641101 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 16
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/17HZcHHMVTbjpGhE9IgqHsENeiBefydtQQO3goEm36uE/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1XhPc8GyItEpJHdeaa3Ie3hDnrBd9ZO85/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/238789384981972
สู่แดนธรรม…วันนี้วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อครูสอนธรรมะโลกุตระ ซึ่งเป็นธรรมะอันลึกซึ้ง ไม่สามารถปฏิบัติลัดขั้นตอนได้ ต้องทำไปตามลำดับ
มีตัวอย่างเล็กๆ วันนี้ตอนไปเติมน้ำใส่ขวด เจอ ด.ช.ภูมิพุทธกำลังถือขวดน้ำไปเติมเหมือนกัน เรา(ญาติธรรม)ถามว่า…
ญ..เติมน้ำให้ใครเหรอ?
ด..เติมให้ท่านแพ้..
ญ..ท่านที่ไม่มีวันชนะ..แล้วแพ้มันดีตรงไหนล่ะ?
ด..หลวงปู่สอนให้เป็นผู้แพ้..
ญ..ชนะมันไม่ดีกว่าหรือ?..
ด..ชนะเป็นมาร..
ญ..ใคร? สอน..
ด..หลวงปู่ไง!..
ญ..สอนตอนไหน?.
ด..ตอนย่าพามาศาลา..
ญ..ก็เห็นวิ่งเล่นทุกที ฟังตอนไหน?..
ด..ฟังตอนวิ่งเล่น..ก็ผมมีหูไง!..ผมมีหู
เมื่อถามเด็กอีกคนหนึ่ง เด็กคนที่ตอบอีกคน ตอบเหมือนกันเลย คือ ดช.ป่องเอี้ยม
พ่อครูว่า… สวัสดี เป็นคำที่มีผู้ที่ริเริ่มใช้คำว่า “สวัสดี” คือ พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) … เอาไปใช้เป็นคำทักทายปราศรัยกันเป็นคำภาษาไทย ก็เป็นเกร็ดความรู้อันหนึ่ง
สู่แดนธรรม… สวัสดี ตรงกับบาลีว่า โสตถี
พ่อครูว่า… โสตถี คือ ตลอดปลอดโปร่ง สำเร็จเรียบร้อย เป็นผลดีผลได้เป็นผลสมบูรณ์แบบของทุกอย่าง
อ้าว วันนี้วันสำคัญมากเลย วันที่ 1 แรม 11 เดือนก็ 11 ปี ก็ไม่ทีเดียว ถ้าเผื่อว่าปีกุน 11 ปี ฉลูนี่ 2 วันนี้ เป็นวันที่ 1 แรม 11 ค่ำเดือน 11 แล้วอะไรอีก 111 วันนี้จึงเป็นวันรวมของเลข 1 อีกเยอะเลย มีผู้รวบรวมแนะนำไว้ อาตมาจำไม่ได้หมด
รายการนี้ บางทีก็เป็นปกิณกะ บางทีก็เจาะลึกไปในเรื่องที่พิเศษจะได้ฟังเรื่องพิเศษบางเรื่องเป็นอย่างนั้น บางเรื่องอาจจะไม่เคยได้ยินได้ฟัง บางเรื่องอาจจะเคยได้ยินได้ฟังได้ฟังเพิ่มขึ้นก็ชัดเจนขึ้น
SMS วันที่ 29-31 ต.ค. 2564
อาการอย่างไรคืออรหันต์ อาการอย่างไรไม่ใช่อรหันต์
_Keng Ratchanee (เก่ง รัชนี) : เรียนถามพ่อท่าน อาการเช่นไรบอกว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว อาการเช่นไรบอกว่ายังไม่ใช่พระอรหันต์ ดูออกอย่างไรเจ้าคะ
พ่อครูว่า…คุณต้องศึกษาคำว่า “อาการ” สภาวะของคำว่าอาการคือ แล้วคุณก็อ่านในจิตของตัวเอง คุณต้องอ่านให้ออก คุณต้องมีสักอย่าง ในจิตของคุณ คุณต้องอ่านอาการจิตของคุณเลย ตั้งแต่คุณเกิดมา คุณก็ได้เห็นสิ่งนี้ สัมผัสสิ่งนี้ รู้จักสิ่งนี้ แต่คุณไม่ผลักไม่ดูด (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม… พ่อท่านกำลังจะโน้มไปหา อาการไม่ผลักไม่ดูด หรือใช้คำว่าเฉยๆ กลางๆ ไม่ได้หวั่นไหว ไม่ชอบไม่ชัง ไม่ได้เกิดรสอะไรอย่างนี้ อรหันต์ก็จะมีสภาวะอย่างนี้
พ่อครูว่า… อาตมาอธิบายมาถึงสภาวะตรงนี้ โดยใช้พยัญชนะใช้หลักฐานในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43-44 พยัญชนะบาลีว่า อนุปคัมมะ กับ มัชเฌนะ
2 คำนี้ 2 คือเทวะ เป็นคำชี้บ่งลักษณะอาการของผู้ที่เป็นอรหันต์
อนุปคัมมะ คือ ลักษณะ 3 อย่าง
อย่างหนึ่งคือความมีอย่างหนึ่งคือความมี อีกอย่างหนึ่งคือความไม่มี อีกอย่างหนึ่งก็คือธาตุรู้ของตัวผู้รู้ คือของเจ้าตัวเป็นประธาน ของใครก็ตามที่ถามมานี้ก็ตาม คุณตรวจดูว่า สิ่งนี้มันมีอยู่ในโลก แล้วคุณก็เห็นสัมผัสเกี่ยวข้องกับมัน แล้วคุณไม่ดูดไม่ผลัก ไม่มีงบจิตดูดไม่มีจิตผลัก
นั่นคือคุณไม่มีกิเลสเลย จิตตัวนี้เป็นจิตอรหันต์ นี่คืออรหันต์มีอยู่เต็มโลก แต่คนไม่รู้ตัวหรอก ถ้าสามารถรู้สภาวะธรรมอันนี้จริง จะรู้ว่า อ๋อ อรหันต์มันคืออย่างนี้เอง มันไม่ยากที่จะรู้ แต่มันยากที่จะรู้ว่าตัวเองมีอะไร ไม่มีอะไร แล้วตัวเองก็อยู่ในภาวะที่จำนน มันเป็นภาวะที่จริงๆแล้ว สิ่งที่มีกับสิ่งที่ไม่มีเป็นอีกคู่หนึ่ง ตัวคุณคุณไม่มี 2 สิ่งนี้ ไม่เข้าไปหาไม่เข้าไปมี ความมีก็ไม่เข้าไปมี ความไม่มีก็ไม่เข้าไปมี เรียกว่า อนุปคัมมะ ไม่เข้าไปมีทั้ง 2 อย่าง
เมื่อไม่เข้าไปมีทั้ง 2 อย่าง แต่คุณก็ยังมีชีวิต คุณยังมีชีวะ แต่คุณไม่มีแล้ว นี่มันซ้อนอยู่ 2 คู่ คู่หนึ่งคือสิ่งที่ถูกรู้ เป็นรูป คือ ความมีกับความไม่มีนี้คุณสัมผัสรู้สิ่งนี้ และ อีกสิ่งที่เป็นนามคือตัวคุณเอง
คุณเป็นนาม คุณไม่มีสิ่ง 2 สิ่งนี้ ความมีก็ไม่มี ความไม่มีก็ไม่มี คุณไม่มีเอามาทั้ง 2 อย่าง แต่คุณยังมีชีวิตมีธาตุรู้อยู่
ลักษณะนี้แหละเป็นลักษณะที่สมบูรณ์แบบ ของคำว่า อรหัตตผล
ที่อาตมาเคยอธิบายไว้ว่า คนเป็นอรหันต์ทุกคน แต่ไม่รู้ว่าตนเองมีสภาวะที่มันเป็นอรหัตตผล ที่มันมีอยู่ในโลกแต่มันไม่อยู่เหนือเรา มันไม่มีอิทธิพลต่อเรา มันมีอยู่ในโลกแล้วเราก็เคยเป็นเคยมีมา มันก็ไม่มีอิทธิพลอะไรกับเรา
ยกตัวอย่างให้ใกล้ชิดมาที่ชีวิตประจำวัน คุณกินข้าวทุกวัน โภชเนมัตตัญญุตา โดย กวฬิงการาหาร คุณกินข้าวบางวันคุณกินข้าวอย่างอรหันต์ แต่หลายวันมากคุณกินข้าวอย่างคนโลกๆ ไม่เป็นอรหันต์ เพราะคุณมีรสอร่อย ชอบใจ ไม่ชอบใจ มีผลักมีดูด มี 2
คุณกินข้าว รับประทานข้าว รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็เกี่ยวข้องกับธาตุรู้ไปหมด แต่คุณไม่ไปติดยึดในอาการของรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนั้นๆเลย สักอย่าง วาระจิตของคุณอย่างใดที่เป็นอาการจิตอย่างนี้ เป็นวาระจิตของอรหัตตผล ความเป็นอรหันต์
จริงๆ อรหัตตผล คือ ผลที่เป็น อรหะ คือไม่ลึกลับ อรหันต์คือไม่ลึกลับหมดจดเป็นที่สุดแล้วก็เป็นอรหันต์ ถ้าหมดจบอันเดียวก็เป็นอรหันต์อันเดียว เรื่องเดียว กรณีเดียว ก็เป็นอันเดียวจบเรื่องเดียว ถ้าหลายเรื่องก็เป็นอรหันต์หลายเรื่อง อรหันต์ 5 เรื่องอรหันต์ 10 เรื่อง จนทุกเรื่อง ที่คุณยังมีชีวิตอยู่กับโลกเขาในยุคนี้ องค์ประกอบอย่างนี้ เกี่ยวข้องอยู่กับชีวิต เรา 0 หมด เราไม่ดูดไม่ผลัก นั่นคือลักษณะของอรหันต์ที่เป็นปัจจุบัน และเป็นองค์ประกอบที่มันมีจริงในยุคนี้ มีอยู่ที่นี่ กาละเทศะอันนี้ ไม่ใช่เราอยู่ขั้วโลกเหนือ ไม่ใช่เราอยู่ขั้วโลกใต้หรือไม่ใช่อยู่ในทะเลทราย มันคนละบรรยากาศ แต่นี้เราก็อยู่ตรงนี้ เราก็เป็นอรหันต์อยู่ตรงนี้ อย่างนี้เป็นต้น
สรุปผู้รู้อรหันต์ก็คือรู้ความมีกับความไม่มี แล้วผู้นั้นก็ไม่มีในความมีกับไม่มีนั้นเป็นที่สุด ความไม่มีนี่คือ นโหติ ในภาษาบาลี หรือนัตถิ ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 กับ 44 นโหติหรือนัตถิ ไม่มี หรือโลกนิโรธ
อัตตาของคุณยังมีอยู่ ยังไม่ดับเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยังไม่ได้แยกธาตุกาย สุดท้าย กายสเภทปรัมรณา ยังไม่ได้แยกจิตเป็นธาตุดินน้ำไฟลมออกไป
เหมือนพระอรหันต์แต่ละองค์ที่จะปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่ต่อภพภูมิ ก็ตายอย่างปรินิพพานเป็นปริโยสานก็เหมือนกันหมด พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งที่ตายอย่างเป็นปรินิพพานปริโยสาน คือแยกธาตุจิตนิยามของตัวเองเป็นอุตุนิยามไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือความเป็นชีวะที่จะมารวมตัวกันอีกแล้ว มาจับตัวกัน ไม่มีภพชาติอีกแล้ว นิรันดรเลย
ถ้าตัดสินใจตายอย่างนั้นแล้วตายแล้วตายเลย ตายแล้วจะไม่มีกลับคืน กู้กลับอีกไม่ได้ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์รูปใดรูปหนึ่งก็แล้วแต่ ถ้าปรินิพพานเป็นปริโยสานเสร็จแล้วกู้กลับไม่ได้ เลิกกัน นี่เรียกว่าจบที่สุด แห่งที่สุดเลย
นี่คือคำตอบที่โพธิรักษ์เป็นผู้ตอบ ซึ่งจะไม่มีใครมาตอบอย่างอาตมาหรอกสำหรับคนในยุคนี้ เท่าที่เห็น เท่าที่มี เท่าที่รู้สึก ยังไม่มีใครจะตอบอย่างนี้ได้ในยุคนี้ ไม่ว่าใครคนนั้นที่คุณเกี่ยวข้องในยุคนี้
เกิดขึ้นในยุคที่คุณเกี่ยวข้องได้นี่แหละ อาจารย์มั่น อาจารย์มหาบัว ที่มีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตแล้วก็ตามที่จะมีภูมิธรรมจริงระดับไหนก็ตาม ไม่มีใครรู้อย่างนี้ที่อาตมาพูดอาตมารู้ เพราะว่าในยุคนี้อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ รู้พวกนี้ พูดไปแล้วเหมือนยกตัวอย่างตน ก็ยกตัวอย่างตนนั่นแหละแต่พูดความจริง ใครจะเห็นว่าอาตมาอวดโอ่ยกตัวอย่างตน ก็เป็นได้ที่เขาจะมอง เป็นการมองมิติแง่เชิง อาตมาก็ไม่ได้สงสัยอะไร
ส่วนผู้ที่เข้าใจแล้ว มองแตกต่างก็แตกต่างไม่ได้มีปัญหาอะไร ถ้าอะไรรวมกันอย่างเดียวเชื่อว่าอาตมาพูดทุกคำเป็นคำจริง เป็นสัจจะหนึ่งเดียวไม่มีคำที่เป็น 2 สักอย่าง อาตมาไม่ได้พูดคำ 2 อาตมาพูดแต่ความจริงสัจจะเป็นหนึ่งเดียว ใครเข้าใจไม่ได้ก็ไม่มีปัญหา
สู่แดนธรรม… คนมักจะสงสัยว่าพ่อท่านเป็นอรหันต์ แต่ทำไม่มีวจีกรรมยกตนข่มท่าน อยากให้พ่อท่านตอบแง่ สัจจานุโลมญาณ
พ่อครูว่า… สิ่งที่สูงกว่าอยู่บน อนุตตระ ก็ย่อมอยู่สูงกว่าสิ่งที่ต่ำ สิ่งที่อยู่บนถ้าทับอยู่ มันก็ต้องทับสิ่งที่ต่ำกว่า ถ้าเผื่อว่าอยู่บนด้วยกันก็เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ ถ้าทับก็แตะกัน หากทับแล้วมีน้ำหนักลงไปก็เรียกว่าเป็นลักษณะ ข่ม
อาตมามีน้ำหนักเยอะนะ อาตมาไม่ได้ไปข่มใคร แต่น้ำหนักอาตมามันอยู่ข้างบนก็เลยไปทับตัวคุณ เพราะคุณถือตัว ไม่ยินยอมให้ใครทับมาอยู่บน ไม่ให้ใครมาชนะ แต่สัจจะของอาตมามันทับคุณอยู่ มันเหนือคุณอยู่ มันอยู่บนคุณอยู่แล้ว คุณก็สัมผัสแตะต้องอาตมาอยู่ ถ้าคนไม่สัมผัสแตะต้องอาตมาเขาก็ไม่รู้ แต่คุณมารู้เสร็จแล้วเขาก็เลยรู้ว่าอันนี้มันเป็นความรู้ที่มันทับเรา มันข่มเรานี่
อาตมาไม่ได้ข่มไม่ได้ทับ จึงใช้ศัพท์ว่า เราอยู่เหนือคุณ เท่านั้นเองอาตมาไม่ได้มีจิตไปข่มไปทับหรือยิ่งไปมีจิตดูถูกดูแคลน
ที่จริงดูถูกว่าคุณนั้นต่ำ ต่ำกว่าอาตมา อย่างนี้เป็นต้น ถูกแต่คุณไม่ยอมรับเองเท่านี้เองเพราะคุณยังมีอัตตามานะถือตัวถือตน ไม่ยอมว่าจะต่ำกว่าเขา อย่างไรก็ต้องสูงกว่าเขา ยังมีอัตตา มานะ ตัวตนของคุณยังไม่หายไป แม้เล็กน้อยก็แล้วแต่ มันก็เลยต้องมีอยู่อย่างนั้นเท่านั้นเอง
ค่อยๆศึกษาไปเถอะกว่าจะรู้สภาพเหล่านี้ได้ มันจะรู้จักอนัตตา ความไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวตน ไม่เป็นตัวตนที่เป็นสภาวะจริง
หลับตาปฏิบัติไม่มีประตูบรรลุอรหันต์ เป็นเดียรถีย์ 100%
_Jakkajanthip Sawanglaum (จักจั่นทิพย์ สว่างล้ำ) : ยุคนี้น่าจะมีพ่อท่านองค์เดียวล่ะค่ะ ไม่น่าจะมีท่านอื่น ดูคาเลคเตอร์พ่อท่าน (ที่ต้องแสดง ) ไม่มีไก่ตัวพี่แน่นอนค่ะ คงมีแต่ไก่ตัวน้อยที่เดินต้วมเตี้ยม แต่คิดว่าตัวเองเป็นไก่โอ่ง จะเปรียบเช่นนี้ได้ไหมค่ะ ? / มีหนังสือแปลคำศัพท์บาลีมั้ยคะ จะได้เข้าใจภาษาบาลีสันสกฤตที่พ่อท่านพูดน่ะค่า
พ่อครูว่า… ไม่มีโดยตรงแต่เรามีหนังสือรวบรวมอภิธานศัพท์ออกมาเล่ม 1 เล่มใหญ่เลย แต่มีคนที่อธิบายไว้มีมุมที่ต่างกันบ้าง เหมือนกันบ้าง เกือบเหมือนกันบ้าง ซึ่งไม่เหมือนกันทีเดียว วันนี้ตั้งใจอธิบายคู่ที่เป็นเทวะ และคู่สุดท้ายที่ท่านให้ตรวจสอบคือ วิญญาณฐีติ คือ กายกับสัญญา เป็นคู่สำคัญคู่เอก ที่ใช้ตรวจสอบตั้งแต่คู่แรกที่คุณต้องเข้าใจคำว่า กาย ให้ตรงกันกับพระอรหันต์ ให้ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ว่า ความรู้คำว่า กาย เป็นอย่างนี้เรียกว่าพ้น สักกายทิฏฐิ เป็นตัวแรก แล้วก็เอามาเรียนรู้ กายในกาย ตามหลักสติปัฏฐาน 4 โดยคุณศึกษาจากอุปัชฌาย์มาแล้วว่า การแยกกายแยกจิต เมื่อไม่เป็นกายเป็นอย่างไร ไม่เป็นกาย แต่ยังมีชีวะอยู่เป็นอย่างไร หรือ มันไม่เป็นกาย สิ่งนั้นเป็นชีวะ แต่มีอยู่ในเรา มันก็ไม่มีเวทนาไม่มีสัญญาเป็นแต่เพียง พีชะ เป็นต้น
จะต้องรู้ลักษณะต่างๆของอาการจิตพวกนี้อย่างชัดเจน แล้วคุณจะรู้ว่า อ๋อ.. ถ้าเราสามารถทำได้อย่างนี้แหละคือจิตอรหันต์ จิตอรหันต์คือจิตที่ว่างจากเวทนาที่เป็นทุกข์ เวทนาที่เป็นสุข รู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้น ในตราบที่คุณยังมีชีวะเป็นธาตุรู้ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้แล้วก็ตัดสินอะไรไม่ได้ ตายไปแล้วไม่มีธาตุรู้ ตัดสินไม่ได้ ยังไม่ตายแต่คุณไปหลับตาไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายรับสัมผัสก็ไม่มีวิญญาณฐีติ
ฉะนั้นพวกหลับตา ปิดหูไม่รู้ทวารทั้ง 5 เลย กามคุณ 5 ไม่รู้เลย พวกนั่งหลับตาปฏิบัติจึงเป็นพวกที่หมดสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมะ จะบรรลุนิพพานของพระพุทธเจ้า หมดสิทธิ์
อาตมาพูดแล้วพูดอีกจนเมื่อย ไม่ต้องไปตอกย้ำหัวตะปูอะไรอีกมากมายเท่าไหร่แล้ว
หลับตาปฏิบัติไม่มีประตูจะบรรลุอรหันต์เป็นเดียรถีย์ 100% เพราะฉะนั้นเลิกหลับตาปฏิบัติได้เลยก็จะพอมีแสงสว่างในอุโมงค์ หรือพอมีทางที่จะบรรลุได้ แต่ถ้าไปหลับตาปิดประตู ไม่มีทางบรรลุเลย ขอยืนยัน อันนี้ก็พูดแล้วพูดอีก ขอยืนยันว่าไม่ได้พูดผิดเลยเป็นคำพูดที่ถูกที่สุด แต่ท่านไม่สะดุ้งสะเทือน อาตมาเข้าไปบังคับไม่ได้ ช่วยไม่ได้ พูดให้พอฉุกคิด แล้วหันมาศึกษาจรณะ 15 วิชชา 8 มี อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วจึงจะเกิด สัทธรรม 7 เกิดฌาน 1 2 3 4 ตามที่อาตมาอธิบายอยู่ประจำ ศึกษาให้ดีๆ โอกาสที่จะเป็นอรหันต์มันมีทุกคน ใส่ใจดีๆ นอกจากจะดื้อด้านดึงดันก็ช้าเอง ถ้ายังแสวงหายังตั้งใจอยู่ ศึกษาให้ดีๆ จะบรรลุอรหันต์ได้
พญานาคมีจริงไหม อย่างไร
_ชีวิต อยู่ที่การตั้งค่า : ทันพอดีเลยครับ..เขากำลังถูกเรื่องพญานาค..สรุปแล้วมีจริงมั้ยครับ
พ่อครูว่า… ตอบว่าพญานาคมีจริง และพญานาคไม่มีจริง นี่คือคำตอบ เป็นคำตอบที่จบแล้ว อาตมาก็เคยเปรียบเทียบคำตอบ 2 อย่างนี้ ให้ฟังว่า
เช่น คำโกหกมีจริงไหม …มีจริง คนก็โกหกกันอยู่เยอะ มีอยู่ในโลกนี่แหละ
แต่คำโกหกเป็นความจริงไหม ก็ไม่เป็นความจริง แต่มันมีจริงๆ นี่ฉันใดก็ฉันนั้น พญานาคมีหรือไม่มี มันเป็นสิ่งสมมุติของลักษณะนามธรรมนี้
คนหลับเหมือนอย่างพญานาคหลับอยู่ใต้ก้นบึ้ง มหาสมุทรลึกมากเลย พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเป็นล้านๆองค์ มีถาดทองคำ พญานาคนอนหลับอยู่ใต้ก้นบาดาล ถาดใบแรก พระพุทธเจ้าองค์แรกอยู่ตรงนั้น แล้วถาดนี้เป็นล้านๆของพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นมาในโลกแล้ว เสียงจะกระทบกันที่ถาดใบบนสุด ทวนกระแสมาแล้วมาลงตรงนี้ ดังกริ๊ก
เสียงมันจะไปแรงอะไรเพราะดังมาจากน้ำ ดังกริ๊ก ถ้าเสียงอยู่ข้างบน ความหนาแน่นน้อยกว่าในน้ำ มันจะกระทบกันแรงกว่า ในน้ำกระทบกันเบากว่า
แต่ พญานาค ก็ยังมีเซนส์ ได้ยินเสียงอย่างเดียว พอถาดลอยกระทบกริ๊ก อ๋อ พระพุทธเจ้าเกิดอีกหนึ่งพระองค์แล้วเหรอ ว่าแล้วก็หลับต่อ
นี่คือคนหลับไม่รู้ คู้ไม่เห็น เป็นคนมืดบอดดักดานหนักหนา ที่อาตมาใช้หอกร้อยเล่มทิ่มแทงอยู่ ปลุกอย่างไรก็ยังไม่ตื่น ปลูกเขย่าตัวก็ขนาดนี้ ปลุก เอาน้ำราดก็ขนาดหนึ่ง หรือใครเคยเล่น เอาไม้ขีดมาจุด เรียกว่า ไฟเย็น ใครเคยเล่น เอาไม้ขีดไปจิ้มขี้ฟันแล้วเอาไปตั้งไว้ผิวหนัง เมื่อไฟไหม้มาถึงใกล้ผิวหนังก็จะร้อน แต่ไม่ตื่นหรอก พวกนี้
เหมือนอย่างอาตมาปลุกพวกหลับตาปฏิบัติ ประเด็นหลัก ประเด็นหลับตาปฏิบัติมันเป็นความมิจฉาทิฎฐิ เป็นความมืดความบอดของเดียรถีย์ แล้วมันผิดไปไกล 2,500 กว่าปีมาแล้ว การหลับตาปฏิบัติเป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้ทิ้งเลย หลับตาปฏิบัติใช้เป็นผู้อุปการะได้ ใช้ศึกษาในจิต ใช้พักผ่อน หรือใช้เตวิชโชหรือใช้ทำฤทธิ์เดช ซึ่งอันหลังนี้มันเป็นโทษ เป็นอิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นโทษ
แต่ถ้าเอามาใช้ เตวิชโชก็ดี ศึกษาก็ดี พักผ่อนก็ดี พวกนี้เป็นอุปการะบ้าง เท่านั้นเองในขณะหลับตาเข้าไปพักผ่อน หรือ ใช้ประโยชน์ในขณะหลับนั้น แม้คุณนอนหลับ คุณก็ใช้ได้ มันก็ปรุงแต่งเป็นธรรมชาติ อย่างอาตมานี่ยังปรุงอีกเยอะ นอนหลับไม่ลึกหรอก นอนหลับก็ปรุงเรื่องราว ธรรมะทั้งนั้น ตื่นขึ้นมาบางทีหลายเรื่องน่าเอามาอธิบาย ก็ได้มาตอนหลับ หลับแล้วปรุงเยอะ มันเป็นการไม่เกี่ยวข้องกับตาหูจมูกลิ้นกายตอนนอน เสร็จแล้วมันก็เลยเป็น กอบเป็นกำ จิตมันก็ปรุง ระลึก ตรวจสอบ เรามีเท่าไหร่ มันก็ขึ้นมาให้เรารู้ จึงเป็นประโยชน์ตรงนี้ แล้วเราก็ใช้ เอามาสอนเอามาสาธยาย เอามาประกาศ
สรุปของคุณคนนี้ถามเรื่องพญานาค
จริงๆแล้วพญานาคที่เป็นตัวตน เป็นงูชนิดมีเครื่องทรง มีหงอนอะไร ไม่มีหรอก แต่มันเป็นสิ่งแทนสมมุติเป็นสิ่งแทนขึ้นมาว่า ลักษณะอย่างนี้ ลักษณะคนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น หลับดับมืดบอดจมอยู่ในใต้ก้นบึ้งไม่รู้สึกสักที เหมือนอาตมาเปรียบเทียบกับงูเหลือม ที่จริงพญานาคก็คืองู เป็นงูที่เขาตกแต่งให้เป็นงูพญา เป็นงูชนิดที่เป็นเจ้าแห่งงู ก็เลยเอาลายกนก ลายไทยเอาไปใส่ มีหงอนมีหน้าตาแบบลายไทย อะไรก็แล้วแต่คนวาด คนที่วาดเป็นก็ใช้ลายกนก คนวาดไม่เป็นก็ไปตามเรื่องราว
ลักษณะนอนเอือก หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น นั่นคือลักษณะของนาค ยิ่งชัดๆเลยเรียกเป็นพญา ยิ่งเป็นนาคใหญ่ ลักษณะพวกมืดดับหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น อาการหนักมาก นั่นเรียกว่าพญานาค เป็นนาคตัวหนักตัวใหญ่ ยิ่งไม่ตื่นง่าย ไม่รู้เรื่องง่าย หายจากความเป็นนาคไม่ได้ง่ายๆ นี่คือคนเสื่อมหนัก ตกต่ำหนัก พญานาคคือคนเสื่อมต่ำหนัก ตกต่ำหนัก
ฟังดีๆนี่คือความรู้สิริมหามายามันก็ยากอย่างนี้ เพราะฉะนั้นลักษณะที่เป็นลักษณะอาการตามที่กล่าวนี้มีจริงๆ แต่ไอ้ตัวตนบุคคลเราเขาที่จะเป็นตัวพญานาคนั้น มันไม่มีหรอก ที่เป็นลายกนก มีหงอน มีปากมีเขี้ยวอะไรอย่างที่เขาว่าเขาปั้นกันมาอย่างนั้น มันไม่มี แต่มันมีลักษณะเป็นนามธรรมอย่างที่อาตมาอธิบายมันมีจริงๆ ซึ่งดีไม่ดีมันก็อยู่ที่ตัวเอง พวกคุณระวังเถอะ
เพราะฉะนั้นพวกที่หลับตาปฏิบัตินี้คือ พวกกลุ่มพญานาคทั้งหลาย พวกนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมนี่แหละ ทำตัวเองให้กลายเป็นนาค จนกลายเป็นพญานาค ซึ่งอยากเป็นนักก็เป็นพญานาคนี่แหละ เมื่อไหร่จะตื่นสักที
_Pornthip Thaiiad (พรทิพย์ ไทยเอียด) : น้อมกราบพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งสูงสุดเจ้าค่ะ เมื่อก่อนลูกฟังธรรมที่พ่อครูเทศน์ไม่ค่อยเข้าใจ แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่ายิ่งฟังยิ่งสนุก ฟังไปเอาหัวข้อธรรมมาอ่าน พิจารณาตนเองไป ตามที่พ่อครูเทศน์ บอกตรง ๆ ว่าฟังเพลินเลยค่ะ แล้วยิ่งได้อ่านหนังสือที่พ่อครูเขียน เปิดโลกบุญนิยม ควบคู่การฟังธรรมไปด้วย มันยิ่งได้ความกระจ่างชัด มีความเข้าใจที่มากขึ้นค่ะ กราบขอบพระคุณพ่อครูมากๆที่ช่วยเปิดทางแห่งธรรมะที่ถูกตรง ให้ลูกและผู้ใฝ่ในธรรมทั้งหลายได้พบกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกตรงค่ะ
คนยังชอบเที่ยวคือคนมีนรกมีสวรรค์
_มุ่ง ตรงธรรม : ฟังสิกขมาตุรินฟ้า ท่านแสดงธรรมเรื่องอบายมุขการท่องเที่ยวแล้ว ตะกอนความจำอนุสัยนิมิตสัญญาความจำของตนผุดขึ้น เห็นถึงความโง่เก่าก่อนของตนที่หลงโง่ไปกับโลกเขา ก่อนได้พบเจอหมู่กลุ่มคนดีผู้มีศรีอาริยศีล น้อมกราบสาธุในธรรมครับ
พ่อครูว่า… ไม่อยากย้ำหัวตะปูนัก พวกชอบเที่ยว นักเที่ยว คนเที่ยวนี่ ยังไม่หมดการเที่ยวมี คือ คนยังมีนรกยังมีสวรรค์ คนยังไม่จบกิจ ยังไม่หยุดจบได้ง่ายๆ จะเอาแต่เที่ยวเป็นสัมภเวสี เป็นพวกล่องลอยไปไม่มีจุดจบ ไม่มีที่ตั้งไม่มีที่อยู่ไป พวกชอบเที่ยว
คำว่าเที่ยวคำเดียวนี้เป็นความหมายทางธรรมที่ลึกซึ้งมาก คิดถึงที่แสดงสภาวะของผู้หญิงชนิดหนึ่ง เขาเรียกว่าผู้หญิงคนเที่ยว โอ้.. คือ โสเภนี นั่นเอง ฟังแล้ว มัน สุดจะเจ็บปวด ใครขโมยกางเกง เลยนะ เพลงของสุรพล โทณะวณิก ตัดออกใหม่ๆ ใครเอาไปจำนำ เพลง ใครขโมยกางเกง ของเจ้าน้อย สุรพล ฟังแล้วก็รู้สึกเจ็บๆแสบๆยังไงชอบกลอยู่อย่างนี้แหละ
เพราะฉะนั้นคนที่ยังมีภาวะติดเที่ยว ชอบเที่ยว ที่อาตมาไม่อยากย้ำหัวตะปูก็เพราะว่า คนไทยตอนนี้กำลังระดมการท่องเที่ยว เพื่อจะได้รายได้จากการท่องเที่ยวซึ่งอาตมาเคยค้าน คนที่แน่จริงอย่าไปเอารายได้การได้เงินมาเลี้ยงชีวิต จากเงินค่าท่องเที่ยวของแขกที่่มาเที่ยว มันเป็นความใจดำ มันคือไม่เป็นวัฒนธรรมอันเจริญ
วัฒนธรรมอันเจริญของไทยคือแขกมาเยี่ยมต้อนรับเขาอย่างดีเลย ไม่เคยคิดเอาอะไรจากเขา ดีไม่ดีจะมีของกำนัลของชำร่วยให้เขาไปอีกด้วย นี่คือผู้ใหญ่จริงๆ อุดมสมบูรณ์จริงๆ แต่เอาล่ะเมืองไทยยังไม่อุดมสมบูรณ์จริงๆ เพราะมันยังมีนายทุน ยังมีคนหลงโลภ ยังมีคนเอาไปกักตุนเป็นของตนอีกไม่น้อย ยังมีเศรษฐีหลายหมื่นล้าน แสนล้านอยู่ในเมืองไทย เป็นคนไทย จนกระทั่งโกงแล้วหอบไปต่างประเทศอีกก็มี อย่างนี้เป็นต้น ก็ยังจะต้องใช้หนี้เขาอยู่ เมืองไทยยังใช้หนี้เขาอยู่ ก็เห็นใจ อาตมาก็เห็นใจในภาวะอย่างนี้
แต่สิ่งที่สูงจริงๆแล้วคือ รอดพ้นจากการเป็นคนเป็นหนี้กัน เพราะฉะนั้นประชากรในประเทศ ถ้าเข้าใจเรื่องความมีภาวะเป็นคนจน หรือคนรู้จักพอ ไม่ต้องไปอยู่ในฐานะชื่อว่าเป็นคนรวย อยู่ในฐานะที่ชื่อว่าคนจน เป็นเพื่อนคนจน คนจนที่สุดคือ 0 เราเป็นเพื่อนคนที่เป็น 0 ไม่มีสมบัติเป็นของตนเองเลย มีแต่สมบัติส่วนกลาง นี่คือเศรษฐศาสตร์ที่สูงสุด สาธารณโภคี ค่อยๆศึกษาปฏิบัติไป
ไทยจะเป็นตัวอย่างสาธารณโภคี ซึ่งเป็นเศรษฐศาสตร์ที่สูงสุด เป็นคอมมูน หรือเป็นคอมมิวนิสต์ที่ยิ่งยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นนักประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะความเป็นประชาธิปไตยกับความเป็นคอมมิวนิสต์อันเดียวกัน มีสมบัติเป็นส่วนกลางไม่มีของตัวของตน ไม่มีตัวตน อย่างชาวอโศกก็เป็นได้แล้ว ทุกคนไม่ได้ยึดถือแต่ละคน ไม่มาแบ่งไม่มาแย่งออกจากกองกลางเลย รู้สึกด้วยซ้ำถ้าเราแย่งเอามาจากกองกลาง มันเป็นหนี้แพง เพราะมาเอาของกองกลางของชาวอโศกไปใช้มันแพงนะ หนี้แพง ผลผลิตผลได้รายได้จากคนข้างนอก หรือ จะไปเป็นหนี้คนข้างนอก ค่าไม่แพงเท่า เป็นหนี้ แล้วเป็นภาษาธรรมะจริงด้วย
คนที่มาแอบแฝง ยักเอา สมบัติส่วนกลางของชาวอโศกไปเป็นส่วนของตน นี่แหละเป็นหนี้ที่เป็นราคาแพง เพราะคนที่รู้จริงแล้วไม่เอาหรอก มีแต่เอามาใส่กองกลาง แล้วเราก็ไม่เป็นหนี้ข้างนอก ข้างในก็ไม่เป็นหนี้ มีแต่ใส่กองกลาง นั่นคือคนอุดมสมบูรณ์ตัวเองรอด แล้วสามารถมีคุณสมบัติคุณธรรม มีแรงงาน มีความรู้ มีกรรมกิริยา ตีราคาแล้ว คุ้มตัวเหลือแล้วเอาเข้ากองกลางได้ แล้วก็บริหารส่วนกลางนี้ด้วยบริสุทธิ์ใจ เพื่อคนทั่วไป ไม่มีลำเอียง ไม่มีอคติ เป็นเศรษฐศาสตร์บทที่สูงสุด
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม… แม้เราอยู่ที่น้ำท่วม เราก็ไม่ท้อแท้ที่จะปลูกพืชผักผลไม้
_แดง ลานกราบ : ในความเข้าใจ ความมีในโลกกับความไม่มีในโลก คือทั้ง ๆ ที่โลกจะมีอะไรก็ตาม ใจเราก็ไม่มีความชอบความชังไปตามโลกเขา เราจึงไม่มีทุกข์ไม่มีสุขไปตามเขา เข้าใจเช่นนี้ถูกต้องไหมคะ
พ่อครูว่า… ถูกต้องแล้ว ใช้ได้
คนปทปรมะกับรางวัลที่เคยได้ในชีวิตพ่อครู
_ชีวิต อยู่ที่การตั้งค่า : ผมรู้สึกขัดหูกับการอธิบายของคนเข้าถึงโลกุตระของอ.ลอย..ผมอยากฟังคำอธิบายของพ่อครู..ระหว่างคนมีสภาวะจากการปฏิบัติและของเก่า..กับคนมีความรู้จากการศึกษาแปรภาษาจากตัวอักษร..สังคมล้มเหลวเพราะมีแต่ความรู้จากการศึกษาแต่ไม่มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบใช่หรือไม่
พ่อครูว่า… รายละเอียดของความมีตรรกะ มีความรู้ มีบัญญัติภาษา เป็น ปทปรมะบุคคล เป็นคนที่รู้มากเป็นบัวเหล่าที่ 4 ท่องจำพระพุทธพจน์ได้ก็มาก สั่งสอนเขาอยู่แจ้วๆก็มาก แต่ตัวเองไม่บรรลุธรรมเลย ในชาตินั้น นี่คือนิยามของ ปทปรมะบุคคล มีมากมีอยู่เสมอไม่ขาดไปจากตลาดโลกหรอกคนอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีผู้รู้ชนิด ปทปรมะอยู่ในประเทศไทย เดี๋ยวนี้ก็ยังมี รู้ สอบได้เปรียญ คนให้เกียรติดุษฎีบัณฑิตเยอะแยะเลย เขายกย่องว่าเป็นผู้รู้จริงๆ รู้ได้ระดับโลกเลย โลกยกย่องเลย เพราะว่าโลกยังเข้าใจโลกุตรธรรมไม่ได้หรอก
มันมีสำนักใหญ่ๆที่เป็นสถาบันของโลกเป็นคนให้รางวัล รับรองเกียรติยศสำหรับบุคคลผู้นี้ของโลก เป็นผู้ที่มีความรู้ของโลก ผู้ที่เป็นกรรมการในสถาบันที่ให้รางวัลอย่างนี้ของโลก ยังเป็นคนโลกียะ ยังเป็นเทวนิยมอยู่ เขาก็ให้สำหรับภูมิรู้ของเขาที่มีแค่ในกรอบของโลกียะ เขาไม่บังอาจจะมาให้รางวัลของโลกุตระได้หรอก
ผู้ที่มีความรู้โลกุตระก็จะให้รางวัลแก่คนโลกุตระได้ อย่างอาตมาเกิดมาในชาตินี้ มีคนให้รางวัลอาตมาอยู่ เพราะเขามีความรู้ทางโลกุตระ
อาตมาได้รับรางวัลแมนเฮมา ในชีวิตชาตินี้ อาตมาได้รับรางวัล
-
ได้รับรางวัลจากคุณล้วน ควันธรรม แต่งเพลงเป็นโลกีย์ แต่งเพลงประกวด คนมาร่วมเป็นร้อยเลยนะ อาตมาก็เป็นเลขาให้คุณล้วน เก็บเรียบเรียงที่คนส่งมา เขาก็ตรวจให้คะแนน สุดท้าย ก็ให้คนที่ใช้นามปากกา ศักดิ์พิสิฐ เขาใช้เพลงวาสิฏฐีจำแลงแต่งมาก็ให้ตัดสินชนะเก็บไว้แล้ว