640521_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 1 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1NpRxO2mK0FYzkt–t6DJqex5aRVjvGG2O9KtCN9303E/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1BMa-s_TfQR78xvMSngIqiLB3K7-9nHBl/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/Opv4CYCIcxk สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก เราอาจจะต้องอยู่กับวิกฤตโควิดไปอีก 2 เดือน มีญาติธรรมโทรมาว่าจะมางานอโศกรำลึกได้ไหม มีความเห็นสอดคล้องกันว่าถ้าระหว่างพุทธสถานระหว่างบวรเข้ามาได้ พ่อครูว่า…ขอโอภาปราศรัยกับ SMS ก่อนนะ _กราบนมัสการค่ะหลวงปู่ คำถามที่หนูอยากถาม คือ การวางใจและตัดความรู้สึกค่ะ เหตุการณ์คือ เช่น เราสนิทกับรุ่นพี่คนหนึ่ง/ป้าคนหนึ่ง แต่แล้วก็มีคนอื่นที่มาทีหลัง มาสนิทกับบุคคลเหล่านั้นมากกว่า เรารู้สึกเหมือนเขามาแทนที่ ที่เคยเป็นของเรา ทำให้รู้สึกว่า เราสำคัญน้อยลง แต่ลึกๆก็มีความรู้สึกว่า โกรธและอิจฉาไปในตัว เวลาที่หนูมีความรู้สึกพวกนี้ มันแย่มากเลยค่ะ และหนูก็ไม่ชอบความรู้สึกนี้ด้วย ก็รู้ว่าการที่คิดแบบนี้ รู้สึกแบบนี้มันไม่ดีและไม่ควร แต่หนูไม่รู้เลยค่ะ ว่าควรกำจัดความรู้สึกนี้ออกไปได้อย่างไร อีกประเด็นหนึ่งก็คือคือ หนูเป็นคนที่ปล่อยวางไม่ได้ บอกคนอื่นบอกได้นะคะ แต่ในเรื่องนี้ตัวเองทำไม่ได้เลยค่ะ กี่เรื่องต่อกี่เรื่องกี่ปากบอกว่าปล่อยวาง แต่ใจจริงคือวางไม่ลงเลยค่ะ สมองก็คิดแต่เรื่องนั้นๆอยู่ตลอด กราบของความเมตตาหลวงปู่ช่วยชี้แนะแนวทางด้วยค่ะ วาหนูควรทำอย่างไร?….หมอกห่มไพร พ่อครูว่า…คุณยังงงๆ สลับไปสลับมา บางทีก็รู้สึกว่ามีปฏิภาณปัญญาว่า มันไม่ดี แต่ก็ยังมีกิเลสที่เล่นงานอยู่ กิเลสอัตตา กิเลสถือดี อิสสา (อิจฉา แปลว่า ความชอบความพอใจธรรมดา ถ้าอิสสาแปลว่าริษยาในสันสกฤต) คุณต้องเข้าใจว่าแบบนี้มันเป็นเรื่องน่าเกลียด มันเป็นเรื่องเด็กๆ เหมือนกับเขามาแย่งแม่ไปแล้วนะ เป็นแต่เพียงหลอกกันเล่น นี่เขามาแย่งแม่เราแล้วนะ ก็วิ่งไปกอดแม่ มันเด็กๆ ใครจะแย่งไป ก็ไม่ใช่ของเรา พระพระพุทธเจ้าว่าเนื้อก็ไม่ใช่เรา หนังก็ไม่ใช่เรา วันหนึ่งก็ต้องพรากจากกัน แม้แต่ผิวหนัง เดี๋ยวก็ค่อยๆลอกออกมาเป็นขี้ไคล พิจารณามากๆ พิจารณาให้เห็น ไม่อย่างนั้นจะไปทิ้งของใหญ่ที่เป็นเรื่องลึกซึ้งละเอียดกว่านั้นได้อย่างไร นี่มันเหมือนเด็กๆงอแง ไปริษยา พี่คนหนึ่งป้าคนหนึ่งเป็นของเรา จะมากไป คนเราเก่งบอกคนอื่นแต่ตนเองทำไม่ได้ จะทำอย่างไร ประเด็นหลังก็เป็นประเด็นเดียวกันคือวางไม่ได้ปล่อยไม่ได้ ถ้าวางได้ปล่อยได้ป้าคนหนึ่งพี่คนหนึ่ง ไม่ใช่ที่เราจะต้องไปหวงแหน คนอื่นมาสนิทชิดเชื้อไม่ได้ห่วงแหนเกินไป เพราะฉะนั้นก็ปล่อยวางให้ได้เห็นจริง.ให้ได้หลุดพ้นให้ได้ เดี๋ยววันนี้อาตมาจะเอาคุหัฏฐกสูตร อ่านอธิบายให้ครบ ทั้งสูตร อาตมาว่า ได้อธิบายพระสูตรนี้ทั้งพระสูตรแล้วก็คงไม่ไปกระหน่ำที่ติดยึดกันอีกมาก เพราะประเด็นที่จะอธิบายนี้ละเอียดลึกซึ้งอีกเยอะ เขียนไว้ก็มาก SMS วันที่ 16-17 พ.ค. 2564 _แตน : ไม่ทราบว่าช่องนี้เราจะคุยรึจะสอบถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องอะไรได้บ้างค่ะ หรือว่าได้ทุกเรื่องทุกปัญหาค่ะ กราบขอบพระคุณคะ พ่อครูว่า…ฟังไปอีกหน่อยเถอะคุณจะรู้ว่าคุยหรือถามปัญหาได้ทุกเรื่องหรือไม่ทุกเรื่อง ก็ตอบนิดหน่อย ที่นี่เขาหนักไปทางโลกุตระ ปัญหาทางโลกีย์ ที่เขาถกกันเต็มไม่รู้ต่อกี่ช่องเอาออกมากันเต็ม ปัญหาแย่งลาภยศ ใครผิดใครถูกจะไปตัดสินอะไรกัน ทางเราไม่เอาด้วยแล้ว เรื่องนั้นเรื่องแบบนั้นเป็นเรื่องเด็กๆ เรื่องคนยังเยาว์ยังอ่อนเป็นพาลชน ไม่ประสีประสาทางโลกุตระเลย คนก็ทำกันเยอะแยะออกข่าวมากมายเป็นข่าวเรื่องพวกนี้ทั้งนั้น ส่วนโลกุตระนั้นเป็นข่าวที่คนฟังแล้วก็หัวเราะ ขุดมัน ไปรีบเอามันขึ้นน้ำจะท่วม เขาก็บอกว่าจะบ้าหรืออย่างนี้ก็เป็นข่าว นี่กำลังออกข่าวกันสดๆ ฟังแล้วเหมือนตลก ต้องเอาข่าวที่สังคมสนใจซึ่งเรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องที่พวกเราผ่านกันมาหมดแล้ว ฆราวาสไม่รู้ก็ยังนับถือพระที่ปาราชิกจะผลอย่างไร _ปิยพันธุ์ โอสถาวณิชวงศ์ : ฆราวาส ก็มีศรัทธาในพระสงฆ์ นั้น ! ทั้งๆ ที่ พระสงฆ์ก็รู้ตัวว่าทำผิด พระวินัย ! จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพระสงฆ์นั้นต้องอาบัติปราชิก โดยที่ฆราวาสไม่รู้ ! แล้ว ยัง มี ศรัทธา อย่างแน่นแฟ้น ในพระสงฆ์ที่ต้องอาบัติปราชิก ! พ่อครูว่า…ตอบ ถ้าอย่างที่โจทย์ว่านี้มา ตอบ ถ้าเป็นอาบัติปาราชิกก็ชิบหายใหญ่แล้ว นี่คือคำตอบ ยกตัวอย่างอย่างถูกต้องเลย เช่น ธัมมชโยเป็นสมี อาบัติปาราชิก โกงเงิน จับได้แล้วก็เถียงไม่ได้แย้งไม่ได้ ขึ้นศาลก็แพ้ แต่เสร็จแล้วศาลก็อย่างไรก็ไม่รู้ นี่ เรื่องของเรื่องนะ จำได้ว่ายอดเงิน 900 กว่าล้าน แต่ก็โมเมกันไปอย่างไรไม่รู้ อาตมาว่าประเทศไทยตรงนี้แหละมันเสื่อม พระสังฆราชมีพระลิขิตถึง 5 ฉบับ บอกว่าปาราชิก มีหลักฐานเลยนะ โอ้โห! แต่เหนียวแน่นเหลือเกิน อย่างนี้เป็นต้น ปาราชิกมีหลายข้อ ขี้โกง เรื่องผู้หญิง ฆ่าคน อวดอุตริมนุสธรรม ธัมมชโยก็อวดอุตตริมนุสสธรรม แต่อย่างอาตมาอวดอุตริมนุสธรรมอย่างมีในตนและสมควรจะอวด ไม่ได้อวดเล่นๆมีสาเฐยจิต แต่ธัมมชโยอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน ก็ต้องปาราชิก อวดเพื่อให้คนอื่นมาศรัทธาเลื่อมใส เขาจับได้ก็ยังหลอกเขาต่ออีก ซึ่งมีหลักฐานทั้งนั้นที่เขายืนยัน หลักฐานนั้นอาตมายังจำได้เลย มีคนเอาเรื่องนี้ไปจับผิดธัมมชโย คือผู้ที่เขาจับผิด เขาเขียนจดหมายไป เขาก็ตั้งเรื่องเลยว่าพ่อเขาได้มาทำทานกับธัมมชโยแล้วตอนนั้นเท่านั้นเท่านี้ ก็เลยถามธัมมชโยว่า พ่อเขาตอนนี้ตายไปแล้ว ขอถามว่าตอนนี้พ่อเขาอยู่สวรรค์ชั้นไหนไปทำทานกับท่านจะได้อานิสงส์ไหม บอกว่าให้ธัมมชโยดูให้หน่อยเถอะ พ่อเขาอยู่ในสวรรค์ชั้นไหนแล้วเป็นอย่างไรแล้ว ธัมมชโยก็บอกเลยว่าอานิสงส์แบบนี้ได้สวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ ให้มาทำอีกนะ เป็นคำตอบที่ตอบออกอากาศเลย เสร็จแล้วคนนี้ก็เลยเปิดเผยว่า พ่อเขายังอยู่ดีมีสุข ยังไม่ตายหรอก ที่เขียนมานั้นเป็นเรื่องมุขทั้งนั้น เล่นลิ้นไปเฉยๆ ให้คุณ เพราะฉะนั้นคุณเอง(ธัมมชโย) ไม่ได้มีความสามารถ ไม่ได้มีอุตตริมนุสสธรรมจริงอะไรเลย มีแต่มาหลอกมนุษย์ เขาก็มาเปิดเผยคนที่เขาเขียนสร้างเรื่องของเขาออกมา อย่างน้อยก็ปาราชิกเรื่องของเงินกับเรื่องของอุตตริมนุสสธรรม ส่วนเรื่องของผู้หญิงกับการฆ่าคนยังไม่มีหลักฐานออกมา แต่ว่าไม่มีเรื่องกาม เพราะความว่าเขาค่อนข้างจะเป็นกระเทย ก็ยังไม่มีข้อมูล เรื่องการฆ่าคนกับกระเทย แต่ปาราชิก 2 อย่างนี้แน่ เสร็จแล้วก็ยังมีคนไปศรัทธาเลื่อมใส ไปเข้าข้างเขา เป็นอำนาจใหญ่ ถ้าเรื่องไม่ลุกลามมากเลย คนของธัมมชโยที่ขุนไว้ อันนี้เป็นสมเด็จแล้วเป็นอันดับหนึ่งที่จะได้ขึ้นมาเป็นสังฆราช พอมีเรื่องพวกนี้ก็เลยไม่ได้ขึ้นเป็นสังฆราช เดี๋ยวนี้ก็แก่แย่แล้วอายุ 90 กว่าปีจะ 100 ปีแล้ว มีเรื่องราวสะสมสมบัติรถยนต์อะไรต่างๆนานา สมเด็จองค์นั้น มันซับซ้อนอย่างนี้ ก็เห็นความเสื่อมของสังคมพุทธศาสนากระแสหลักหรือคณะใหญ่อย่างชัดเจน อาตมาลาออกมาประกาศนานาสังวาส ตั้งแต่ทนอยู่กับหมู่ใหญ่ 5 ปี พ.ศ 2518 อาตมาก็ไม่ไหวแล้ว นอกจากนั้นเขายังมาเบียดเบียนบังคับเราด้วยเหตุปัจจัยมันสุดทน จึงต้องประกาศนานาสังวาส ถูกต้องตามพระธรรมวินัยพระพุทธเจ้าทุกอย่าง อย่างนี้เป็นต้น ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 แต่พอปี พ.ศ. 2532 ก็ดึงเรากลับเข้าไปอีก เอาเราไปอธิกรณ์อีก ก็ผิดสัมมุขาวินัยไม่เอาจำเลยไปซักถาม แต่ตัดสินลับหลังเลยโดยเอาคณะธรรมยุตกับมหานิกายมารวมกันตัดสินซึ่งผิดพระวินัยข้อ คณปูรกะ เอา 2 คณะคนละนิกายมารวมกันทำสังฆกรรม สังฆกรรมนั้นเป็นโมฆะ ซึ่งท่านก็เรียนพระวินัยมากันดีทั้งนั้น อาตมามีหลักฐานก็เขียนไว้ในหนังสือ ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส พิมพ์แจกเป็นแสนเล่ม ขออภัยต่อหมู่สงฆ์หมู่ใหญ่ พูดเรื่องนี้ไม่ได้เจตนาจะมาทำลายสงฆ์หมู่ใหญ่ ขอบอกไว้ก่อนอาตมาไม่เคยทำลายใคร แต่อาตมาต้องพูดสิ่งที่ผิดสิ่งที่ถูก มันเป็นภาวะซับซ้อน อาตมาพูดภาวะความผิดถูกให้เป็นการศึกษา ให้เกิดการสำนึกสอนซ้อนลงไป ขณะนี้มีผู้กระทำผิดอยู่ จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว จะแก้ไขหรือไม่แก้ไข ก็เป็นเรื่องของท่าน ผู้สำนึกรู้สึกผิดจะต้องแก้กลับ แก้คืน กลับคืน ถ้าปาราชิกอย่างว่า ก็หนักหนาสาหัสชิบหายใหญ่ ศาสนาพุทธก็เสื่อมลงมันก็เป็นความจริงตามความเป็นจริง _7649 : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงครับ ผมขอเรียนถามพ่อครูว่า การที่เราฝันในช่วงเวลาประมาณตี 3 ถึงตี 5 เห็นเเหตุการณ์ต่างๆเกี่ยวกับตัวเรา แล้วเกิดขึ้นจริงในเวลากลางวันของวันนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร เรียกว่าอะไรครับ พ่อครูว่า…ฝันนี่เป็นเทพนิมิต เกิดเป็นจริงได้ บางทีก็เป็นเรื่องบังเอิญ แต่เอาเถอะคุณเองมีอะไรเกิดขึ้นในจิตขณะฝัน แต่มันก็เกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมาก็ยกประโยชน์ให้แก่จำเลย ว่ามันจริงก็แล้วกัน ก็แสดงว่าคุณมีเทพนิมิตรสังหรณ์ ซึ่งมันไปคาดคั้นกำหนดให้เป็นเจตนาอย่างนั้นเลยไม่ได้ทำตามที่เจตนาก็ไม่ได้ มันบังเอิญไปยังไงก็ไม่รู้ จะไปเอานิยายอะไรกับมันมันเป็นเรื่องอยู่ในฝัน อย่าบ้าเอาเป็นจริง จะมาตรงกันบ้างก็ช่างเถิด อาการของการบรรลุธรรมเป็นเช่นไร _1614 การบรรลุธรรม : มีอธิบายในไตรปิฎกไหมครับว่ามีอาการอย่างไร พ่อครูว่า…อาการของการบรรลุธรรม จะสรุปให้เข้าจุดเลย อาการของการบรรลุธรรมนั้นคือ คุณจะต้องรู้จักกิเลส มีญาณ ปัญญา สัญญา กำหนดรู้ในขณะปัจจุบันเลย มีสัญญากำหนดรู้และมีเหตุการณ์จริงสัมผัสอยู่เดี๋ยวนี้ เช่นตอนนี้สัมผัสแตงไทย จิตใจมันก็เกิดชอบเพราะเคยกิน เช่น กินแตงไทยน้ำกะทิ มันๆแล้วก็หนวานๆหน่อยตามที่ชอบ ดีไม่ดีหย่อนน้ำแข็งลงไป คิดถึงรสอร่อยอันนี้ เป็นสัญญาเป็นความจำ แต่ตอนนี้นึกได้แล้ว ว่าเคยอร่อยนะ แต่เดี๋ยวนี้สัมผัสแล้วอาการรสอร่อยนั้นไม่มี ไม่เกิดที่จิต อาการมันไม่มี เราเคยปฏิบัติมาแล้วก็ทบทวนได้ ว่ามันเบาบางลงจนกระทั่งมันไม่มี ตอนนี้มันก็ไม่มี และคุณเริ่มต้นรู้ว่ามันไม่มี นี่คือการบรรลุ แล้วยิ่งคุณทบทวนแบบนี้คล้ายอย่างนี้ เคยมีมาแล้วแล้วตอนนี้ก็ไม่มี เรื่องกาม เรื่องรสชาติ อะไรก็แล้วแต่ เดี๋ยวนี้มันก็ไม่มีอาการอร่อย มันเป็นอาการเฉยๆกลางๆ มันไม่มีอาการเดิมแล้ว คุณก็รู้ความจริงนั้น อันนี้คืออาการบรรลุธรรม ยิ่งมีหลายครั้ง มีเหตุปัจจัยให้ทบทวน เอามาเตวิชโชระลึกถึง อีกหลายครั้งหลายคราวนับเป็นสิบครั้งหนึ่งร้อยครั้ง ก็เด็ดขาด คุณยิ่งมันใจว่าเราไม่มีอาการในจิตของเราอีกแล้วนั่นเป็นการรู้แจ้งของจริงที่คุณบรรลุธรรม มันไม่มีกิเลส มันไม่มีอาการกิเลส ไม่มีรสกามรสโลกีย์ ถ้าเป็นขั้นสกิทาคามีไปหาอนาคามี เหลือเล็กน้อยๆขั้นรูป อรูป ก็ลดลง เราจะมีภูมิรู้ว่ากามภพที่มีทั้งรูปธรรม นามธรรม เป็นสภาพที่คุณยังเสพรสต้องสัมผัสต้องเกี่ยวข้องอยู่ไม่หยุดหย่อน ตอนนี้ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับมันขาดไปเลย หายไปเลย ก็เฉยๆไม่นึกถึงด้วย ถึงแม้เรานึกถึงขึ้นมาก็ไม่เกิดรสอะไรขึ้นมาเลย มันซ้อนขึ้นไปอีกคุณก็จะมีความรู้ ปฏิภาณปัญญาที่ลึกซึ้งละเอียด ตรวจสอบลึกซ้อนเข้าไปอีก จนที่สุดถึงขั้น อรูปก็ไม่มี สูญไปหมดเลย มีแต่อาการเฉย อาการว่าง อากาสานัญจายตนะ เหมือนอากาศว่าง ไม่กระดุกกระดิกอะไรอีก ในว่างคือสภาพรู้ อากิญจัญญะ สภาพไม่มี รู้ว่ามันว่าง นิดนึงน้อยนึงก็ไม่มี ไม่มีกิเลสแม้แต่ธุลีละออง มันว่างคือปราศจาก 1 คือว่างจากกิเลส อากิญจัญฯ กิเลสนั้นมันไม่มี ว่างก็เลยไม่มี อากาสานัญจายตนะกับ อากิญจัญายตนะ 2 นัย วิญญาณเป็นตัวกลางเป็นตัวธาตุรู้ รู้ว่าวิญญาณเราเป็นอากาศ วิญญาณเราไม่มีกิเลส วิญญาณเราว่างจากกิเลส ก็ตรวจสอบในวิญญาณัญจายตนะ มันก็มีเวทนา สัญญา สังขาร หรือมีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะมนสิการ เพื่อตรวจสอบอย่างสมบูรณ์แบบ ขณะที่สัมผัสอยู่ มีผัสสะด้วยแล้วก็ทำใจด้วยนะ ได้ทำแล้วหรือยังเป็นบุพเพกตบุญญตา เป็นการได้กระทำมาแล้วก่อนแล้วด้วย เดี๋ยวนี้ก็ทำ ทำได้อย่างเดิม ทำได้อย่างเก่ง ทำได้อย่างเด็ดขาด สิ่งจริงของคุณที่คุณทำมาเองก็นึกขึ้นมาได้เป็นความแน่นอนมั่นคง เด็ดขาดได้ นี่คืออาการของการบรรลุธรรม รายละเอียดทั้งหมดตอนนี้อาตมาพูดของอาตมาเอง แต่ในพระไตรปิฎกไม่ได้อธิบายละเอียดขนาดนี้หรอก _กลั่นหายโง่ ฝึกไม่มี : น้อมกราบนมัสการพ่อท่าน ที่เคารพบูชาอย่างสูงยิ่งค่ะ วันนี้ คงฟังธรรม พ่อท่านไม่รู้เรื่อง แน่นอน เพราะ ได้ฟังข่าว ว่า ประธานาธิบดีอิสราเอล สั่งยิง ชาวมุสลิม ปาเลสไตน์ ให้หมด ที่ดื้อดึงไม่ยอมออก จากดินแดน ที่เขามายึดครอง เศร้ามากๆเลยค่ะ พ่อครูว่า…เรื่องของเขามันเป็นวิบากกรรม คนละศาสนาอยู่แดนไกลอีก ปล่อยคนเขาอยู่แดนไกลไปเถอะ ไม่ต้องไปยุ่งกับเขามากหรอก เป็นแต่เพียงรับรู้ สลดกับเขา ก็เพียงพอแล้ว ถ้าสลดมากก็เป็นทุกข์ของคุณเอง ก็รู้อาการของจิตใจที่เราไปติดยึด เขาเป็นกันมากนัก ซึ่งสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ศาสนาเทวนิยมเป็นสายเจโต เขายังไม่มีปฏิภาณความรู้ที่จะไปรู้เหตุปัจจัย รู้ภาวะ 2 รู้รูปรู้นาม หรือชัดๆก็คือไม่รู้ในโลกียะ โลกุตระ เขาเป็นโลกีย์ที่ยังมืด วน และมีอวิชชายังไม่เข้าใจเรื่องของอัตตาตัวกูของกู มีมานะ มีทิฐิ อะไรต่างๆนานาอีกเยอะ ก็เป็นไปตามจริงของสัตว์โลก เป็นวิบากของเขาตามความเป็นจริงที่เขาจะต้องค่อยๆพัฒนาการขึ้นมา มันก็ต้องเป็นไป เพราะฉะนั้นพวกเราก็ได้แต่รู้ได้แต่เห็นและสังเวชใจ สงสารเขามากเราก็ทุกข์มาก ก็ไม่ต้องไปสงสารมาก ไม่ใช่พูดอย่างใจดำใจจืด ก็เห็นแค่ปลงสังเวชก็น่าจะพอ เขาก็ยังอยู่ในสิ่งที่น่าสงสารน่าเห็นใจ แต่ก็เป็นเรื่องของเขาที่จะต้องเป็นเช่นนั้น เขายังอยู่ในวัฏฏะ อยู่ในวังวนของเขาอย่างนั้น เป็นอจินไตยอีกเยอะ แม้แต่เขาพยายาม ถ้าผู้นี้ยังมีวิบากอยู่ แม้เขาจะพยายามศึกษามารู้แล้วก็ยังออกไม่ได้ ก็ตายไปชาติแล้วชาติเล่าอีกเยอะ เพราะงั้นเรื่องวิบากกรรมจึงเป็นเรื่องอจินไตยที่ลึกซึ้ง คิดเอาเองตื้นๆไม่ได้ง่ายๆ ศึกษาดีๆจะเห็นถึงความซับซ้อนและความยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิ ในมานะพวกนี้ซ้อนๆเยอะอยู่ในโลก _Danuthum Virulhsirikul (ดนุธรรม วิรัฬห์ศิริกุล) : “ฉีดก็ตายไม่ฉีดก็ตาย” ความตายไม่มีใครหนีพ้น.. สส.บางคนสมองและความคิดต่ำกว่าเด็กอนุบาล.. บอกว่าใครมาเป็นนายกก็ได้.ใครจะเข้าใครจะออก ใครจะเป็นนายก มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ แต่ตอนนี้.นายกประยุทธ ต้องออกไป.. ถ้าท่านออกตอนนี้ แล้วโควิดหมดไปจากประเทศไทย… ท่านคงลาออกไปแล้ว.. โควิดมันคือ เชื้อโรคเชื้อไวรัส มันไม่ได้เชื่อคำสั่งของใครทั้งนั้น.สมองคิดได้แค่นี้เองหรือ สส. มีคนถามต่อว่า แล้วจะให้ใครมาเป็นนายกแทน ก็ไม่มีคำตอบเพียงแต่ใช้สถานการณ์ ได้โอกาสเหยียบย่ำคนอื่น… ใครมาทำหน้าที่นายกตอนนี้ จะทำให้ได้เท่านายกประยุทธ.. ก็ยาก, ส่วนที่พูดพูดกันมันเป็น นามธรรมเพื่อเรียกคะแนนให้ตนเอง..คนโน้นทำต้องดีกว่าคนนี้ทำต้องดีกว่า….แต่ตอนนี้วันนี้…นาทีนี้..นายกประยุทธดีกว่าทุกทุกคน _ฝากบุญเกื้อ รมยาสัย : ท่านข้าฟ้าท่านเทศน์ว่าบุญทำได้ในปัจุบันแล้วสั่งสมไว้ เป็น ปุพเพกตปุญญตา คือเราได้ลดกิเลสไว้ก่อนแล้วหรือได้ทำบุญลดกิเลสไว้ก่อนแล้ว / ฟังท่านสิกขมาตุเทศน์ถึงพ่อครูแล้วน้ำตาไหลรักซาบซึ้งอย่างที่สุด มามองดูตัวเองทำไมยังลดกิเลสที่ตั้งใจลดไม่ได้เสียทีแล้วเมื่อไหร่จะได้ไปอยู่กับพ่อล่ะ พ่อครูว่า…ก็ลดให้ได้สักทีสิ ลดได้ไม่มากก็มาได้ _Took Aswin (ตุ๊ก อัศวิน) : ฟังมาว่า พระอานนท์ ท่านดับขันธ์&นิพพาน ด้วยเตโชธาตุเผาสรีระของท่าน..เป็นเช่นนั้นฤา..เจ้าคะ / พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์&ปรินิพพาน.ณ กึ่งกลางเขต ระหว่าง รูปณาน และ อรูปณาน ดังปรากฎใน พตปฎ / สำหรับพระอรหันต์ท่านอื่น ท่านดับขันธ์&นิพพาน..ณ จุดใด..? ฤา..เป็นอจินไตยด้วย..เจ้าคะ พ่อครูว่า…เป็นอจินไตย การจะปรินิพพานด้วยจุดใดๆด้วยฐานจิตตรงไหนๆไม่ใช่เรื่องสามัญ พระอนุรุทธะก็ดูตามจิตพระพุทธเจ้าตอนที่ท่านจะปรินิพพาน พระอนุรุทธะตรวจได้ ฌาน รูปฌาน อรูปฌาน ของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกับของเดียรถีย์ โลกียะฌาน 1-4 ก็มีอารมณ์ฌานของโลกียะ แค่การหลับตากับลืมตาก็ต่างกันแล้ว ของหลับตาเป็น นิรมาณกาย ที่เขาสร้างขึ้นมาเอง เป็นรูปเป็นนามแบบของเขา กายอย่างหนึ่งสัญญาอย่างหนึ่ง ต่างกันกับสัญญาของชาวโลกุตระ กายที่ได้ก็ต่างกัน สัญญาก็ต่างกัน ที่เป็นโลกุตระจะไม่เหมือนกับที่เป็นโลกียะแบบหลับตา อะไรทำให้หมู่เจริญ _ชีวิตต้องน่าเบื่อ : อะไรทำให้หมู่เจริญ? พ่อครูว่า…ตอบสั้นๆเหมือนกัน ความเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย ความเป็นผู้อยู่กับหมู่แล้วฟังหมู่ ฟังครูบาอาจารย์ ตั้งใจศึกษาดีๆ อย่างนี้คือคุณอยู่กับหมู่แล้วทำให้หมู่เจริญได้ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่เกเรกับหมู่ เที่ยวไปประท้วงอยู่อย่างนั้นมันไม่เป็นความเจริญของหมู่หรอก ถ้าไปทำอย่างนั้นทำให้หมู่เจริญไม่ได้ แต่มันมีซ้อนลึกอยู่เหมือนกัน เราพยายามท้วงติงตรวจสอบ อย่างพอเหมาะพอดี อันนี้แหละสำคัญ อันนี้พาให้หมู่เจริญได้ด้วย หมู่จะทำอย่างไรเราก็เออออห่อหมกเลย มันก็ไม่พาเจริญเหมือนกันนะ ถ้าพาให้ลงนรกด้วยกันมันก็ไปด้วยกันหมดเลยไม่ใช้ปฏิภานปัญญาของตนเองช่วยบ้างเลย เสียหายหมด เพราะฉะนั้นเราเป็นคนคนหนึ่งก็ดูอย่างพอเหมาะพอดี อันนี้ ท้วงบ้างได้ไหม เราอาจจะท้วงผิดก็ได้ เราอาจท้วงถูกก็ได้ ท้วงอย่างพอเหมาะ ท้วงแล้วหมู่มีนักวิเคราะห์วิจัยกันแล้ว ไม่เอาด้วยก็ทิ้งไป แต่ถ้าทวงแล้วหมู่เอาไปวิเคราะห์วิจัยแล้วพบว่าอันนี้แหลมคมดี ของคุณถูก ใช้ได้ แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่า ฉันจะต้องใหญ่ ฉันจะต้องชนะ ฉันจะต้องถูกทันทีเท่านั้นเองเป็นเรื่องใหญ่ คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 1 พ่อครูว่า… จากพระไตรปิฎก ล. 29 คุหัฏฐกสุตตนิทเทสที่ ๒ ว่าด้วยนรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย พ่อครูว่า…คนที่ข้องอยู่ก็ไกลจากวิเวก และยิ่งไกลจากปัสสัทธิ ที่เป็นความสงบอย่างเห็นแจ้ง รู้สว่าง รู้ครบ รู้ละเอียดลออด้วย คำว่า ผู้ข้อง คือข้องอยู่ เกี่ยวเกาะอยู่ ไม่หลีกออก ไม่ปล่อยวาง ไม่หลุดพ้น จึงยังเป็นสัตว์ สัตตะหรือสัตวะ ยังคงความเป็นสัตว์อยู่ ยังไม่เป็นมนุษย์ ยังไม่เป็นผู้เจริญ ยังไม่เป็นเทวดา [30] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ(สตฺโต คุหายํ) เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว(พหุนาภิฉนฺโน) นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง(ติฏฺฐํ นโร โมหนสฺมํ ปคาโฬฺห) นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก(ทูเรวิเวกา) ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย. [๓๑] คำว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้วมีความว่าทรงตรัสคำว่า เป็นผู้ข้องไว้ก่อน. ก็แต่ว่าถ้ำควรกล่าวก่อน กายเรียกว่า ถ้ำ. คำว่า กายก็ดี ถ้ำก็ดี ร่างกายก็ดี ร่างกายของตนก็ดี เรือก็ดี รถก็ดี ธงก็ดี จอมปลวกก็ดี รังก็ดี เมืองก็ดีกระท่อมก็ดี ฝีก็ดี หม้อก็ดี เหล่านี้เป็นชื่อของกาย. พ่อครูว่า…สิ่งที่อยู่ในตัวเรา แม้แต่ฝีคุณก็ยึดถือได้ว่า เมื่อไหร่มันจะหายสักที …ก็รักษามันไปตามควร ไม่ต้องไปยึดถือว่าต้องได้ตามใจ กายคือหมู่ของเจตสิก 3 หรือธรรมะ 2 คำว่า เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ คือ ข้อง เกี่ยวข้อง ข้องทั่วไป ติดอยู่ พันอยู่ เกี่ยวพันอยู่ในถ้ำ เหมือนสิ่งของที่ข้อง เกี่ยวข้อง ข้องทั่วไป ติดอยู่ พันอยู่ เกี่ยวพันอยู่ที่ตะปู ซึ่งตอกติดไว้ที่ฝา หรือที่ไม้ขอ ฉะนั้น. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ความพอใจ(ฉันโท) ความกำหนัด(ราโค) ความเพลิน(นันทิ) ความปรารถนาในรูป ความเข้าไปถือ ความเข้าไปยึดในรูป อันเป็นความตั้งมั่น ความถือมั่น และความนอนตามแห่งจิต บุคคลมาเกี่ยวข้องอยู่ในความพอใจเป็นต้นนั้น เพราะเพราะนั้น. จึงเรียกว่า สัตว์. คำว่า สัตว์เป็นชื่อของผู้เกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้น. จึงชื่อว่า เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ. คำว่าผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว คือ ผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว คือ ผู้อันกิเลสเป็นอันมาก ปิดบังไว้แล้ว(พหุนาภิฉนฺโนติ) คือ อันความกำหนัด ความขัดเคือง ความหลง ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบลู่ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่ ความลวง ความโอ้อวด ความดื้อ ความแข่งดี ความถือตัว ความดูหมิ่น ความเมา ความประมาท ปิดบังไว้แล้ว อันกิเลสทั้งปวง อันทุจริตทั้งปวงอันความกระวนกระวายทั้งปวง อันความเร่าร้อนทั้งปวง อันความเดือดร้อนทั้งปวง อันอภิสังขารคืออกุศลธรรมทั้งปวง บ้งไว้ คลุมไว้ หุ้มห่อไว้ ปิดไว้ ปิดบังไว้ ปกปิดไว้ ปกคลุมไว้ครอบงำไว้แล้ว เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว. พ่อครูว่า…อ่านมาถึงตรงนี้ก็นึกถึงผู้เอาตัวผู้อยู่ป่าเขาถ้ำ ดับเข้าไปอีกให้ดิ่งจมหนักเข้าไปอีก พูดก็เหนื่อยแล้วเมื่อไหร่ท่านจะพอจะมีปฏิภาณไหวพริบที่จะเข้าใจที่อธิบายขยายความดีบ้าง ถอนตัวจากการกระทำแบบนั้นได้ไหม แบบนั้นเดียรถีย์เขาทำพระพุทธเจ้าก็แก้ไขแล้วแต่คุณก็กลับไปทำ ลงไปหาความหลง แต่ก็เตือน เป็นผู้ที่ใฝ่ดีมีปฏิภาณฟังอาตมาเข้าใจก็สะดุ้งสะเทือนบ้าง [๓๒] คำว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง มีความว่า คำว่า นรชน เมื่อตั้งอยู่ก็เป็นผู้กำหนัด ย่อมตั้งอยู่ด้วยสามารถความกำหนัด เป็นผู้ขัดเคือง ย่อมตั้งอยู่ด้วยความสามารถความขัดเคือง เป็นผู้หลง ย่อมตั้งอยู่ด้วยความสามารถความหลง เป็นผู้ผูกพัน ย่อมตั้งอยู่ด้วยสามารถความถือตัว เป็นผู้ยึดถือ ย่อมตั้งอยู่ด้วยความสามารถความเห็น เป็นผู้ฟุ้งซ่านย่อมตั้งอยู่ด้วยสามารถความฟุ้งซ่าน(วิกฺเขปคโต) เป็นผู้ไม่แน่นอน ย่อมตั้งอยู่ด้วยสามารถความสงสัย เป็นถึงความมั่นคง ย่อมตั้งอยู่ด้วยสามารถกิเลสที่นอนเนื่อง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่แม้ด้วยประการอย่างนี้. นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดินว่า…สูตรนี้เหมือนที่พ่อครูพยายามให้เห็นโทษของพวกที่ออกป่า หรือถ้ำ พ่อครูว่า… สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่ หากว่าภิกษุเพลิดเพลิน ชมเชย ยึดถือรูปนั้น ตั้งอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสต … กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะ … รสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหา … โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย … ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยมนะ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดมีอยู่ หากภิกษุเพลิดเพลิน ชมเชย ยึดถือธรรมนั้นตั้งอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่แม้ด้วยประการอย่างนี้. สมณะเดินดิน สรุป จบ สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้าถึงรูป เมื่อตั้งอยู่ย่อมมีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้ง ซ่องเสพความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้าถึงเวทนา … วิญญาณที่เข้าถึงสัญญา … หรือวิญญาณที่เข้าถึงสังขาร เมื่อตั้งอยู่ ย่อมมีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้ง ซ่องเสพความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่ แม้ด้วยประการอย่างนี้ สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่า ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความปรารถนา มีอยู่ในกาวฬิงการาหาร วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้น วิญญาณตั้งอยู่งอกงามในที่ใด ความหยั่งลงแห่งนามรูปก็มีอยู่ในที่นั้น ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายมีอยู่ในที่ใด ความเกิดในภพใหม่ต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น ความเกิดในภพใหม่ต่อไปมีอยู่ในที่ใดชาติ ชรา มรณะต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น ชาติ ชรา มรณะต่อไปมีอยู่ในที่ใด ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวว่า ที่นั้นมีความโศก มีความหม่นหมอง มีความคับแค้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความปรารถนา มีอยู่ในผัสสาหาร … ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความปรารถนา มีอยู่ในมโนสัญญาเจตนาหาร … ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่า ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความปรารถนา มีอยู่ในวิญญาณาหาร วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงามในที่นั้น วิญญาณตั้งอยู่งอกงามในที่ใด ความหยั่งลงแห่งนามรูปก็มีอยู่ในที่นั้น ความหยั่งลงแห่งนามรูปมีอยู่ในที่ใด ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายก็มีอยู่ในที่นั้น ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายมีอยู่ในที่ใด ความเกิดในภพใหม่ต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น ความเกิดในภพใหม่ต่อไปมีอยู่ในที่ใด ชาติ ชรา มรณะต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น ชาติ ชรา มรณะต่อไปมีอยู่ในที่ใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ที่นั้นมีความโศก มีความหม่นหมอง มีความคับแค้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่ แม้ด้วยประการอย่างนี้. คำว่า หยั่งลงในที่หลง มีความว่า กามคุณ ๔ คือ รูปที่พึงเห็นแจ้งด้วยจักษุ ที่น่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสต …กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะ … รสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหา … โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ที่หลงเพราะเหตุไร กามคุณ ๕ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ที่หลง. เพราะเหตุว่า เทวดาและมนุษย์โดยมาก ย่อมหลง หลงพร้อม หลงเสมอ เป็นผู้หลง เป็นผู้หลงพร้อม เป็นผู้หลงเสมอในกามคุณ ๕ เป็นผู้อันอวิชชาทำให้ตาบอด หุ้มห่อไว้ ปิดไว้ ปิดบังไว้ ปกปิดไว้ ปกคลุมไว้ครอบงำแล้ว เพราะเหตุนั้น กามคุณ ๕ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ที่หลง. คำว่า หยั่งลงในที่หลงคือ หยั่งลง ก้าวลง หมกมุ่น จมลงในที่หลง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่ก็หยั่งลงในที่หลง. ว่าด้วยวิเวก ๓ อย่าง [๓๓] คำว่า นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก มีความว่า วิเวก ได้แก่ วิเวก ๓อย่าง คือ กายวิเวก จิตตวิเวก อุปธิวิเวก. กายวิเวกเป็นไฉน? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมซ่องเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่า โคนต้นไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง และเป็นผู้สงัดด้วยกายอยู่คือ เดินผู้เดียว ยืนผู้เดียว นั่งผู้เดียว นอนผู้เดียว เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาตผู้เดียว กลับผู้เดียว นั่งอยู่ในที่เร้นลับผู้เดียว อธิษฐานจงกรมผู้เดียว เป็นผู้เดียว เที่ยว อยู่ เปลี่ยนอริยาบถ ประพฤติรักษาเป็นไป ให้เป็นไป นี้ชื่อว่า กายวิเวก. จิตตวิเวกเป็นไฉน? ภิกษุผู้บรรลุปฐมฌาน มีจิตสงัดจากนิวรณ์ บรรลุทุติยฌาน มีจิตสงัดจากวิตกและวิจาร บรรลุตติยฌาน มีจิตสงัดจากปีติ บรรลุจตุตตถฌาน มีจิตสงัดจากสุขและทุกข์ บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากาสานัญจายตนสัญญา บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากวิญญาณัญจายตนสัญญา บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากิญจัญญายตนสัญญา (เมื่อภิกษุนั้น) เป็นโสดาบันบุคคล มีจิตสงัดจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาสทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับสักกายทิฏฐิเป็นต้นเป็นสกทาคามีบุคคล มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ อย่างหยาบ กามราคานุสัยปฏิฆานุสัย อย่างหยาบ และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกันกามราคสังโยชน์อย่างหยาบเป็นต้นนั้น เป็นอนาคามีบุคคล มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์อย่างละเอียดกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อย่างละเอียด และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคสังโยชน์อย่างละเอียดเป็นต้นนั้น เป็นอรหันตบุคคลมีจิตสงัดจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะอุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย กิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับรูปราคะเป็นต้นนั้น และจากสังขารนิมิตทั้งปวงในภายนอก นี้ชื่อว่าจิตตวิเวก. อุปธิวิเวกเป็นไฉน? กิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี เรียกว่าอุปธิ. อมตะ นิพพานเรียกว่าอุปธิวิเวก ได้แก่ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สำรอก เป็นที่ดับ เป็นที่ออกไปจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด นี้ชื่อว่าอุปธิวิเวก. ก็กายวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีกายหลีกออกแล้ว ยินดียิ่งในเนกขัมมะ จิตตวิเวกย่อมมีแก่บุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ ถึงซึ่งความเป็นผู้มีจิตผ่องแผ้วอย่างยิ่ง อุปธิวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้หมดอุปธิถึงซึ่งนิพพานอันเป็นวิสังขาร. คำว่า ไกลจากวิเวก มีความว่า นรชนนั้นใด เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำอย่างนี้ อันกิเลสมากปิดบังไว้อย่างนี้ หยั่งลงในที่หลงอย่างนี้ นรชนนั้นย่อมอยู่ไกลแม้จากกายวิเวก ย่อมอยู่ไกลแม้จากจิตตวิเวก ย่อมอยู่ไกลแม้จากอุปธิวิเวก คืออยู่ในที่ห่างไกลแสนไกล มิใช่ใกล้มิใช่ใกล้ชิด มิใช่เคียง มิใช่ใกล้เคียง. คำว่า อย่างนั้น คือ ผู้หยั่งลงในที่หลง ชนิดนั้นเช่นนั้น ดำรงอยู่ดังนั้น แบบนั้น เหมือนเช่นนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเช่นนั้นย่อมอยู่ไกลจากวิเวก. Category: ศาสนาBy Samanasandin21 พฤษภาคม 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:640519_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ มนุษย์ที่ยังมีทุกข์มีสุขอยู่ก็คือโง่กว่าพืชNextNext post:640523_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 2Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024