พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก ปี 2564 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1O5PxKkd-PMz_E5Bw5wokJCR4WkduFfbvWLP3agXcOJA/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/12kEU7W2Pp0X0PtwIH-A-1QlFHPneKe5O/view?usp=sharing ดูวิดีโอที่ พ่อครูพาลูกๆกล่าว สัจจวาจาบูชาพระบรมสารีริกธาตุ สัจจวาจาบูชาพระบรมสารีริกธาตุ อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ ขอยอบนอบหมอบกราบคารวะ ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อมของเหล่าข้าน้อยนี้ เกลือกถูรองรับอยู่ใต้ละอองผงคลีแห่งธุลีฝ่าพระบาท ของสมเด็จพ่อ ผู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มีพุทธคุณดังกล่าวข้างต้น อย่างสุดเทิดสุดบูชายิ่ง เหล่าข้าน้อยทั้งหลาย ขอน้อมรำลึกเทิดทูนพระคุณอันหาที่สุดมิได้ ณ กาลศุภสมัย ๙ มิถุนายนนี้ เหล่าข้าน้อยทั้งหลาย ขอตั้งปณิธานต่อพระมหาบรมสารีริกธาตุ ณ บัดนี้ว่า… เลือดและวิญญาณของเหล่าข้าน้อยทั้งหมดนี้ ขอถวายอุทิศแด่พระพุทธศาสนาไปตราบดินสิ้นฟ้า จนกว่าข้าน้อยแต่ละคนจะปรินิพพาน ขอได้โปรดรับปณิธานนี้ ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อมของเหล่าข้าน้อยทั้งหลายเถิดเทอญ. การบ้านการเมืองของชาวอโศกเป็นเช่นไร พ่อครูว่า…งานอโศกรำลึกและบูชาพระบรมสารีริกธาตุของเรา ซึ่งเป็นงานประเพณีสำคัญของชาวอโศกครั้งนี้ก็ปฏิบัติประพฤติกันมาเป็นครั้งที่ 40 ไม่ใช่น้อยแล้วนะปีละครั้ง เคยวรรคเว้น ไม่ได้ทำ มีปีหรือสองปี เราเคยไปทำถึงกลางถนนก็เคย ตอนที่ไปทำงานช่วยชาติ เราไปติดอยู่กลางถนนราชดำเนิน ไปประท้วงแบบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบ ที่เราได้พากันไปทำ ก็ขอขยายความประเด็นนี้ ในวันอโศกรำลึกนี้ หลังจากที่อาตมาเทศน์ก็จะมีข่าวเด่น ชาวอโศก รวบรวมกันมาตลอดปี ท้าวความถึงงานการเมือง งานการเมืองก็ดี งานการบ้านก็ดีหรือจะแยกภาษาว่าเป็นงานทางธรรม ธรรมะต้องอยู่ทั้งการบ้านและการเมือง ธรรมะไปขาดจากการบ้านไม่ได้ ธรรมะขาดจากการเมืองก็ไม่ได้ ในความหมายที่เป็นเนื้อแท้ของคำว่าการบ้านการเมืองคืออะไร การบ้านก็คือเรื่องของบ้านๆ ยังไม่รวบรวมถึงส่วนรวม ถ้าเรียกว่าการเมืองก็คือของส่วนรวมกันทั้งประเทศ การเมืองคือพฤติการณ์ของมนุษยชาติสังคมรวมทั้งประเทศ เรียกว่าการเมือง ถ้าการบ้านก็เฉพาะพฤติการณ์นั้น รวมเฉพาะกลุ่มใด การบ้านของบ้านบ้านหนึ่งครอบครัวหนึ่งก็เป็นของครอบครัว ต้องรู้จักตัดแต่ละปริเฉท ให้การบ้านสงบเรียบร้อย อบอุ่นสงบเจริญดีมาก ก็แล้วแต่บางครอบครัวก็ครอบครัวแตกแยก ครอบครัวแตกสลายไม่สงบเดือดร้อนวุ่นวายทะเลาะกันตีกัน แตกแยกกันก็ว่าไป ก็เป็นของจริง พฤติกรรมจริง ของคนในแต่ละสังคม ตั้งแต่เริ่มจาก 1 บุคคลถึง 2 บุคคลก็เริ่มต้นเป็นสังคม 3 บุคคลก็เกิดไซคลิก 4 5 6 7 8 ก็เป็นสังคมกลุ่มที่โตขึ้นมากขึ้น จนถึงเป็นล้าน หลายล้านเป็นพันล้าน ตอนนี้ประชากรประเทศสูงสุดก็มีพันกว่าล้าน ประมาณ 1,400 ล้าน อินเดียกับจีนไม่รู้ใครมากกว่ากัน การเมืองที่อาตมาพาทำมา มันถูกพวกมิจฉาทิฏฐิ พวกที่มีเล่ห์เหลี่ยม มากรอกความไม่จริง เป็นความเท็จ ความขบถ ความไม่ถูกต้องบอกว่าการเมืองกับธรรมะไม่ต้องมายุ่งกัน แยกการเมืองกับธรรมะออกจากกัน นี่เป็นเล่ห์เหลี่ยมของนักการเมืองตัวเลวร้าย ก็เป็นแต่เพียงว่าขยายความกันมาหลายทีแล้ว ถ้าสังคมไหน การบ้านก็ตาม การเมืองก็ตาม ถ้าไม่มีธรรมะแล้วมันจะอยู่สุขอย่างไร เข้าใจบ้างสิ แค่นี้เข้าใจไม่ได้โง่ตายซะ แค่นี้เข้าใจไม่ได้ใช่ไหม คำว่าธรรมะหมายถึงอะไรก็ไม่ต้องอธิบาย ไม่มีคุณธรรมไม่มีธรรมะมีแต่อธรรม อยู่ในบ้าน 2 คนมันก็แย่แล้ว มีแต่อธรรมทั้งคู่ มันจะเป็นอยู่สงบจะอยู่สบายอบอุ่นได้อย่างไร มันก็เดือดร้อนกันตลอดกาลนาน ยิ่งเป็นระดับประเทศโดยเฉพาะระดับโลก ระดับโลกก็จะมีเครือข่าย เป็นนานาชาติระดับชาติที่รวมกันจับมือกันผสมผสานกัน แม้จะมีอะไรต่างก็พยายาม มันบังคับไม่ได้ในสิ่งที่มันมากอย่างขึ้นไปแล้ว จะบังคับให้เหมือนกันเลยไม่ได้ ตั้งแต่วัตถุรูปจนไปถึงนามธรรม การยึดถือในจิตใจ จะไปบังคับกันทีเดียวไม่ได้ มันก็ต้องอนุโลมปฏิโลมให้มันกลมกลืนพอจะประสานกันได้ เรียกว่ากลมเกลียวกลมกลืนกันได้ อย่างพอสมควร มันถึงขั้นสงบ ก็ถึงจะใช้ได้ ที่นี่การเมืองของพระพุทธเจ้าอาตมาได้พยายามพูดโยงไปถึงขั้น แม้แต่ยุคพระพุทธเจ้าก็มีประชาธิปไตย สมัยโบราณสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีคำว่าประชาธิปไตย เพราะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นยุคทาส เป็นยุคที่ไม่มีสิทธิมนุษยชน เขายังไม่เข้าใจสิทธิของทาส ไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชนที่ควร บริหารปกครองกันทั่วโลกก็ยังไม่เข้าใจ แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ท่านผ่านยุคกาลไม่รู้กี่กัปกีกัป กัปที่เจริญเป็นประชาธิปไตยขั้นก็ผ่านมาแล้วแต่ยังไม่มีภาษา ท่านก็เลยไม่ได้ตรัสคำว่า ประชาธิปไตย ท่านตรัสแต่คำว่าธรรมาธิปไตย ซึ่งประกอบด้วยโลกาธิปไตยกับอัตตาธิปไตย โลกา หมายถึง องค์รวมของมวลชาวโลก เกี่ยวกันรู้จักกันสัมพันธ์กัน ตกลงกันว่าจะทำความร่วมมือกันเรียกว่าโลก ก็ให้โลกมันสงบ ก็เกิดจากอัตตาของแต่ละคน ต้องมีปัญญาต้องมีเจโต ต้องมีศรัทธาที่จะทำได้ในคน ต้องประกอบด้วยศรัทธากับปัญญา เป็นแรงพลังงาน 2 อย่าง พลังงาน static dynamic ที่จะต้องทำงานร่วมกัน พลังงาน static เป็นพลังงานบวก พลังงาน dynamic เป็นพลังงานลบ ต้องประกอบกันเป็นพลังงาน 2 อย่างที่จะร่วมทำให้เกิดปฏิกิริยาเรียกว่าพลังงานนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่เกิดพลังงานอะไร ต่างคนต่างนิ่ง มันก็นิ่งเฉยไม่เกิดพลังงานอะไรขึ้นมา มันเกิดพลังงานและต้องเป็นพลังงานที่ต่าง จึงจะทำงานได้อย่างดีมีความเจริญ ถ้าอย่างเดียวกันเป็นหนึ่งเดียวกันมีแต่เสื่อมกับเสื่อมถ้าอย่างเดียวกันเหมือนกันเลยก็มีแต่เสื่อม มันต้องมีภาวะแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญจึงจะทำให้เจริญขึ้นได้ ความเป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า แม้ยังไม่มีพยัญชนะตั้งเป็นประชาธิปไตย ก็จะเอาอธิปไตย 3 ธรรมาธิปไตย โลกาธิปไตย กับอัตตาธิปไตย มีธรรมเป็นตัวกลาง คุณธรรมเป็นคุณวิเศษ ยุคพระพุทธเจ้าก็มีคุณวิเศษ ถ้ามีธรรมนูญก็เป็นกฎหมายกลาง กฎหมายรวม หลักเกณฑ์รวมธรรมนูญ ผู้ใดศรัทธาธรรมนูญ ทั้งทุกประเทศมีกฎหมายรวมเป็นธรรมนูญทุกประเทศ นอกจากว่ากฎหมายธรรมนูญก็มีไป แต่อำนาจบาตรใหญ่ของฉันเป็นเผด็จการนั่นแหละ เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แม้เดี๋ยวนี้บางประเทศก็ยังมีอยู่มากน้อยก็แล้วแต่ ยกตัวอย่าง เกาหลีเหนือเป็นคอมมิวนิสต์เต็มเหนี่ยว เผด็จการด้วยคนเพียง 1 คนเป็นใหญ่ นอกนั้นต้องฟังคนนี้คนเดียว เป็นอย่างนั้น เมื่อพวกเราได้เข้าใจ อาตมาได้นำพาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาใช้ เป็นประชาธิปไตยที่มีพลังงานทั้งคุณธรรมที่เป็นคุณวิเศษ ต้องเรียกคุณธรรมนี้เป็นคุณวิเศษคือ อุตตริมนุสสธรรมเป็นโลกุตรธรรม ที่เข้าใจ ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาก็ยังเข้าใจกันไม่ได้ อย่างเช่น นักรัฐศาสตร์ อาตมาจะพูดอย่างไรเขาก็ยังมึนตื้อ เขาบอกว่าอาตมาเป็นตัวตั้งตัวตีเอาอันนี้มาใช้ อาตมาว่าจะมาเอาจากของพระพุทธเจ้ามาใช้ การปฏิวัติรัฐประหาร ใช้ศัพท์สมัยใหม่ ปฏิวัติหรือรัฐประหาร ประหารอะไร ประหารรัฐบาลทรราชย์ ไปปฏิวัติล้มรัฐบาลทรราชย์ ปิด ที่บริหารปกครองไม่ดี ตั้งแต่ทักษิณซึ่งมันก็ยังไม่เข้าร่องเข้ารอย ทักษิณก็ยังต้องมีเชิงจะใช้ทหารเข้ามาปฏิวัติ ทำทีเป็นมาปฏิวัติ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ก็ทำทีเป็นปฏิวัติ แต่ก็ไม่ได้ยิงอะไรให้เขาบาดเจ็บเลย ประชาชนก็ประท้วงเป็นหลัก พอชนะแล้วประชาชนก็เฮโลเอาดอกไม้ไปใส่ปลายปืน ไม่ว่าจะเป็นรถถัง ปืนใหญ่ ปืนเล็ก ก็แล้วแต่ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นวิธีการที่เห็นกันได้ชัดเจน บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์มา จากนั้นก็ค่อยๆเข้าใจพลังงานมวลรวมของประชาชนที่มีคุณวิเศษ คือ เอาความสงบมาไล่ความรุนแรงความเลวร้าย เอาความถูกต้องมาไล่ความผิด เอาความถูกต้อง เอาความดีงามเข้ามาไล่ความเลวร้าย ความผิด ความไม่ถูกต้องความทุจริตกรรมต่างๆ ที่เขาประพฤติ นี่เป็นเรื่องจริงของตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ ตั้งแต่พวกเราออกไปพ.ศ.2549 นำออกไปเลยคนก็วิจารณ์ อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งรวมแล้วใช้เวลา 2549 ถึง 2557 จึงสิ้นสุด มันก็มีเว้นวรรคพักยกบ้าง ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ มาสมัคร มาสมชาย จากสมชาย ก็มาอภิสิทธิ์ แล้วถึงมาเป็นยิ่งลักษณ์ พอยิ่งลักษณ์ก็หมดจบ เป็นการล้างบาง ตั้งแต่นั้นมาก็เป็นอันว่าประชาชนปฏิวัติได้เด็ดขาด ไม่ใช่ว่า พลเอกประยุทธ์ได้นำรถถังได้นำปืนมายิงอะไร ไม่ใช่ ประชาชนปฏิวัติเรียบร้อยแล้วสงบเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีการ เตรียมพร้อม อาวุธยุทธภัณฑ์ รถถังออกมา อย่างไรก็ไม่ได้ปฏิบัติการอะไรเป็นเรื่องรุนแรงเลย มันก็เป็นเพียงองค์ประกอบ ทั้งๆที่โดยพฤตินัยต่างๆ นิวัฒน์ธำรงก็ไม่ได้มีอำนาจอะไรแล้ว ซึ่งเขาเป็นผู้รักษาการนายกฯ มันก็ไม่มีอำนาจอะไร เขาก็ไม่มีสิทธิ์อะไรเป็นแต่เพียงให้เป็นสัญลักษณ์เท่านั้น พลเอกประยุทธ์ ก็มาทำเป็นสัญลักษณ์ พูดกันอย่างสุภาพเสร็จจบ ก็ประกาศต่อโลกตามวิธีการที่เคยทำ เสร็จแล้วพลเอกประยุทธ์รักษาการหัวหน้าผู้รักษาความสงบก็ขึ้นไปทำหน้าที่ ประชาชนก็เป็นประชาชนจริงๆที่เป็นประชาชนชั้นสูง ไม่มีใครเข้าไปแย่งอำนาจของนายกประยุทธ์ ไม่มีแม้แต่พวกเราจะมีทหารอยู่ด้วย แม้จะเป็นทหารเก่าเป็นพลเอกเหมือนกัน ยังพลตรีจำลองก็อยู่ในสวน พลอากาศเอก พลเรือเอก ก็มีอยู่ในหมู่พวกเราช่วยกันปฏิวัติ มีพลเอกปรีชาขึ้นไปบนรถ 6 ล้อ ประกาศยึดอำนาจแล้วให้ปลัดกระทรวงอธิบดีต่างๆมารายงานตัว อาตมาจำได้ไม่มีใครเข้ามา พลเอกปรีชาแสดงตามจารีตประเพณีวัฒนธรรมของการปฏิวัติเป็นตัวแทนของประชาชน แต่ก็ไม่ได้ตั้งกันหรอก มันเป็นโดยอัตโนมัติ ก็ไม่มีใครมาไม่มีก็แล้วไปก็เลยต้องมาประท้วงต่อ จนกระทั่งเด็ดขาดอีก ทำฎีกาขึ้นไปถวายทูลเกล้า หอบฎีกาไป พูดทวนแล้วก็ขำๆอยู่ในใจ โอ้ย มันเหมือนคนบ้านนอก เศรษฐีบ้านนอก อยากแต่งสวยก็แต่งเด๋อด๋าไป มันมีทรัพย์แต่ว่ามัน บ้านนอกเชยๆ ไม่เข้าหลักเกณฑ์เขา เจ้าหน้าที่เข้ามารับฎีกาไป เขาก็บอกว่ามันเป็นฎีกาของประชาชนปฏิวัติไม่เคยมีเขาก็ถือมาคืนเราก็ไปนั่งประท้วงต่อ สนุกจริงๆ ประท้วงกันจนไปนานจนพอสมควร พลเอกประยุทธ์ก็มาสานต่อเราก็ถือว่ามารับไม้ต่อจากประชาชนเสร็จ แล้วเพราะเราก็สบายเลิกกลับนอนบ้านตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ยังไม่ได้ออกไปอีกเลยแล้ว ไม่ต้องออกนะจ๊ะ ดีแล้ว นี่ยังมีพวกกระเหี้ยนกระหือรือทำเป็นอย่างโน้นอย่างนี้หาเรื่องโน่นนี่ต่างๆนานา ส่วนอาตมาก็ดูตอนนี้เหมือนกับนั่งบนภู ดูหมาน้อยกัดกัน ไม่ใช่เสือกัดกันนะ ง้องแง้งๆ พวกหมาๆจะทะเลาะกัน แต่พวกที่เป็นเสือจริงๆจะสงบ ไม่มีปัญหาอะไร สังคมสรุปได้อย่างนี้เลย เพราะเจริญแล้วประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้ประชาชนปฏิวัติ ด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรง มีแต่ภาคฝ่ายรัฐบาลทรราชรุนแรงกับประชาชน ส่วนประชาชนไม่มีใครไปรุนแรงกับรัฐบาลเลย สงบเรียบร้อย ยอมให้เขาทำร้ายทำลายจนมีคนตายบ้าง โดยฝีมือของทางรัฐบาลเขา ก็มี Error บ้างต้องขอบคุณผู้ที่เสียสละ เสร็จแล้วก็ประสบผลสำเร็จ แล้วก็ดำเนินการมาตลอดก็เป็นเหตุการณ์ของโลก ที่มีการปฏิวัติโดยประชาชน ใช้ความจริงความถูกต้องเป็นอาวุธ เรียกว่าบุญญาวุธเป็นอาวุธประหาร ใช้ความดีงามความถูกต้องเป็นบุญญาวุธ ยืนยันมีคนไปอภิปรายมีคนไปเอาหลักฐานประกาศยืนยันไขความจริงเราเอาความถูกต้องมาบอกมายืนยันสิ่งที่ผิดเราก็บอกเลยอะไรผิดอย่างไร ผิดมหามหันต์อยางไรก็ว่าไป คำว่า “ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ” ประโยคนี้อาตมาเป็นคนพูดขึ้นมา ขออภัยไม่ได้รื้อฟื้น แต่หลายคำที่เป็นวาทกรรมใช้พยัญชนะเพื่อเป็นเครื่องนำในการใช้ร่วมกันปฏิบัติ ที่บันทึกไว้เป็นตัวหนังสือตั้งแต่ สันติ อหิงสา อโหสิ เขาไม่ยอมรับเอาคำว่าอโหสิ เขาเอาแต่สงบ อหิงสา อโหสิไม่เอา อโหสิ แปลว่า ไม่จองเวรจองกรรมกันต่อ เขาเอาแต่สงบอหิงสาคือไม่รุนแรง แต่ไม่เอาอโหสิก็ไม่ยอม พวกนี้พวกยังหนังจีนอยู่ หนังจีนลูกต้องแก้แค้นให้พ่อ มันก็เป็นเรื่องสามัญที่คนยังไม่สมบูรณ์ด้วยโลกุตรธรรม มันก็ต้องมีบ้างมีผสมอยู่ในพวกเรา อย่างมวลมนุษยชาติ รวมแล้วคนไทยมีภูมิธรรมที่เอาความสงบไปประหารความรุนแรง ร้ายแรง สำเร็จ เอาความสงบไปประหารความรุนแรงได้ จะบอกว่าไปฆ่าเขาหรือ ไม่ใช่หรอกแต่เอาความจริงเป็นเครื่องประหารเป็นการฆ่า ซึ่งมันลึกซึ้งนะเอาความจริงเอาความถูกต้องมายืนยันจนเขาจำนนต่อความจริงถูกต้องว่า คุณนั้นผิดแน่ๆ ที่ถูกมันต้องชนะ ที่ผิดมันต้องแพ้ ต้องหนีออกไปให้คนที่ถูกเป็นผู้บริหารทำงานกับประชาชน แต่คุณไม่ใช่ คุณผิด คุณก็ไป เขาก็ใช้อาชญวิทยาของเขา เขาโกงไปเป็นแสนล้าน ล้านล้าน อะไรอย่างนี้ นี่คือปรากฏการณ์จริงไม่ใช่พูดเล่น phenomenol หลายกาละ หลายพฤติการณ์ หลายปริเฉท เอามาอ้างอิงปรากฏการณ์ในชาติ ประเทศไทยเป็นตัวอย่างอันสวยสดงดงาม ต่อไปในอนาคตถ้าหากประชาชนไม่มีภูมิธรรม ไม่มีคุณธรรม ก็ปฏิวัติรัฐประหารอย่างนี้ไม่ได้ แต่เพราะประชาชนมวลส่วนใหญ่ของประเทศไหนมีภูมธรรมของโลกุตระก็จะไม่เอาความรุนแรงฆ่าแกงคนอื่น เพราะฉะนั้นทางโน้นมาแม้ จะเป็นพวกที่อยู่ในอาณัติของฝ่ายรัฐบาล ก็ยังเป็นคนไทยมีคุณธรรมอุตตริมนุสสธรรม เขาจึงไม่กล้า เช่น ตำรวจเขาสั่งให้มาเอาเราให้หมดเลยนะ พวกอโศก พวกกองทัพธรรม กวาดให้หมดเลยนะ ตำรวจสั่งการ ลากโล่ห์มาแล้วนะ แต่เขาทำไม่ลง พวกนี้เขานั่งสงบ นั่งประนมมือและเขาจะทำได้อย่างไร มีเหตุการณ์จริงเรื่องจริงเขาก็ต้องถอยทัพกลับไป เสร็จแล้วมายิงระเบิดใส่บ้าง ก็ลากโล่ห์ถูลู่ถูกังไป รายละเอียดเหล่านี้เป็นเรื่องจริงจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยจบ พลเอกประยุทธ์ขึ้นมาก็จึงสมบูรณ์แบบ นี่คือสัจธรรมที่จะบอกว่าเป็นเรื่องของการเมือง เป็นเรื่องของการต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรม เรียกว่า ธรรมาธรรมะสงคราม ธรรมะก็ต้องชนะอธรรมโดยสัจจะของมัน ถ้าหากอธรรมชนะธรรมะ มันก็ผิดจากสัจจะ ซึ่งมันก็มีอยู่ในโลกหลายประเทศ อธรรมชนะธรรมะ พวกนายทุนพวกอำนาจบาตรใหญ่ก็ใช้อำนาจอธรรมชนะธรรมในหลายประเทศ แต่ละประเทศก็มีธรรมะชนะอธรรมก็อยู่อย่างสงบสบาย อย่างเช่นประเทศไทย เราพูดนี้ไม่ได้ยกย่องตัวเอง ไม่ได้หลงตัวเอง แต่ย้ำยืนยันความจริง อาตมาไม่ได้ยกข้างตัวเองแต่พูดความจริง ย้ำน้ำหนักให้แรงๆทั้งพูดซ้ำซากหลายคราวไม่ได้หมายความว่าอยากอวดอยากอ้าง อยากยกตัวยกตน ไม่ใช่ ไปทำความเข้าใจภาษาที่อาตมาพูด ซึ่งไม่ใช่คำแก้ตัวแต่เป็นคำจริง ที่บอกว่ามันไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจ ด้วยสัจจะภาวะแล้วไม่มี feedback อย่างนั้น จิตอ่อนแอจิตไม่ดีจิตไม่ซื่อไม่ตรงไม่มีเลย มันมีแต่จิตที่ตรงๆ จิตใจกล้าหาญชาญชัยธรรมดา จิตอ่อนแอไม่มี มีแต่จิตที่กล้าหาญ สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีจิตอะไรมาเลอะเทอะแปดเปื้อนอะไรเลย ไม่มี สะอาด ก็อธิบายเป็นภาษาไทยนี่แหละ 1. อาตมาไม่เก่ง 2. การใช้ภาษาก็ไม่เก่ง ส่วนภาษาวิชาการ อาตมาก็ไม่รู้ถึง เป็นแค่ไส้เดือนกิ้งกือ ยังไม่ถึงระดับงูๆปลาๆหรอกนะ ก็พูดความจริงไม่ได้ถ่อมตนเกินจริงอะไร ก็ได้ขนาดนี้ ก็ช่วยกันไป พัฒนากันไป สรุปแล้วงานการที่อาตมาพาทำ มันมีการบ้าน การเมืองทำหมด การบ้านอาตมาก็ทำ การบ้าน การสังคม การชุมชน จะบอกว่าระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ยังพูดเต็มปากไม่ได้นะ อาตมาทำงานระดับจังหวัด พอจะพูดเต็มปากได้แต่ขนาดหมู่บ้าน ตำบลก็ยังไม่เท่าไหร่ ไม่กี่หมู่บ้าน ก็ได้แต่ขนาดนี้แหละ Road map อโศก ฆ่าด้วยเกสรดอกไม้ ฆ่าด้วยหยาดน้ำผึ้ง นี่พูดถึงแพทเทิร์นสามเหลี่ยม อาตมาเองบอกลึกๆมันจะมีรูปสามเหลี่ยมอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ อาตมาก็คิดถามตัวเองอะไรนะ?..นี่ขนาดของตัวเอง ดูตามมืออาตมาคงเข้าใจนะสามเหลี่ยมคางหมู มันไม่ใช่สามเหลี่ยมด้านเท่า แต่เป็นสามเหลี่ยมคางหมู มันจะกี่องศาไม่รู้ ชันขึ้นไปต่อเส้นตรงที่ตั้ง 90 องศาเส้นตรงกลับฐานก็จะมีเส้นนี้ที่ชัน โดยเฉพาะเส้นชันนี้ขึ้นไปถึงยอดสุดมันรวมเวลาถึง 500 ปี การทำงานมา 500 ปีนี้ แล้วจะได้ผลงานขึ้นสู่สูงสุด ผลงานนั้นก็จะเป็นชรตาทำให้เนื้อโลกุตรธรรมนี้ ให้ประชาชนได้อาศัยใช้ไปยืดถึง 2500 ปี สุดจบ เพราะฉะนั้นเวลา 500 ปีนี้อาตมาใช้เวลามาตั้งแต่เกิด อาตมาเกิดมา 36 ปี ไปลิงลมอมข้าวพองอยู่ทางโลกีย์ เป็นธรรมดาธรรมชาติที่อาตมาอธิบายแล้ว แม้แต่พระพุทธเจ้าสมณโคดมก็มีหลักฐานยืนยันเป็นลิงลมเข้าพองอยู่ในทางโลกีย์อยู่ โลกีย์แท้ๆของท่านก็ 29 ปี พอมาเป็นเหมือนนักบวชก็อีก 6 ปีรวมแล้วเป็น 35 ปี จึงได้ประกาศเต็มที่ แล้วก็ประกาศโลกุตรธรรมเมื่อพระชนม์ชีพ 75 ปี สำหรับอาตมาก็ 36 ปีก็ออกมาทำงาน จะบอกว่าประกาศทันที ก็ยังไม่เชิง ออกมาบวช 2513 ก็ค่อยๆอธิบายไป ตอนแรกๆก็อีโหลกโขลกเขลก ถูกเขาเล่นงาน มีวิบาก จนกระทั่ง พ.ศ 2540 ค่อยเป็นไทแก่ตัว จากนั้นมาก็ทำงาน ทางโน้นก็ไม่ได้มาทำอะไร เราก็สงบไปได้ จนวันนี้ 2564 ก็สามารถทำอะไรขึ้นมาได้เรื่อยๆ แล้วพวกผู้แสวงหา พวกคนหรือพวกที่ยังไม่เข้ามาก็ตามก็มี คนที่ได้รับความรู้ความจริงเข้าใจได้มากขึ้น เข้าใจเข้าถึงบรรลุได้มาเรื่อยๆซึ่งไม่ใช่เรื่องสามัญเป็นเรื่องวิสามัญเป็นเรื่องยาก เนื้อหาโลกุตรธรรมที่ฐานบอกว่า 500 ปี ก็เป็นระยะทางการเดินทาง ที่จะใช้เวลามาตลอด อาตมาก็ไล่มาตั้งแต่ อาตมารับช่วงที่จะอาสา แล้วอาตมาก็เกิดมา จากตั้งแต่อาสาจากพระพุทธเจ้ามา ก็เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นอะไรต่ออะไรผ่านมาจนถึงป่านนี้ อาตมาไล่เรียงไม่ได้ ระลึกไม่ออก ระลึกออกบ้างว่า อาตมาเคยเกิดเป็นใครมาบ้าง เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่ในประเทศไทยกี่ครั้ง เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่ในประเทศอื่น อยู่ในประเทศไทยกี่ครั้ง พอรู้ แต่ไม่อยากพูด เพราะอาตมาเองพูดไปแล้ว เขาก็จะค้นประวัติศาสตร์มาแย้ง แล้วประวัติศาสตร์มันเที่ยงที่ไหน ประวัติศาสตร์ของแต่ละคนเขียนคนละฉบับ เพราะฉะนั้นไม่อยากทำให้มันเกิดเรื่อง ใครจะเข้าใจ ใครจะพอเชื่อถือก็เชื่อ ใครไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เอาสัจจะเนื้อๆเลย ไม่ต้องไปเอารายละเอียดขององค์ประกอบพวกนี้นัก พวกเรารู้พวกเราเข้าใจก็ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนคนที่มีปัญหาพอได้เหตุปัจจัยเหล่านั้นก็มาหาเรื่องเล่นงานเรา มันก็ไม่สงบไม่สนุก มันไม่ดีก็เลยไม่ทำ เพราะฉะนั้นก็ทำเอาเนื้อสัจธรรมไปเลย อาตมาก็เลยเดินแต่เรื่องสัจธรรมไปเรื่อยๆ จะไปเอาประวัติศาสตร์รื้อฟื้นว่าอาตมาเกิดเป็นคนนี้คนนี้ เกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ แม้แต่ในประเทศไทยก็เป็นพระเจ้าแผ่นดินมาหลายช่วง แต่ไม่ต้องพูดต่อนะ แค่นี้ก็พอ ไม่ต้องไปรื้อฟื้น จนกระทั่งมาถึงขนาดนี้ฝั่งนี้จะต้องมาเน้นโลกุตรธรรม มาเป็นโพธิรักษ์มีสัมภาระวิบากอย่างนี้แหละ เหน็ดเหนื่อยจริงๆ ต้องต่อสู้อย่างไม่มีอะไรประกอบนะ สิบตรีก็ไม่ได้ปริญญาตรีจัตวาก็ยังไม่ได้ อย่าพูดถึงปริญญาตรี เห็นไหม สิบตรีก็ไม่ได้ ชั้น ซี1 ซี2 ก็ไม่ได้ ไม่มีอะไรทั้งนั้นเลย ไม่มี รับเงินเดือนจากรัฐบาลสักบาทก็ไม่มี อายุเลย 60 ปีเขาให้เดือนละเท่าไหร่ ตอนนี้ 80 กว่าก็ได้ 800 แล้ว ก็ไม่เคยไปเอาสักที ก็ให้รัฐบาลนั่นแหละเอาไปใช้ต่อหรือใครจะมุบมิบก็บาปใครบาปมัน ซึ่งมันก็เป็นกุศลของเรานะ ไม่ได้เสียหายอะไร อาตมาก็เห็นรายละเอียดพวกนี้ จนอาตมาต้องทำให้เต็มที่ ให้คุณธรรมระดับโลกุตระให้ถึงที่สุด เพราะฉะนั้นอาตมาก็ยังไม่รู้ว่า อาตมาทำงานไปนี้ ถ้าอาตมาไม่ต้องเกิดมาอีก ต่อจากปางนี้ตายชาตินี้แล้วไม่ต้องเกิดมาอีก ไม่ต้องมาสืบต่อนำพากันอีก โดยที่พวกเรานำพาไปรอดหรือไม่รอดก็ไม่รู้ ก็ยังไม่รู้มันคืออะไรแค่ไหน อาตมามีความรู้ของอาตมาว่า อาตมาทำเต็มที่ ไม่หย่อนมือ ไม่หย่อนข้อ ทำเต็มที่ ด้วยความรู้ที่มีการประมาณเหมาะสมที่สุด สมควรที่สุด สมดุลที่สุด ปโหติที่สุด ทุกโอกาสของปัจจุบันชาติ อาตมามีความรู้พวกนี้ เพราะมันไม่เที่ยง ปัจจุบันนี่ ห่างกันเป็นชั่วโมงเป็น 2 ชั่วโมง 5 ชั่วโมงก็มีความต่างกัน แล้วมันไม่เที่ยงตามองค์ประกอบ หยิบเอามาอธิบายไม่หวาดไม่ไหว แต่ถ้าเรามีอำนาจเหนือสิ่งเหล่านั้นมันจะไม่เที่ยงมันจะเป็นกลาง จะมีฤทธิ์อะไรถ้าเรามีอำนาจครอบงำได้ มันก็ไม่มีปัญหาก็คือควบคุมได้ มันก็สามารถมีพลังงานที่จะดูแล บริหารบริบาลได้ อาตมาทำแบบโลกุตระ ไม่ได้ทำอย่างโลกียะ โลกียะต้องใช้แรงอำนาจบาตรใหญ่ต้องใช้วัตถุ แต่ของเรานี่ยิ่งไม่มีวัตถุยิ่งมีแต่คุณธรรมนามธรรมที่เบา ลหุตา มากขึ้นเรื่อยๆแล้วก็ใช้ประสิทธิภาพสูงสุด มุทุตา คือพลังงานนิวเคลียส พลังงานบวกลบที่มีประสิทธิภาพสูงสุด บวกกับลบของแต่ละคนมี มุทุภูตธาตุ ที่สูงสุดของแต่ละคน มีพลังงานที่ร่วมกันเป็นระเบิดใหญ่ที่แรงสูงสุด เป็นพลังงานสูงสุดของบวกลบจับตัวกันแล้วแสดงประสิทธิภาพ ออกไปทำงาน จะเป็นการสร้างสรรหรือเป็นการทำลายก็แล้วแต่ มีประสิทธิภาพทั้ง 2 ด้าน ประสิทธิภาพทั้งการทำลายหรือสร้างสรร แต่ทำลายที่ว่าเป็นภาษาสิริมหามายา ฆ่าคุณด้วยเกสรดอกไม้ ประหารคุณด้วยหยดน้ำผึ้ง ฟังออกไหม นี่ภาษาสิริมหามายา ประหารด้วยสิ่งที่คนชอบด้วย ประหารด้วยเกสรดอกไม้ อาวุธชั้นสูง เพราะฉะนั้นกามเทพเขาถึงใช้ดอกไม้เป็นลูกศร มันซ้อน อันนั้นเป็นทางเลวนะ ทำให้คนหลง ลูกศรเสียบอกทำให้คนเจ็บ แล้วแต่เป็นลูกศรเกสรดอกไม้อันนี้ก็นัยยะคล้ายกัน อาตมาก็ประหารด้วยเกสรดอกไม้ ด้วยหยดน้ำผึ้งอย่างนี้เป็นต้น ก็ดูหวานชื่นชอบดี เหมือนพวกมาโซคิส ยิ่งทำรุนแรงกับเราเท่าไหร่เรายิ่งชอบ นี่เป็นลักษณะสัจธรรมทั้งนั้น ในระยะนี้อาตมาก็ยิ่งเห็นอัตราการก้าวหน้า คุณภาพของโลกุตรธรรม พยายามจะเก่ง พวกคุณก็ฉลาดช่วยอาตมา เข้าใจได้ เข้าใจไดี หรือบางคนที่เขาเข้าใจ แต่ก็ยังไม่ถึงวาระที่บางคนเขาจะเข้ามา มันต้องมารวมเป็น 1 สุดท้ายแล้วน้ำก็ไหลไปหาน้ำ น้ำมันก็ไหลไปหาน้ำมัน เพื่อจะรังสรรค์สิ่งที่เจริญ อาตมาจึงต้องอดทน ให้มันเป็นไป อาตมามีหน้าที่ทำสิ่งดีงามพวกคุณก็มีทิฏฐิสามัญญตา มีความเป็นความเข้าใจเดินทางเดียวกัน ไม่แตกแยกไปทางอื่น อรหันต์สองรูปยังเห็นต่างกันได้ตรงไหน สัจจะลงสู่รายละเอียดอีกนิดนึง อันตร สัญญา ย นิจจานิ เว้นแต่ว่า สัจจะมี 1 เดียวเท่านั้น เว้นแต่ว่า สัญญา ย นิจจานิ คำว่า สัญญา ย นิจจานิ จึงเข้าใจได้ยาก สัญญาแปลว่ากำหนดรู้ นิจจา แปลว่าเที่ยง คำว่าเที่ยงของสัญญา มันก็มี 2 นัยยะ นัยยะ ของมิจฉาทิฏฐิเขาก็เที่ยง นัยยะ ของสัมมาทิฏฐิก็เที่ยง แต่เที่ยงคนละนัย คำว่า เที่ยง สองนัย นี่แหละ เที่ยงนัยที่เป็นสัมมาทิฏฐิมีนิพพานเดียวกันเป็นต้น นิพพานเดียวกัน ที่เป็นสัจธรรมหนึ่งเดียวกันเลยไม่มี 2 มันก็มีหนึ่งเดียว แต่ถ้าใครเห็นว่านิพพานยังมีแตกต่างกันไปคุณก็เป็นสอง ใช่ไหม ยิ่งเห็นคนละอย่างเลย สัญญา สัญญาของมิจฉาทิฏฐิกับสัญญาของสัมมาทิฏฐิก็คนละขั้ว เที่ยงของเขาเหมือนกันนะ อย่างเที่ยงมหาบัวกับเที่ยงโพธิรักษ์ก็คนละเที่ยง อย่างนี้เป็นต้น หรือเที่ยงของธัมมชโยก็ตาม ของธัมมชโยเที่ยงอย่างอภัสรา เที่ยงของมหาบัวก็เป็นเที่ยงอย่างสุภกิณหา เพราะฉะนั้น สัญญา ย นิจจานิ จึงมีนัยยะละเอียดลึกซึ้ง จึงไม่ใช่ง่ายที่จะเข้าใจ อาตมาอธิบาย สัญญา ย นิจจานิ มาตั้งนาน ดร.รินธรรม เขาจบปริญญาโททางสันสกฤต จบทางบาลีด้วย เขามีปริญญาทั้งหมด 6 ใบ ดร.รินธรรม เขาก็ฟังอาตมาอธิบายสัจจะ เขาก็เข้าใจของเขา สัญญา ย นิจจานิ อาตมาก็พยายามอธิบายมาจนป่านนี้ เขาจะเข้าใจแค่ไหน ยังจะแย้งหรือไม่ ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของผู้ที่ไม่เห็นตรงกัน พระอรหันต์ก็ยังเห็นแย้งกัน ฟังอีกที พระอรหันต์มีหนึ่งเดียวที่ตรงกันคือนิพพาน แต่สมมติสัจจะของพระอรหันต์ก็เห็นต่าง พระอรหันต์ของมหายานของมหานิกาย เขาก็บอกว่าเป็นอรหันต์ แต่ความเห็นของสมมุติมันต่าง ก็เถียงกันกับพวกเถรวาท มหานิกาย แย้งกัน ก็มีธรรมะของพระพุทธเจ้าต่างคนต่างนานาสังวาสก็ไม่เป็นไรก็สงบ ถ้าเข้าใจนานาสังวาสว่าคืออะไร ความเห็นของเธอกับความเห็นของเราคนละอย่าง คุณก็ยึดถือตามทางโน้น คุณมีจุดจบหรือจุดสูงของคุณเท่าไหร่ก็ยึดกันไป ฝ่ายนี้ก็ยึดของเขาไป ต่างคนต่างประพฤติไปสิ ที่สุดแห่งที่สุดก็มีลงสูงสุดอันเดียวกัน หนึ่งเดียวกัน ก็เป็น สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก ไม่มีสอง เอกัง หิ สัจจัง นะ ทุติยะมัตถิ เท่านั้นเองหนึ่งเดียว ทั้งรูปทั้งนาม ทั้งความต่าง ทั้งสมมติและปรมัตถ์ เป็นหนึ่งเดียวเลยสมมุติก็ไม่มี ปรมัตถ์ก็ไม่มี มีแต่ 0 หรือ 1 1 คือความมี 0 คือความไม่มี ก็เท่านั้นเอง ก็เหลือสภาพที่มีชีวะก็ต้องมี 2 อย่างน้อยก็ต้องเป็น 0 กับ 1 หรือไม่ 1 กับ 2 หรือ 2 กับ 3 4 กับ 5 เป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกันเป็นคู่ๆไป ถ้ามันทิ้งช่วงห่างกันก็ทะเลาะกันแรง 1 เป็นคู่กับ 5 ก็ทะเลาะกันแรงหน่อย 1 ไปคู่กับ 2 ก็ไปด้วยกันได้นาน หรือ 1 กับ 3 ก็ยังชักจะมีอะไรแย้งกัน 1 กับ 4 ก็ต่างกันมาก 1 กับ 5 ก็ต่างกันมากขึ้นอีก 1 กับ 10 , 1 กับ 20 ทีนี้ก็จะพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องล่ะ อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติถ้าเข้าใจแล้ว ไอ้ที่ต่างกันที่เราไม่สามารถพูดกันได้ ไอ้ที่พูดกันได้ก็พูดกัน หรือเป็นหนึ่งเดียวกันก็ไม่ต้องพูดกัน ตรงกันจบ จบ. มีชาวโรงปุ๋ยพลังชีวิต นำเงินที่ได้จากการขายปุ๋ยมาถวายพ่อครูให้ใช้ในงานสร้างศาสนา พ่อครูว่า…พ่อครูมีปณิธานว่าเงินที่ได้รับบริจาค จะไม่เอาเงินพวกนี้มาใช้จ่ายส่วนตัวเลย แม้อาตมาจะเจ็บป่วย อาตมาจะหิวข้าวแทบตาย ก็จะไม่เอาเงินนี้ซื้อ ไม่ได้กินก็อด ไม่มีใครจ่ายส่วนตัว ไม่มีใครซื้อให้ก็ไม่กิน หรืออาตมาจะป่วยเจ็บ ไม่มีใครจะออกเงินช่วยรักษา เงินก้อนนี้อยู่กับอาตมา จะเอาไปรักษาก็ได้นะ แต่จะไม่เอา ไม่แตะต้องเลย จะไม่ใช่เงินจำนวนนี้รักษาร่างกายตัวเองรอด ไปโรงพยาบาลก็มีคนจ่ายให้ก็ไปรักษาไม่มีก็ไม่ไป เป็นการพิสูจน์คนจริงคนดีจริง จะมีคนเลี้ยงดูรักษาเอาไว้ไหม หรืออาตมาต้องรักษาตัวถึงพันล้าน วิบากจะถึงไหม แต่ถ้าถึงพันล้านก็จะมีใครจ่ายเพื่อให้อาตมาอยู่ไหมหรือว่าเห็นว่าอายุเยอะแล้วไม่ต้องรักษาแล้วก็แล้วแต่ อาตมาว่าดีไม่เป็นเรื่องลึกลับอะไร ชมข่าวเด่นชาวอโศก 2564 ๑. ข่าวสิกขมาตุมรณภาพ (สม.พูนเพียร สม.ทองพราย) ๒. ข่าวพ่อครูเปลี่ยนอัตราส่วน สมณะ:สิกขมาตุ เป็น 3:1 ๓. ข่าวปีทองของกสิกรรม ทองคำแพงแท้แพ้แรงคนจนโลกุตระ ๔. ข่าวมินิปลุกเสกฯ ๕. ข่าวพ่อครูรับรางวัลแมนแฮ สาขาสันติภาพ Category: ศาสนาBy Samanasandin9 มิถุนายน 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:640609_พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ผู้พ้นอสุรกายจึงได้ไปอยู่โลกหน้าNextNext post:640613_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ตอน 2 Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024