640528_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 4
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/16-ShsLJzLvKOuE0CzrWKyV9gTBc5yI75no3ZwYwMhbI/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1igXjOeM60z4Gbkc43Uc83sdtuE8dVlzX/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/500172331189978
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก งานอโศกรำลึกปีนี้ ก็มีไฮไลต์ สองวัน คือวันเสาร์ที่ 5 มีพิธีน้อมกตัญญูบูชาพ่อครู และวันพุธที่ 9 จะมีการ บูชาพระบรมสารีริกธาตุ และชมข่าวเด่น ชาวอโศกใน
เพราะไม่รู้จักกายจึงไม่สามารถละกาม
พ่อครูว่า… คำว่า “กาม” จะพูดซ้ำพูดซากอย่างไรก็ต้องฟัง เพราะว่า “กาม” นั้นเป็นเบื้องต้นของกิเลสเลย ที่จะไปละเลยไม่ได้ ต้องรู้ก่อน เพราะฉะนั้นผู้ใดไม่สามารถละกามไปได้แล้ว แต่ไปนั่งหลับตาเป็น รูปราคะ อรูปราคะเลย มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับทุเรียน คุณไม่ได้ปอกเปลือกออก จะไปกินเนื้อในของมันได้อย่างไร กามต้องเอาทิ้งไปก่อน แล้วค่อยถึงภายใน
อาตมาต้องซ้ำซาก ใครจะเบื่อก็เป็นคนที่ไม่เข้าใจธรรมะ เบื่อ แต่คุณเองจะหมดง่ายๆหรือกาม มันไม่ได้หมดง่ายๆนะกาม แม้ว่าเหลือภายในเป็นรูปราคะอรูปราคะมันก็เป็นเชื้อของกามทั้งนั้น แหละ เป็นความใคร่ความติดความอยากทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นจะต้องรู้ว่าคำว่า “กาม” คือ สิ่งที่ติดยึดสิ่งที่ไปสร้างรส รสกิเลส รสตัณหา รสสุข รสอร่อย
นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ ถ้ำคือ คูหายัง ความเป็นสัตว์ เช่นสัตตาวาส 9 เป็นต้น หากคุณไม่รู้จักสัตตาวาส 9 ก็ยังเป็นสัตว์โอปปาติกะตลอดไม่ได้เป็นมนุสโส แต่ไปหลงว่าเป็นเทวดาด้วย
มนุสโสกับเทวดาต่างกัน เขาก็บอกว่าเทวดาเป็นผู้มีจิตสูง ที่จริงไม่ใช่ ถ้าไม่เข้าใจถึงสภาวะธรรม เทวดาคือผู้ที่ไปหลงสภาพ 2 เทวะ แล้วไม่รู้จักสภาพ 2 ก็คือความสุขกับความทุกข์นั่นแหละ เพราะฉะนั้นการไปหลงความเป็นเทวดาก็คือไปหลงความเป็นสุข เทวนิยมแยกสุขแยกทุกข์ไม่ออก ก็ไม่เข้าใจด้วยว่า สุขคือสิ่งต้องละ ต้องล้าง ต้องดับ ก็เลยกลายเป็นศาสนาสุขนิยมไม่เข้าใจเรื่องทุกข์เรื่องสุข พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องทุกข์เรื่องสุขเป็นโลกุตระ และดับทุกข์ดับทุกข์เลย เขาไม่รู้ว่าสุขก็คือทุกข์ ต้องหมดสุขหมดทุกข์ถึงจะเป็นฐานนิพพานโดยเอาคําว่าไม่สุขไม่ทุกข์มาเป็นไวพจน์ จริงๆแล้วก็เป็นอุเบกขา
อุเบกขาคือไม่มีกิเลส สะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสคืออุเบกขา จะเรียกว่าจิตมันไม่สุขไม่ทุกข์แล้วมันเป็นอุเบกขาก็ได้ เป็นภาษาแทนกัน แต่ที่จริงเป็น 0 จากสุขทุกข์ 0 จากสภาพสอง
เทวนิยมไม่เรียนรู้สุขทุกข์ เขาเรียนรู้แค่ดีชั่ว ความดีความชั่วเป็นแค่โลกีย์ แต่ความสุขความทุกข์เป็นโลกุตระ อาตมาพูดซ้ำซาก 2 อย่างมันต่างกัน
ศาสนาที่เรียนรู้แต่ดีกับชั่วเป็นศาสนาเทวนิยม ศาสนาที่เรียนรู้ความสุขความทุกข์คือศาสนาโลกุตระ เพราะฉะนั้นจึงยากมากที่คนจะเข้าใจว่า สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง กุสลาโสภาสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง เป็นโอวาทปาฏิโมกข์ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับพระอรหันต์ เป็นหลักประกันของพระอรหันต์ 3 อย่างนี้
คือท่านจะเป็นผู้ที่ไม่ทำบาปทั้งปวงและไม่ทำบุญด้วย ไม่ทำบุญด้วยคือละไว้ในฐานที่เข้าใจ เพราะบุญกับบาปเป็นคู่หูกัน หมดบาปก็หมดบุญ จึงมีพยัญชนะบาลีว่า ปุญญปาปปริกขีโณ แปลว่าสิ้นบุญสิ้นบาป
ผู้ที่สามารถทำอภิสังขาร แปลว่า ปรุงแต่งใจอย่างยิ่ง จัดการจิตใจอย่างยิ่งอย่างมีภูมิปัญญา รู้จักทำบุญแล้วให้บุญทำงาน บุญมีหน้าที่ฆ่ากิเลส กำจัดกิเลส พอฆ่ากิเลสหมดก็เป็น อปุญญาภิสังขาร ไม่มีบุญอีก แต่ผู้ที่เข้าใจบุญอย่างสัมมาทิฏฐิไม่ได้ก็ไปติดยึดอยู่แค่พยัญชนะ ว่าบุญคู่กับบาป เมื่อไม่มีบุญก็ต้องเป็นบาป เป็นกรรมที่เป็นบาป แต่ว่าก็ท่านไม่ทำบาปแล้ว สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง เห็นไหมว่าความไม่เข้าใจเรื่องบุญก็เลยแปลผิดไป
ถ้าบุญนี้ไม่จบในตัวเอง บุญมีเส้นตรงเส้นเดียว มีแต่ฆ่ากิเลสอย่างเดียว บุญเป็นพลังงานตัวปลายของฌาน ฌานคือพลังงานไฟ พลังงานที่มีฤทธิ์ มีอำนาจ มีคุณสมบัติเป็นไฟ เหนือกว่าไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ เพราะฉะนั้นผู้ที่สัมมาทิฏฐิทำฌานเป็น มีฌานวิสัยที่เป็น อจินไตย คาดคิดเดาไม่ได้ ปุถุชนไม่รู้ฌานวิสัยที่เป็นอจินไตยของพระพุทธเจ้าได้ง่าย เข้าใจแต่ฌานโลกีย์ แต่ฌานโลกุตระเข้าใจไม่ได้ คำว่าฌาน เข้าใจไม่ได้ง่ายๆ
ฌาน คือปัญญา ปัญญาคือฌาน
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ไม่มีปัญญาก็ไม่มีฌาน ไม่มีฌานก็ไม่มีปัญญา ฌานกับปัญญาหรือบุญก็ต้องเป็นตัวปัญญาแท้ ปัญญาสุดท้าย ตัวที่ตีหัวเข้าบ้านเป็นตัวจบ เป็นพลังงานฌานอันสรุปผล อันนี้เดาไม่ได้นะ หากไม่มีสภาวะธรรมแท้ก็จะไม่เข้าใจ
คำว่าบุญคำเดียวจึงยากมาก บุญเป็นภาษาของศาสนาพุทธเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ผิดเพี้ยนไปเอาไปใช้เละเทะเลย เหมือนกับคำว่าฉลาด ฉลาดที่เป็นปัญญานี่แหละ เอาไปใช้เป็นเฉโกเละเทะ ธรรมะพระพุทธเจ้าจึงเละเทะไปหมดเลยทุกวันนี้ แล้วผู้ไม่รู้อธิบายกันเละเทะ ปนเปกันไป เพราะเขาไม่มีสภาวะจริง ไม่มีภูมิธรรมที่จะรู้ความจริง
อาตมาทุกวันนี้บรรยายธรรมะ บังอาจมากเลย กวาดทิ้งผู้รู้อื่นไป ก็จำเป็น อาตมาก็แก่วัดแล้ว บวชมาตั้ง 50 ปี ถือว่าเป็นผู้รัตตัญญูแล้ว บวชมานาน ทำงานด้านนี้มานาน
การที่ข้องอยู่ในถ้ำ ตัวแรกก็คือกาม โดยเฉพาะกามที่หยาบ เรียกว่า อบาย
อบายก็คือกามนั่นแหละ หัวหน้านรกคืออบายมุข คือสิ่งที่ติดที่ต่ำที่ตื้น ใครๆก็รู้ว่าเป็นสิ่งเสพติด แต่ผู้ปฏิบัติธรรมแล้วไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเสพติด ทั้งๆที่มันต่ำๆตื้นๆ สิ่งเสพติดที่หยาบ อาตมาก็ยืนหยัดยืนยันตัวอย่างที่พระป่า สายพระป่าไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะครูบาอาจารย์พาให้เลอะเลือน ติดหมากพลูบุหรี่ คนชาวบ้านชาวเมืองเด็กๆก็รู้ว่าเป็นสิ่งเสพติด บุหรี่ก็รู้สิ่งเสพติด แค่นี้ก็ละเลิกไม่ได้ แล้วก็ไปหหลงกันว่าเป็นอรหันต์ ทั้งที่ติดกามขั้นหยาบเบื้องต้นอยู่
เพราะฉะนั้นสัจจะความจริงพวกนี้อย่างนี้ มันเป็นตัวยืนยัน เป็นตัวชี้บ่งให้รู้ว่า คนที่ละหน่ายคลาย ซึ่งเป็นตัวกิเลสแท้ๆ เป็นตัวกลาง เป็นตัวติดยึด เป็นตัวหลง โมหะเป็นตัวโง่ อวิชชา ไม่รู้ เมื่อไม่รู้แม้แต่แค่สิ่งเสพติดที่เป็น กามเบื้องต้น แล้วจะไปลึก จะกินในทุเรียน เมล็ดทุเรียนเนื้อทุเรียน แต่ไม่ปอกทุเรียนเข้าไป คุณจะหายตัวผ่านเปลือกเข้าไปกินเนื้อได้อย่างไร ปากคุณหายตัวเข้าไปกินเนื้อได้หรือ ก็ต้องเอามีดพร้ามาเฉาะ หรือจะใช้ปากกินตั้งแต่นอกเลย ไม่ได้ มันต้องปอกเปลือกก่อน ผ่านเป็นชั้นๆไป
นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง((ติฏฺฐํ นโร โมหนสฺมํ ปคาโฬฺห) นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก(ทูเรวิเวกา) ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย.
พ่อครูว่า…คุณยังไม่ได้ละกามเลย ติดข้องอยู่ในถ้ำ หยั่งลงสู่ความหลง ปิดประตูบรรลุเลย
กายวิเวกเขาก็เอาร่างกายนี้เข้าป่าเขาถ้ำ
วิเวก จริงๆเป็นไวพจน์ของคำว่า สงบ แต่เขาแปลว่า สงัดยังไม่ถึงสงบ
วิเวกมี 5 คือ
-
วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า)
-
ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต)
-
สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด สลัดออกได้เก่ง)
-
ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ ทวนไปมา)
-
นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที เก่งจนเป็นปกติ)
(พตปฎ. เล่ม 31 ข้อ 65)
กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก มันซ้อน มิจฉาทิฏฐิ เอากายหลีกเร้น แล้วออกไปอยู่ป่าไปอยู่เขาอยู่ถ้ำ มันเป็นความหลง ที่จริงแล้วศาสนาพุทธไม่ต้องออกป่าเขาถ้ำ แต่ต้องเรียนรู้ลดกิเลสตั้งแต่การสัมผัสต้องสัมผัสจึงจะเห็นกิเลสจริง เพราะว่าถ้าคุณไม่สัมผัสกิเลสไม่จริง
กิเลสมันไม่จริง จิตวิญญาณในขณะที่ไม่มีตากระทบรูป หูกระทบเสียง ทางกามคุณ 5 จิตวิญญาณจะไม่มีวิญญาณฐิติ ไม่มีความจริง ไม่มีวิญญาณตั้งอยู่ทางตา ตั้งอยู่ทางจมูก ทางลิ้นหู สัมผัส มันไม่มีการกระทบสัมผัส วิญญาณไม่เป็นวิญญาณฐิติ ถือว่าเป็นวิญญาณอยู่ในภพ ท่านเรียกว่าสัมภเวสี เป็นวิญญาณที่ยังไม่จริง ยังไม่มีที่ตั้งจับไม่มั่นคั้นไม่ตาย
ปฏิบัติต้องมีปัจจุบันชาติ ทิฏฐธรรม เป็นปัจจุบันชาติ หมายความว่า ในขณะนี้ มีแสงสว่าง มีตากระทบรูป มีหูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น กายสัมผัสหลัดๆตอนนี้ จึงจะเป็นวิญญาณที่จริง เป็นความจริงของจริง เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีสัมผัสเป็นปัจจัย คุณก็ทำกับวิญญาณหลอกๆ มันไม่เป็นวิญญาณจริง นัยยะแค่นี้ก็เข้าใจกันไม่ได้ง่ายๆ ถ้าเข้าใจง่ายมันก็บรรลุเป็นพระอรหันต์กันได้ง่าย แต่นี่มันไม่ง่ายจริงๆมันยาก
ประเด็นแค่ว่าต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัย แค่นี้ก็ยังเข้าใจไม่ได้
ทีนี้ เมื่อไม่มีวิญญาณฐีติ ไม่ใช่วิญญาณตั้งอยู่ในบัดนั้น คุณหลับตาก็ไปสร้างวิญญาณของใครของมัน ต่างคนต่างหลับตา แต่ถ้าเป็นวิญญาณขณะเกิดลืมตาด้วยกันก็ยืนยันด้วยกันได้
เช่น มะม่วงลูกนี้ น่ากินเลย คนนั้นคนนี้สัมผัสด้วยตาอันเดียวกันนี้ก็น่ากิน วิญญาณพูดกันรู้เรื่อง แต่ถ้าต่างคนต่างหลับตาและบอกว่ามะม่วงลูกนี้น่ากินแล้วต่างคนต่างหลับตา เช่น คนตาบอดแต่กำเนิด แล้วต่างคนต่างเห็นท้องฟ้า บอกว่าเมฆสวยเหลือเกิน คนตาบอดอีกคนก็บอกว่าท้องฟ้าสวยจริงๆหนอ พูดกันเป็นตุเป็นตะ
เห็นไหมว่าคนไม่จริงแบบนี้ หลับตาปฏิบัติเหมือนกับคนตาบอดแต่กำเนิดและดัดจริตรู้เห็นท้องฟ้า นี่คนหลับตาปฏิบัติเป็นเช่นนี้ แล้วตาบอดแต่ละคนที่เห็นท้องฟ้ามันเป็นอันเดียวกันไหม มันก็ไม่ใช่ ต่างคนต่างเป็น เห็นไหมว่ามันไม่เป็นความจริงได้เลย แล้วไปงมงายอยู่กับสิ่งที่ไม่จริง แล้วคุณจะไปล้างกิเลสจากวิญญาณที่ไม่จริงไม่จริง ไม่จริงเพราะว่ากิเลสมันจะเกิดอยู่หลัดๆในปัจจุบันนี้ ถ้าไปนึกเอาก็เป็นกิเลสในความจำ ในสัญญา เช่น กิเลสตัวนี้เรายังมีอยู่นะเราจำได้มันก็มีอยู่แต่ในสัญญา จำได้ กิเลสจริงๆมันเกิดเดือนนี้สัมผัสทางกายเรียกว่ากาม แต่มันไม่มีจริงๆก็รู้
ถ้าล้างกิเลสส่วนนอกได้หมดเหลือภายในเหลื่อมกันอยู่ คุณก็ไปล้างกิเลสภายในไม่ได้ ถ้าหากคุณเอากิเลสกามภายนอกออกไม่ได้ คุณจะไปเอากิเลสขั้นที่ 2 ที่ 3 ออกได้อย่างไรมันไม่ได้
เพราะฉะนั้นเริ่มต้นอันแรกที่สุดเลย คุณจะต้องรู้เรื่องกาม แล้วรู้เรื่องกาย
กายมีภายนอกกับภายใน กายนะมีภายนอกกับภายในเพราะกายต้องมี 3 กายนี้คือจิตคือมโน คือวิญญาณ
เพราะฉะนั้นเมื่อไปเข้าใจกายผิด กามคุณก็ไม่เอา คุณเข้าใจกามผิด คุณก็เลยเข้าใจ กายผิด มันซ้อนกัน ศาสนาพุทธทุกวันนี้เข้าใจกายผิด ก็เลยเข้าใจกามผิด ไม่เอาเรื่องกาม ตัดกิเลสลัดเข้าไปเอาในจิตเลย ไม่มีขั้นตอนหรอกในจิต
กามคือกิเลสเบื้องต้นเป็นกามภพ ส่วนรูปภพ รูปราคะเป็นกิเลสเบื้องกลาง อรูปภพกิเลสเบื้องปลาย แต่เบื้องต้นคุณก็ยังไม่เอากิเลสออกไปยังไม่ได้ลอกออกเลย จะไปทำกิเลสภายในได้อย่างไร ไปนั่งหลับตาเข้าก็เอาแต่ความจำมา เหมือนไปขยำขี้ ขี้มันคือของที่ไม่มีแล้ว ไม่ใช่ของเราแล้ว ศาสนาเดียรถีย์ที่หลับตามันก็เลอะเทอะ แต่ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้ก็ไปนั่งหลับตาหลงไปเหมือนเดิม ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายที่เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ มันถึงเลอะเทอะไปหมดเลย
คุณนั่งหลับตาไม่มี กาม ไม่มี กาย แต่คุณสร้างใหม่ทั้งนั้น สร้างความคิด สร้างการกำหนดรู้สัญญา สร้างภพชาติของคุณขึ้นมา คุณจะระลึกว่าเรายังมีกาม จำได้ นั่งหลับตาก็ยังคิดอาการของกาม อาการกามก็ยังติดอยู่ มันเป็นเรื่องของความจำทั้งนั้น มันไม่ใช่ความจริง ที่กามมันเกิดอยู่ภายนอก ทางกาย จากทวารทั้ง 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นที่ตั้ง คุณไม่มีตั้งแต่ต้นเลย ความเข้าใจของกามคุณก็ไม่มี คุณจะปฏิบัติวิญญาณฐีติก็ไม่ได้ แม้คุณจะดัดจริตไปปฏิบัติกายเป็นวิญญาณฐีติ กายของคุณก็ไม่มีกาม เพราะว่าคุณหลับตาไม่มีวิญญาณฐีติ วิญญาณฐีติต้องมีการลืมตากระทบรูปตั้งอยู่ แต่มันไม่มีวิญญาณฐีติ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไปปฏิบัติธรรมหลับตามีแต่สัตตาวาส มีกายไม่จริงเพราะกายไม่ได้ลืมตา
กายตั้งแต่สัตว์ตัวที่ 1 กายก็ไม่มี สัตว์ตัวที่ 2 กายก็ไม่มี มีแต่กายมิจฉาทิฏฐิ กายต่างกันสัญญาต่างกัน พอมาอันที่ 2 กายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกัน ก็ผิดอีก
อันที่ 3 กายอย่างเดียวกันก็เป็นกายหลับตา เพราะปฏิบัติไม่มีวิญญาณฐีติ แต่ไปหลับตาก็เลยไม่มีกามไม่มีกาย ก็ไม่ได้ล้างกามออกก่อน คุณก็ไม่ได้เอาอะไรออกเลย
แต่คุณไปสร้างจิตใหม่ กามก็เป็นกามแห่งความจำ ไม่ใช่เป็นปัจจุบันชาติ
ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 สูตรที่ 1 การปฏิบัติของเดียรถีย์ ไปทำเจโตสมาธิหลับตา จึงได้แต่อดีต 18 ได้อนาคตฟุ้งซ่าน 44 ไม่มีปัจจุบันชาติจริงเลย แม้จะไปนั่งหลับตาอยู่ในปัจจุบันนั้น แต่คุณมีแต่อดีตกับอนาคตที่อยู่ในภพในความจำ มันมีความกำหนดรู้ของสัญญาเท่านั้นไม่มีปัญญา
ปัญญาไม่มีในหลับตา ปัญญาต้องลืมตา แต่คุณมีปัญญาแล้วคุณเอาไปคิดในสัญญาได้ แต่คุณจะมีปัญญาคุณต้องลืมตา คุณต้องมีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ ต้องมีสัมมาทิฏฐิ มีมรรคคังคะ องค์ 6 ของปัญญา ในมหาจัตตารีสกสูตร จะมีปัญญาต้องมี ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มัคคังคะ สัมมาทิฏฐิ ต้องเข้าใจมรรคองค์ 8 ต้องมีสัมมาทิฏฐิ 10
ถ้าไม่เข้าใจสัมมาทิฏฐิเรื่อง กาย ไม่มีการวิจัยวิจารณ์ 2 ไม่มีกาม คุณโมฆะแล้ว แม้แต่ สัตตาวาสข้อที่ 1 กายของคุณก็โมฆะ สัญญาคุณก็วิปลาส
อาตมาอธิบายนี้เข้าใจไม่ง่ายนะ พวกคุณมีบารมีเก่าและพอฟังได้ง่ายกว่า หรือแม้แต่คนมีบารมีเก่าแต่เกิดอคติขึ้นมาไม่ยอมรับอาตมา เขาปิดประตู คนที่มีบารมีเก่ามากก็ดี แต่ปิดประตูอาตมาเพราะไปเชื่อฟังคนสมัยนี้ เป็นครูบาอาจารย์เป็นคณะใหญ่ บอกเลยโพธิรักษ์มันไม่ใช่ มันจะมาทำลายศาสนาพุทธ ก็หลงเชื่อตามเขา ให้เขาจูงจมูก สักวันหนึ่งก็จะฟื้นขึ้นมารู้ว่าอาตมาไม่ใช่คนอย่างที่เขาพูดกัน แต่อาตมาคือผู้รู้จริง พูดซื่อๆ แต่คนอาจหาว่าอวดตัวอวดตนหลงตัวตน แต่อาตมาไม่ได้หลง พูดอย่างมีสติ รู้ตัวเองว่าไม่มีกิเลสในจิตใจแล้ว
แยกกายแยกจิตไม่ได้หมดสิทธิ์เป็นอรหันต์
สมณะเดินดิน…พระไปปลงอสุภะกับซากศพ พอออกมาเจอพยาบาลก็กิเลสขึ้นกลับมาเลย คือมันไม่ใช่ของจริง
พ่อครูว่า…ในปริเฉทแรก นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้มีกิเลสมากปิดบังเอาไว้แล้ว นรชนเมื่อตั้งอยู่ก็หยั่งลงในที่หลง นรชนเช่นนั้นย่อมอยู่ไกลจากวิเวก ก็เพราะ กามทั้งหลายในโลก เป็นเรื่องที่นรชนไม่ได้ละได้ง่าย เพราะเขาไม่ได้ล้างกามมาก่อน เขาจะกินทุเรียนไม่ได้ปอกเปลือกมาก่อน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ
กายวิเวกก็เอาร่างกายออกป่าเขาถ้ำ แล้วเชื่อว่า กายวิเวกอันแรกคือหนีจากสัมผัส หนีจากตาหูจมูกลิ้นกาย เพราะฉะนั้นความเข้าใจนี้ก็เลยเป็นผู้ที่วิปลาส คุณจะหนีจากกาม คุณก็เอาตาหูจมูกลิ้นกายไปด้วย เอาไปเข้าป่าเข้าถ้ำ ตาหูจมูกลิ้นกายคุณก็มีอยู่ในนั้น แต่คุณก็ไปสัมผัสอยู่เหมือนเดิม แต่คุณไม่ได้เรียนด้วยซ้ำไป มันก็มีกามคุณ 5 เต็มๆอย่างเก่า แล้วก็ข้าม ขั้นไปนั่งหลับตาเข้าไปเลย โดยที่ไม่นำพาปฏิบัติทางตาหูจมูกลิ้นกาย คุณจะไปสัมผัสอะไรอยู่กับในป่าเขาถ้ำก็เรียนรู้เหมือนกัน แต่มันไม่เต็มสภาพเพราะเป็นที่ห่างไกลจากการปรุงแต่งแบบสังคมเต็มที่ ที่เขาปรุงแต่งกัน ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจี๋จ๋า คุณก็ไปอย่างเบาๆ ทั้งๆที่อย่างที่หยาบคุณก็ไม่ได้เรียนรู้ลองลดละมาบ้างเลย แล้วก็จะไปอยู่อย่างเบาๆ แล้วมันจะไปรู้สึกรู้สาอะไร
เพราะฉะนั้นคำว่า กามทั้งหลายในโลกไม่เป็นอันนรชนละได้โดยง่าย มันตีความรวมไปหมดเลยว่า ผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องกาม ไม่ปฏิบัติละกามเป็นเบื้องต้นก่อน จริงๆเขาเข้าใจผิดอันหนึ่ง คำว่า กาม คำว่า กาย
เข้าเข้าใจ กาย นี้ผิด ผิดตรงที่ว่า ครึ่งหนึ่งเขาเข้าใจคำว่า กาย คือข้างนอก แต่มันไม่ใช่ข้างนอกอย่างเดียว กายมันมีข้างในด้วย แล้วเขาเข้าใจผิดด้วย เขาไปกำหนดหมายเอาแต่ข้างนอกอย่างเดียว มันซับซ้อนหลายชั้น
เข้าใจ กาย ผิด ก็เลยไม่รู้เรื่อง เพราะกายไม่มีวิญญาณ
คำว่า กาย คำว่า กาม คำว่า จิต
พระพุทธเจ้าสอนผู้ที่ตั้งใจจะไปนิพพานเมื่อมาขอบวช มีวินัยให้อุปัชฌาย์จะต้องสอนเรื่องแยกกายแยกจิต โดยเอากรรมฐาน 5 ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นเครื่องอธิบาย แต่อาตมาว่า อุปัชฌาย์สมัยนี้ก็คงไม่รู้เรื่อง ไปอธิบายเป็นไตรลักษณ์หมด ไม่ได้อธิบายการแยกกายแยกจิต อรรถกถาจารย์เมืองไทยอธิบายว่าให้พิจารณาเป็นสิ่งปฏิกูล ผมขนเล็บฟันหนังเป็นสิ่งปฏิกูล พ่อท่านอธิบายว่าเพื่อศึกษาแยกกายแยกจิต รู้ความเป็นอุตุ พีชะ เมื่อใดเป็นพีชะ เมื่อใดเป็นอุตุ เพื่อทำให้นิพพานให้แจ้ง
ยืนยันว่าอาตมาอธิบายถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้ากำหนดหมาย แต่เดี๋ยวนี้อรรถกถาจารย์แปลไว้อย่างนี้จนกระทั่งกลายเป็นสิ่งปฏิกูล เป็นสิ่งที่น่าละหน่ายคลาย แต่ท่านไม่ได้บอกให้ละหน่ายคลาย แต่ท่านให้แยก
ถ้าคุณแยกกายแยกจิตจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตั้งแต่ข้างนอก คุณก็เข้าใจกันกระทบสัมผัสแล้วคุณจะแยกกายแยกจิตเป็นคนไม่มีกาย พระอรหันต์คือคนเป็นคนที่ไม่มีกาย เป็นคนที่มีจิตอยู่ในระดับ พีชนิยาม ขึ้นไปจนถึงเป็นอุตุนิยาม
เป็นพีชะ คือไม่มีกาย เมื่อไม่มีกาย ก็ไม่มีสุขทุกข์ ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ เหมือนกับพืช มีแต่สัญญากับสังขาร
สิ่งเหล่านี้ไม่มีอธิบายในพระไตรปิฎก อาตมาเป็นคนไม่อ่านอรรถกถาจารย์เลย อรรถกถาจารย์ส่วนใหญ่เรียนเอามาจากวิสุทธิมรรค ซึ่งยังเป็นเทวนิยมอีกเยอะ ก็เลยยากมากเลย ตรงที่ว่า แยกกายแยกจิตไม่ได้
เมื่อใดเป็นกายเมื่อใดไม่เป็นกาย คำนี้ เมื่อจิตของผู้นั้นมีปัญญา ทำจิตของตนเองให้ไม่มีกายได้สำเร็จ คุณเท่ากับทำให้จิต ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ มีแต่สังขารกับสัญญา
เวทนามีสุขมีทุกข์ แต่คุณไม่มีเวทนาที่เป็นตัวสุขตัวทุกข์แล้ว คุณก็พ้นสุขพ้นทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายของโลกุตระ แต่คุณเป็นผู้ที่มีจิตนิยามอยู่เหนือจิตโลกียะที่ยังมีสุขมีทุกข์ เหนือโลกียะเรียกว่าโลกุตรจิต จิตโลกุตระจึงทำให้จิตไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้ เป็นพีชะ เพราะอย่างไรคุณก็เป็นจิตนิยาม คุณเกิดมาเป็นสัตว์เป็นจิตนิยาม พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้ให้มีอำนาจเหนือจิต รู้เท่าทันโลก โลกมี กามโลก กามภพ คุณก็ต้องเรียนรู้สิ่งที่มันมาเป็นอิทธิพลของ กามโลก กามภพ ทางตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นกิเลส
จนคุณเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่งว่ามันมาปรุงแต่ง ที่จริงมันสัมผัสแตะต้องแล้ว มันก็มีเวทนาเดียว ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นเวทนามีความชัดเจนความจริงตามความเป็นจริง มีเวทนาเดียว สีมันม่วงๆก็คือม่วงๆ แต่ไปรู้สึกว่าม่วงนี้น่าได้ น่ามี น่าเป็น หรือน่าชัง คุณก็มีเวทนาที่มันมีคู่ ไม่เป็นหนึ่ง ที่ไม่เป็นความจริงตามความเป็นจริง
คุณก็จะต้องไปหวั่นไหวแล้วก็ยึดเอาเป็นหลัก ตามความเป็นจริง คุณก็รู้ว่ามันจริงกว่า จริงๆแล้วมันไม่ได้ยาก ที่คุณไปปรุงแต่งเป็นรสความชอบความชัง มันไม่จริงเท่าหรอก แล้วมันก็ไม่จริง แล้วคุณจะไปยึดความเป็นไม่จริงจะให้จิตเราเป็นไปตามความไม่จริง เป็นอารมณ์ที่ชอบและสั่งเป็นอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ คุณก็เป็นคนที่วิปลาส จิตคุณก็วิปลาสเพราะจิตคุณวิปลาส สัญญาคุณก็วิปลาส เพราะทิฏฐิคุณวิปลาส คุณก็เลยตั้งมั่นอยู่กับความวิปลาส สัญญาก็เลยวิปลาส เป็นวิปลาส 3 (สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส) เมื่อมีวิปลาส 3 ก็ไปกำหนดผิดหมด
วิปลาส 4 (ด้วยยึดเอาวัตถุเป็นที่ตั้ง) คือ
-
กำหนดความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง
-
กำหนดความทุกข์เป็นความสุข
-
กำหนดความไม่มีตัวตนว่ามีตัวตน
-
กำหนดสิ่งที่ไม่น่าได้น่ามีน่าเป็น เป็นสิ่งที่ น่าได้น่ามีน่าเป็น อสุภะเป็นสุภะ
ชีวิตก็เลยมีแต่วิปลาส 4 กลับกันเลย มันไม่ตรงกับความเป็นจริง คนละขั้ว อย่างนี้เป็นต้น
เรามาเรียนรู้ธรรมะที่เป็นอภิธรรมที่อาตมาอธิบายขึ้นมานี้ เราก็จะได้รู้เรื่องจิตเจตสิกต่างๆ โดยเฉพาะเวทนา ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของศาสนาพุทธ เรียนที่เวทนานี่แหละจะบรรลุทุกอย่างจบ แล้วก็แยกเวทนาให้เป็น 2 ให้ได้ เรียนรู้จากเวทนา 2 ให้ได้ เพราะมีอวิชชามันจะเป็น 2 เมื่อมีวิชชาก็จะเข้าใจว่า เวทนามันต้องมี 1 เท่านั้นแหละ ถ้ามันเป็น 2 อยู่ก็วิปลาสไป กำหนดเวทนาผิดเป็น 2 ก็วิปลาส มันก็ต้องมีแต่ความเป็นจริงตามความเป็นจริง เป็นเวทนา 1 ตามความเป็นจริง ไม่ว่ารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ทางตาภายนอก ทางหูภายนอก ทางจมูกลิ้นกายภายนอก
พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องแยกกายแยกจิตเป็นขั้นที่ 1 เมื่อมาตั้งใจจะไปนิพพาน เมื่อเริ่มบวช ให้เข้าใจกาย ถ้าเข้าใจเมื่อไหร่เป็น กาย เมื่อไหร่ไม่เป็นกาย แยกกายแยกจิตให้ได้ อุตุนิยามไม่มีกาย ก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อุตุ หมายถึง วัตถุ ดินน้ำไฟลม มันไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีชีวะ มันสัมผัสอะไรก็ไม่สุขไม่ทุกข์หรอก นั่นคือมันไม่มี กาย
ทีนี้มา พีชนิยาม พีชนิยามไม่มีกายเช่นกัน แต่พีชนิยามมีชีวะแล้ว อุตุไม่ใช่ชีวะ แต่พีชะเป็นชีวะในระดับ 2 มีสภาวะชีวะขึ้นมา แต่ไม่มีกาย
สำคัญนะการแยกกายแยกจิต แยกอุตุ พีชะ จิต ถ้าเข้าใจเบื้องต้นนี้ไม่ได้ก็เรียนให้ตายอย่างไรก็ไม่ได้นิพพาน เพราะไม่รู้ความเป็นกาย
เวลาจะเรียนรู้สังโยชน์ข้อแรก ก็เรียนรู้ข้อ สักกาย กายของตน ต้องทำความเข้าใจกายและต้องศึกษาที่ตนนี่แหละ สักกะ กาย ของตนต้องมีรูปนามก็เรียนรู้ที่นี่ เวลาจะเรียนสติปัฏฐาน 4 กายในกาย เป็นเบื้องต้น แล้วก็ลึกเข้าไปหา เวทนา จิต ธรรม
คำว่า กาย เข้าใจไม่ได้ตั้งแต่ต้น มิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ต้นก็ปิดประตูเลย ศาสนาพุทธทุกวันนี้พูดได้เลยว่าไม่มีนิพพาน เพราะคำว่ากายเข้าใจไม่ได้ เปรียญ 9 ก็ดี ดอกเตอร์ก็ตาม ยิ่งศาสนาพระป่าหลับตาแล้วด้วยยิ่งปิดกายใหญ่เลย ไม่รู้เรื่อง แต่ไปเรียนเป็นดอกเตอร์ เป็นเปรียญ 9 ก็แล้วแต่ ก็ยังไม่รู้จักกาย ก็ยังเข้าใจว่ากายคือวัตถุดินน้ำไฟลม ไม่ได้มีจิตเข้าไปเกี่ยวข้อง กายไม่มีจิตเข้าไปเกี่ยวข้อง
แต่ยังดีนะในพจนานุกรมบาลีแปล กาย คือ องค์ประชุมของเจตสิก เป็นหมู่เป็นพวกเป็นกลุ่มไม่ได้เป็นเดี่ยว ไม่ใช่เป็นหนึ่งเดียว กายเป็นหมู่มีคู่ 2 ขึ้นไปเป็น 3 4 5 6 7 เป็นองค์ประชุมของเวทนา สัญญา สังขาร ในพจนานุกรมบาลียังแปลอย่างนี้อยู่ ยังมีเชื้ออยู่ แต่ในพจนานุกรมไทย กาย ก็แปลว่าร่างแล้ว ในพจนานุกรมบาลียังแปลว่า องค์ประชุม กอง หมวดหมู่
ความหมายวิชชา 8 แต่ละข้อ
ย้ำอีก ต้องรู้จักคำว่ากายเป็นเบื้องต้นอย่างสัมมาทิฏฐิให้ได้ก่อนอย่างอื่น การสอนสังโยชน์ข้อต้นจึงให้เรียนรู้ กาย หรือ เริ่มมาบวชต้องเรียนรู้การแยกกายแยกจิตให้ได้ก่อน กายนั้นต้องมีจิต แต่ถ้าจิตไม่มีกายนั่นแหละเป็นจิตสำคัญ ตั้งแต่เป็นพีชะลงมา ไปหาอุตุ
เป็นจิตนิยามเสียแล้ว ต้องมาเรียนรู้จิตอย่างพีชะ เป็นอย่างไร จิตอย่างอุตุเป็นอย่างไรแล้วทำใจในใจมนสิการของเราให้จิตมันเป็น อุตุ แต่ธาตุแท้ของเราเป็นจิต เป็นจิตนิยาม เป็นสัตว์ แต่ทำใจในใจของตนไม่ให้ปรุงแต่งเป็น 2 เป็น 3 แต่ให้เป็น 1 ให้รู้ความจริงตามความเป็นจริง รู้ ตากระทบรูปก็มีแต่รูป หูกระทบเสียงก็มีแต่เสียงอย่างนี้ มันจะมีเสียง 2
ในวิชชา 8 ข้อที่ 4 เรียกว่ามีโสตทิพย์ โสตทิพย์คือผู้ที่สามารถรู้ รูป 2 รู้เสียง 2 รู้กลิ่น 2 รส 2 โผฏฐัพพะ 2 แล้วไม่ได้หลงไปกับสิ่ง 2 นั้น เพราะเป็นผู้สูงแล้ว มีวิชชาข้อที่ 4 ในวิชชา 8
-
วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด .. รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง)
-
มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้)
-
อิทธิวิธญาณ (จิตมีอานุภาพในการบรรลุขจัดทำลายกิเลส ได้หลากหลายวิธี) ดู พตปฎ.9/133
-
ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้)
-
เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ความแตกต่างในจิตขั้นอื่นๆ ของตนได้รอบถ้วน) &
-
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)
-
จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์)
-
อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน) (พตฎ. เล่ม 9 ข้อ 127 – 138)
วิปัสสนาคือ มีการเห็น ปัสสะแปลว่า เห็นด้วยตา เป็นการรู้ชนิดที่มีตาเห็นๆ แปลเป็นไทยอย่างนั้น เป็นการรู้ยิ่งด้วยการมีตาสัมผัสอยู่เห็นๆ เพราะไปหลับตาไม่มีวิปัสสนา ไม่มีปัสสะ ปัสสี ไม่มีการเห็น เมื่อเห็นแล้ว จึงมาปฏิบัติเรียนรู้การทำให้สำเร็จด้วยฤทธิ์ เรียกว่ามโนมยิทธิ สำเร็จด้วยจิต คือทำใจในใจของตนเองให้สำเร็จ ให้รู้จักกิเลส แล้วฆ่ากิเลสตายได้ ทำให้กิเลสที่มีอยู่ให้หายไปก็ได้ จะระลึกมีขึ้นมาก็ได้ ว่าคุณสามารถเลือกมาได้เฉยๆมีแต่สัญญา คุณก็ไม่ได้บ้าไปกับสัญญา ได้แต่คุณไม่ได้ปรุงแต่งไปกับสัญญา
มโนมยิทธิ ซึ่งเป็นความสามารถทางจิต เป็นฤทธิ์ทางจิต ซึ่งไม่ใช่ฤทธิ์แบบที่เขาเข้าใจผิดๆกันเป็นพาซื่อที่บอกว่า เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ ขยายไว้ในอิทธิวิธญาณ(อันเป็นไปในฝ่ายปัญญาวิมุติ) ทำจิตให้สำเร็จ มีฤทธิ์
-
หนึ่งเดียวเป็นหลากหลายก็ได้ หลากหลายเป็นหนึ่งเดียวก็ได้ (เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ) เป็นฤทธิ์อย่างยิ่ง ง่ายๆก็คือจิตเป็นหนึ่งเดียวได้คือคุณเก่งแล้ว คุณมีเอกัคคตาแล้ว ทำจิตให้เป็นหนึ่งยิ่งใหญ่ได้ มีอะไรเยอะแยะ สัมผัสโลกทั้งโลก สารพัดที่จะสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีทั้งลาภวัตถุ ยศ อำนาจ สรรเสริญ สุขที่หลอกเต็มไปหมด จิตเราก็เป็นเอโก อยู่กับความหลากหลาย แต่จิตใจเราเป็นหนึ่ง เป็นเอกัคคตา จิตเอกัคคตา ไม่ได้ทำง่ายๆอย่างที่เขาว่ากันหรอก
หลากหลายเป็นหนึ่งเดียวก็ได้ พหุทาปิเอโกโหติ คือ กิเลสตั้งมากมายแต่ทำจิตให้เป็นหนึ่งเดียวถาวรเที่ยงแท้ เอกัคคตา ไม่มีกิเลสอะไรเข้าแทรกได้เลย กิเลสใดๆก็ทำอะไรไม่ได้ นี่คือความหมายคำแปลของ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ
-
ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ซึ่งพูดตามพยัญชนะภาษาเหมือนนักเล่นกล หายไปแล้ว วับออกมาได้ เหมือนไสยบาบา มีสร้อยทองคำออกมาเลย เขาก็เก่งจริงๆนะ ไสยบาบาเก่งจริงๆ อาตมาก็จับผิดที่ว่า แกบอกว่ามีนาฬิกา Rolex ก็เลยบอกว่า คนเป็นนักธรรมะชั้นสูงเอานาฬิกา Rolex เข้ามาได้อย่างไร คุณก็ไปควักของเขามาหรือไม่คุณก็ปลอมนาฬิกา Rolex ออกมา ไปปลอมมามันก็ผิดไปขโมยของเขามันก็ผิด อาตมาจับผิดไสบาบา ตรงนี้ ก็ช่างทำ เก่ง พวกนี้เก่งจริงๆ
ส่แดนธรรม…คำว่า ทำให้หายก็ได้ทำให้ปรากฏก็ได้ ถ้าคนไม่เข้าใจจะหาว่าเราปลิ้นปล้อน
พ่อครูว่า…เหมือนการอนุโลม อย่างอาตมาไม่มีกิเลสแต่ทำเหมือนมีกิเลส ทุกวันนี้พยายามจะฟื้นขึ้นมา กินอาหารให้มันอร่อย พยายาม เลยบอกว่าปรุงมาเลยทำอร่อยมา ทุกวันนี้อาตมาเมื่อยจริงๆ กินอาหารเหมือนเข้าสนามรบ จริงๆแล้วมันมีเหตุปัจจัยเยอะ จริงๆร่างกายอาตมามันไม่ต้องการอาหารแล้ว มันต้องการตายแล้ว แต่อาตมาเข็นมัน แม้แต่อยู่ทุกวันนี้ฝืนกินให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งอาหาร กวฬิงการาหารไว้ หากเอาผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร อาตมาเบื่อจนไม่รู้จะเบื่ออย่างไรแล้ว เพราะฉะนั้นก็ประคองเอาไว้เท่านั้นเอง มีขันธ์ 5 มีผัสสะ ก็มีมโนสัญเจตนา ก็มีวิญญาณอยู่ด้วยนั่นแหละ ก็ต้องกินอาหารไว้ประคองขันธ์ไว้
สู่แดนธรรม…ต้องเป็นบุคคลที่ทำได้จริงไม่หลอกลวงชาวบ้าน หากพวกเราไปอ้างอย่างพ่อท่าน
พ่อครูว่า…อรหันต์ใหม่ๆยังพูดอย่างอาตมาไม่ได้ ไม่กล้าพูดหรอก ต้องเป็นโพธิสัตว์แข็งแรงพอสมควรจึงจะพูดอย่างอาตมาได้
สมณะเดินดิน…หากว่าฉันอร่อยคงไม่ฉัน 3 ชั่วโมง
พ่อครูว่า…คนเขาว่ากินอะไรตั้ง 3 ชั่วโมง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรมันเมื่อย เคี้ยวไป ก็ค่อยๆเคี้ยวๆๆ ถ้าเผลอว่าอาตมาไม่พยายามเคี้ยวให้ละเอียด แก่ขนาดนี้แล้ว อาหารก็ไม่เคี้ยว กลืนๆเหมือนเด็กๆไม่ได้หรอกไม่ช่วยขันธ์มันก็ตาย มันจะซ้อน อายุจะสั้นลงไปอีก ก็เลยประคองไป เหมือนกับเลี้ยงมนุษย์พืชไว้ มนุษย์พืชที่ควบคุมพืชได้แล้ว
จิตวิญญาณ สามารถควบคุมความเป็นพืชได้ อยู่เหนือ มี วสวัตตี ใช้ความเป็นพืชในประเด็นที่ไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์ เป็นคนที่ไม่มีกาย ไม่มีบาปไม่มีบุญแล้ว พืชพันธุ์ธัญญาหารมันไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีจองเวรจองกรรม ไม่มีอัตตา อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งถ้าเข้าใจพวกนี้ไม่ได้ คุณก็ทำจิตของคุณให้เป็นพีชะไม่ได้
แล้วคุณสมบัติของ พีชะ เป็นอย่างไร คุณก็แยกไม่ออก ไม่ชัดเจน แล้วจะทำใจในใจให้เป็น พีชะ คุณจะทำอย่างไรในเมื่อคุณเข้าใจไม่ได้ เพราะงั้นการเข้ามาบวชไปนิพพานต้องมารู้การแยกกายแยกจิตให้ได้ ต้องทำจิตให้เป็น พีชะ ให้เป็นอุตุ แล้วไปนิพพาน ถ้าคุณเข้าใจพีชะ อุตุ ทำจิตไม่ได้ ก็เป็นพระอรหันต์ไปนิพพานไม่ได้หรอก
อรหันต์เก๊ ทุกวันนี้ ปัดโธ่เอ๋ย ไม่ต้องอ้าปากหรอก อาตมามองข้างนอกก็เห็นลิ้นไก่แล้ว ขออภัยคุยตัวเกิน ไม่อ้าปากมองทะลุเข้าไปได้อย่างไร ทำให้ปรากฏก็ได้
ทำให้หายก็ได้ ก็คือทำกิเลสนี่แหละ
-
ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ก็หมายความว่า กองกิเลสใหญ่เหมือนภูเขา ก็เดินผ่านไปได้เหมือนในที่ว่างได้ ไม่ขัดไม่ติด เหมือนทะลุภูเขา ทะลุกำแพง ทะลุกองกิเลส ทะลุกองโลกียะทางโลกเขา ผ่านเหมือนเดินไปในที่ว่าง
-
ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้แม่น้ำ หมายความว่า จะผุดขึ้นมาจากแผ่นดิน ก็เหมือนโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำ เดินอยู่บนแม่น้ำก็เหมือนดำดินอยู่บนดิน ก็หมายความว่าทำได้กลับกันกับคนทั้งโลกเขาทำได้ คนมันเดินบนน้ำไม่ได้หรอก คนมันดำลงไปในดินไม่ได้หรอก ตอนนี้ทำได้กลับกันกับคนทั้งโลกเขาทำ มันเป็นอภินิหารอย่างนั้น
ถ้าไปเข้าใจโดยไม่เข้าใจภาษาธรรม ภาษาคน ก็แปลไปอย่างซื่อๆว่า มีอิทธิฤทธิ์เดช ดำลงไปในดินได้ เหมือนขอมดำดิน
สู่แดนธรรม…อันนี้เป็นภาษาของญาณหรืออธิปัญญาสิกขา
พ่อครูว่า…ใช่ เป็นภาษาของภูมิปัญญา ไม่ใช่ภาษาของคนสามัญ
-
เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้
-
เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ สบายเบา เหมือนมีปีกสองปีกบินไปไหนได้ เบาสบายไม่หนักไม่มีอะไรเป็นภาระ ก็เหมือนคนเหาะได้ ไม่มีอะไรติดขัด ไม่มีอะไรถ่วง นี่คือความหมายของธรรมะ
-
ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ หมายความว่าโลกียะจะแรงจะร้อนขนาดไหนเหมือนพระอาทิตย์พระจันทร์ ลูบหัวล้านพระอาทิตย์เล่นได้สบาย ไม่มีฤทธิ์อะไรกับเราเลย
-
ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ อำนาจทางกายเอาไปหมด ทั้งรูปทั้งนาม เป็นรูปนามที่สะอาดบริสุทธิ์ทั้งหมด มีฤทธิ์มีอำนาจสะอาดทั้งหมด เป็นฤทธิ์อำนาจทางโลกุตรธรรมไปตลอดพรหมโลก พรหมโลกคือแดนสะอาดบริสุทธิ์ รูปก็สะอาดนามก็สะอาด เป็นอำนาจทางจิต ทำให้สะอาดถาวรด้วย เรียกว่าพรหมโลก หรือพรหมกาย ใช้เต็มๆคำว่า อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกคือพรหมกาย พระพุทธเจ้าบอกว่า พรหมกายคือชื่อของเราตถาคต เป็นชื่อของรูปนามที่สะอาดบริสุทธิ์