640609_พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ผู้พ้นอสุรกายจึงได้ไปอยู่โลกหน้า
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1kZWSY8mfbBzHhcBmL6XOsJ-R95pTumwif9xzAi7dfk4/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1XoPNAIDdYZB32TvquKYleKzFUsdhcKGH/view?usp=sharing
ดูวิดีโอที่ https://youtu.be/QwJA3qBTiPg
ผู้พ้นอสุรกายจึงได้ไปอยู่โลกหน้า(โลกโลกุตระ)
พ่อครูว่า…วันนี้วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2560 4 ที่บวรราชธานีอโศก วันอโศกรำลึก รำลึกกันมาถึง 40 ปี ก็เห็นว่าพวกเรานี้ช่างกล้าหาญ มี สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส ครบสมบูรณ์ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส มีภาวะที่แข็งกร้าว แรงกล้า ไม่อ่อนแอ เป็นสุรภาโว เป็น สุรกาย
เป็นสุรกายนะ ไม่ใช่อสุรกายที่เป็นพวกไม่กล้า จะเป็นพวกกล้าหาญชาญชัย กล้าทำงาน กล้าทำความดี กล้าที่จะจัดการกับความชั่ว ไม่กลัวความชั่ว ไม่กลัวความชั่วไม่ใช่ว่าจะไปคบหาความชั่วนั้น จะปราบความชั่วเลย
อสุรกายคือใจที่ไม่กล้า
(๑) อสุรคือจิตแท้ ของคน
ใจไม่กล้าของตน นั่นแท้
ใจตนต่ำลงจน เลวชั่ว ใช่เลย
คือจิตคนผู้แพ้ บ่กล้าทำดี
(๒) แม้มีโอกาสให้ ตนทำ
แต่เพราะกิเลสจำ พ่ายแพ้
อ่อนแอจึ่งไม่สำ- เร็จกิจ นั้นนา
ลาภยศสรรเสริญแล้ ฤทธิ์ร้ายทำลายคน
(๓) ปุถุชนทั้งหมดล้วน คืออสูร
เล็กใหญ่ตามกายกูล แต่ละผู้
นามและรูปคือมูล ประชุมเกิด กายแฮ
อสุรกายนั้นรู้- จักได้ในตน
(๔) ทุกคนเรียนอ่านได้ จริงตาม จิตเฮย
องค์ประชุมรูปนาม เพ่งรู้
เห็นกายเกิดพ่ายกาม นั่นแหละ อสูรแล
จิตอ่อนแอไป่สู้ บ่กล้าทำดี
(๕) ทุกคนมีจิตนี้ ในตน
พึงฉลาดทำใจจน แกร่งกล้า
เอาชนะจิตตนชน อุปสรรค
โอกาสดีอย่าช้า จักพ้นจิตอบาย
(๖) อสุรกายจิตแท้ ตนทำ
จิตถูกกิเลสกำ- หนดไว้
จิตจึงอ่อนแอสำ- เร็จเสร็จ มารเลย
ต้องกำจัดกิเลสได้ จึ่งพ้นจิตอบาย
(๗) อสุรกายดับสิ้น จากจิต
บริสุทธิ์ให้สนิท จึ่งแท้
เผด็จศึกประเสริฐฤทธิ์ กันเถิด
จะชนะทุกสิ่งแล้ อย่าแพ้ภัยตัว.
สไมย์ จำปาแพง
๕ พ.ค. ๒๕๕๘
[นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ ๒๙๙ ประจำเดือน มิถุนายน ๒๕๕๘]
พ่อครูว่า…อสุรกายก็คืออยู่ในจิตเรานี่แหละ ต้องรู้ตัวมันให้จริง ไม่ใช่ว่าอสุรกายคือ เมื่อตายไปแล้วจิตเราก็ไปเกิดเป็นอสุรกายในภพหน้า ชาติหน้า โลกหน้า
คำว่าโลกหน้าก็คือ โลกนี้นี่แหละ ถ้าคนเข้าใจแล้ว รู้เป็นสัมมาทิฏฐิดี
โลกหน้าก็คือ ดินแดนโลกุตระ อยู่กับเราตรงนี้แหละ ไม่ใช่ตายแล้วค่อยไปโลกหน้า คิดแบบนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นพวกที่ไม่มีทางสำเร็จ ไม่มีทางบรรลุธรรม เข้าใจโลกหน้า ตายแล้วค่อยไปลงนรก ค่อยไปขึ้นสวรรค์ ต้องรู้สวรรค์ ต้องรู้นรกในปัจจุบันนี้ ว่าจิตของเราหรือเวทนา จับอาการความรู้สึกเรียกว่า เวทนาในเวทนา พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ในขณะที่มีผัสสะเป็นปัจจัย เป็นปัจจุบันชาติ ทิฏฐธรรม สัมผัสกันหลัดหลัดกันเลยขณะนี้ มันแพ้กาม อ่อนแอสู้มันไม่ได้
กามไม่ได้หมายความแต่เรื่องเพศเรื่องผู้หญิงผู้ชายเท่านั้น กามหมายถึง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กามคุณ 5 เขาไม่เรียกกามคุณ 6 เขาเรียกกามคุณ 5 เพราะมี ตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกควบคู่กับภายในจิตเรา แล้วก็ร่วมสัมผัสกันแล้วทำงานกันขึ้นมา
เพราะฉะนั้นผู้ที่หลับตา ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ปิดทวาร 5 ไปหลับตาปฏิบัติ อาตมาไม่รู้จะพูดซ้ำพูดซากอย่างไร ท่านก็ไม่ฟังที่พวกเราพูดกันหรอก ไม่รับรู้ก็ไปจมหยั่งลงในที่หลง
หยั่งลงในที่หลงเพราะกิเลสมาก กิเลสมากแล้วดันปิดบังเอาไว้แล้วอีก โอ้.. จึงไกลจากวิเวก ห่างไกลจากวิเวก ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ผู้ที่จะปลุกให้ตื่นนี้ สงสารจริงๆ มุ่งมั่นนะเอาชีวิตมาทิ้งทั้งชีวิต ปฏิบัติพากเพียร เสร็จแล้วก็งมจมอยู่อย่างนั้น ศึกษาดีๆอย่างน้อยก็พยายามเปิดพระไตรปิฏกอ่านบ้าง เล่มนั้นเล่มนี้อ่านดีๆ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเราชัดเจนแล้วเข้าใจแล้วไม่มีผิดหรอก อันอื่นๆมาก็ฟังผ่านๆ ไอ้ที่ไปยึดมั่นถือมั่นการหลับตาปฏิบัตินี้ มันเป็นเรื่องน่าสงสารจริงๆ มันเป็นเรื่องซวยสุดๆเลย มันงมงายหมด
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก เจอแต่ เดียรถีย์ นั่งหลับตากันอยู่เต็มป่า ไม่เหมือนโพธิรักษ์เกิดมาก็มีศาสนาพุทธแล้ว แต่เขาขบถจากศาสนาพุทธ อาตมาก็ตีเขาเท่านั้น เพื่อเอาสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ เอามาเปิดเผย ตอนพระพุทธเจ้านั้นมีเดือนละทีเต็มไปหมด เพราะว่าท่านก็มุ่งมั่นเอาผู้ปฏิบัติธรรมให้บรรลุธรรมนี่แหละ แต่มันไม่ชัดเจน ไม่รู้ ไม่เข้าใจทางออก ไม่มีอุบายเครื่องออกที่ถูก ท่านก็เอาจรณะ 15 วิชชา 8 นี้มาประกาศ โดยมีศีลเป็นหลัก แล้วก็ต้องปฏิบัติศีล มี อปัณณกปฏิปทา 3 ต้อง สังวรสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค ไม่ใช่หลับตา ต้องตื่นแบบชาคริยานุโยคะ แล้วปฏิบัติในขณะมีโภชนะ ของกินของใช้นี่แหละตัวสำคัญ สัมผัสเครื่องกินเครื่องใช้ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตนี่แหละ กิเลสมันเกิด กิเลสกามที่มาก แล้วปิดบังเอาไว้แล้วนี่แหละ ต้องพยายามเรียนรู้ให้จริงให้ออกมา แล้วเราก็จะได้ละลดกิเลสไปตามลำดับ
เมื่อผู้ที่ละลดกิเลสได้ กิเลสกามที่หยาบต่ำ ท่านเรียกว่าอบาย อบายแปลว่า ต่ำ แปลว่าไม่สบาย ไม่เกิดประโยชน์คุณค่า ปายะ แปลว่า คุณค่าประโยชน์ ส่วนได้ส่วนเจริญ มันไม่เกิด อปายะ เพราะฉะนั้นจะต้องให้ สัปปายะ ให้ประกอบไปด้วยการเจริญ ประกอบไปด้วยความสบาย พยัญชนะท่านก็บอกได้แค่นั้น เราก็ต้องมาเรียนรู้วิธีที่ถูกต้องแล้วก็ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ข้อสำคัญแล้ว สัมผัสแล้วอ่านจิตให้เป็นมีสติสัมปชัญญะปัญญา อ่านให้ทัน สัมผัสแล้วกำลังเกิดอาการ เวทนา เป็นตัวอาการ อ่านอาการนั้นให้ออก อาการที่ไปปรุงปุ๊บเป็นสุขเลย ปรุงปุ๊บเป็นทุกข์เลย เราก็ต้องอ่านให้ออก โอ้โห.. เรานี้คล่องแคล่วเร็วไวเหลือเกินในการที่จะเป็นผีเป็นสาง เป็นมาร เป็นมายา เป็นเทวดาหลอก ไอ้สุขทุกข์เป็นเทวดาหลอก มันเป็นมายา ต้องเรียนรู้อาการพวกนี้ให้จริงเลย แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำความเข้าใจให้ได้ว่าสิ่งเหล่านี้ มันเป็นเรื่องเกิดอาศัยการเกิดเท่านั้น ตราบที่เรายังมีตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็มีใจที่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน มันก็จะมีผีซ้อนอยู่ในนี้ เป็นจิตของเราทั้งนั้น
เมื่อคุณเกิดมาเป็นสัตว์ เริ่มต้นเป็นสัตว์เซลล์เดียว จนเป็นสัตว์ไม่รู้กี่ล้านเซลล์ เป็นคนเป็นมนุษย์ คุณหนีไม่ได้ คุณได้เกิดมาเป็นสัตว์แล้ว เกิดมาเป็นจิตนิยาม พลังงานของคุณนี้จับตัวเป็นอัตภาพ เป็นจิตนิยามแล้ว คุณหนีไม่ได้ แล้วเมื่อมันเริ่มเกิดมาเป็นสัตว์เซลล์เดียว มันไม่รู้เรื่องอะไร มันเป็นอวิชชา มันก็สะสมกิเลส สะสมรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเพราะมันอวิชชา สัตว์เซลล์เดียว สัตว์ล้านเซลล์ สัตว์ที่เป็นเดรัจฉาน ขนาดที่เป็นมนุษย์แล้ว ที่ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้ฟังสัจธรรม ไม่ได้พบสัตบุรุษไม่ได้ฟังสิ่งที่ถูกต้อง มันก็ยังงมงายอยู่อย่างเดิม หนักกว่าเก่าด้วย มาเป็นมนุษย์แล้วปรุงแต่งได้เก่ง คิดปรุงแต่งต่างๆนานาสารพัดเป็นเรื่องหลอกตัวเองหลอกคนอื่น หลอกกัน จนกระทั่งทุกวันนี้มันมีแต่สิ่งหลอกกันจนซับซ้อนไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ มันยากเลยที่จะช่วยให้ฟื้นกลับไป แต่ยากก็ต้องทำ ไม่มีทางเลือก
อาตมาถ้าจะเปลี่ยนชื่อเป็นตระกูลจำ ก็จะต้องชื่อว่า จำนน มันไม่มีทางไปไหนหรอกคุณจำลองก็ทำหน้าที่คุณจำลองไป อาตมาก็ทำหน้าที่จำนนไป มันจำนนไม่มีทางเลี่ยงเลยมันต้องทำอย่างเดียว ยากสุด ยากแสนเข็ญก็จำเป็นต้องทำ
ออกจากโลกนี้สู่โลกหน้าที่ปัจจุบันชาติ
อาตมาอธิบายโลกนี้โลกหน้าไว้ ต่อ
โลกนี้หรือโลกหน้า พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ว่าเป็นผู้ที่แจกโลกนี้โลกหน้า ประกาศโลกนี้โลกหน้าให้ทุกคนเข้าใจแจ่มแจ้ง สัจฉิกัตวา แจกโลกนี้โลกหน้าให้คนเข้าใจ แล้วก็ไปเปลี่ยนแปลงตนเอง โลกนี้โลกหน้าก็อยู่ในขณะนี้ ปัจจุบันชาตินี้แหละ ถ้าไปบอกว่าโลกหน้าตายไปแล้ว คนนี้สัสสตทิฏฐิ เป็นคนไม่รู้จักปัจจุบันชาติ ไม่รู้จักกาละ ไม่รู้จักสิ่งที่ควรจะปฏิบัติ
ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต 3 กาละนี้ กาละที่จริงที่สุดเป็นความจริงคือปัจจุบัน อดีตมันก็ไม่ใช่ อนาคตมันก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ เพราะยังไม่เป็นโล้เป็นพาย ยังมาไม่ถึงเลย อดีตมันผ่านไปแล้วด้วย ไปแก้ไขอะไรมันไม่ได้ เป็นอย่างไรมันก็เป็นไปอย่างนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็จะไปงมงาย คนที่ไปนั่งหลับตานี้มีแต่อดีตหรือฟุ้งซ่านไปในอนาคต พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร มีแต่อดีต 18 กับอนาคต 44 ท่านสรุปทิฏฐิต่างๆที่พึงคิดได้ มีอยู่แค่นี้ แล้วก็หลงใหลหลับตา ศึกษาติดยึดโง่งมงายอยู่อย่างนั้น อาตมาว่าแล้วว่าอีก ตำหนิแล้วตำหนิอีก พูดชัดๆก็คือด่าแล้วด่าอีก ก็ยังเฉย ไม่รู้ไม่ชี้เหมือนม้าตด มันตดแล้วมันก็เฉยๆ ไม่เหนียมไม่อายเลย ตดหน้าตาเฉย พูดอย่างไรก็เฉย เฉยนี้ชื่อพ่ออาตมา ไม่กระดิกอะไรเลย ใครที่มีไหวพริบสามารถฟังรู้เรื่องเข้าใจได้ ก็มา หาทางออกพัฒนาตัวเอง เกิดมาชาตินี้ ต้องรู้ ต้องได้รับ สัมมาทิฏฐิ แล้วเอาไปปฏิบัติสัมมาปฏิบัติ บรรลุเป็นสัมมาปฏิเวธให้ได้
พวกเรานี้โชคดี มีโชค เป็นผู้ที่ได้มาพบสัทธรรมเป็นธรรมะที่ถูกต้องดีแล้ว เป็นธรรมะที่สัมมาทิฏฐิ ที่มีปราชญ์เอกคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเปิดเผยความจริงอันนี้ให้เรารู้เข้าใจและปฏิบัติตาม คนเกิดมานี้คุณจะไปเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ ศาสตร์ทางโลกเขาร้อยอย่าง พันอย่าง หมื่นอย่าง แสนอย่าง ศาสตร์ทางโลกเยอะแยะ เดี๋ยวนี้ก็อะไรก็นับเป็นศาสตร์หมดเปิดขนาดไหน มหาลัยต่างๆมีศาสตร์นั้นศาสตร์นี้มาอีกแล้ว แต่ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ก็คือมาเรียนรู้ตนเอง
ศาสดาของเทวนิยมทั้งหลาย เรียนรู้สารพัดโลก ฉลาด ได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งจนประกาศศาสนาตนเอง ศาสนาใดศาสนาหนึ่งแข่งกันอยู่ในโลก ของข้าก็ดี ก็หาบริวารกันแต่ละศาสนาก็ล้วนแล้วแต่ไม่รู้ตัวเอง รู้สารพัดแต่ไม่รู้ตัวเอง อย่างศาสดาที่เป็นเจ้าของศาสนาใดก็ตามต่างๆ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาบาไฮ ศาสนาซิกข์ ศาสนาอะไรก็แล้วแต่ที่เกิดที่มี ศาสดาเหล่านั้น เกิดมาแล้วก็ประกาศตัวเองเป็นศาสดาก็สอนผู้อื่น คำสอนนั้นก็ไม่รู้ว่าคำสอนนั้นเป็นของตนเอง คำสอนนั้นคือของพระเจ้าให้มา ตนเองเป็นผู้รับคำสอนของพระเจ้ามา ไม่ใช่คำสอนของตน ขนาดตนเองยังไม่รู้ตนเองว่า จริงๆของตนเอง พระเยซูก็เป็นของท่านเอง พระมะหะหมัดก็ของท่านเอง พระมหาอุราก็ของท่านเอง ของโซโรอัสเตอร์ก็ของท่านเอง
ท่านสั่งสมมาเป็น กัมมัสกตา เป็นกรรมของตน ตนเองรับมรดกกรรมของตนเองเป็นทายาทรับมรดกความรู้ของตนเอง ไม่มีของคนอื่น แต่ของตนเองยังไม่รู้ว่าตนเองสั่งสมมาด้วยกรรมวิบากแต่ละชาติ พระศาสนาเทวนิยมไม่มีกรรมวิบาก ไม่รู้จักกรรมวิบาก ตายชาติเดียวแล้วไปอยู่กับพระเจ้า เลยไม่รู้แล้วว่าต่อไปคืออย่างไร ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกไม่มี ศาสนาเทวนิยมไม่มี rebirth(การเกิดใหม่) ไม่มีการเวียนตายเวียนเกิด ตายชาติเดียวแล้วไปอยู่กับพระเจ้าไปอยู่ที่สวรรค์ ส่วนใครจะทำให้ไม่ดีพระเจ้าไม่ชอบใจสั่งลงนรกก็ตัวใครตัวมัน ถึงมีแต่การอ้อนวอนพระเจ้า ศาสนาอิสลามก็ทำละหมาดวันละ 5 ครั้ง ออนวอนพระเจ้า บังคับเลยนะอิสลามวันหนึ่งต้อง 5 ครั้ง ส่วนคริสต์ก็ไม่บังคับถึงขนาดนั้นแต่ก็อ้อนวอนกัน อ้อนวอนเสมออ้อนวอนส่วนตัว ไม่เป็นกิจจะลักษณะ ไม่เป็นพิธีการ อันนั้นจะต้องมีรูปแบบ มีสถานที่ มีวิธีการก่อนจะอ้อนวอน ก่อนจะทำละหมาดต้องชำระตนให้สะอาด ทำให้ขลัง มันก็ดีไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่มันก็ไม่รู้แล้ว เหมือนทิเบต
ทิเบตนั้นหนักกว่าอิสลาม กราบไป นอนกราบ นั่งกราบ กราบกลางถนนรถชนตายก็ไม่กลัว รถก็ต้องคอยระวังเดี๋ยวชนคนกราบเดี๋ยวจะบาป เขาทำดีที่สุดแล้วก็ต้องอนุโมทนากราบไป เต็มไปหมดเลย ซึ่งเป็นชาวพุทธนะ
พวกเรานี้มาเรียนรู้ มีวิธีการตามที่อาตมาเป็นผู้รู้ เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างไร พากันทำอย่างไร มาเรียนรู้ มีโพธิปักขิยธรรม 37 มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วก็มีใจนี่แหละควบคุม จัดการรูปนาม นามคือใจ รูปต่างๆคือ 5 ตาหูจมูกลิ้นกาย พวกนั่งหลับตาไม่มีสัมผัสภายนอกนั้นเลิกเลย จึงจมอยู่ยังน่าสงสารมีอยู่เยอะแยะเลย จึงเห็นว่าเป็นความเสื่อมจากสัจจะพระพุทธเจ้าฟังไม่ออก พอเราเอาสัจจะของพระพุทธเจ้ามาประกาศ ก็จะจัดการเราอีกแน่ะ แต่อาตมาไม่กลัว อาตมาไม่ใช่อสูรกาย ไม่กลัว แต่ไม่ใช่สำนวนคึกฤทธิ์หรอก มันหยาบ
ในขบวนคนหยาบ อาตมาไม่เคยเห็นใครจะหยาบเท่าคึกฤทธิ์ อยู่กับคนสนิทเขาจะหยาบตลอด เขาเคยเขียนจดหมายถึงนพพร บุณยฤทธิ์ ที่เป็นบก.สยามรัฐ รายเดือน เขาเขียนจดหมายถึง โอ้โห! ทุกคำหยาบทุกคำ ไปหัดสรรหาอะไรมา แล้วร้อยเรียงให้เข้าใจได้ในเนื้อหา แต่คำหยาบทั้งนั้นเลย ช่างกระไรสรรหามาได้ คงสนุกอารมณ์อย่างไรไม่รู้ ขออภัยที่อาตมาพูดถึงคึกฤทธิ์ แค่พูดให้ฟังน่ะ แต่เขาไม่ชอบ แต่เขาไม่ชอบหน้าอาตมาเท่าไหร่หรอก อาตมาก็คบหาเพื่อนฝูงนะ ไม่ใช่อะไรหรอก นพพรอยู่บ้านใกล้ๆอาตมา การเคหะฯเขาจัด พ่อของพลเรือเอกบรรณวิทย์ เก่งเรียน คุณประสิทธิ์ เก่งเรียน พ่อของเขาเป็นผู้อำนวยการ ตอนนั้นอยู่ที่การเคหะ จัดสรร นพพรก็ได้หลังนึง อาตมาก็ได้หลังนึงใกล้กัน เล่นไพ่กันทุกคืน นพพร บุณยฤทธิ์, สุรพล โทณะวณิก, อาจินต์ ปัญจพรรค์, สมภพ สัมมาพันธ์ นั่งเล่นกัน ทำงานมาบางทีกลับจากทีวีดึกๆ ก็มาเคาะประตูบอกว่าแก้มือแก้มือ ก็ต้องลุกไปนั่งเล่นกัน แต่จิตใจตอนนั้นมันไม่เหนื่อยหน่ายอย่างนี้หรอกเล่นไพ่มันสนุก แก้มือก็รู้สึกสนุก จิตมันยังจมอยู่ในลิงลมอมข้าวพอง มันรู้สึกว่าสนุก แต่ก็เพลีย 7.00 น. 8.00 น. ถึงเช้าไม่ค่อยจะตื่น ตื่นเช้ามาก็ต้องรีบทำงาน เสียงานเสียการเสียกำลัง พอรู้แล้วก็เลิก
ปหาราทสูตร อโศกนานาสังวาสกับเถรสมาคม
คนที่เลิกอบาย เลิกกามคุณได้มาเป็นลำดับลำดามาเรื่อยๆ ก็เป็นผู้ที่รู้จักความเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ในปหาราทสูตร ท่านตรัสไว้ 8 ข้อ อัศจรรย์นะ อัศจรรย์ไม่เคยมีมาเลย มหาสมุทรกับพุทธธรรม
-
มหาสมุทรต่ำไปโดยลำดับ ลาดไปโดยลำดับ ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชันดิ่งไปทันที
-
พระธรรมวินัยมีการศึกษาไปตามลำดับ มีการบำเพ็ญไปตามลำดับ ไม่ใช่มีการบรรลุอรหัตตผลโดยทันที
-
น้ำในมหาสมุทรมีปกติคงที่ไม่ล้นฝั่ง
-
สาวกทั้งหลายของเรา ย่อมไม่ละเมิด สิกขาบทที่บัญญัติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต
-
มหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพ ย่อมซัดซากศพขึ้นจนถึงบนบกทันที
-
สงฆ์ (ในพระธรรมวินัยนี้)ไม่ร่วมกับผู้ทุศีลและจะขับไล่ให้ไกลจากสงฆ์
-
มหานทีทุกสาย ไหลลงสู่มหาสมุทร แล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิม รวมเรียกว่ามหาสมุทรทั้งสิ้น
-
คนในวรรณะ 4 เหล่า คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร เมื่อออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิม รวมเรียกว่าสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ทั้งสิ้น
-
แม่น้ำสายใดสายหนึ่งในโลกที่ไหลไปรวมลงสู่มหาสมุทร และสายฝนตกลงจากฟากฟ้า ก็ไม่ทำให้มหา สมุทรพร่องหรือเต็มได้
5.ในพระธรรมวินัยนี้ แม้มีภิกษุจำนวนมากปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส-นิพพาน ก็ไม่ทำให้นิพพานพร่องหรือเต็มได้
-
มหาสมุทรมีรสเดียวคือรสเค็ม
-
พระธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติ-รส (ความหลุดพ้น)
-
มหาสมุทรมีรัตนะมาก มีรัตนะหลายชนิด คือ แก้วมุกดา ฯลฯ
-
พระธรรมวินัยนี้มีรัตนะมาก มีรัตนะหลายชนิด คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปธาน 4 อิทธิบาท 4 ฯลฯ
-
มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ขนาดใหญ่ คือ ปลาติมิ ฯลฯ มีตัวขนาดใหญ่ 100 – 500 โยชน์
-
พระธรรมวินัยเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ใหญ่ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ และผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุอริยผล 4
(ปหาราทสูตร เล่ม 23 ข้อ 109)
พ่อครูว่า…ประชุมกันแล้วยกวัดทันที คือ ตอนแรกเมื่อบวช อยู่กับเถรสมาคมได้ 5 ปีก็ขอแยกประกาศนานาสังวาส เราประกาศออกมาเรียบร้อยเสร็จตามพิธีกรรม ตอนแรกก็ยอมรับ ตอนหลังก็ขี้โกง เอาพลังหมู่ใหญ่เป็นอำนาจ ทำปกาศนียกรรม เราเองไม่ทนเปื้อนอยู่กับเขาหรอก อาตมาประพฤติเป็นสัจธรรมมาโดยตรง ก็เลยขอแยกออกมา แต่เขาก็ทำเป็นตีกิน มันทำประกาศนียกรรมเหมือนมันรังเกียจเรา เขาก็กลบเกลื่อนด้วยการหลอกประชาชน บอกประชาชนว่าเขานี่แหละเป็นผู้ขับ อัปเปหิ โพธิรักษ์กับหมู่อโศกออกไปจากหมู่ใหญ่ ทำเป็นเท่ ที่แท้หมู่น้อยนี้ประกาศออกจากหมู่ใหญ่ เพราะเป็นพวกสกปรก ขออภัยที่พูดชัดๆอย่างนี้
เพราะฉะนั้นการที่จะมีสิ่งสกปรกเปรอะเปื้อนอยู่อย่างนี้ ศาสนาพระพุทธเจ้าท่านสะอาดมาก แม่เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์จริง กระนั้นเขาก็เชื่อได้ว่าห่างไกลจากสงฆ์แล้วสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา สาวะกะสังโฆของพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้อาตมาพูดได้ ถ้าพูดอย่างนี้เมื่อก่อนเขาเอาตาย อาตมาทำงานมา 50 กว่าปี มีหลักฐานยืนยันปฏิบัติได้ตามพระไตรปิฎกอาตมาก็จึงต้องเป็นผู้จำนน ทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไป
ก็เป็นความสำเร็จนะ เป็นความสำเร็จของอาตมาที่ทำงานนี้สำเร็จในชาตินี้ แม้ว่ามันจะได้มวลปริมาณของผู้มาปฏิบัติธรรมได้มาประมาณนี้เท่านี้ มันก็ถูกแล้ว เพราะคนที่ไม่สามารถที่จะเข้ามาได้ มาไม่ได้ มี เขาอยากมา แต่มาไม่ได้ จม พวกจมไม่ลง จนกระทั่งฟื้นไม่ได้ เขาก็มาไม่ได้ ผู้ที่เข้าใจผิดเลย จะมาทำไม อโศกพวกไม่ถูกต้อง พวกอะไรต่ออะไร แล้วก็หลอกชาวบ้านชาวเมือง ต่อให้เขาเข้าใจผิดว่าอโศกนี้เป็นพวกผิดหรือเป็นพวกมาทำลายศาสนา บาปซ้ำบาปซ้อนเห็นมั้ย ตัวเขาเองบาปโง่ไม่รู้เรื่อง แม้รู้แล้ว ก็ไม่ยอมรับ แล้วโกหกต่อ เพราะฉะนั้น นรกอเวจีเป็นของเขาไปทั้งหมดเลย รู้แล้วว่าเราถูกก็ยังโกหกต่อว่าผิด ผิดๆ เพราะมันได้ประกาศอย่างนั้นไปแล้ว น่าสงสาร
สู่แดนธรรมว่า…ก่อนหน้านี้พ่อครูบอกอาตมาไม่กลัวเพราะไม่มีอสุรกายแล้ว
พ่อครูว่า…ถ้าอาตมากลัวจะมาทำได้ขนาดนี้เหรอ ทำมา 50 ปีแล้วเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอาตมาไม่ได้กลัวอะไร เป็นความแกล้วกล้าอาจหาญ อาสโภ เป็นสัจจะ เป็นความเป็นจริง มันเป็นความกล้าหาญเพราะเรายืนอยู่ในความถูกต้อง ยืนอยู่ในความจริง อยู่ในความประเสริฐ ความพิเศษ แล้วเรื่องอะไรเราจะต้องไปอ่อนแอ จะต้องไปอาย จะต้องไปเหนียม มันจะต้องไปกลัว ไม่ ไม่มีพวกก็ไม่กลัว มั่นใจเพราะว่าธรรมะพระพุทธเจ้าที่แท้ เป็นสัจธรรมที่แท้ จะไปกลัวอะไร มั่นใจยิ่งกว่ามั่นใจ
สู่แดนธรรมว่า…ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ ที่หนุนหลังก็ไม่มี
พ่อครูว่า…ก็อาตมานี่แหละใหญ่เป็นไก่ตัวพี่ เดี๋ยวนี้ก็ยังประกาศว่าตัวเองเป็นไก่ตัวผู้
สู่แดนธรรมว่า…ลูกจะได้เป็นตัวอย่าง
พ่อครูว่า…อย่าไปทำแบบหลงตัว
มันเป็นสิ่งที่เป็นตถตา สิ่งที่เป็นเช่นนี้ ต้องเป็นเช่นนี้ เป็นอื่นไม่ได้ มันเกิดแล้วจริงๆ มันต้องเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เป็นเช่นนี้ต้องเป็นเช่นนี้ จะเป็นอื่นไปไม่ได้ เป็นความจริงเช่นนี้จริงๆตรงๆเป็นสัจจะเลย เป็นตถตา อิวิตถตา อนัญญตถตา อิทัปปัจจยตา ธรรมนิยาม 4 ต้องเป็นจริงเช่นนี้อย่างนี้เป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอก
-
ตถตา (ตนเป็นเช่นนั้นๆ ได้อย่างอัตโนมัติแล้ว หรือได้ความว่างเป็นสัจธรรมเช่นนั้นเองในตัวแล้ว)
-
อวิตถตา (ความจริงที่เที่ยงแท้แล้ว-ไม่กลับกลาย)
-
อนัญญถตา (เป็นไปอย่างนั้นแน่จริงชนิดไม่มีสิทธิ์เป็นอื่นอีกแล้วอย่างนิรันดร์)
-
อิทัปปัจจยตา (เพราะเป็นสิ่งนั้นได้จริงแล้ว จึงสืบต่อเชื้อความจริงในสิ่งนั้นได้.. อย่างมีของแท้จริงเกิดขึ้นสืบทอดให้กันและกันจริง)