ สัทธรรม ๗ ประกอบด้วย ศรัทธา /หิริ /โอตตัปปะ /พหุสุตะ /วิริยะ /สติ /ปัญญา ) เป็นข้อปฏิบัติเสริม หรือทำให้มีพลังสู้กิเลสมากขึ้น
และ ๔ ข้อสุดท้าย(ฌาน๔) และ วิชชา๘ น่าจะเป็นผลที่เกิดตามมา ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…ถูกต้อง อาตมาไม่ได้ทิ้งเรื่องศีล มาขยายความ อปัณณกปฏิปทา 3 เรื่อง สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ มาปฏิบัติตื่นๆไม่ใช่ไปหลับ อย่าไปหลบ พาทำมา ตอนหลังมาเน้นพยัญชนะ คุณหลับตาเอาแต่จิต ทิ้งทวารทั้ง 5 ไป ก็ขาดความเป็นกาย แล้วบอกว่าตื่น แต่คุณพาหลับตามันยิ่งไม่ตื่นเลย ให้สำรวมอินทรีย์ก็สำรวมแต่ใจอย่างเดียว โภชเนมัตตัญญุตา บ่ฮู้บ่หันเลย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เลิกเลย
อาหารชนิดที่หนึ่ง กวฬิงการาหาร ก็ไม่รู้ ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แม้แต่ตัวสัมผัสกระแทกกระทุ้งอย่างแรงอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง กระแทกด้วยหอก 100 เล่มแทงก็ดันหนังเหนียวอีก เจ็บก็ไม่เจ็บดันหนังเหนียวอีกต่างหาก 100 เล่มเช้ากลางวันเย็นหอกหักหมด ไม่รู้กี่ 100 เล่ม จนเป็น1,000 เป็น 10,000 เล่มแล้ว คุณก็ยังอยู่อย่างนั้น
เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าพวกมิจฉาทิฏฐิเหล่านี้ ตื่นตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ พวกเราจะได้ยิ่งกว่าที่พระพุทธเจ้าได้ชฎิลสามพี่น้องมาเป็นช่วงๆ มีชฎิล 3 พี่น้องอยู่ในกลุ่มหลับตาเยอะเลย ไม่ใช่เฉพาะสายอาจารย์มั่น สายอื่นมีอีกหลายสาย แม้แต่ธัมมชโยก็หลับตา แต่สายธัมมชโยอาจจะช้ากว่า เพราะสายธัมมชโยจริงๆแล้วน้อยและเบา มีน้อยและเบาบาง พลิ้วๆฟุ้งฟริ้งไม่หนักแน่นเหมือนสายพระป่า เป็นพวกพระบ้าน เป็นพวกแพร มีนักการเมืองคนหนึ่งอาตมาตั้งชื่อให้ว่าแพรฟ้า มีแว่นตาเป็นเอกลักษณ์
ในเรื่องของสัจธรรมพวกนี้ทำเป็นเล่นไป มันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องเล่น ค่อยๆเป็นไป
อาตมาถึงบอกว่า พยายามพากเพียร กระเสือกกระสนต่อชีวะชีวิตให้ยืนยาวไปเรื่อยๆเป็นการพิสูจน์สัจธรรมพระพุทธเจ้าด้วย ในการต่ออายุขัย และเป็นเรื่องที่ควรจะทำ ควรจะเป็น และลึกๆอีก อาตมาว่า อาตมาดึงเอารายละเอียดของธรรมะออกมา มันยังออกมาไม่หมดเลย มันยังจะต้องว่ากันไปอีก
ข้อปฏิบัติหลัก คือ ๔ ข้อแรก (สังวรศีล / สำรวมอินทรีย์/ โภชเนมัตตัญญุตา /ชาคริยานุโยคะ)
สังวรศีลเป็นหลัก แล้วปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วเกิด ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา
ศีล หิริ โอตตัปปะ อาตมาขยายความ ละอายอย่างแรงกล้า แล้วก็จะต้องมีความเคารพความรักอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้าอีก
ทำไมต้องแรงกล้า และหิริโอตตัปปะอย่างไร รักอย่างไร เคารพอย่างไร มีนัยยะละเอียดลึกซึ้งเนียนในสุดยอดของจิตวิญญาณ
เป็นใจที่จริงที่สุดเลย คนที่รู้สึกตัวสำนึกความผิดแล้ว ทุกคนสะสมความผิดสะสมความโง่มาเยอะมาก เพราะฉะนั้นผู้ใดเกิดสำนึก เกิดรู้สึกตัว ตัวเองขายขี้เท่อขนาดนี้หรือ กูนึกว่ากูเป็น Google แล้วนะ ที่จริงกูโง่ ไม่ใช่ Google มันจะรู้สึกตัวเลยว่าน่าอายจริงๆเลย ละอายอย่างแรงกล้า เพราะฉะนั้นเมื่อสำนึกรู้ว่าอันนี้คือความถูก เราไปทำผิดในสิ่งที่ถูก เราไปขบถต่อสิ่งที่ถูก พอรู้จริงรู้สึกขึ้นมามันก็จะละอายหนัก แล้วก็จะรักสิ่งที่ถูกนี่หนักขึ้นๆๆ ความรักเป็นความรักที่สูงส่ง บูชาเคารพ
คำว่า แรงกล้า เป็นน้ำหนักของผู้ที่พลาดพลัง ไปอย่างโง่ๆดักดาน อาตมาก็นึกถึงผู้ที่เป็นปราชญ์เอกทางศาสนาในเมืองไทย ถ้าท่านเกิดจิตตัวนี้ขึ้นมาสุดยอดเมื่อนั้นเลย แล้วท่านจะบรรลุเร็วก่อนใครด้วย จริง แต่มันเหมือนเส้นผมบังภูเขา เอาเส้นผมออกยังไม่ได้ หากเอาเส้นผมออก เห็นภูเขาเบ้อเร่อเท่อเลย เส้นผมไปบังภูเขาได้อย่างไรมันจริงเลย เพราะเส้นผมนี่แหละคือโลก คือโลกียะ คืออำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มันบัง เป็นเส้นผมบังภูเขาได้ พูดให้ตายใครเข้าใจ ใครจะเชื่อ เส้นผมบังภูเขาได้อย่างไร แต่โดยสัจจะมันบัง เข้าใจจุดนี้ไหมเส้นผมบังภูเขา เป็นอุทาหรณ์ที่ชัดเจนมาก นิดเดียวเท่านั้นที่มันบังอยู่ ถ้าเอาอันนี้ออกได้จะเห็นภูเขาตระหง่านเลย ตะนาวศีลเลยนะ
ตอนนี้ทำภูเขากันดึกดื่นเลย นี่ยังมีสะพานโค้งรุ้งอีก ยังจะประมูลกันอีกต่อไป กลัวจะแพงจริงๆ ภูเขาก็ยังต้องจ่ายไปอีก นี่อุตส่าห์ซื้อรถบดใหม่
ส่วน อีก ๗ ข้อ ต่อมา (คือ สัทธรรม ๗ ประกอบด้วย ศรัทธา /หิริ /โอตตัปปะ /พหุสุตะ /วิริยะ /สติ /ปัญญา ) เป็นข้อปฏิบัติเสริม หรือทำให้มีพลังสู้กิเลสมากขึ้น
และ ๔ ข้อสุดท้าย(ฌาน๔) และ วิชชา๘ น่าจะเป็นผลที่เกิดตามมา ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…พหูสูตคือกองสะสมความรู้ความจริง พหูสูตไม่ใช่แค่ความรู้หรือผู้มีความรู้มากแต่คือผู้ที่มีความจริงด้วยทั้ง 2 นัยยะ สุตะคือมีทั้งความรู้และความจริง หรืออีกคำหนึ่งเขาเรียกว่า พาหุสัจจะ หรือพหุสุตะ สุตะเน้นความรู้ สัจจะเน้นความจริง
สุตะ กับสัจจะ ก็นัยยะคล้ายกัน ความจริงเหมือนกัน จริงอย่างสัจจะกับจริงอย่างสุตะ สุตะ คือความจริงแบบ static ส่วน สัจจะเป็นความจริงแบบ dynamic
วิริยะ สติ ปัญญา วิริยะคือความเพียร สติคือความตื่นมีระลึกรู้ ปัญญาคือความจริง ที่จะมีสติรู้ครบประมวลมา 2 สภาพ บวกลบ รวมแล้วก็คือปัญญา บวกลบรวมกันเป็นปัญญา เป็นข้อปฏิบัติเสริมเข้าไป ศีลเป็นหลัก อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วมี สัทธรรม 7 ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา เสริม
รวมเป็นจรณะ 15 รวม ทำให้มีพลังสู้กิเลสมากขึ้น ปราบกิเลสในจิต โดย 4 ข้อสุดท้ายคือ ฌาน 4 และวิชชา 8 น่าจะเป็นผลที่เกิดตามมาก็ใช่แล้ว เกิดปฏิกิริยาแทรกซ้อนเป็นยาดำอยู่ในนั้น
ปัญญาเป็นยาดำ ความรู้เป็นยาดำ ไม่มีขาดความรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างของพระพุทธเจ้าการศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มีแต่สภาวะอย่างเดียว แต่มีปัญญาร่วมด้วยตลอดเวลา ร่วมด้วยสภาวะจริงที่มีสิ่งที่เป็นสภาวะ ตั้งแต่สภาวะอุตุ สภาวะพีชะ สภาวะจิต หรือสภาวสัตว์ ตั้งแต่เป็นมนุษย์ไปเป็นพระอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ก็มีปัญญาร่วมตลอด
ปัญญาเป็นยาดำหรือเป็นกระษัย เหมือนจุนสี ที่เจือในน้ำ ไม่มีเอกเทศใดๆที่จุนสีจะไม่แทรกซึมไปถึง ภาษาอีสานคือ สีย่อนๆ เหมือนก้อนสารส้มก้อนเกลือแต่จุนสีจะสีฟ้าๆ ใส่ในน้ำก็มีสีฟ้านวลสวย เป็นธาตุละลาย แทรกไปในน้ำ ทำให้สะอาดมีพลังอย่างหนึ่ง
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
ลักษณะ osmosis ของ บวร
_สู่แดนธรรม… จะพูดให้นักเรียนที่มาฟังกัน เปรียบเทียบกับพวกเราเลือกหัวหน้าห้องได้เพราะพวกเราจะเห็นเขาเสียสละ รับผิดชอบดี หลวงปู่เคยพูดหลายครั้งว่า ประชาธิปไตยที่ดีจะไม่ต้องหาเสียง แต่คนจะเลือกเองเพราะคนสมัครคือผู้รับใช้ ผู้เสีสละเป็นปกติจริงๆอยู่แล้ว..
พ่อครูว่า… เป็นสภาวะจริงของพฤติกรรมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนก็ตามอยู่ร่วมเป็นบวร ผู้ใหญ่ก็จะมีตั้งแต่สมณะ สิกขมาตุ จนผู้ใหญ่ ก็จะมีคุณวิเศษคุณธรรมที่ซ้อนกันอยู่ในนี้ คนเราเห็นด้วยตานั้นยาก แต่เห็นด้วยใจมันออสโมซิส เห็นแต่ใจจะซึมลึกละเอียดโดยที่เราไม่รู้ตัว Osmosis คือการซึมเข้าไปในตัวโดยเราไม่รู้ตัว ถ้า Apsorb มันจะหยาบกว่า กระทบแล้วรับ แต่ Osmosis นั้นไหลซึมโดยไม่รู้ตัว มีลักษณะอย่างนั้นเพราะเราเป็นชาวบวร บ้านวัดโรงเรียนและวัดของเราเป็นวัดโลกุตระ วัดที่มีคุณสมบัติลึกซึ้งจริงๆ มีนัยยะมีธรรมะ ละเอียดลึกยิ่งกว่าออสโมซิส ไม่รู้ตัวเลย ซึมเข้าไปอยู่ตลอดเวลาโดยเราไม่รู้ตัว
แม้แต่เราไม่ประสีประสาอยู่ในนี้ มันก็เข้าไป แม้ว่าเราจะไม่มีปฏิภาณปัญญาเป็นตัวรับ มีแต่พวกเจโตมันก็ได้ อาจจะนานหน่อย 40 สงสัยเศษแสนมหากัป แต่ถ้าเป็นปัญญาก็จะเร็วเป็น 20 อสงไขยแสนมหากัป แต่พวกเดี๋ยวเอาเข้าเดี๋ยวเอาออกเป็นพวกวิริยาธิกะ ก็ 80 อสงไขยเศษแสนมหากัป มันก็จะมากกว่ากันหลายต่อ
การอยู่กับหมู่มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี ไม่มีเสีย เรียกเป็นภาษาว่าไม่เสียหลาย แต่หากไม่เสียหายคือพังไป แต่นี่ใช้ไม่เสียหลายคือ มันจะได้ไปเรื่อยๆ ซึมลึกๆๆ ดีกว่าจ้ำบึ๊ดๆๆ เสียแรง แต่ซึมลึกๆๆนี่ไม่เสียหลาย เสียหลายนี่ได้แต่เสียแรงไม่ได้นะ
สภาพจิต 2 ประการ ทำให้น้ำตาไหล
_วิเชียร จิระเวชบวรกิจ : กราบคารวะพ่อท่านสุดเศียรเกล้า ผมฃึ้งฃื้อ ไม่เจอพ่อท่านมา 20 กว่าปี อยากพบพ่อท่านจัง จะถามพ่อท่านว่าถ้าเรามีปีติบ่อยมาก จนบางครั้งน้ำตาไหล กลั้นไม่อยู่ จะแก้ไขได้อย่างไรครับกราบคารวะ
พ่อครูว่า…น้ำตาไหลมีทั้งน้ำตาไหลแบบโกรธน้ำตาไหลแบบรัก ชื่นใจอย่างแรงก็น้ำตาไหล โกรธอย่างแรงก็น้ำตาไหล เป็นสภาพ 2 สภาพ แบบโกรธน้ำตาไหลนั้นมันเลวกว่า ซาบซึ้งประทับใจก็ดีกว่า แต่ดีกว่านั้นก็คือเข้าใจให้ได้ว่าเป็นสิ่งที่ดี ไม่จำเป็นจะต้องมี อุเพงคาปีติ น้ำหูน้ำตาไหลขนาดนั้นก็ค่อยๆสำนึกไปจะค่อยๆลดลง อุพเพงคาปีติ จะแรง ต้องค่อยๆลดลงไปหาความเบาไปตามลำดับ แม้ไม่ทำอะไร ใช้เวลามันก็จะเบาบางลง แต่ถ้ามีปฏิภาณปัญญาความรู้ รู้ว่าเราจะไปมีอาการเหล่านี้อยู่ทำไมมันเสียแรงเสียเวลาเรา เป็นกิริยาที่น่าอาย หิริโอตัปปะ น่าละอายอย่างหนึ่ง ร้องไห้ต่อหน้าต่อตาแม้จะเป็นเรื่องซาบซึ้งมันก็ดูอ่อนแอ เป็นเรื่องไม่ดี ไม่แข็งแรง ก็ยิ้มรับในหน้าก็พอแล้ว ถึงขั้นจะยิ้มทั้งน้ำตาไหลมันก็แย่กว่า ยิ้มด้วยน้ำตาไม่ไหลก็ดีกว่า มันก็จะค่อยๆเป็น ก็จะลงมาจาก อุพเพงคาปีติ มาหาผรณาปีติ ค่อยๆเป็นไปอย่าใจร้อนปฏิบัติเถอะมันจะเป็นไปได้
อยู่ที่ตัวเองบางคนก็อาจจะช้านานหน่อย บางคนตั้งใจได้ดีไม่ช้ามันก็จะเร็วกว่า พูดเหมือนกำปั้นทุบดินแต่มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
_Aumporn Kul (อัมพร กุล) : ตอนนี้ชาวบ้านข้างนอกกำลังเดือดร้อน พ่อครูจะมีคำแนะนำอะไรบ้างครับ
พ่อครูว่า…ติดตามดีๆก็แนะนำอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เรื่องหยาบ กลาง พวกเรานี้มีหลายระดับ อธิบายกันไในแต่ละมุมแต่ละเรื่อง อย่างท่านเพาะพุทธ ก็อธิบายอยู่คนเดียวชมนกชมไม้ของท่านไป ก็เก็บไป พอมาถึงพวก สมณะ สิกขมาตุพวกเราก็เข้มข้นขึ้นมา ไม่ไปชมนกชมไม้อย่างท่านเพาะพุทธ มาถึงอาตมาก็จะตีหัวเข้าบ้าน เป็นเรื่องสัจธรรมที่ละเอียดไปตามลำดับก็ติดตามให้ดี
แนะนำอะไรบ้างคือ ต้องสั่งสมธรรมะ เข้ามาศึกษาธรรมะให้จริง ใส่ใจ ช่องโทรทัศน์เราก็ไม่ใช่ส่งจากดาวเทียมเราก็ไม่มีสตังค์เช่า ก็ใช้ไลน์ ก็มีเครื่องมือบ้าง เอาแค่นี้ มันจำนนจริงๆ ยิ่งมาเข้าโควิด รายได้ก็ลดลง เราขายต่ำกว่าทุนอีก ตั้งกองแจกไปอีก มีกระท่อมปันสุขอีก ก็แจกกันช่วยกันไป
เห็นกงจักรเป็นกงจักร เห็นดอกบัวคือดอกบัว
_ลุงยิ่งธรรม อุดมสุข : เห็นกงจักรเป็นดอกบัวชีวิตก็วิบัติมากแล้ว คนที่เห็นดอกบัวเป็นกงจักรจะเป็นอย่างไรครับพ่อครู
พ่อครูว่า…ก็เห็นกงจักรเป็นกงจักร เห็นดอกบัวให้เป็นดอกบัว หากเห็นกลับกันไปมาก็จะฆ่ากันไปกันมา คือเห็นความจริงตามความเป็นจริง อย่าเห็นความไม่จริงสลับซับซ้อนกันไปมามันก็วนไปมา เอาเนื้อหาความจริงให้เป็นความจริง ดอกบัวก็คือดอกบัว กงจักรก็คือกงจักร มันไม่เหมือนกันนะ เอารายละเอียดลงไปในพยัญชนะในสภาวะที่บอกว่า
กงจักรคืออะไร กงจักรคืออาวุธ ดอกบัวคือธรรมชาติ
อาวุธมันประหารธรรมชาติ ความต่างของกงจักรกับดอกบัวก็ต่างกันอย่างนี้
มันมีกงจักรที่ดีอยู่อันเดียวเท่านั้นคือ กงจักรแห่งธรรม เรียกว่า ธรรมจักร ถ้าไม่มีคำว่าธรรมจักรก็เป็นจักรตัดคอเท่านั้น ทำให้ขาดเท่านั้น
ต้องรู้ให้ได้ ถ้าดอกบัวคือธรรมชาติคือ พีชะ คือพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันมีชีวะของมันแล้วมันก็สุภาพ มันไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่ประโยชน์ให้คนอื่น ธรรมชาติเนี่ย แต่มันมีพลัง มันอาจจะมีรากไปดันคอนกรีตแตกได้ หรือมันจะมีพลัง เอาพลังมันไปใช้เป็นปรมาณูก็เป็นพลัง แต่พลังโดยตัวมันเองมันทำไม่เป็น ไม่มีเจตนาร้าย พีชนิยามไม่มีเจตนาร้าย มันมีแต่ตัวมันเอง ตัวมันที่จะสร้างตัวมันเองพัฒนาตัวเองขึ้นไป พัฒนาขึ้นไปได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น จำนนมันก็หยุด ดีไม่ดีมีอะไรมาทำร้ายมันก็ต้องสูญเสีย ใครมาฆ่าก็ตาย
พืชพันธุ์ธัญญาหารยิ่งกว่าไก่น้อย ไก่น้อยเขาบอกว่าจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด สวนพืชพันธุ์ธัญญาหารนี้ บีบตายคามือแน่ คลายก็รอดแน่ เพราะบีบพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ดิ้นเหมือนลูกไก่ ไปบีบพวกพืชมันก็ไม่ดิ้นเหมือนลูกไก่ เพราะฉะนั้นตายคามือแน่ๆ ใช้ภาษาไทยอธิบายให้ชัดเจน
จะเห็นได้ว่าพืชไม่มีพิษมีภัยกับใคร แม้แต่วัตถุก็ไม่มีกรรม รากพืชทำให้คอนกรีตแตก มันก็ไม่รู้หรอก คอนกรีตคืออะไรมันก็ไม่รู้หรอกมันไม่ใช่ชีวะด้วยซ้ำไป ดินน้ำไฟลมมันก็ไม่ใช่ชีวะ หากว่าดินมันมีชีวะมันก็ต่ำกว่าพืชไปอีก เพราะมันมีพลังงานแทรกอยู่ในตัวหรือมันก็มีตัวจุลินทรีย์อยู่ในดิน มันก็เลยมีภาวะตามจุลินทรีย์ด้วย นี่มันก็ละเอียดลงไปอย่างนั้น
_มุ่ง ตรงธรรม : กระผมฟังพ่อครูกล่าวความจริง ที่เป็นความจริงแท้ ประกาศให้ผู้คน เชื้อเชิญเข้ามาฟังเข้ามาพิสูจน์ธรรม แต่คนหมู่ใหญ่โดยมากติดตามฟังพ่อครู แสดงสัจจะแท้ ผมรู้สึกเห็นใจ นึกถึงคำพังเพยของไทย นี่กระมังครับเข็มขัดสั้นคาดไม่ถึง ฟังสิ่งจริงเห็นเป็นสิ่งเท็จ ฟังสิ่งเท็จกลับมองว่าสิ่งจริง น่าสงสาร เพราะขาด”กาลามสูตร” ตามแบบอย่างที่พระพุทธองค์ตรัส ครับ
พ่อครูว่า…กินความครบหมดที่คุณพูดมา อาตมาพยายามพูดไม่ให้มันผิด คนมาพิสูจน์หากเห็นว่าดีก็เอา
ในยุคนี้มีโลกุตระเกิดเป็นเรื่องท้าทายจริงๆ แต่เป็นเรื่องลึกละเอียดคนก็จะคิดว่ามาท้าทายอะไรกัน ไปแย่งชิงเพชรนิลจินดาดีกว่า นี่คือคนหยาบ แต่คนที่ละเอียดก็จะรู้ว่านี่คือสิ่งที่มนุษย์พึงได้ เข้าขีดโลกุตระธรรมไม่ใช่เรื่องสามัญ
อย่างอาตมาทำนี่คาดไม่ถึงหรอก เข็มขัดสั้น พุงโตกว่า คาดไม่ถึงก็ไม่สำเร็จน่ะสิ คือคำตอบ เขาคาดไม่ถึงหรอก เขาก็รับไม่ได้ เขาไม่รู้ไม่มาเอาก็ไม่มีผลสำเร็จมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ จะเข็มขัดสั้นอย่างนั้น Incredibles คาดไม่ถึง
เหมือนอเจลกะ พบพระพุทธเจ้าก็ไม่เชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้าแลบลิ้นใส่อีก เหมือนอย่างคนมาเจอโพธิรักษ์ ธรรมะจัตวาก็ยังไม่มี อยู่สำนักไหน ครูบาอาจารย์อยู่ที่ไหน ออกมาจากจอ มายา แล้วบอกว่ามาสอนโลกุตระ คนละฟากฟ้ากับหุบเหวเลย เขาเรียนกันมามากสอนเราพูดอะไรยังไม่เชื่อกันเลย คุณมาจากไหนมาสอนโลกุตระ เอาความรู้มาจากไหน อาตมาก็บอกความจริงว่ามาจากชาติก่อนเอามาจากชาติก่อน ชาตินี้อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์จริงๆ ไม่มีสำนักไม่ได้เรียนจากใครเป็นของอาตมาเอง แล้วเขาบอกว่ายิ่งใหญ่เป็นพระพุทธเจ้าเหรอ อาตมาก็ไม่ได้บอกว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้า บอกว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ระดับ 8 ยังไม่เป็นเลย ก็ยืนยันสิ่งที่ยืนยันได้มาตลอด อาตมาไม่ได้เป็นคนอวดโอ่อวดอ้างผิดพลาดอะไรภ แต่เขาฟังไม่เป็นจะทำอย่างไร
หมาใหญ่ไม่ทำอะไรหมาน้อย หมาใหญ่มันทำให้เจ็บนิดหน่อยขย้ำให้รู้ตัว แต่ไม่ทำร้ายอะไร เป็นสัจจะที่ค่อยเป็นไป แต่ดีขึ้นนะ อาตมาแอบเก็บสะสมความรู้มาอยู่ เขาเป็นพวกขี่หลังเสือแล้วลงไม่ได้ก็มีเยอะ ชาตินี้ทั้งชาติก็ยอมตายคาหลังเสือ ชาติหน้าค่อยมา ก็มี
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม : ทางเฟสมีคนดูกว้างขวางมากเป็นแสนแล้ว รายการนี้แย้งมาก็มีและก็อยากรู้ว่า อรหันต์เป็นเช่นไร?
พ่อครูว่า…โทรทัศน์นี้คนจะดูได้เป็นกลุ่มก้อน เปิดมาก็ดูตลอดเวลาไม่รู้กี่บ้านต่อกี่บ้าน เปิดทั้งวันดูไป ก็เลยกว้างหน่อย เฟสบุคต้องกดเอาหน่อย ก็ไม่เป็นไปค่อยเป็นไปตามควร
อรหันต์เป็นเช่นไร สรุป อรหันต์เป็นเช่นโพธิรักษ์ สิ่งแตกต่างจากโพธิรักษ์ไม่ใช่อรหันต์ คุณจะมองว่าอรหันต์อะไรดิ้นยิ่งกว่าลิง ก็นี่แหละอรหันต์ต้องคล่องแคล่ว มีกายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา มีมุทุภูตธาตุ เร็วยิ่งกว่านักมายากลคุณดูไม่ทันหรอกตามให้ทันเถอะ ดูไปจะเข้าใจลึกซึ้งไปเรื่อยๆ ไม่ได้หลอกเล่นเหมือนนักมายากล แต่เป็นสิริมหามายา คุณฟังไม่ทันก็เลยสลับซับซ้อน อันนี้มันสลับไปตั้ง 5 ตลบแล้ว ดำกับขาว คุณก็ยังยึดถือแต่ดำอยู่นั่นแหละ แต่เขาสลับดำขาวไปตั้ง 5 ตลบ 8 ตลบแล้ว เขาก็บอกว่าทำไมมีแต่ดำ ทั้งที่คุณดูขาวไม่ทัน จับขาวไม่ได้ ก็เลยดูได้แต่ดำ เพราะตาคุณมันมืด มันเลยแสงสว่างเข้าไม่ได้ เห็นแวบไม่ได้เลย เห็นแต่ดำมืดอย่างเดียว มันก็เป็นธรรมชาติจริง สักวันคงเห็นขาวแวบได้
_ภูริทัศน์ ธนูชัย : กราบนมัสการพ่อครูตั้งเป็นเด็กผมอยากเห็นพระพุทธเจ้า ตอนนี้ผมเห็นคือพ่อท่าน กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า…ตอนนี้อาตมายังไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่เป็นแค่หน่อเนื้อ มีหน่อเนื้อก็จะไปเป็นเหมือนพระพุทธเจ้านั่นแหละ ยังไม่ใช่ต้นใหญ่ที่เป็นพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นหน่อเนื้อของพระพุทธเจ้า
_โกศล สุขเล็ก : กราบคารวะพ่อท่าน..สังคมชาวอโศกถือใด้ว่าเป็นสังคมอุดมคติ…สาธุ
พ่อครูว่า…ถูกต้องแล้วครับ ชาวอโศกเป็นสังคมอุดมคติแน่นอน
ออกจากป่า พาบรรลุจรณะ 15 วิชชา 8
หมดเหลือเวลา 10 นาทีมาทวนซ้ำอีก ความเสื่อมใน อัมพัฏฐสูตร
พระพุทธเจ้า ตรัสพยากรณ์ไว้ตั้งแต่ยังไม่สิ้นพระชนม์ โดยเฉพาะตรัสออกมาเป็นพยัญชนะกับอัมพัฏฐมานพ ใน อัมพัฏฐสูตร เหตุที่ตรัสเพราะว่ามาอวดดีกัน ระหว่าง
1.พราหมณ์ กับ 2.กษัตริย์ โดยอัมพัฏฐะยึดว่า พราหมณ์ เป็นเจ้าของธรรมะ กษัตริย์คือฆราวาสไม่ใช่นักบวช เขายึดถืออย่างนั้น เพราะฉะนั้นฆราวาสต้องเคารพนักบวช ซึ่งเดี๋ยวนี้เราก็รู้อยู่ ฆราวาสแม้แต่เป็นกษัตริย์ก็ต้องเคารพนักบวช เดี๋ยวนี้ก็ยังมีในประเทศไทย
อัมพัฏฐะถืออันนี้ แต่ลึกเข้าไปถึงตระกูล เขาก็ว่าข้าเป็นตระกูลนักบวช พ่อของพ่อของพ่อของพ่อ เป็นพราหมณ์ทั้งนั้น ไม่วิบัติ แม้แต่สายแม่ก็เป็นพราหมณีมาทั้งนั้น สะอาดบริสุทธิ์
ท่านเป็นฆราวาส ข้านี่เป็นสายธรรมะเป็นพราหมณ์ เป็นผู้ที่ยึดถือธรรมะ แล้วท่านเป็นลูกกษัตริย์มาจากสากยบุตร
พระพุทธเจ้าก็ไล่เรียงให้ฟัง หากจะถือกันด้วยโคตร ที่สืบทอด DNA มา เอาทางวัตถุทางสรีระ ใครจะเหนือใคร ก็ไล่กันไปๆ สุดท้าย อัมพัฏฐะก็จำนน เพราะเป็นลูกนางทาสี ชื่อ กัณหะ ซึ่งเป็นสนมของพระเจ้าโอกากราช อัมพัฏฐะก็จำนน ตนเป็นสายลูกทาส แล้วใครเหนือกว่าใคร ใครบริสุทธิ์กว่าใคร อัมพัฏฐะก็เลยคอตกซบเซานั่งนิ่ง
แล้วพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าความเสื่อมนั้นเกิดจากการไม่มีจรณะ 15 วิชชา 8 แล้วถามว่าเธอมีใช่ไหม บอกว่ามีแล้วอธิบายได้ไหม วิชชาจรณะ เขาก็สอนอยู่ แล้วเป็นอย่างไร อะไร ก็ว่าจะไปรู้หรือ? จำนน
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่านั่นแหละ จรณะ 15 วิชชา 8 จะเสื่อมขึ้นมาเมื่อคนเข้าใจว่า จรณะ 15 วิชชา 8 จะอยู่กับคนที่อยู่ในป่า เพราะฉะนั้นผู้ใดไปแสวงหาอาจารย์ในป่า อาจารย์ที่มีจรณะ 15 วิชชา 8 ต้องเป็นอาจารย์ที่อยู่ในป่า ผู้ใดมีทิฐิอย่างนี้นั่นแหละผิดแล้ว แต่เริ่มต้น
พระป่าพระหลับตา พระมีจรณะ 15 วิชชา 8 อยู่ในป่า ไม่มี
ความเสื่อม 4 ประการ ซึ่งผู้แปลหรือเก็บตกมาในพระไตรปิฎกก็เป็นสายฤาษีสายพระกัสสปะ อาตมาก็เอามาขยายความดูว่าจะดีขึ้นไหม?
ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ ๔
ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่
4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?
-
ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.