640605_พิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2564
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1di7UMPAjKiyc2biYLnh2w6iXkxQ0MJfNvr23n1WGV9E/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่
ยูทูป https://youtu.be/T96U76fmNOk
สมณะเดินดิน ติกขวีโร นำพาลูกๆ กล่าวคำบูชาพ่อครู
พิธีน้อมกตัญญูบูชาพ่อครู
เริ่มด้วย ขอกราบคารวะพ่อครูและหมู่สงฆ์ ด้วยความเคารพอย่างสูงจากนั้น จึงเกริ่นกล่าว
ตั้งนะโม (๓ จบ)…ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ซึ่งเป็นแสงสว่างของโลก ผู้ทรงประทานเส้นทาง แห่งความพ้นทุกข์ ให้แก่มวลมนุษยชาติ ด้วยการประกาศอาริยสัจ ๔ และมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งมีสัมมาทิฎฐิ ๑๐ เป็นเข็มทิศนำทาง ไปสู่ความหลุดพ้น จากทุกข์ทั้งปวง
ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้ก้าวพ้นความสงสัย และมีความเชื่อมั่นกันว่า
อัตถิ ทินนัง ทานมีผลจริง
อัตถิ ยิตถัง ยัญพิธีมีผลจริง
อัตถิ หุตัง พิธีปฏิบัติ จนเกิดผลที่จิตมีจริง
อัตถิ สุกฏ ทุกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก การทำดีทำชั่ว มีผลดลบันดาลได้จริง
อัตถิ อยังโลโก โลกโลกีย์นี้มีจริง
อัตถิ ปโรโลโก โลกหน้า คือโลกโลกุตระ มีจริง
อัตถิ มาตา อัตถิปิตา แม่และพ่อ ผู้ให้กำเนิด ทางจิตวิญญาณ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย มีจริง
อัตถิ สัตตา โอปปาติกา การก่อเกิดทางจิตวิญญาณมีจริง
อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
สมณพราหมณ์ผู้รู้แจ้ง โลกนี้ โลกหน้า ด้วยตัวเอง แล้วประกาศ ให้ผู้อื่นได้รู้ตามมีจริง
และบัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ก็ได้มีที่พึ่ง ที่อาศัย ในสมณพราหมณ์ ที่เป็นผู้รู้แจ้ง ทั้งโลกนี้ โลกหน้า ด้วยตัวเอง คือพ่อครู สมณะโพธิรักษ์ ผู้นำสัมมาปฏิบัติ จนส่งผลให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เกิดแสงสว่างในชีวิต อันมีสัมมาทิฏฐิ ๑๐ และสัมมามรรค สัมมาผล ตามธรรม สมควรแก่ธรรม
ในวาระครบรอบ 87 วัสสา ของพ่อครู ในการกอบกู้ ศาสนาที่ผ่านมา พ่อครูได้ทุ่มเท ทั้งแรงกายแรงใจ ด้วยเลือดทุกหยด และเหงื่อทุกหยาด เพื่อประโยชน์และความสุข ของมวลมนุษยชาติ มาตลอด
จวบจนวาระสำคัญในโอกาสนี้ ที่พ่อครูจะมีอายุ ขึ้นปีที่ 88 ข้าพเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นลูกๆที่ได้ชีวิตใหม่ ได้กำเนิดขึ้นใหม่ ทางจิตวิญญาณ ขอปฏิญาณตน ร่วมกันว่า…
ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะเข้าไปตั้ง ความละอายอย่างแรงกล้า ความเกรงกลัวอย่างแรงกล้า ความรักอย่างแรงกล้า และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ต่อพ่อครูผู้เป็นสัตบุรุษ จะเป็นผู้ไม่ประมาทในโทษภัยอันมีประมาณน้อย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง สัจจาธิษฐาน ที่เป็นปิตุบูชา ของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ จะเกิดจริงเป็นจริงได้ ก็เพราะการมุ่งมั่น เอาจริง และความเพียร พยายามอย่างแรงกล้า ของข้าพเจ้าทั้งหลายนั่นเอง … สาธุ
จากนั้น มี ครูแก้ว พันราศรี ประชาโชติ ได้อ่านบทกวี ถวายพ่อครู
สัมประสิทธิ์ขยายอายุไขของพ่อครูมาจากไหน
พ่อครูว่า…สาธุ ขอบคุณเป็นอันมาก อาตมาอายุยาวยืนเข้าสู่ 88 ปี ซึ่งจริงๆแล้ว อาตมาก็เคยบอก ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร ว่าอาตมามีอายุขัยแค่ 72 ปี แต่เมื่ออยู่มาแล้ว ตอนนั้นอายุไม่ถึง 72 อาตมาก็เห็นว่าไม่ไหว ถ้าขืนอาตมาตาย ไปตอน 72 จะขาดการเชื่อมต่อแน่ ในศาสนาพุทธ ระดับโลกุตระ อาตมาทำงานมาถึง 72 ปีคือทำงานมา 36 ปี อาตมาออกบวชตอน 36 ปี ทำงานไป 36 ปีก็ครบ 72 ปี ซึ่งมันยังได้แค่นี้ ยังไม่เห็นหน้าเห็นหลังเลย ตอนอาตมาอายุยังไม่ถึง 72 ปี อาตมาก็ประมาณแล้วว่า เห็นผลได้การก้าวหน้าของโลกุตรธรรมมันยังไม่เป็นโล้เป็นพาย ก็เลยตั้งใจว่าไม่ไหว ถ้าขืนตายตอน 72 ปีมันยังไม่สมควร จึงได้ตั้งใจเพิ่มพลังอิทธิบาท ที่จะต้องต่ออายุเกิน 72 ปีให้ได้ ก็เป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าอันนึงด้วย ว่าอาตมานี้สามารถทำให้เกิดได้ไหม ก็ตั้งใจแล้วก็พากเพียรปฏิบัติมา
ก็ปรากฏว่าเกิน 72 ปีมาได้ ผลการก้าวหน้าในการกอบกู้โลกุตรธรรมก็ก้าวหน้ามาได้จริง จนกระทั่งเป็นโล้เป็นพายเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นอะไรต่ออะไรไป ตอนที่อาตมาอายุ 72 ปี พ.ศ. 2539 อาตมาก็เห็นว่าไม่ไหว คงไปไม่รอด ลาภ ยศ สรรเสริญ การเมืองก็ดี ทางธรรมไม่ต้องพูดเลย ยังไม่กระเตื้องเท่าไหร่ อาตมาก็เลยพยายาม โดยเพิ่มพลังเพื่อที่จะให้มีอิทธิบาทเป็นปฏิภาคทวีขึ้น มันเป็นนามธรรม อธิบายได้ประมาณนี้
พยายามทำหาพยัญชนะมาใช้เรื่องการเพิ่มพลังนี้ ทางโลกเขาเรียก coefficient หรือสัมประสิทธิ์ เป็นภาษาคณิตศาสตร์ ก็เห็นว่าอันนี้พอใช้ลำลองแทนได้ เป็นการเพิ่มพลังทางจิตวิญญาณ เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มพลังเร่งอัตราเร่งให้ต่ออายุขัยขึ้นไป ก็ขอใช้คำว่า coefficients เขาแปลเป็นไทยว่าสัมประสิทธิ์ คำนี้ก็ดี ก็ทำมา จนกระทั่งถึงอายุ 72 ปีเป็นไปได้ อายุ 72 ปีถึงขันธ์แล้ว เลย 72 ปีไปได้ ตอนอายุ 73-74 ปีก็แข็งแรงพอสมควร
พ.ศ. 2549 ก็จำได้ว่าออกเปิดตัวการเมือง เดินนำหน้าสมณะพวกเราออกไปเข้าสู่สนามหลวง โดยมีเต็นท์อยู่ เราก็ไปไหว้พระสวดมนต์กันเริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้นมา ประกาศตัวร่วมที่จะประท้วงรัฐบาลทักษิณ ตั้งแต่ 2549 ประชาชนเขาเริ่มไปก่อนแล้วเราก็ไปเปิดตัวร่วมตามประสาเรา คนเขาก็บอกว่าพระมายุ่งอะไรกับการเมือง โดยเฉพาะออกมาประท้วงเมืองไทยยังไม่เคยทำ แล้วทำกันเป็นกิจลักษณะด้วย พวกเราไม่ได้ทำกันเฉพาะกลุ่มเล็กเฉพาะสมณะต่างๆ จะรวมกันทั้งฆราวาสร่วมกันทำอย่างเป็นจริงเป็นจังทำเต็นท์ใหญ่ขึ้นไป รวบรวมร่วมกับคณะอื่นๆเข้ามา ซึ่งอาตมาก็ขอเล่าอย่างสรุปก่อนก็แล้วกัน
จนกระทั่งผ่านกาลเวลาไป ถึงปี 2557 ได้สิ้นสุด (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ก็มีผู้ที่ขึ้นมารับช่วงคือพลเอกประยุทธ์ เราก็เห็นว่าใช่ อาตมาก็รับรองต่อกัน ว่าใช่ พลเอกประยุทธ์นี่แหละ โดยบอกก็ได้ว่าทำไมอาตมาแน่ใจหรืออาตมาเห็นว่า รับง่าย ทั้งๆที่เป็นหัวหน้าคสช.เป็นทหาร เขาถือกันว่าทหารเป็นเผด็จการ คราวนี้ก็เป็นทหาร มีอำนาจเป็นหัวหน้า คสช.เป็น
ผบ.ทบ. ทำไมอาตมารับ .
ไขความให้ฟังนิดนึง เพราะพลเอกประยุทธ์ ชื่อประยุทธ์แปลว่ารบ แล้วอาตมามีทางธรรมแล้ว คือพระภิกษุที่ชื่อประยุทธ์ มหาประยุทธ์ เป็นผู้ที่คู่เคียง ขออภัยที่บังอาจเหมือนตัวเองไปเทียบเท่า ขออภัยต่อท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ท่านมหาประยุทธ์ เราไม่ได้ไปยกตนเทียบเท่าไม่ได้บังอาจปานนั้นหรอก แต่ตอนนี้กำลังพูดวิชาการ พูดเรื่องความรู้ ใครจะเข้าใจแค่ไหนก็เอาเถอะ อาตมาไม่ได้มีจิตใจเป็นอกุศล ไม่มีอุปกิเลสยกตนเทียบเท่า จะโอ้อวดข่มก็ไม่มี ตีตนเสมอก็ไม่ใช่ ข่มเบ่งก็ไม่ใช่ ลบหลู่ก็ไม่ใช่ใหญ่ อาตมามีอจินไตยของอาตมา แม้แต่ชื่อ ฉายานามต่างๆ อาตมาก็ใช้ในธรรมะของอาตมามาตลอด ก็ขอไม่ขยายความ แต่คนอื่นอาตมาก็บอกว่าอย่ามาพูดเล่น ยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะใช้สิ่งนี้มาชี้วัด
ยกตัวอย่างของพระพุทธเจ้า นี่ไม่ได้ยกตนเทียบเท่าพระพุทธเจ้าอีกนะ แต่ว่าตัวอย่างพระพุทธเจ้า ทำไมพระพุทธเจ้าต้องชื่อว่าสิทธัตถะ ทำไมแม่ของพระพุทธเจ้าต้องชื่อว่าสิริมหามายา อาตมาก็ได้ไขความหมดแล้ว คำว่าสิริมหามายานั้นยิ่งใหญ่ ในสภาวะธรรมที่เรียกว่าแม่ อัตถิมาตา ซึ่งไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา ไม่ใช่เนื้อหนังตัวบุคคล
สิริมหามายาเป็นชื่อทางนามธรรม ซึ่งเขาไม่เข้าใจง่ายๆหรอก เขาก็แปลว่าบุญคุณของแม่ บุญคุณของพ่อ มี เขาก็แปลกกันแค่นั้นก็ได้ก็ไม่เป็นอะไรเป็นโลกีย์ธรรมดา แต่โลกุตตรธรรมมันลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น เพราะแม้แต่นามหรือชื่อ มันก็ไขสภาวะธรรมที่ลึกซึ้ง อาตมาใช้เฉพาะตน พระพุทธเจ้าก็ใช้เฉพาะตน แน่นอนต้องมีแม่ที่ชื่อสิริมหามายา ต้องมีอัครสาวกที่ชื่อพระสารีบุตร ที่ชื่อพระโมคคัลลานะ เป็นต้น มีพระอานนท์ มีพระกัสสปะ ต่างๆนานา ลงตัวหมดทุกคนทุกองค์ มีความหมายมีเนื้อหาสาระตรงกันหมดกับภาษา ภาษากับสภาวะตรงกันหมด ของอาตมาก็จะตรงกันไปตามลำดับ เพราะอาตมาเข้าแถวที่จะขึ้นไปสู่สัมมาสัมพุทธะ เป็นระดับที่ 7 แล้วตามที่พูดไป
เป็นอรหันต์แล้วไม่มีความเหนียมอาย
มีคนบอกว่ายกตัวอย่างตนไม่เหนียมตัวเองบ้างหรือ หรือได้รับคำชมจากคนอื่น ทำไมไม่รู้จักอายบ้าง ทำไมไม่ห้ามเขา ฟังดีๆนะประโยคนี้ เขาก็ว่าอาตมาคนอะไรได้รับคำชมไม่รู้จักอาย แล้วก็ไม่รู้จักห้ามเขาด้วย เขาชมตัวเองทำไมตัวเองไม่ห้ามเขา ควรจะห้ามเขาสิ อย่าชมเลยไม่ต้องชมหรอก อาตมาก็ไม่ได้ห้าม ไขความตรงนี้ก่อน
ทำไมได้รับคำชมแล้วไม่ห้ามเขาไม่ให้ชม เคยปรามๆนิดๆหน่อย แต่ก็ปล่อยให้ชม เพราะมันต้องข่มหรือดุว่า ยกย่อง ข่มคนควรข่ม ยกย่องคนควรยกย่อง นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคหารหัง พูดได้โดยมีจิตปกติไม่ได้มีจิตเกลียดชัง ไม่ได้มีอุปกิเลสใดๆ แง่เชิงลบไม่มี
มันเป็นสัจธรรมที่ตรงสัจจะ แต่เป็นสัจจะเชิงดี เป็นเชิงบวก เชิงชม เชิงยก ฟังดีๆนะ ตรงนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อพูดเชิงยกมันก็ไม่เป็นกลาง เขาก็บอกว่าทำไมไม่ห้ามเขาเมื่อไม่เป็น กลาง ข่ม อาตมาก็ไม่ได้ห้าม ยกอาตมาก็ไม่ได้ห้าม อาตมาก็เป็นกลางแล้ว เขาตำหนิอาตมา อาตมาก็ไม่ได้ห้ามเขา ยังบอกเลยว่าตำหนิมาเถอะ อาตมาจะได้เอามาพิจารณาความจริงคำตำหนิถือว่าเป็นประโยชน์ คำสรรเสริญยกย่องพระพุทธเจ้าบอกว่า เป็นคำไม่มีค่าเลย เป็นคำต่ำ คำชั่ว ไม่มีค่าจะทำให้คนเจริญหรือตรัสรู้เลย แต่คำตำหนินี่ทำให้คนเจริญและตรัสรู้ ฟังความนี้ให้ชัด
คำตำหนิทำให้คนตรัสรู้ คำชมไม่ทำให้คนตรัสรู้ มีแต่ทำให้คนหลงตัวเอง บอกความจริงเป็นครั้งคราวว่าคนนี้ดีอย่างนี้จะเรียกว่าชม บางทีก็ไม่ได้ไปใช้สำเนียงสำนวนอะไร ดีก็พูดมีน้ำหนักบ้างอะไรก็แล้วแต่ ก็อย่าพยายามพูดมากในการชม ตำหนิเข้าไปเถอะ อย่าให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันก็แล้วกัน
เพราะฉะนั้นในลักษณะของว่าทำไม ไม่ห้ามเมื่อเป็นคนชม เป็นสัจจะ เมื่อเขาชมถูกต้องตามสัจจะแล้วก็ถูกแล้ว ควรให้คนเข้าใจควรให้คนรู้ความจริงว่าคนนี้ควรชม เป็นคนที่ชมได้ถูกต้อง ชมถูกแล้ว คนอื่นควรรู้ความจริงว่าคนนี้ควรชมจริงๆ จะไปห้ามเขาทำไม ก็เพราะว่า กระดิ๊กๆๆ จิตคุณยังไม่มีความคมชัดแน่นอนพอ ที่จะรู้ว่าความจริงหรือความไม่จริงจบ รู้แล้วว่าอย่างนี้จริงอย่างนี้ไม่จริงจบ อันนี้มันจริงไม่มีเลยไม่จริงก็จบ พูดความจริงมามันก็จบแล้ว พูดความไม่จริงก็รู้ว่าอันนี้ไม่จริงก็ค้านแย้งได้ ถกกันได้ ก็เป็นสัจจะ
อีกคำหนึ่งบอกว่า ทำไมไม่อาย ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วไม่มีความอาย ไม่ใช่หน้าด้านนะ ไม่มีแม้แต่มังกุ มังกุไม่ใช่หิริ ไม่ใช่โอตตัปปะ ซึ่งโอตตัปปะคือละอายอย่างแรง หิริ ละอายอย่างเบา มังกุนี้ เขาแปลว่าไม่เก้อยาก มันก็ยากที่จะเข้าใจ คือไม่เก้อไม่เขินไม่ลำบากเลยในการไม่เก้อเขิน คำว่าไม่เก้อยาก ไม่ลำบากธรรมดาไม่มีมังกุแล้ว สบายเป็นปกติ ไม่อายไม่เก้อเขิน ไม่ใช่คุณสมบัติของธรรมดาสามัญควรที่จะมีได้ คนธรรมดาจะต้องอายต้องรู้จักเป็นบวกเป็นลบอยู่เป็นสองฝ่ายมีอันตา ยังมีสองฝ่ายยังไม่กลางจริงๆยังไม่สูญมันก็จะมีอาการเช่นนี้ แต่ถ้ามันสูญจริงๆมันเป็นกลาง มันก็ไม่มีอะไรไปอะไรมาไม่มีอันตา ไม่มีข้างไม่มีฝ่ายอะไรขึ้นมา ไม่มีกระดิก ซึ่งเป็นเรื่อง อจินไตย ลึกซึ้ง ถึงขั้นมีเอง จะชัดในตนเองไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องถามใคร ว่าลักษณะอย่างนี้เรามี ผู้ใดมีลักษณะอย่างที่ว่านี้ไม่มีมังกุแล้ว ในอภิณหปัจเวกขณ์ ข้อที่ 10 ใครจะมาถามก็บอกได้ว่าเป็นอรหันต์ ถามว่าเราเป็นอรหันต์แล้วก็บอกว่าใช่เราไม่มีจิตเอียงไปทางไหนเลยตรงๆกลางๆเราเป็นอรหันต์ บอกว่าเราเป็นอรหันต์ก็บอกว่าตรงๆไม่มี มังกุ ไม่มีเอียงไม่มีข้างอะไรเลยมีหนึ่งเดียวเท่านั้น พูดไปแล้วก็เป็นหนึ่งเดียวตรงๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้เข้าใจง่ายๆ ไม่อาย
เขาถามว่า ได้รับคำชมแล้วไม่รู้จักเหนียมไม่รู้จักอาย ไม่รู้จักห้ามไม่ให้เขาชม เขาบอกว่าคนมีหิริโอตัปปะก็ต้องรู้จักอายสิ ใครชมก็ต้องรู้จักอาย ก็จะไปอายทำไมก็เราไม่ได้ทำผิด เขาชมก็ต้องให้เขารู้ความจริง ไม่กระดุกกระดิกอะไร ก็รับตรงๆด้วย เขาชมเราก็รับว่าดีก็ใช่ เขาชมว่าท่านดีจริง อาตมาก็ว่าดี แล้วทำไมจะต้องไปโกหกเขา ทำไมว่าอาตมาไม่ดีจริง เขาบอกว่าท่านดีจังเลยดีมากๆ อ้อก็ดีมาก เขาก็ว่าหา? ทำไมไปรับอย่างนั้น เห็นไหมว่าความรู้สึกของสามัญชนหรือปุถุชนจะสะเทือนสะท้าน มันหยาบกว่ามังกุ สะเทิ้นสะท้าน อุทธัจจะ
พ่อครูคือสยังอภิญญาผู้มาประกาศโลกนี้โลกหน้า
ในวาระสำคัญ ขออธิบายในรายละเอียดลึกซึ้งเข้าไป ไม่ได้เพื่อขู่ เอามาอ้าง เอามากำหราบผู้อื่นไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องสัจจะหลักฐานยืนยัน อาตมาไม่ได้เป็นคนแปลพระไตรปิฎกด้วย อาตมาก็ขยายความจากภาษาไทย ที่ท่านแปลมาดีแล้ว เช่น สัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
ของตนเอง สยัง ในความรู้ยิ่ง อภิญญา ความรู้ที่เป็นโลกุตระธรรม เป็นโลกโลกุตระไม่ใช่โลกโลกียะ ขยายโลกโลกุตระไม่ใช่ขยายแค่โลกียะ เป็นความรู้ของตนเอง แต่ไม่ใช่สยัมภูนะ เคยบอกอธิบายชัดเจน ว่าอย่าเข้าใจสยังอภิญญาว่าเป็นสยัมภู ดีถูกต้องแล้วตามมรรค ปันนะหรือปัตตะก็คือบรรลุ เป็นผู้บรรลุแล้ว แล้วผู้นี้เป็นพุทธมาเชื่อมต่อศาสนา เป็นผู้มาสืบสานศาสนา แต่ไม่ใช่เป็นพระพุทธเจ้า คนที่ไปเข้าใจว่า สยังอภิญญา คือพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ ไม่ใช่สยัมภู ทำไมชื่อว่า สยังอภิญญา ก็รู้เองเกิดมาชาตินี้ไม่มีครูบาอาจารย์ นอกจากไม่มีครูบาอาจารย์แล้วยังแย้งกับครูบาอาจารย์ที่เขายอมรับกันทั่วไปด้วย แล้วมันยืนยันว่าที่ตัวเองพูดไม่เป็นของตัวเอง ยืนยันว่าอันนี้ถูกอันนั้นผิด ของท่านมันผิด ของเรานี้ถูก พูดตรงๆมิจฉาทิฏฐิ อวิชชา วิปลาส
แล้วก็พูดแล้วขยายความ ไม่ใช่ว่าไม่มีสถานะไม่มีบุคคลยืนยันแต่มี เอามาเปิดเผยมีผู้ปฏิบัติตามได้เป็นอรหันต์จึงได้ด้วย แล้วท่านกล้าบอกอย่างอาตมาไหม ขออภัยมหาบัวเคยบอกไหมว่าคนนั้นคนนี้เป็นอรหันต์ นอกจากคนจะบอกว่าอาจารย์ของคุณเป็นอะไรเท่านั้น คุณเคยบอกว่าลูกศิษย์ของคุณเป็นอรหันต์ไหม มหาบัว มีไหม ไม่กล้าบอกหรอก มันไม่ชัดเจนจะกล้าบอกอย่างไรมันคลุมเคลือ ไม่กระจ่าง ของมหาบัว เป็นศาสนาเทวนิยม ถ้าเป็นพุทธศาสนาก็เป็นสาย กิณหา ทางสายธัมมชโยเป็นสายอาภัสสรา อันหนึ่งทางสว่าง อันหนึ่งทางมืด อันหนึ่งสว่างจนจ้าพร่าพราย ครอบงำด้วยความพร่าพรายฟรุ้งฟริ้งแพรวพราว จะเป็นลักษณะอย่างนั้น พวกปรุงแต่งจัดจ้าน เป็นพวกสองเพศนี่จะไปทางโน้นเยอะ ตกแต่งปรุงแต่งไปเยอะ จะมาก พวกสองเพศ จะปรุงแต่งไป ส่วนทางนี้มาหาทาง 1 ทาง 0 ดับ แต่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นสุภกิณหา ไม่ใช่อาภัสรา
สยังอภิญญา อาตมามั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้นี้ บุคคลที่ระบุในข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ 10 นี้แหละ คือเรา สยังอภิญญา เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มีของตัวเองนำมาเองและมาทำหน้าที่นี้ เรามีผู้เป็นโพธิสัตว์อื่นก็มีก็บอกไปบ้างแล้ว ใครบ้างก็บอกไปบ้าง แล้วอาตมาก็ยังยืนยันว่าอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ในยุคนี้แหละมาในยุค 2,500 ปีมาจนกระทั่งถึง 5,000 แหละ อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ต่อไปในอนาคตไม่กล่าวถึง เอาแค่ตอนนี้ก่อน
สยังอภิญญา เป็นภูมิเดิมภูมิเก่า ปุพเพกตปุญญตา มีบุญที่ทำได้สำเร็จมาแล้ว ในจักร 4 ได้อธิบายมา ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ อธิบายบุญเป็นกุศลก็เละเทะกัน
หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม อาตมาขยายความจาก 8 หน้าเป็น 608 หน้าจากแค่ 2 บท
อาตมาที่พูดไปนี้พูดอย่างมั่นใจว่า อาตมาเป็นผู้ที่ได้ธรรมะนั้นจริง เป็นผู้มีธรรมะจริง บอกว่าเป็นอรหันต์ก็ประกาศซื่อๆ แต่ไม่ได้รีบร้อนอยากจะคุยโว จะมาประกาศต่อสาธารณะจริงๆก็ พ.ศ. 2558 ที่ไพศาลี อย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้อยากประกาศเร็ว แต่ก็เคยบอกแก่คนที่มาถาม อย่างน้องสาวอาตมา ขวัญดี ถาม ก็บอกตรงๆไม่ได้ไปมังกุอะไร ก็บอกใช่ เขาถามพี่แป๊กเป็นอรหันต์จริงหรือ ก็บอกใช่พี่แป๊กเป็นอรหันต์ เขาฟังแค่นั้นก็จบ เขาไม่ต่อแล้ว
จากนั้น ศาสตราจารย์แสงจันทร์งาม ก็ถาม แต่ท่านจันทร์เคยไปสัมภาษณ์ ตอนนั้นท่านอายุ 90 กว่าแล้ว บอกว่าเคยถามพ่อท่าน ว่าเป็นอรหันต์หรือเปล่า อาจารย์แสงก็บอกว่าจำไม่ได้ ที่จริงก็บอกว่าไม่เคยก็ได้ แต่อาจจะไม่กล้าที่จะยอมรับ ขออภัยที่พูดเป็นเชิงตำหนินิดหน่อย อาจจะไม่กล้ายอมรับเพราะดูแล้วรู้สึกว่า จะไม่แน่ใจ ก็ทำให้อาตมาเข้าใจอาจารย์แสง เพิ่ม ตอนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ แก่มาก
มาเข้าสู่เนื้อหา สยังอภิญญา เป็นของจริงเป็นสัตบุรุษ สัตตะ แปลว่า 7 บุรุษที่ขึ้นรอบ 7 เป็นอจินไตย บุคคลที่เป็นสัตบุรุษระดับ 7 มีอะไรแค่ไหน ก็ขยายความไปบ้าง แต่รู้สึกว่าไม่ง่าย สรุปแล้ว อาตมาก็นำธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระ นำมาพยายามขยายความอธิบายโลกุตรธรรม ซึ่งเป็นโลกอีกโลกหนึ่งคือ อยังโลโก ปโรโลโก หรือ อิมังจโลกัง ปรัญจโลกัง ก็คือโลกนี้กับโลกหน้า ปร กับ อยะ นี้ ปร คืออื่น สองแบบ
อาตมาก็พยายามอธิบายว่า มันคนละโลก โลกนี้คือโลกโลกีย์คือโลกๆหนึ่ง โลกโลกุตระ คือโลกอีกโลกหนึ่ง มันหันหลังชนกันเลยนะ ปฏิโสตัง โลกียะเดินอยู่ทางนี้วนอยู่ แต่โลกุตระเดินแล้วจบสุดก็หายไปเลย ถ้าจะวนเป็นโพธิสัตว์ก็วนมาช่วยคนจะวนเวียนสั้นหรือแคบองศาน้อยองศามากก็เรื่องของพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ วนอย่างรู้ว่าตัวเองจะจบตรงไหนก็ได้หรือจะจบเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็สุดแล้ว ไม่มีพระพุทธเจ้า 2 สมัยแล้วสุดยอดตรงที่ 1 แล้วก็สุด อันนี้อาตมาว่าจะย้ำยืนยันจริงๆว่า คนอุตริ คิดดูว่า พระพุทธเจ้าไม่น่าตาย เพราะว่าเป็นของดีไม่น่าตายควรจะอยู่ช่วยโลกอีก แสดงว่าคุณก็ไม่รู้จักจบเสียทีความคิดเช่นนี้คงไม่มีทางเป็นอรหันต์ คุณพูดอย่างนี้ไม่มีการจบกิจ จบก็ให้มันรู้จบเหมือนกับอาตมาบอกพวกเรา พวกเราสรุปกรอบไม่ค่อยลง ตรวจสภาวะของตัวเองให้เป็นขั้นตอนตามเนื้อหาสาระ ไม่คมไม่ชัดเท่าไหร่ หากคมชัดพอ เราจบ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เท่าที่มีตามลำดับ กามภพ รูปภพ อรูปภพ กามตัณหา ภวตัณหา รูปราคะ อรูปราคะ มีเศษ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาสิ้นอาสวะ ก็เป็นอรหันต์แล้ว จะเป็นโพธิสัตว์ต่อไปถึงอนุสัย 7 ก็ค่อยว่ากันไป โพธิสัตว์ก็ต้องเข้าใจอนุสัย 7 ต่างกันนะอนุสัยกับอาสวะ
ผู้ที่สามารถแยกโลกนี้โลกหน้า ประกาศโลกนี้โลกหน้าให้ สัจฉิกัตวา ให้รู้กันแจ่มแจ้ง อ๋อ โลกนี้ชัด ว่าเป็นโลกียะ โลกหน้าหรืออีกโลกหนึ่งเป็นโลกุตระชัด เราเป็นโลกโลกุตระคือเข้ากระแส อาตมาเคยอธิบายถึงจิตเริ่มต้น คุณเริ่มต้นสะสมสภาวะของโลกุตระตั้งแต่เริ่มโสดาบัน มีกระแส นิดเดียวนะ ของความรู้โลกุตระเริ่มเข้ามาๆ
ได้ 25 หน่วย ถ้าอยู่ในมวลปริมาณเป็นตัวแบ่ง 25 หน่วยใน 100 ถือว่าเป็นโสดาบัน100 นี้ถือเป็นอรหันต์แบ่งเป็น 4 โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์แบ่งเป็น 4 ส่วนอย่างนี้เป็นต้น ก็รู้ว่าสภาวะธรรมโลกุตรธรรมนี้ได้มาขนาดไหน จนกระทั่งได้ถึง 25 หน่วย มันมีรายละเอียดโลกุตรธรรมเยอะแยะ คุณก็เป็นปริมาณแต่ละปริเฉทเอง โดยเอาศีลเป็นตัววัด
จุลศีล 26 ข้อ หาร 4 เท่าไหร่ที่คุณได้ มันอาจไม่ลงตัวนักหรอก 26หาร4 = 6.5
สรุปตรงนี้ อาตมาขยายโลกนี้โลกหน้า ให้เห็นว่ากระแสโลกุตระเป็นกระแสแห่งเนกขัมมะ ทำให้กามภพ กามตัณหา ลดลงไปได้ ถ้าจะแบ่งกามเป็น 25 ก็ได้ เช่นคุณบอกว่า กามหรือราคะ กามราคะหมดไปแล้วภาคนอกกามราคะจาก ตาหูจมูกลิ้นกายหมดทางภายนอก มันก็เหลือ ราคะ เหลือกามนั่นแหละ เป็นสภาวะเมถุน สภาวะคู่ที่ลึกเข้าไป ไม่มีพฤติกรรมทางภายนอกและละอาย ถ้าหากเข้าเกณฑ์อนาคามี ข้างนอกไม่ทำแล้ว มันชัดเจนไปทำทำไม มันก็ไม่มีรสชาติแล้ว ไม่มีรสแรงจนกระตุ้นให้ทำ ละอายมันมากกว่าที่จะไปทำ หรือ ความเกรงกลัวไปทำทำไม น่ากลัว ก็จะเข้าขั้นอนาคามีที่ลึกเข้าไปรูปราคะ อรูปราคะ ลดลง ส่วนจะผยองเป็นมานะ อุทธัจจะก็นัยละเอียดของมัน
เราจะเข้าใจเลยว่าการออกจากโลกโลกีย์คืออย่างไร หลุดออกมาเลิกออกมาหยุดออกมา คนในโลกเขามีเป็นธรรมชาติของโลก ส่วนผู้ที่ไม่รู้จักแม้แต่ตาหูจมูกลิ้นกายจะไปติดยึดอย่างไร แม้ในที่สุดติดยึดของยาก็ยังไม่รู้ เขาก็ยังกินยังติดอยู่ เราก็รู้ความจริงของเขา ดีไม่ดีตัวเองติดหลุดไม่ได้ โกหกเขาซ้ำซ้อนเลยว่าไม่ใช่ของที่จะต้องไปยึดถือว่าเป็นการติด เหมือนอย่างมหาบัว อาตมาไม่รู้จะว่ายังไง พูดแล้วก็เหมือนไปถล่มทลายมหาบัว เพราะเขาทำไว้จริง ติดหมากพลูเท่านั้นเอง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจัดจ้านแท้ๆ เป็นสิ่งเสพติด ซึ่งมีร่องรอย อาตมาก็เคยสะดุดเหมือนกันว่าน่าจะใช่ มันหยุดไม่ได้ ก็หยุดแล้วกลับมากินต่อแล้วโกหกลูกศิษย์ด้วย กินหมากพลูจนตาย เพราะมันจำนนว่าอย่างไรเราก็ติด เลิกไม่ได้ติดจนตาย
เพราะฉะนั้นคนที่โกหกทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองโกหก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคนคนนี้น่าคบหายาก เหมือนอย่างธัมมชโย โกหกทั้งๆที่รู้ อุตตริมนุสสธรรมที่มีในตน เขาจับเท็จได้ ออกมาทางสื่อสารมวลชนอย่างชัดเจนแล้วด้วย แต่ก็ยังหน้าตาเฉย ยังโกหกหลอกลวงคนต่อไปอย่างนั้น สิ่งเหล่านี้อาตมาไม่ได้พูดด้วยความเกลียดชัง แต่สงสารทั้งมหาบัวและธัมมชโย ก็ได้แต่บอกความจริงแล้วสงสาร แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยช่วยด้วยการตำหนิให้รู้ชัด ตำหนิแล้วตำหนิอีก เราจะตำหนิแล้วตำหนิอีก พระพุทธเจ้าบอกว่าเราจะขนาบแล้วขนาบอีกตำหนิแล้วตำหนิอีกไม่หยุดมือ อานนท์ ผู้มีมรรคผลย่อมทนอยู่ได้ ถ้าไม่มีมรรคผลอยู่ไม่ได้หรอก เราจักขนาบแล้วขนาบอีก
ผู้จะเกิดอัญญธาตุ คือโลกุตรธาตุเริ่มที่มีมวลได้สะสม ไม่ใช่เกิดอัญญธาตุเป็นก้อนเลยไม่ใช่ ปัญจวัคคีย์ก็ไม่เคยไม่ใช่ไม่คบหาฟังธรรมะมา แต่ปัญจวัคคีย์ฟังธรรมะพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะโกณฑัญญะ สั่งมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าอุบัติประสูติ เป็นพราหมณ์หนุ่มพยากรณ์ร่วมกับพราหมณ์แก่ ก็รับรู้ว่าพระพุทธเจ้านี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ก็ติดตามฟังธรรมมาตลอด สะสมหน่วยกิตของ อัญญธาตุมาตลอด จนกระทั่ง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ 6 ปี ก็อยู่ในวงการธรรมะ ฟังธรรมกันอยู่นั่นแหละ ต้องใส่ใจเพราะว่ามีเชื้อแล้ว เชื้อโลกุตระ สะสมอัญญธาตุ จนกว่าจะเต็มอัญญธาตุ แล้วแสดงอยู่ภายใน เป็นสภาพเต็ม พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า อัญญาสิ วตโภโกณฑัญโญ อัญญธาตุ ตัวนี้เกิดแล้วหนอที่โกณฑัญญะ จากนั้นจึงเทศน์อีกจนเป็นพระอรหันต์ในพระสูตรที่ 2 อย่างนี้เป็นต้น
คำพูดที่อธิบายอยู่นี้ เป็นอจินไตยทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องวิสัยที่ควรจะเข้าใจได้ง่าย
-
พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
-
ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน .
-
วิบากแห่งกรรม
-
ความคิดเรื่องโลก(โลกจินตา) (จักรวาล เอกภพ)