640524_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 3 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Ch3aOUKaLDNkt9oprsByw3rfL7_97KdgddL7lGbJmV0/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1JOVCjYNE4TNW84bTnbs7MrqkM-4L4oqd/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/AqpaAVOE2bg พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก กล้วยน้ำว้าจากบ้านศีลแสงฟ้าเฟส 1 และมีมะม่วงกำปั้น จากลูกอโศก เห็นความเมตตาของพ่อครูที่ให้โอกาสลูกๆที่จะเข้ามาเป็นนักบวช เช่นผู้ที่สึกออกไปแล้วเขาประสงค์จะบวชก็ไม่ต้องผ่านขั้นตอนอารามิก จากพุทธสถานอื่นมาอยู่บ้านราชฯก็เป็นต่อได้เลย ฐานะอื่นก็เช่นกัน ส่วนผู้ที่เคยสมัครบวชกับพ่อครูไว้แล้วตั้งแต่อายุ 20 ปีกว่าๆแล้วอยู่ในพุทธสถานชุมชนชาวอโศกมาตลอดจนถึงปัจจุบันจะได้รับความเมตตาคืนสิทธิ์ต่อได้หรือเปล่าคะ พ่อครูว่า…ไปพิจารณากัน ให้คณะกรรมการคิดพิจารณากัน อย่าให้อาตมาคิดเลย เมื่อยคิดแล้วอาตมาทำกฎระเบียบชาวอโศก เรียบเรียงขึ้นมา เดี๋ยวนี้อ่านบ้างไม่อ่านบ้างใช้บ้างไม่ใช้บ้างบางอย่างก็เลิกไปแล้วก็ตามความเป็นไป แล้วแต่ยุคกาลก็เป็นธรรมดา วันนี้ก็มาต่อ นรชนคือคนผู้เพลินไปด้วยอวิชชา คูหัฏฐกสูตร เป็นเรื่องเยอะ เพราะคนโง่ซับซ้อน จมอยู่ในความหลงในถ้ำกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว แต่ละคำล้วนแล้วเต็มไปด้วยอวิชชา ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องบอกให้เขารู้ตัวให้เขาได้คิดจะไปจมอยู่อย่างนั้นทำไม ก็มาทางที่จะหลุดพ้น มีแต่จมลงจมลงจะให้ทำอย่างไร สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้าถึงรูป เมื่อตั้งอยู่ย่อมมีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้ง ซ่องเสพความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้าถึงเวทนา … วิญญาณที่เข้าถึงสัญญา … หรือวิญญาณที่เข้าถึงสังขาร เมื่อตั้งอยู่ ย่อมมีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้ง ซ่องเสพความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่ แม้ด้วยประการอย่างนี้ พ่อครูว่า…นรชนก็คือคนทุกคนถ้าอวิชชาก็เพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านี้ สร้างไอ้นี้โตไปเรื่อย งอมงามจมลงไปเรื่อยๆ ฟังให้ดีแต่ละคนๆ ใช้ปัญญา ใช้ความเข้าใจให้ดีๆเราเคยโง่มาทุกคนโง่เง่าอย่างนี้ทั้งนั้น เสร็จแล้วก็ติดยึดจมอยู่นานนับชาติเป็นล้านๆ ฟังดูแล้วมันเหมือนนิดเดียวง่ายๆ แต่ที่แท้มันกินลึกมหาศาล นานมากว่าจะมาถึงวันนี้ พวกคุณได้ฟังได้เข้าใจก็ชัดเจนขึ้นเกิดความรู้ๆๆ แล้วพลังงานที่รู้ก็คือปัญญา มันมีธรรมฤทธิ์มากนะ เป็นธรรมฤทธิ์ มันจะสลายความยึดติด สลายความโง่ ปัญญายิ่งมีพลังงานมาก ยิ่งมีฤทธิ์มาก ยิ่งสลายได้จริง สลายได้เยอะ สลายได้แน่นอน สลายได้ถาวรมั่นคงยิ่งขึ้นๆ สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่า ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความปรารถนา มีอยู่ในกวฬิงการาหาร วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้น พ่อครูว่า…ทุกคนเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องกินอาหาร บรรลุสูงสุดขนาดนั้น พระอรหันต์ทุกคนก็ต้องกินอาหาร คนธรรมดา เปรต แม้แต่สัตว์ก็กินอาหาร แต่มันกินด้วยความหลง ถ้าเอาอาหารเรื่องเดียวนี่แหละ กวฬิงการาหาร ถ้าเรียนรู้ดีๆรอบถ้วน และอัตถิอุปมา เอาไปเทียบกับสิ่งอื่นๆจะเห็นแจ้งรู้จริงทั้งหมดเลยก็จะเป็นนัตถิอุปมา เปรียบเทียบอะไรก็ชัดเจนหมด ว่าอะไรเป็นตัวปรุงแต่ง อะไรเป็นตัวไม่ต้องปรุงแต่ง เป็นหนึ่งเดียว อะไรปรุงแต่งเป็น 2 3 ขึ้นไปก็จะรู้ไปหมด วิญญาณตั้งอยู่งอกงามในที่ใด พ่อครูว่า…หทยรูป มันจะอยู่ที่ไหนก็ตรงนั้นแหละมันไม่มีสถานที่ไม่กินพื้นที่เลย ไม่เสียสถานที่ไม่เสียเวลาไม่เสียอะไรอื่นเลยมันไม่เสีย ซึ่งมันอธิบายยาก หทยรูป ใครจับอาการวิจัยวิจารณ์แยกแยะได้ ทั้งนั้นแหละ ตัวนั้นแหละตัวอัตตา ตัวผี ตัวมาร ตัวเทวดา หรือว่าตัวจบก็อยู่ในนั้น หทยรูป ความหยั่งลงแห่งนามรูปก็มีอยู่ในที่นั้น ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายมีอยู่ในที่ใด ความเกิดในภพใหม่ต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น ความเกิดในภพใหม่ต่อไปมีอยู่ในที่ใดชาติ ชรา มรณะต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น ชาติ ชรา มรณะต่อไปมีอยู่ในที่ใด พ่อครูว่า…ก็วนเวียนอยู่ในสามเส้าของ สังขาร วิญญาณ นามรูป จนกว่าคุณจะมาเรียนเรียนผัสสะเวทนา 108 เกิดผัสสะเกิดเวทนา เมื่อผัสสะก็จะเกิดอายตนะเป็นสะพานเชื่อม แล้วจึงเกิดตัวตนเป็นเวทนาพุทธเจ้าจึงให้เรียนเวทนาให้ไปถึงตัณหาคือตัวเหตุ อุปาทานเป็นตัวเหตุ จนกระทั่งใช้ปัญญาล้างตัณหาอุปาทานได้หมด หมดภพชาติ ชรา มรณะ โศกะ ปริเทวฯ หมด พวกนี้ก็เหลืออายตนะ ผัสสะ เวทนา อายตนะ เป็นตัวกลาง ผัสสะ แล้วเกิดเวทนา ที่จริงเวทนาหรืออายตนะ ถ้าจะปั้นเวทนาอาการหยาบๆ มาเป็นอายตนะ มันก็เป็นอายตนะนั่นแหละ อายะ กับ ตนะ อายะคือ ประโยชน์ คือกำไรส่วนที่ได้ ถือว่าเป็นของส่วนที่ได้ ตนะ ตัวตน ตน ที่ตั้งอยู่ ที่จริงมันไม่ได้ตั้งหรอก น พอเราไปยึดถือว่ามันมีมันก็ ต ยึดว่ามันไม่มี ถ้าเป็น น จะเอา ต หรือ น เรายังไม่สูญปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ต้องมี ต หรือถ้าเราทำให้มันไม่มีก็ทำให้มันไม่มีได้ จิตของเราทำให้ไม่มี เมื่อทำให้มันไม่มีอาการของมันก็ไม่มีในจิต อย่างเช่น อาการรสของความชอบ ความสงบ มันก็ไม่มี มันเป็นอาการกลางๆ เรารู้ความจริงตามความเป็นจริง มันหลอกเราได้ดี เชิงชอบกับเชิงชัง บางคนมันไปชอบแบบชัง แบบซาดิส แบบมาโซคิส แบบเจอกันต้องแรงๆ มันถึงจะเพื่อนแท้ ถ้าอีกแบบก็เป็นกะเทย พวกซาดิสจะชอบความรุนแรง พวกฮาร์ดร็อก พวกกีฬา พวกนักรบ แม้แต่เสียงก็ต้องให้ดัง แม้แต่ รสก็ต้องจัดจ้าน ต้องซี้ดๆ กลิ่นต้องให้ฉุนขนาดหนัก มันก็ชอบจัดๆจ้านๆ พวกนี้ยังอีกนานมันยังสลายยาก ชอบแบบแรงๆ ชอบเป็นก้อน ชอบหนัก ชอบจัดจ้าน กระทั่งว่าเมื่อไหร่มาถึงจะจบ ถ้ามันไม่บางจางคลายลงไปได้ ถ้าหากบางจางคลายลงไปเรื่อยๆ คนนี้ก็มีหวังให้หมดความติดยึด มันเป็นสัตว์โลก ท่านแบ่งเป็นขิฑฑาปโทสิกะ กับมโนปโทสิก หนึ่งโง่เพราะอารมณ์โลก ขิฑฑา ขิฑฑาแบ่งเป็น 2 อย่างคือ ซาดิสม์กับโรแมนติก โรแมนติกก็ชอบกาม ซาดิสซึ่มก็ชอบอัตตารุนแรง มันก็มี 2 ทิศทางใหญ่ๆ กามสุขขัลลิกะ กับอิตกิลมถะ พ่อครูว่า…ผู้ใดชื่อว่าความโศกยกมือขึ้น ผู้ใดชื่อว่าอโศกยกมือขึ้น …ชัดเจนพยัญชนะนะ แต่สภาวะของใครก็ของมัน บางคนอาจจะเหลือน้อย บางคนจะเหลือมากหมกหมักไว้ นรชนเมื่อตั้งอยู่ก็หยั่งลงในที่หลง ต่อมาที่ มโนสัญเจตนาหาร เจตนาเป็นตัวตัดสิน เจตนาเป็นกรรมที่คุณต่อไป ต่อยาวไปหรือกรรมที่คุณตัด คุณเจตนาหยุดมุ่งหยุดต่อไป คุณก็รู้ของคุณว่าคุณหยุดต่ออาการของจิตของคุณ ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวว่า ที่นั้นมีความโศก มีความหม่นหมอง มีความคับแค้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความปรารถนา มีอยู่ในผัสสาหาร … ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความปรารถนา มีอยู่ในมโนสัญญาเจตนาหาร … ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่า ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความปรารถนา มีอยู่ในวิญญาณาหาร วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงามในที่นั้น วิญญาณตั้งอยู่งอกงามในที่ใด ความหยั่งลงแห่งนามรูปก็มีอยู่ในที่นั้น ความหยั่งลงแห่งนามรูปมีอยู่ในที่ใด ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายก็มีอยู่ในที่นั้น ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายมีอยู่ในที่ใด ความเกิดในภพใหม่ต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น ความเกิดในภพใหม่ต่อไปมีอยู่ในที่ใด ชาติ ชรา มรณะต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น ชาติ ชรา มรณะต่อไปมีอยู่ในที่ใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ที่นั้นมีความโศก มีความหม่นหมอง มีความคับแค้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่ แม้ด้วยประการอย่างนี้. พ่อครูว่า…นรชน คือคนยังตั้งอยู่ด้วยอวิชชางอกงามไพบูลย์อยู่ในวิญญาณที่เกิดปรุงแต่ง ที่เกิดสังขาร งอกงามไพบูลย์ถึงเวทนาต่างๆ ก็ไม่รู้จักเวทนา ยึดถือเวทนาเป็นเราอยู่ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) สู่แดนธรรม…คำว่างอกงามไพบูลย์คือไม่ใช่ความเจริญนะ แต่กิเลสเจริญคือความเสื่อม พ่อครูว่า…เหตุปัจจัยคือมันยังมีตัวกระเปาะอยู่ แล้วมันรู้สึกว่ามันจะเจริญงอกงามขึ้นมาบ้าง มันก็เลยออกฤทธิ์ออกเดชอยู่ มันดีอยู่ที่ว่ามันไม่เจ็บปวดมันมีแต่คันแล้วก็ไอให้เสมหะมันหลุดออกมา มันสร้างเสลด แล้วเสลดเหนียวไม่ค่อยออก มันก็ต้องใช้แรงขับดันให้มันออกไม่ออกมันจะคาอยู่อย่างนั้นคันอยู่นั่นแหละ ก็เลย เอาละ คำว่า หยั่งลงในที่หลง พ่อครูว่า…ชอบไหม? ไม่ชอบหรือหยั่งลงในที่หลง พวกเราฟังชัดเจนดี คนที่ไม่ประสีประสาฟังแล้วก็ไม่รู้เรื่อง หยั่งลงในที่หลง แต่คนที่ฟังรู้เรื่องแล้วจะรู้ว่านี่เป็นภาษาขั้นเทพ เป็นภาษาอุตริมนุสธรรม โลกุตระเลยนะ มีความว่า กามคุณ 5 คือ รูปที่พึงเห็นแจ้งด้วยจักษุ ที่น่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสต พ่อครูว่า…เอาก็มีอุปทานหมู่กันไปในสิ่งที่เสกร่วมกันเช่นทุเรียนลูกละ 700,000 บาท ไม่ต้องเอาอะไรหรอกกล้วยที่บ้านของปางแก้ว ต้นกล้วยต้นนั้นขายต้นละ 70,000 บาท คือมันแล้วแต่จะสมมุติ แล้วคนไม่รู้ตัวหรอกว่าคนไปติดสมมุติ ไปติดยึดเท่าไหร่มันก็เอาอันนั้น คำว่ายึด อุปาทาน มันตัวเดียวนี่ หลงว่าใช่ ยึดเลย เสร็จ …กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะ … รสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหา … โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ที่หลงเพราะเหตุไร กามคุณ ๕ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ที่หลง. เพราะเหตุว่า เทวดาและมนุษย์โดยมาก ย่อมหลง static หลงพร้อม dynamic หลงเสมอ infinity เป็นผู้หลง (พ่อครูว่า…เป็นเทวะตีแตกแยกไม่ได้ ใครมาตีแตกก็บอกนรกกินหัวนะ พระเจ้าสั่งลงนรกนิรันดรนะ ขู่ไว้เลย) เป็นผู้หลงพร้อม เป็นผู้หลงเสมอในกามคุณ ๕ เป็นผู้อันอวิชชาทำให้ตาบอด หุ้มห่อไว้ ปิดไว้ ปิดบังไว้ ปกปิดไว้ ปกคลุมไว้ครอบงำแล้ว เพราะเหตุนั้น กามคุณ ๕ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ที่หลง. คำว่า หยั่งลงในที่หลงคือ หยั่งลง ก้าวลง หมกมุ่น จมลงในที่หลง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่ก็หยั่งลงในที่หลง. พ่อครูว่า…ขอยกตัวอย่าง ตามที่เป็น ไม่ว่าจะเป็นธัมมชโยก็หลงภพชาติอย่างที่เขาเป็น (พ่อครู มีน้ำมูกก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดสั่งนำมูก ตัดออกด้วย) พ่อครูว่า…คำว่าอวิชชาไม่รู้ปรุงแต่ง สังขารก็ไม่รู้ ถ้ามาแยกแยะตีแตกทีละสอง เวทนา ที่เกิดเพราะผัสสะมีอายตนะ ไปยึดว่ามีประโยชน์ก็เลยกลายเป็นตน ที่เราได้เรามีเราเป็นก็เป็นตนอยู่ตรงนั้น ก็ต้องมาเรียนรู้ที่เป็นจุดสำคัญของกรรมฐาน เรียนอายตนะ ผัสสะ เวทนา เลื่อนมาจากวิญญาณ นามรูป มาผัสสะ ก็จะเกิดอายตนะ เกิดเวทนา แยกสอง อายะ กับ ตนะ ตนะ เป็น static อายะ เป็น dynamic ถือว่าเป็นประโยชน์นายทุนนี้ชอบมากเป็นประโยชน์จะสะสมมาเป็นของกูตัวกู ตัวตนะ มันก็ยังไม่มีจบมีแต่ตัวตนตลอดกาล มาเรียนรู้แล้วไปหลงอารมณ์เวทนา 2 อารมณ์จริงๆมันมีหนึ่งเท่านั้นคือวิญญาณ ต้องแยกแยะไอ้ที่มันเป็นตัวหลอก ตัวมายา พระพุทธเจ้าบอกว่าเราหักเรือนยอดของเธอแล้ว เรือนของมารก็ไม่มีอยู่หมดเคหะ หมดที่อยู่ก็ตาย เหมือนไวรัส มันไม่มีที่พักที่อาศัยที่เกาะมันชักตายนะ มันอยู่ในอวกาศมันมีอายุของมันอยู่ได้ไม่นานหรอก เหมือนกันกับพืชหลายอย่างถ้าไม่มีดินให้เกาะมันอยู่ไม่ได้ จนกระทั่งกลายเป็นพืชที่ไม่ต้องเพราะดินเกาะเกี่ยวกับน้ำ มันก็เป็นพวกไฮโดร เอาใส่ธาตุในน้ำก็อยู่ได้ บางอย่างก็อยู่กับอากาศเลยกินอาหารอยู่กับกับอากาศ เช่นพวกกล้วยไม้ต่างๆเป็นต้น แม้แต่หนวดฤาษีก็ยังกินอากาศเลย ไปดูที่สวนนันทวันชั้น 4 ได้ เราก็ต้องดูแลมัน พ่อครูว่า…จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่ก็หยั่งลงในที่หลง. คุณตั้งอยู่เพราะหยั่งลงในที่หลง หลงว่าเป็นตัวกูของกู ควรจะได้ควรจะมีจะเป็น งอกงามไพบูลย์ มันก็มีแต่จะบานไปไม่มีที่สิ้นสุด ใครจะมาหาทางสูญก็ชัดเจน คนละมุมคนละทิศละทาง กายวิเวกไม่ใช่ออกป่าเขาถ้ำ ว่าด้วยวิเวก ๓ อย่าง [33] คำว่า นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก มีความว่า วิเวก ได้แก่ วิเวก ๓อย่าง คือ กายวิเวก จิตตวิเวก อุปธิวิเวก. พ่อครูว่า…วิเวกแปลว่าสงัด หลีกเร้น เช่น พระพุทธเจ้าท่านทรงปลีกวิเวก หลีกเร้น พักผ่อน ไม่ใช่แปลว่าจบสงบ จบดับ จบหยุด จบ 0 ไม่ใช่ แต่ไปพัก แต่แค่วิเวกคุณก็ยังไกล เพราะคุณหยั่งลงในที่หลงไม่ออกจากถ้ำ ถ้ำคือคูหะของตนเอง ไม่ต้องออกป่าหรอก ยิ่งออกป่า ถ้ำคือตนเอง หอบไปอยู่ป่าด้วยก็ยิ่งจมและจม จมหนัก ทุกวันนี้พวกออกป่าเขาถ้ำเป็นเดียรถีย์ อาตมาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ก็ให้สติเดือนอยู่ เอาตำราพระไตรปิฎกมาอธิบาย กายวิเวกเป็นไฉน? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมส้องเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่า โคนต้นไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง และเป็นผู้สงัดด้วยกายอยู่คือ เดินผู้เดียว ยืนผู้เดียว นั่งผู้เดียว นอนผู้เดียว เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาตผู้เดียว กลับผู้เดียว นั่งอยู่ในที่เร้นลับผู้เดียว อธิษฐานจงกรมผู้เดียว เป็นผู้เดียว เที่ยว อยู่ เปลี่ยนอริยาบถ ประพฤติรักษาเป็นไป ให้เป็นไป นี้ชื่อว่า กายวิเวก. พ่อครูว่า…นี่คือผู้มิจฉาทิฏฐิทั้งหลายแหล่ กายวิเวกเขาก็ออกป่าออกเขาถ้ำแล้วก็ประพฤติอย่างที่ว่านี้แหละ ไปผู้เดียวอยู่ผู้เดียวไม่เกี่ยวกับใคร เปลี่ยนอิริยาบถรักษาตัวเองไปกินวันกินคืนไปถึงเวลาก็ตายแล้วก็จมอยู่กับความติดยึดอย่างเก่า จมอยู่ในที่หลง เกิดขึ้นมาใหม่ก็หากว่าเจอสัตบุรุษก็ดี เจอสัตบุรุษแต่ไม่ยอมรับสัตบุรุษ ยังนึกถึงแต่อาจารย์เก่าทำอย่างเก่าก็จมลงไปอีก ชาติต่อไปก็ยิ่งจมหนัก ดีไม่ดีไปเจออาจารย์เก่าแบบเก่าก็ไปด้วยกัน หนักเข้าไปใหญ่เลย ไม่ได้ไปใส่ความเขามันเป็นเช่นนั้นลางเนื้อชอบลางยา ไม่ตื่นมาซักที ต้องให้ชัดว่าคุณจะตื่นหรือจะหลับไหล ถ้าคุณจะหลับไหลก็ไปอย่างที่เขาเป็น แต่ถ้าจะตื่นมาก็ตื่นมาทางอย่างชาวอโศก ก็ไม่ชัดเจน เพื่อนของอาตมาชื่อ ชาคร เล่นไสยศาสตร์มาด้วยกัน เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง เขาก็ว่าไปก่อนก็แล้วกัน เราจะยังอยู่ช่วยทางนี้เขาก่อนก็ยังช่วยทางไสยศาสตร์ อาตมาเคยเล่นไสยศาสตร์มา 8 ปีแต่เขาก็ยังเล่นอยู่ของเขานี่ไม่เจอกันนานแล้ว แต่ได้ข่าวว่าเมียเขาเสียแล้วแต่ตัวเขาเองจะอยู่หรือเปล่า คนนี้จบวิทยาศาสตร์ ทำงานห้องวิจัยน้ำมันของเชลล์ ก็พูดถึงเหตุปัจจัย ว่าเคยมีเพื่อนทางนี้ เขาก็ว่าให้เราไปก่อนเถิด เขายังจะช่วยทางนี้ เหมือนสัญชัยเวรทบุตรสมัยพุทธกาล พ่อครูว่า…นี่คือวิเวกแบบสงบสงัดของเขาซึ่งยังไกลไปจากวิเวก หรือที่เรียกว่าปัสสัทธิสงบที่รู้จักเหตุตายสนิทเลย ตอนนี้แหละตายสงบสมบูรณ์แบบเขายังไม่ถึง จิตตวิเวกถึงรูปฌาน อรูปฌาน จิตตวิเวกเป็นไฉน? ภิกษุผู้บรรลุปฐมฌาน มีจิตสงัดจากนิวรณ์ บรรลุทุติยฌาน มีจิต สงัดจากวิตกและวิจาร บรรลุตติยฌาน มีจิตสงัดจากปีติ บรรลุจตุตตถฌาน มีจิตสงัดจากสุขและทุกข์ บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา(อัตตาต่างๆ) บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากาสานัญจายตนสัญญา บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากวิญญาณัญจายตนสัญญา บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากิญจัญญายตนสัญญา พ่อครูว่า…ฌาน 4 ของฤาษีเดียรถีย์ก็มีตัวตนแม้อุเบกขาก็มีตัวตน คือฌานของมิจฉาทิฏฐิ แต่เขาไม่รู้หรอกถ้าเขารู้เขาก็หลุดพ้น แต่ฌาน 4 ของพุทธ นี่ปรุงแต่งให้หมดตัวตน แต่ถ้าปรุงแต่งไม่รู้จักหยุดก็เลยมีตัวตน อย่างเช่นหนึ่งฟ้าเป็นต้น ก็สงสาร หรืออย่างท่านประยุทธ์ ปยุตโตเป็นต้น ที่จริงให้ทำทีละ 2 แล้วก็จะจบ เป็น 1 เป็น 0 แล้วจะรู้ว่า 0 ก็คือ ล้าน แล้วล้านก็เป็น 0 พวกมิจฉาทิฐิเทวนิยมนอกจาก ฌาน 4 เขามีหมดเอาสัญญาเป็นตัวตั้ง กำหนดรู้ปฐมฌาน ไม่มีนิวรณ์ ฌาน 2 มีวิตกวิจาร ปีติ สุข แต่ยังไม่อุเบกขา มีแต่เอกัคคตา เป็นหนึ่ง พอมาฌาน 2 ไม่มีนิวรณ์ 5 ก็ยังไม่ชื่อว่าอุปสโมสุข ยังแรงอยู่ ตัวจิตก็ยังไม่อุเบกขา ยังถือเป็นเอกัคคตา เป็นหนึ่ง จนดับปีติเข้าถึงฌาน 3 จะมีสุขสงบ คนโลกีย์ ได้เห็นอาการนี้ ถ้าเราไปยุ่งอยู่กับนิวรณ์ กับไม่มีนิวรณ์ ก็อยู่กับวิตกวิจารกับมีกับไม่มีนิวรณ์อยู่อย่างนี้ วิตก กับวิจาร เป็นธาตุบวกลบสองธาตุนี้ ก็ไม่ต้องไปยึดติดกับ 2 ธาตุนี้ที่มันเป็นตัวเป็นตน คุณเลิกวิตกวิจารได้ ก็ดีใจได้ปีติ ก็ยังเป็นตัวปรุงแต่งอยู่ ต้องลดปีติ มันก็เบาว่างดี ก็ชัดเจนขึ้นก็รู้ก็ค่อยๆวางปีติ เมื่อ วางปีติ เข้าหาสุข ไม่ทุกข์ไม่สุขดีจนกระทั่งมาเข้าใจความสุขความทุกข์ให้มาเป็นหนึ่ง สุขก็คือทุกข์ ทุกข์ก็คือสุข ไม่ต้องไปแยกเป็น 1 เป็น 2 ที่ไปติดยึดเข้าหาสุขเลย ก็ต้องทำให้ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ มีตัวตนก็ไปติดอยู่ที่สุขมันกลายเป็นเทวนิยม ได้เป็นพวกสุขนิยม จนกระทั่งลืมว่าวิธีมันแยกแยะอย่างไรจมติดอยู่กับสุข ไม่ต้องปรุงอะไรเป็นหนึ่ง อย่างเดียว หนึ่งไม่มี0 มีแต่ 1 กับ 1 เป็นเทว เทวมันเป็น 2 แต่เขาก็ให้เป็น 1 อย่ามาแตะแยกแยะต้องเป็นหนึ่งเด็ดขาด อย่ามาใหญ่กว่าข้า ข้าใหญ่ที่สุด อย่ามาแตะต้องข้า นี่คือพระพรหมเป็นใหญ่ ห้ามใครแตะต้องห้ามใครวิตกวิจาร ตัวเองก็ไม่รู้จักวิตก วิจารตัวเอง ช่าง ไม่รู้ตัวเอง ๆๆๆๆ ยึดติดตัวเองเป็นของกูตัวกูนี่แหละ อยู่ที่สุข จมอยู่ที่สุข นิรันดร นี่คือพวกสุขนิยม พวกสุขนิยมก็วนเวียนกับกรรมวิบากกรรมจำแนกสัตว์เขาก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้กัมมโยนิ กัมมทายาโท ฯ ก็จะเป็นความสุขใจที่สุดคือเป็นเจ้าของ เป็นเจ้าของที่จะมีอำนาจให้ลาภยศสรรเสริญแม้ที่สุดให้ความสุข สรุปที่ตัวให้ความสุข ต้องการสุขเป็นทาสข้า ต้องอ้อนวอนข้า ข้าสั่งอย่างไรทำตามทุกอย่าง อย่ากระดิก อย่าแก้ไข อย่าเปลี่ยนแปลง เป็นอำนาจใหญ่เป็นเช่นนี้ หลงอันนี้กันจริงๆไม่เชื่อไปถามโดนัลทรัมป์ ไปถามคิมจองอึน หรือไปถามปูติน จะไปถามสีจิ้นเผิงก็ได้ ลองไปถามสิจะเข้าใจอย่างที่อาตมาเข้าใจไหม เขาจะวางไหม ถ้าเขาวางได้ข้ามฟากที่นี้มาเกิดเมืองไทย มาเป็นโพธิสัตว์รูปใดรูปหนึ่งเลย ถ้าวางไม่ได้เขาก็จะอยู่วนเวียนอยู่กับบริวารเขาอีกเยอะ สี บริเวารเยอะนะ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะเมืองไทยนะบริวารของสีจิ้นผิง อยู่ในเมืองนอกก็เยอะแยะ พวกมิจฉาทิฏฐิ ใช้สัญญาเป็นตัวสร้างเป็นตัวกำหนดผู้ที่ยังยึดติดอยู่แค่หยาบใหญ่ แล้วก็ติดอยู่อย่าว่าแต่ฌาน 1 2 3 4 เลย หลงแม้แต่กาม รสเต็มที่เลย อย่างมหาบัวเป็นต้น รสอร่อย แล้วไม่มีอะไรมากหรอก หมากพลู ซึ่งมันไม่มีเลยหมากพลู พลูก็ยัน หมากก็ฝาด มียาเส้นหรืออะไรอีกมาก จะรู้จักหรือไม่รู้จักก็เห็นอยู่แล้วว่าติด จนตายคาปาก หมากพลู นี่ร้ายแรงกว่าหมากฝรั่ง หมากฝรั่งก็มีแต่ยางเหนียวกับน้ำตาล เคี้ยวจนน้ำตาลหมด ก็ไปเอาอันใหม่ แต่บางคนก็ติดยางเหนียวก็เคี้ยวอยู่อย่างนั้น แม้แต่ฌาน 4 เป็นรูปฌาน เขาก็ไม่รู้เรื่อง เขาก็ติดอยู่ตรงนี้ อาจจะมีละเอียดขึ้นมาบ้างปล่อยวางหยาบ ลงมาหาปิติ ลดปีติ ก็จะมาหาสุข งั้นก็ไปอยู่กับไม่สุขไม่ทุกข์แต่ไม่ใช่อุเบกขาที่เป็นโลกุตระแท้นะ เขาจึงใช้คำว่าไม่สุขไม่ทุกข์เป็นคำไวพจน์กันเป็นซินโนนีมของอุเบกขา มันก็คือการปฏิเสธความสุขความทุกข์มันยังไม่กลางนะ แต่ถ้ากลางจริงๆคือไม่สุขไม่ทุกข์คือคุณสร้างอารมณ์คุณมีอาการของจริงๆ มันไม่ผลักมันไม่ดูด มันไม่สุขไม่ทุกข์ มันไม่มีอารมณ์อาการสุข คุณต้องเข้าใจอาการนี้ด้วยตัวเองเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ ไม่ต้องให้ใครมาดูแทน ใครมารู้แทนเราไม่ได้เราต้องรู้ของเราเอง อ๋อ มันเป็นเช่นนี้เอง อาการสุข สุขอย่างบางเบาจนกระทั่งเหลือน้อยนิดเป็นธุลีละออง หยาบใหญ่ยักษ์ บรรจุซองเป็นละอองธุลี คุณก็รู้อาการของมันว่ามันน้อยลงๆ มันก็ยังมี จนกระทั่งมันไม่มี สุขก็ไม่มีทุกข์ก็ไม่มีเฉย กลาง ว่าง คุณต้องอ่านอาการเมื่อคุณกระทบสัมผัสรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสเย็นร้อน อ่อนแข็ง เสียดสี คุณต้องเห็นอาการจิตของคุณกลางเฉย ไม่มีปลายข้างไหนเลย ไม่มีอันตา กลาง หนึ่งเดียว แข็งแรง อเนญชา ไม่หวั่นไหวจะมา กระทบกระแทกกระทั้นอย่างไร ที่รู้ตัวที่ไม่รู้ตัวก็ช่างยังคงมั่นมั่นคง ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อเนญชา คุณก็ไปฝึกของคุณเอง คุณฝึกได้จะรู้ว่าเป็นของคุณเช่นนี้ คนมาถามว่าอารมณ์นิพพานอารมณ์ของอรหันต์เป็นเช่นไร ก็กำลังอธิบายพวกนี้แหละฝจิตต้องกระทบสัมผัสแล้วมีปรากฏการณ์จริงของคุณ อ่านเองจริงๆว่าจิตของคุณมันจะสงบสงัด วิเวกลงไปแล้วก็สงบ กิเลสสงบจริงๆ เหตุมันคือกิเลสออกไป สงัดนี่ คุณทำได้อย่างสัมมาทิฏฐิระดับหนึ่งมันก็สงัดแล้ว แต่เป็นมิจฉาทิฏฐิแค่ความสงัดคุณก็ยังไม่ได้ ยังไกลจากวิเวก เห็นไหมว่าไกลขนาดไหน คนพวกนี้มันไม่รู้รายละเอียดที่จะลงไป เพราะฉะนั้นบรรลุ ฌาน อรูปฌานก็ตาม แล้วสำคัญวิธี อุบายเครื่องออก เขาไปสะกดจิตดับสัญญา กลายเป็น อสัญญีสัตว์ รูปฌาน คุณก็โง่แล้ว ยังไม่พอไปส่งอาจารย์เดียรถีย์สอนว่าไม่ต้องไปยุ่งกับมันหรอก มาดับสัญญา สะกดให้สัญญาไม่ทำงานให้หยุดทำงานเลยสัญญาสัญญาก็ไม่กำหนดรู้อะไรเลยนิ่ง บื้อ หยุด ก็เลยโง่เพราะว่า อรูปฌานก็ไม่ได้เรียนต่อ ไม่ได้ไขความให้เป็นทีละชั้น อรูฌาน อากาสาฯ วิญญานัญจา เนวสัญญาฯ ก็คือนิรมาณกาย คือกาย ที่คุณสมมติเอาเองทั้งนั้น ต่างคนต่างสมมติ อาทิสมานกาย ต่างคนต่างไม่เห็นของใคร แต่ต่างคนต่างอุปทานหมู่ลงไปด้วยกัน ใครพูดอะไรก็หยวนไปด้วยกันทั้งนั้น จึงเรียกว่า เสพอุปาทานหมู่ สัมโภคกาย ร่วมกันบริโภค ทั้งที่มันเป็นนิรมาณกายสร้างเองทั้งนั้น แต่ละคนต่างเห็นของตัวเองไม่มีใครเห็นของใครเรียกว่าอาทิสสมานกาย แล้วก็สมมุติว่ามันมีพวกร่วมกัน เป็นอุปทานหมู่ บ้าเองทั้งนั้นนิรมาณกาย อันนี้ไม่ค่อยเข้าใจกันง่ายๆ ตั้งแต่สัมภเวสีไม่มีที่ตั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย คุณก็เป็นวิญญาณล่องลอยไป จะเป็นสวรรค์นรกก็บ้าบอของคุณเองไป ที่จริงแล้ววิญญาณที่เป็นสัมภเวสีมันไม่ได้ไปพบใคร มันอยู่เดี่ยวๆ แต่เวลามีตา หู จมูก ลิ้น กาย พูดกันมันก็เลยพูดกันรู้เรื่อง ก็ระลึกถึงขันธ์ของตัวเองแต่ในอดีต ที่เคยผ่านมาเรียกว่าเป็นสัญญาความจำ เอาความจำมาด้วยนี่แหละคือ ทิฏฐิ 62 อดีต 18 อนาคตอีก 44 อนาคตมันยังไม่ถึงยังไม่มีคุณก็ปั้นได้ พระพุทธเจ้าบอกว่ามี 44 อันนี้แหละแล้วคนที่พูดกันมีอุปทานร่วมกันก็ไปด้วยกันอองลอง เถียงก็แย้งกันถ้าอันไหนไม่ตรงกัน อันไหนตรงกันก็ไปด้วยกันเป็นสมมุติทั้งนั้น เสร็จแล้วก็ตีกันกลายเป็นคนละนิกายเลย ถ้ายอมเป็นนานาสังวาสก็อยู่ด้วยกันได้ ถ้าไม่เป็นนานาสังวาสก็ต่างคนต่างอยู่กลายเป็นนิกายไกลกันเลย ถ้าอยู่นานาสังวาสก็อยู่กันได้เองก็ของเอ็งข้าก็ของข้ามันก็เลยกลายเป็นตัวกูของกู ตัวเอ็งของเอ็งแต่ก็อยู่ด้วยกันได้นะ ซูเอี๋ย มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติมีอยู่ในโลกอย่างนี้ สรุปนะ พวกมิจฉาทิฏฐิดับสัญญาแม้แต่รูปฌานก็ปั้นเอง ยิ่งอรูปฌานก็ปั้นเอง ของใครของมันเองทั้งนั้น มันจะปั้นอย่างไรก็ได้ สรุปว่าว่างเปล่าไปทั้งนั้น จิตตวิเวกเป็นไฉน? ภิกษุผู้บรรลุปฐมฌาน มีจิตสงัดจากนิวรณ์ บรรลุทุติยฌาน มีจิต สงัดจากวิตกและวิจาร บรรลุตติยฌาน มีจิตสงัดจากปีติ บรรลุจตุตตถฌาน มีจิตสงัดจากสุขและทุกข์ บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา(อัตตาต่างๆ) บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากาสานัญจายตนสัญญา บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากวิญญาณัญจายตนสัญญา บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากิญจัญญายตนสัญญา พ่อครูว่า…ที่จริง ปฏิฆะต้อง รู้ก่อนลดก่อน ราคะค่อยรู้ทีหลังเพราะจริงๆแล้วจิตมนุษย์ต้องร่วมกันอยู่ ราคะ ต้องมี ปฏิฆะ ไม่ต้องมีเลย ขาดกัน หยาบแรง หมดสูญได้ เหลือไม่หยาบไม่แรงแล้ว อย่างชาวอโศกไม่มีซาดิสม์ มาโซคิสแต่มีราคะ ราโค หยาบกลางละเอียดก็แล้วแต่ เราก็มาล้างอัตตาอื่นๆอีก นานัตตะ กำหนดรู้อัตตาต่างๆด้วยสัญญา แล้วก็วิญญานัญจายตนะ มีจิตสงัดจากอากาสานัญจายตนสัญญา คุณไปยึดถือว่าเป็นฌานเป็นตัวตนเป็นเครื่องอาศัย ที่จริงฌานเป็นพลังงานอุณหธาตุ เป็นพลังงานเผา แต่ไปเข้าใจผิดว่าเป็นการเพ่งฌาน ไปเข้าใจผิดว่ามันเป็นตัวเก่ง คุณก็ได้ฌานที่เป็นตัวตนไป หากจะให้หมดความเป็นตัวตนคุณจะต้องรู้ว่าพลังงานที่สร้างเป็นฌาน คือพลังงานที่มันเผากิเลสเป็นพลังงานปัญญา ฌานคือปัญญา ปัญญาคือฌาน พยัญชนะปัญญา คนเอาไปใช้เสียหายอีกเยอะ ปัญญาธาตุอาตมากำลังเขียนหนังสืออีก 1 เล่มเรื่องปัญญา 8 ปัญญา สลายกิเลสจนสิ้นสะอาดเกลี้ยง ถ้าหากไม่เป็นปัญญา แต่เป็นเฉโกที่หลงผิดก็สร้างชาติ เมื่อมาเป็นโลกุตระก็ล้างชาติ คุณก็เก่ง สัญญาคุณก็บริบูรณ์แทนที่จะเป็นสัญญาแบบดับ คุณก็ล้างกิเลสรูปฌานไปหมด เผาหมด มาจนกระทั่งถึงอุเบกขาเป็นฐานนิพพาน สะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสเป็นอุเบกขา บริสุทธิ์สะอาดจากกิเลส มีความเก่งทั้ง เจโตและปัญญา มุทุ เร็ว กระทั่งสามารถทำกรรมการงาน ทุกกรรมกริยา ทุกกรรม พระโพธิสัตว์จะเก่งเป็นผู้หยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้เรื่อยๆ เก่งไปเรื่อยๆ เมื่อสามารถทำให้กิเลสหมดจบอากิญจัญญายตนะได้ ตั้งแต่ของหยาบ คุณก็กำหนดรู้ตั้งแต่ของหยาบ ขั้นอบาย จนโลกอบายหมด ไม่มีอัตตาของอบายแล้ว นานัตตสัญญา หมด ว่าง เป็นอากาสาฯ คือว่าง วิญญาณคือธาตุรู้ อากิญคือความไม่มี นิดนึงน้อยหนึ่งก็ไม่มี ไม่มีอะไร ไม่มีกิเลส ขั้นอาสวะก็ไม่มี อาสวะสังโยชน์ 10 ก็ไม่มี แม้มานะ อุทธัจจะ ฟุ้ง นี่ดึงได้ง่ายกว่าจม ถ้าจมนี่มืดไม่เห็น แต่ฟุ้งนี้เห็น ฟุ้งมาหาสว่างมันเห็น แต่ถ้าจมมันมืดไม่เห็น เราไม่เอาจม เราเอาฟู สายปัญญาจะเอาฟู สายโง่จะเอาจม พวกเราสายปัญญาหรือสายเจโต เลือกเอาได้นะแล้วมันจริงไหมก็รู้ตัวก็แล้วกัน มันก็เลือกเอาปัญญา จะไปเลือกเอาเจโตศรัทธา มันจะ 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ถ้าปัญญาเป็น 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ทำได้สั้นกว่ากันตั้งครึ่ง (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) สู่แดนธรรม…พ่อท่านให้สูตรที่จะรู้ตัวว่าบรรลุทีละคู่ทีละคู่ อย่างเช่นฌาน 1 ฌาน 2 ซึ่งมันก็จะมีหยาบมีละเอียดมีหยาบมีละเอียด ทีละคู่ทีละคู่ ผ่านไป ก้าวข้ามไป บรรลุไป พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าท่านอธิบายหยาบมหาละเอียด ละเอียดไปสรุปที่หยาบ เพราะฉะนั้น เมื่อละเอียดหมด 0 ได้ข้อสรุปเป็นขั้นแรกเป็นพระโสดาบัน แล้วก็มาไล่ละเอียดขึ้นเป็นลำดับมาเป็นลำดับใหม่ โดยตั้งฐานใหม่ โดยที่ฐานเก่ามันจบแล้ว ตามวิธีเดิม 1 2 3 4 ไล่มา แต่มันเป็นรอบที่ละเอียดเล็กลงก็สูตรเก่า 1 2 3 4 เรื่อยมาอีก (เมื่อภิกษุนั้น) เป็นโสดาบันบุคคล มีจิตสงัดจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส พ่อครูว่า…คืออะไร สังโยชน์ 1 2 3 คือหลักสูตรต้นของอาสวะหรือสังโยชน์ 10 ตน กับ กาย กายมี 2 ตัวตนก็คือ เป็นประธานก็จัดการกับกายตามตัวตนของตนเอง หากสักกะของตนเป็นอวิชชา มาควบคุม กายคือรูปนาม ควบคุมอย่างมิจฉาทิฏฐิเป็นโลกีย์ ถ้ามันมาเป็นโลกุตระก็มีประธาน สักกะ เป็นท้าวสักกะเทวราชมาควบคุมกายอย่างเป็นโลกุตระทีละ 2 ให้ลดลงไปเรื่อยๆ สูตรที่จะมาปฏิบัติให้รู้จัก กายตน หยั่งรู้แจ้งไม่มีวิจิกิจฉา แล้วมีอุบายเครื่องออกเรียกว่าศีลพรต แล้วอย่าหยุดแค่รู้ศีลพรต อุบายเครื่องออกกันดีแล้ว แต่เขาไม่เอาจริง สีลัพพตปรามาส ลูบคลำ เล่นหัวกับโจร ไม่ฆ่าโจรเสียที เมื่อไหร่มันจะเสร็จสักที หนักเข้าก็ไปหลงกับโจรไปคบกับเพื่อนโจรอยู่ตลอดกาล เคยแยกให้ฟัง สีลัพพตปรามากับสีลัพพตุปาทาน สีลัพพตุปาทานยังไม่มีสัมมาทิฏฐิอะไรยึดถือไปตามครูบาอาจารย์ที่ผิด ที่ทำที่เคยเป็นกันมา มันไม่ได้เป็นสัมมาทิฏฐิก็จมกันอยู่อย่างนั้นแหละเรียกว่า สีลัพพตุปาทาน ยึดอย่างอุปทานที่เขายึดกันมาเก่าๆ ถือตามๆกันมา เป็นประเพณี เป็นจารีต เป็นลัทธิ เป็นศาสนาแบบเดียรถีย์ไม่งอกไม่เงย จนมารู้อุบายเครื่องออกวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ อย่างถ่องแท้ พ้นวิจิกิจฉาแล้วจึงปฏิบัติด้วยสูตรที่สำเร็จที่ได้เรียนมาแล้วแล้วเป็นอุบายเครื่องออก อย่าทำเหลาะๆ แหละๆ ลูบๆ คลำๆ เล่นหัวไม่เอาจริง จะต้องเอาจริงจึงจะพ้น สีลัพพตปรามาส เมื่อเอาจริงก็จะได้ จบไว้ตรงนี้ก่อน Category: ศาสนาBy Samanasandin24 พฤษภาคม 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:640523_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 2NextNext post:640526 พ่อครูเทศน์เวียนธรรม วิสาขบูชา 2564Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024