641029_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สัตตาวาส 9 เปรียบเทียบกับวิญญาณฐิติ 7
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1caAAixFbkkdKHoBGK-m7w57yB2n82MJH4DXsMz9pnfY/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1F-YopCIDr3STheKHBfcn4bDEC84b__mP/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/8WhpLMhvaA/ และ https://youtu.be/VpaVnn7L7II
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม 2564 แรม 8 ค่ำเดือน 11 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก อีกประมาณ 1 สัปดาห์ก็เข้าสู่งานมหาปวารณา เราจะใช้วิธีการประชุมทางออนไลน์ เพื่อลดภาวะเสี่ยงทาง covid ทางโลกเขาก็กำลังดีใจที่จะได้เปิดประเทศ ยอดโควิดก็คงจะพุ่งสูงขึ้นด้วย พ่อครูจึงดำริว่า ญาติธรรมที่อยากจะมาร่วมงานก็ขอให้อดใจไว้ก่อน ต้องถือคติ แยกกันเรารอดรวมกันเราตาย เราสามารถติดตามรับชมทางบุญนิยมทีวีกันได้
ตารางงานมหาปวารณา ครั้งที่ ๓๙ ณ บวรราชธานีอโศก(ประชุมทางออนไลน์)
เสาร์ที่ ๖ – พุธที่ ๑๐ พ.ย. ๒๕๖๔
เวลาวัน |
๐๖.๐๐ – ๐๘.๐๐ น |
๐๘.๓๐ – ๑๐.๐๐ น. |
๑๒.๐๐ – ๑๔.๐๐น. |
๑๔.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. |
๑๘.๐๐ – ๒๐.๐๐ น. |
ทำวัตรเช้า |
กิจกรรมรวมแล้วแต่บวร ชุมชนจัด |
ประชุมองค์กรต่างๆ |
รายการพิเศษ |
||
เสาร์ที่ ๖ พ.ย |
สมณะทั้งหมดประชุม “มหาปวารณา” |
สุขภาพไม่ดีเพราะมี ๑๐๘ หมอ |
|||
อา.ที่ ๗ พ.ย. |
สร้างอาหารให้กับโลกโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ |
กิจกรรมรวมแล้วแต่บวร ชุมชนจัด(อัดวิดีโอมาเปิดบุญนิยมทีวี) |
คุรุสัมมาสิกขามาเล่าสู่กันฟัง |
บุกเมล็ดพันธุ์ ! |
|
จันทร์.ที่ ๘ พ.ย. |
ประชุมพาณิชย์บุญนิยม(นักรบส่วนหน้า) |
ปฏิบัติธรรมจนเทวดาสาธุการ |
|||
อังคารที่ ๙พ.ย. |
สัมนาจะใช้ชีวิตกันอย่างไรเพื่ออยู่ฉลองชัยตอนพ่อครู๑๐๐ ปี |
ความพอเพียงเลี้ยงโลกนี้ |
|||
พุธ.ที่ ๑๐พ.ย. |
สรุปงาน |
ศุกร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ประชุมปวารณา สิกขมาตุ ๑๔.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. หลังพ่อครูแสดงธรรมภาคค่ำ มีการแสดงของ บวร ราชธานีอโศก
พ่อครูว่า… ก่อนอื่นขอตอบ SMS ที่ค้างอยู่ก่อน
เรียนรู้รูปนามในอุปาทายรูป
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ลูกได้ฟังคลิปพ่อครูทุกวัน และฟังหลายรอบกว่าจะพอเข้าใจได้ ลูกได้พยายามพิจารณาผัสสะทางทวาร๕(รูป)และเวทนา(นาม)เสมอๆยิ่งเวลาลูกมีความทุกข์มากก็ยิ่งพิจารณามาก เพื่อไม่ให้จมอยู่กับทุกข์ ลูกขอกราบเรียนถามว่า การพิจารณาผัสสะทางทวาร๕ เป็นรูป และเกิดเวทนาเป็นนาม จากนั้นเมื่อเรากำหนดรู้นามตัวนี้ นามจึงกลายเป็นรูป รูปนี้คืออุปาทายรูป ความเข้าใจของลูก บกพร่องอย่างไรคะ น้อมกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…ไม่บกพร่องเลยถูกต้องแล้ว แล้วก็ศึกษาต่อไปในอุปาทายรูป 24 นั่นแหละ แล้วเราก็จะชัดเจนปฏิบัติได้ เมื่อรู้รูป เข้าใจความหมายของคำว่ารูป และมีนามเป็นตัวผู้รู้เป็น Subject รูปก็เป็น object
ความหมายว่าสิ่งที่ถูกรู้คือรูป และขณะที่ถูกรู้นั้นก็จะต้องมีผู้รู้คือนามเป็นประธาน คือตัวเรา สิ่งที่ถูกรู้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง เราก็เรียนรู้จากสิ่งนั้นแยกแยะวิจัยวิจารณ์จากสิ่งนั้นมีองค์ประกอบสังขารกันอยู่ แล้วเราก็จัดการแยกแยะ จนกระทั่งสามารถดึงเอาเหตุปัจจัยที่มันเป็นตัวการ เป็นตัวเหตุที่เป็นอกุศลเหตุ ออกมาได้ แล้วก็พิจารณาอกุศลเหตุ ว่ามันไม่เป็นจริง มันเป็นตัวแทรกเข้ามากับความจริงที่เรารู้ ความจริงตามความเป็นจริง ซึ่งมันมี 1 1 1 ว่าตัวแทรกมาคือตัวที่ 2 เป็นตัวเก๊ทำให้เกิดความวุ่นวาย จนกระทั่งเกิดปัญญาว่าตัวที่แทรกขึ้นมาเป็นตัวเหตุเสมอนี้ เป็นตัว 2
จริงๆ 2 มันจะมี 2 อย่าง เมื่อยังไม่เป็นพระอรหันต์เราจะยังมีเหตุที่เป็นอกุศล เป็นเหตุที่เป็นตัวการให้สังขารของเราวิปลาส ก็จะต้องกำจัดตัวนี้ จนกว่าจะเป็นอรหันต์แล้ว แม้เป็นอรหันต์ใหม่ๆ ก็จะต้องระมัดระวัง จนกว่าเราจะมีพลังงานของปัญญามีธรรมวิจัย มีโพชฌงค์ 7 หรือมีโพธิปักขิยธรรมของเราสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์จนกลายเป็นสมาหิตัง จนกลายเป็นจิตตั้งมั่นที่มี มุทุภูตธาตุ เป็นตัวเก่ง ที่สมบูรณ์แบบแล้ว ไม่มีผิด
อาจจะมีพลาดบ้างเล็กๆน้อยๆได้ อย่างอาตมานี่ยังมีพลาดได้บ้าง กำหนดผิด กำหนดพลาด บางขณะอาจจะปรุงแต่งอะไรหลายอย่างพร้อมกันจึงกำหนดรู้ไม่เต็ม ก็แล้วแต่ มีเหตุปัจจัยให้ไม่บริบูรณ์ก็เป็นได้ เพราะเรายังไม่เก่งสมบูรณ์เต็มที่เต็มรอบ ก็เป็นเช่นนั้น อาตมาก็ยังมีความบกพร่องที่ยังเป็นอยู่ ก็ต้องศึกษาให้มันตั้งมั่นยั่งยืนมั่นคงสมบูรณ์แบบ ซึ่งมันเป็นได้ พระพุทธเจ้าท่านรับรองว่าเป็นได้ ขนาดอาตมา เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ไม่ใช่เบาแล้ว มันก็ยังไม่เต็มง่าย เพราะฉะนั้นอย่าประมาททุกคน
สัตตาวาส 9 เปรียบเทียบกับวิญญาณฐิติ 7 (มีต่อ)
_พันธุ์ พอเพียง : สัตตาวาส กับวิญญาณฐีตินี่เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นระหว่าง เทวะ อเทวะ ใช่ไหมครับ หรือลึกซึ้งกว่านี้อีกไหมครับ
พ่อครูว่า… นัยยะลึกซึ้งก็ดูรายละเอียดไป แต่ที่ถามมา ระหว่าง สัตตาวาส กับ วิญญาณฐีติ คือการเปรียบเทียบให้เห็นเทวะ อเทวะก็ใช้
การเรียนรู้วิญญาณฐีติเป็นการตรวจสอบ เราเริ่มต้นที่คำว่ากาย ด้วยสังโยชน์ข้อที่ 1 ผู้ใดยังมิจฉาทิฏฐิในคำว่ากาย สองนัยยะ สักกะ กับ คำว่า กาย
กาย คือสภาพคู่ที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆ ต้องเข้าใจตั้งแต่เบื้องต้นจึงจะปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธสำเร็จ ถ้ามิจฉาทิฏฐิคำว่ากาย ตั้งแต่เบื้องต้น ไม่พ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 ไปไม่ออก ปฏิบัติธรรมของพุทธอย่างไรก็ไม่มีทางบรรลุธรรมได้
เมื่อปฏิบัติสัมมาทิฏฐิในคำว่า กาย ไปจนจัดการกาย จนกระทั่งรู้จักว่า กายกับจิต ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้แยกกายแยกจิตให้ชัดเจน เมื่อใดมีกาย เมื่อใดไม่มีกาย และความว่า ไม่มีกายมันคือสภาวะอย่างใด สำคัญที่สุด
เพราะฉะนั้นในพลังงานจิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยาม ส่วนกรรมนิยามกับธรรมนิยาม เป็นสภาวะที่ปฏิบัติ ส่วน อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม สิ่งที่มีให้เป็นผล
เมื่อเราทำใจในใจอย่างถ่องแท้แยบคาย โยนิโสมนสิการ ก็จะทำให้รู้จักแยกกายแยกจิตเป็น แล้วทำให้จิตของเราไม่มีอาการของความเป็นกาย จนจิตนั้น อยู่ในฐานะของ พีชนิยาม ทำได้อย่าง วสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้จริงๆเลย
จนกระทั่งมันได้เป็นความมั่นคงจิตตั้งมั่นที่ทำได้อย่างนั้น จนแข็งแรงเป็นคุณลักษณะเต็มก็เป็นมุทุภูตธาตุ เป็นสองธาตุ Static กับ Dynamic ธาตุบวกกับลบตัวตั้งกับตัวเครื่อง พลังงานนี้จนสำเร็จสมบูรณ์เรียบร้อยได้ อย่างเป็นสมาหิโต มุทุภูตธาตุ สั่งสมไป ยังไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้เลย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
ทำอย่างนั้นได้จริงก็คือผู้สำเร็จไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีสภาพ 2 ไม่มีสภาพกาย มีภายนอก ต้องมีภายนอกและภายในด้วย จึงเป็นกาย เป็นภาษาสิริมหามายา นั่นคือมี กาย แต่เมื่อไม่มีกาย ภายนอกที่มีแต่จิต อยู่เหนือภายนอก โดยภายนอกเหมือนไม่มีแล้ว ไม่มีกายแล้ว ไม่มีฤทธิ์ที่จะมาทำอะไรได้แล้ว ซึ่งมันไม่มีพยัญชนะหรือภาษาจะพูดได้มากกว่านี้แล้ว อธิบายไปคงพอเข้าใจว่าไม่มีกาย พระพุทธเจ้าเห็นความสำคัญนี้ว่าคนที่จะมุ่งหมายเอานิพพาน ต้องแยกกายแยกจิต ทำจิตให้เป็นพีชนิยามไม่ได้ ไม่มีทางนิพพาน
เพราะฉะนั้นอุปัชฌาย์ทุกรูปจะต้องสอนผู้ที่จะมาบวชไปนิพพาน ให้แยกกายแยกจิพวกนี้ให้ชัด โดยให้เป็นมูลกรรมฐาน 5 จากสภาพภายนอก สภาพภายในหยิบเอามาเป็นตัวอย่างไม่ได้ ต้องหยิบสภาพภายนอกเป็นตัวอย่าง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
ถ้าเห็นว่าเวทนาไปร่วมกับสภาวะ ผมก็ดี ขนก็ดี เล็บก็ดี ฟันก็ดี หนังก็ดี หนังกับผิวหนังมันติดกันเนียนเลยยาก เอาผิวหนังมาอธิบายไม่ได้หรอกมันยาก
เอาฟันก็ไม่ชัด อาตมาถนัดเอาเล็บ หรือเอาขนก็ละเอียดนิด เอาผมก็เล็กยาว มันไม่ถนัด แต่เหมือนกัน อะไรก็นัยยะเดียวกัน พลังงานที่จะร่วมกันทั้ง 5 ประการนี้
เมื่อใด มันไม่เป็นกาเยมื่อใดมันเป็นกาย และ เมื่อไม่เป็นกายแล้วแต่ยังมีชีวะอยู่ในฐานะพีชะ คืออย่างไร ถ้าเข้าใจได้จะรู้ว่า เวทนามีหรือไม่มี เรามีสติสัมปชัญญะมีถ้ารู้เต็มสามารถสัมผัสและรู้ว่ามีเวทนาหรือไม่มีเวทนา มีความรู้สึกหรือไม่มีความรู้สึก เมื่อสัมผัสแล้วทั้งภายนอกและภายในเรามีความรู้สึกไหม
เช่น มนุษย์พืชไม่มีความรู้สึกภายนอกเลย ใครไปสัมผัสภายนอกอย่างไรก็ไม่รับรู้แล้ว อันนี้ก็เป็นตัวอย่างเหมือนกันกับผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แต่เอาทั้งหมดเลย ในชีวะของมนุษย์ แต่มนุษย์ผู้นี้จิตตกไปอยู่ในความเป็น พีชนิยาม แล้วมันไม่มีวิญญาณ ไม่มีจิต ไม่มีเวทนาเต็มแล้ว มีแต่ขันธ์ 2 3 อย่าง
รูป สัมผัสเข้าไปก็ไม่รู้เรื่อง ก็เลยมีแต่สัญญากับสังขาร อยู่แต่กับตัวเองข้างใน ข้างนอกไม่รับรู้อะไรเลย มนุษย์พืชเป็นตัวอย่างที่ชัด
ผู้ใดเข้าใจอย่างนี้ไม่ได้ ทำจิตให้ Drop ให้ลดคุณภาพลงไป ไปเป็นพีชนิยามได้ จึงจะเป็นนิพพาน เป็นผู้ที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีเทวะ ไม่มี 2 คำว่า เทวะ แปลว่า 2
ถามเทียบ สัตตาวาส 9 กับวิญญาณฐีติ 7
สัตตาวาส 9 คือความเป็นสัตว์ เดรัจฉานเป็นสัตว์ต่างๆ 9 ชนิด แต่เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่สัตว์หมู หมา กา ไก่ แมว จิ้งหรีด แมลงวัน แมลงหวี่ เป็นสัตว์อะไรไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ
สัตว์ข้อแรก กายต่างกันสัญญาต่างกัน ถ้าคนเข้าใจคำว่าการกำหนดผิดต่างกัน ผู้ยังไม่สัมมาทิฏฐิในเรื่องของกาย เขาก็กำหนดอย่างของเขา ผู้ที่สัมมาทิฏฐิในคำว่า กาย ก็ต้องเข้าใจอย่างของเขา มันก็ต้องต่างกัน
เมื่อทิฏฐิ สภาพ กายคือสิ่งที่ถูกรู้ สัญญาเป็นนามไปกำหนดรู้ เป็นคู่สุดท้าย กาย กับสัญญา ในสัตตาวาส 9 อธิบายในความเป็นสัตว์ แต่ วิญญาณฐีติทำให้เกิดความเป็นสัตว์ในจิตวิญญาณหมดไป กลายเป็นมนุษย์หรือกลายเป็นเทวดา หรือกลายเป็นพระพรหมเป็นบัญญัติ
มนุษย์ก็คือ Common noun ทั่วไป คือ คนทั่วไป ทั้งรูปธรรม นามธรรม แต่ทีนี้เมื่อไปสมมุติกำหนดไว้ว่าเป็นนามธรรมเท่านั้น มนุษย์คือผู้มีจิตเจริญ ไปเทียบกับสัตว์เดรัจฉานหมูหมากาไก่ซึ่งมันไม่ใช่ไปนิพพานได้ เดรัจฉานคือขวางทางนิพพานอยู่ตลอด
จิตผู้ที่เป็นเทวดา เทวดาก็มีมิจฉาทิฏฐิกับสัมมาทิฏฐิ ผู้ที่เข้าใจเทวดาอย่างสัมมาทิฏฐิ คือผู้เข้าใจอย่างอุบัติเทพ สมมติเทพ
อุบัติเทพ สมมติเทพถ้าเข้าใจอย่างมิจฉาทิฏฐิก็จะเข้าใจยังไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ ผู้ที่เข้าใจอุบัติเทพว่ามีสัมมาทิฏฐิ คนเทวนิยมทั้งหมดยังเป็นสมมติเทพทั้งนั้น ผู้ที่เป็นโลกุตระแล้วจะรู้จิตเจตสิกต่างๆ ที่จะเป็นจิตเจริญ เทวะ จิตสูงขึ้น จิตพัฒนาขึ้น เพราะเป็นโลกุตระคืออะไร คือรู้จักกิเลส อาการของกิเลสในจิต แล้วก็ทำให้กิเลสลดได้ เริ่มตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เกินกว่าอรหันต์ก็ไม่ต้องพูดเลย อย่างอาตมาเกินกว่าอรหันต์ แล้วก็อธิบายพวกนี้ได้ชัดเจนยิ่ง
คนจบอรหันต์ใหม่ๆทำได้แต่ตนเอง ภาษา พยัญชนะ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ยังไม่เก่ง อธิบายยังยาก อธิบายยังไม่ค่อยได้อย่างอาตมาหรอก เพราะฉะนั้นจะมอบหมายให้สืบสานศาสนาทีเดียวไม่ได้หรอก พระอรหันต์ธรรมดา แค่อนุโพธิสัตว์ หรือ อนิยตโพธิสัตว์ ยังมอบหมายให้สืบสานศาสนาไม่ได้ ต้องเป็นนิยตโพธิสัตว์ขึ้นไป จึงจะเป็นผู้สืบสานศาสนาได้ ไม่พาผิด เพราะรู้กาย รู้สัญญาได้ ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นคู่คำว่ากายกับคำว่าสัญญานี้ ถ้าผู้ที่ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ แน่นอนสืบสานศาสนายังไม่ได้ 2.ตนเองก็จะบริบูรณ์ยืนยันก็ให้มาปฏิบัติวิญญาณฐิติ
ปฏิบัติวิญญาณฐีติยังมิจฉาทิฏฐิยังไม่สัมมาทิฏฐิก็จบ คนนี้ก็ยังไม่มีทางที่จะบรรลุอรหันต์ได้ เพราะคุณเข้าใจวิญญาณฐีติยังไม่ถูกต้อง
เช่น ข้อที่ 1 กายเป็นอย่างไร สัญญาเป็นอย่างไรที่สัมมาทิฏฐิคุณรู้ชัดแล้ว คุณก็จะปฏิบัติจนพ้นความเป็นสัตว์ข้อนี้ได้ จนสูงขึ้นมาเป็นสัตว์ขั้นที่ 2 คือ
ข้อที่ 2 สามารถทำจิตให้สะอาดขึ้นได้เป็นปฐมฌาณ เป็นจิตพรหม จิตวิสุทธิเทพ ก็ซ้อนในวิสุทธิเทพ ที่เขาเข้าใจผิด เป็นพรหม พวกเดียรถีย์ ไม่มีตัวตนมันเป็น พรหมไม่แท้ พรหมเก๊ สภาพสภาวะอยู่ เช่น เป็นพรหม 16 ชั้น เป็นพรหมเก๊ทั้งนั้น
แล้วยิ่งไปหลง ฌาน 4 อรูปฌาน 4 ก็ผิดอีก ก็กลายเป็นผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิในพรหม 20 เป็นภพเป็นชาติ
4 อันสุดท้ายเป็น อรูปพรหม
สัตตาวาส 9 ผู้ที่กำหนดดับสัญญาเป็นอสัญญีเลย
อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญยายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อีก 4 นี่มันขี้เก๊หมดเลย เพราะดับสัญญาแล้วจะไม่รู้ความจริงๆเลย ดับสัญญาของเขาดับแม้แต่ภายนอกกับภายในนะ นั่งหลับตาปฏิบัติสมาธิ อสัญญีสัตว์ น่าสงสารมากอาตมาพยายามปลุกขึ้นมา แทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็น ไม่รู้กี่เช้ากลางวันเย็นแล้วเนี่ย อาตมาแทงอยู่นี่ ไม่สะดุ้งสะเทือนไม่รู้สึกรู้สา ฟังไม่ออกไม่ตั้งใจฟัง ไม่ตั้งใจศึกษา ยึดมั่นถือมั่นในการนั่งหลับตาๆ ตราบใดที่ยึดถือว่าการหลับตาปฏิบัติจะพาให้บรรลุอรหันต์แล้ว คนนี้ปิดประตูที่จะบรรลุอรหันต์ตลอดนิรันดร ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้รู้สึกตัวให้เข้าใจได้ว่า ไปงมงายอยู่อย่างนั้นทำไม
ทฤษฎีศาสนาพุทธได้มาจากพวกนั่งหลับตาทั้งนั้น ท่านก็ต้องอาศัยพวกเดียรถีย์ หากไปตีทิ้งเดียรถีย์หมด ท่านก็ไม่มีคนมาปฏิบัติ ส่วนอาตมานั้นเกิดมาในท่ามกลางพวกที่ไปยึดเดียรถีย์และถูกครอบงำ พวกคุณเป็นชาวพุทธ แต่คุณกำหนดผิด คุณกำหนดสัญญาว่าเป็นชาวพุทธ แต่คุณไปกำหนดเป็นเดียรถีย์เป็นที่ตั้งเป็นที่พึ่ง ก็ให้มาพึ่งแบบุพุทธสิ ไปพึ่งผีทำไม เดียรถีย์ คือผี ซึ่งมันไม่ได้
ที่อาตมาต้องย้ำเสียมากมาย เพราะติดนั่งหลับตาเป็นเดียรถีย์นี้แหละเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าตื่นจากหลับตากันได้ โดยเฉพาะพวกเป็นอยู่ในคณะใหญ่หมู่ใหญ่ มหาบัวก็ดี อาจารย์มั่นก็ดี แม้แต่ธัมมชโยนั่งหลับตาเหมือนกันก็ดี เถรสมาคมก็ตาม ทั้งหมดยังติดนั่งหลับตาอยู่ แม้แต่ท่านพุทธทาสก็ยังอาศัยนั่งหลับตา ขออภัย แม้ท่านมหาประยุทธ์ก็คงอาศัยนั่งหลับตา ซึ่งก็ต้องขออภัยถ้าเข้าใจผิดพลาด ท่านอาจจะไม่ได้นั่งหลับตาแล้ว
นั่งหลับตามีประโยชน์คือ
-
พักผ่อน 2. ศึกษาธรรมะปลีกย่อย 3. เตวิชโช คือการตรวจสอบ คุณจะหลับตาหรือไม่หลับตาก็ตรวจสอบได้ทำชำนาญแล้วไม่ต้องไปนั่งหลับตาก็ทำได้ ตรวจสอบสิ่งที่ได้ทำมาแล้ว บุพเพนิวาสานุสติญาณ กิเลสเกิดกิเลสดับ ทำให้กิเลสหมดสิ้นหรือยัง จุตูปปาตญาณ แล้วหมดสิ้นอาสวะหรือยัง อาสวักขยญาณ
ที่อาตมาพยายามอธิบายไปมากมาย มันก็คิดว่าครบสมบูรณ์ในการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติตามอาตมาก็เป็นอรหันต์กันได้แล้ว แต่คนก็ยังไม่เชื่ออรหันต์ เพราะเกิดมาชาตินี้อาตมาเป็น อาภัพบุคคล จะต้องต่อสู้ เพื่อยืนยันธรรมะพระพุทธเจ้า เอาภูมิตัวเองมายืนยันจนคนจำนนว่าใช่ โพธิรักษ์คือ สยังอภิญญา คือที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ นั้น คนที่ยอมรับจริงๆอย่างพวกคุณก็ได้มรรคผลไป คนที่ไม่ยอมรับไม่มีทางได้มรรคผล ว่าในยุคนี้มีอาตมา
อย่าหาว่าอาตมาเบ่งอวดใหญ่โตเลยนะ มีอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ คนอื่นยังไม่ใช่ พูดอย่างเกรงใจ คนอื่นยังไม่ใช่ ก็อาจจะมีสิ่งที่ถูกต้องบ้าง อย่างท่านมหาประยุทธ์ไม่ใช่ท่านไม่มีสิ่งที่ถูกต้องแต่ท่านมี ท่านพุทธโฆษาจารย์เขียนวิสุทธิมรรค ก็มีสิ่งที่ถูกต้อง ท่านพุทธทาสก็มีสิ่งที่ถูกต้อง
สิ่งที่ไม่ถูกต้องที่ยกตัวอย่างได้ก็คือ ธัมมชโยไม่มีสิ่งที่ถูกต้อง หรือแม้แต่ท่านมหาบัวก็ยังมีสิ่งที่ถูกต้องน้อย เป็นโลกียะอยู่ ยังไม่เป็นโลกุตระ เพราะฉะนั้นเริ่มต้นจะเป็นโลกุตระต้องจับคำว่า กาย เป็นตัวเริ่มต้น และคำว่า กาย เป็นตัวจบ โดยอาศัย วิญญาณฐีติ
กาย จะมีคำว่า กาย 4 วิญญาณฐีติ 1 2 3 4 หรือ สัตตาวาส 9 ข้อ 1 2 3 4
อสัญญีสัตว์ ไม่อยู่ในวิญญาณฐีติเพราะสัมมาทิฏฐิแล้ว สัมมาทิฏฐิแล้วก็ไม่ได้ไปดับสัญญา แต่สัญญาต้องทำงานเต็มที่ เพราะฉะนั้นยิ่งทำงานต่อจากนั้นไปเป็น อากาสานัญจายตนะ ธาตุว่าง อากาศ เป็นรูป แล้วก็มีคู่คือนาม วิญญาณเป็นนาม
อากาศก็ว่างจากกิเลสสูญเด็ดขาดสมบูรณ์ จิตก็สะอาดจากกิเลสเด็ดขาด
อากิญจัญยายตนะ กิเลสก็ไม่มี นิดหนึ่งก็ไม่มี น้อยหนึ่งก็ไม่มี เด็ดขาดเลย อากิญจัญ จบแล้ว สัมมาทิฏฐิก็ใช้วิญญาณฐีติ 7 เท่านี้ไม่ต้องใช้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อีก เพราะทำมาตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์
นอกจากคุณทำมาอย่างไม่เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ คุณก็ต้องมาตรวจอีกว่า มันหมดใช่หรือไม่ใช่ คุณก็ต้องแถม เนวสัญญานาสัญญายตนะ ของคุณแต่ละคนไป เก็บส่วนให้สมบูรณ์ของแต่ละคนไป ส่วนผู้ที่สมบูรณ์เต็มตั้งแต่ อากิญจัญยายตนะ ก็จบ กายกับสัญญาชัดเจนหมด 4 วิญญาณฐีติ 7 หรือ สัตตาวาส 9 ก็ตาม เพราะฉะนั้นเรียนรู้ มนุษย์ เทวดามาร พรหม
อย่างเทพ ท่านไม่เรียกพรหม ท่านเรียก วิสุทธิเทพ คือพรหม คือจิตสูงที่สะอาดสมบูรณ์แล้ว ถ้าทำอย่างสัมมาทิฏฐิจะทำอย่างเป็นลำดับ
เมื่อไปวิญญาณฐีติข้อที่ 2 รู้แล้วก็ทำให้ไม่มีกิเลสปีทำได้ชั่วคราว สะกดเอาไว้แต่เขาไม่ได้สมบูรณ์อะไร ไม่ได้เปิดทวารทั้ง 5 เข้ามาเรียนรู้กาม หรือปฏิฆะ เขาไม่ได้เรียนรู้อย่างเป็น พวกหลับตาปิดประตูก็ได้แต่ ปฐมฌาน แต่เป็น เดียรถีย์ ปฐมฌานแบบมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ แต่มันเป็นสัญญาอย่างเดียวกัน
สัญญาคือไม่มีนิวรณ์เหมือนกัน แต่กายต่างกัน คนนึงหลับตา คนนึงลืมตา กายก็ต่างกันแล้ว ไม่มีนิวรณ์เหมือนกันนะ แต่ต่างกันด้วยกาย คนหนึ่งถาวรในการลืมตาเลย ไม่ต้องหลับตาเลย ส่วนคนนั้นลืมตาทำไม่ได้ อาจจะทำได้เป็นครั้งคราวแต่ก็ไม่สมบูรณ์ไม่ถูกต้องเพราะไม่มีปัญญาไปประกอบ พวกนี้ไม่มีปัญญา มีแต่เฉโก มีแต่ความรู้เป็นโลกีย์ ไม่มีความรู้เป็นโลกุตระ คำว่าปัญญาก็ยาก นี่เขียนหนังสือปัญญา 8 ยังไม่จบเลย เกือบ 500 หน้าแล้ว
วิญญาณฐีติข้อที่ 3 เป็นอาภัสรา ซึ่งก็คือสว่าง สว่างใสสายธัมมชโย ถ้าจะแยกง่ายๆ ธัมมชโยนี้เป็นสายอาภัสรา สายอาจารย์มั่น มหาบัวเป็นสายสุภกิณหาอย่างมิจฉาทิฏฐิ อาภัสราก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ
อาภัสราที่สัมมาทิฏฐิใสก็คือจิตของเราสะอาดใสจากกิเลส อาภัสรา กิเลสไม่มีในจิตของเรา จิตของเราใสรู้จักกิเลส จิตสะอาด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จิตสะอาดจากกิเลส มันก็ใสยิ่งกว่าเพชร ที่ไม่มีอะไรหมองหม่นเลย หากว่าเป็นเพชรที่ไม่เจียรนัยมันก็จะยิ่งมีมุมเหลี่ยม ถูกแสงส่องมากระทบภายในวุ่นไปหมดเลย เพราะฉะนั้นคนที่รู้จักเพชร แม้จะไม่เจียรนัยเขาก็รู้ว่าเป็นเพชร จะมีแสงปริซึมอยู่ข้างใน
ถ้าคุณทำเพชรให้มันกลมเฉยๆ มันก็ไม่มีเหลี่ยมมุมเลย มันก็ใสไปหมดเลย เหมือนลูกแก้วใส ไม่มีอะไรแว้บวับให้คุณดูได้ เขาก็มาเจียรนัยให้เป็นเหลี่ยมต่างๆ ตั้งแต่สามเหลี่ยมปริซึม คนที่เจียระไนมุมเหลี่ยมของเพชรได้ดี ก็จะเห็นแสงต่างๆ วาบๆๆ ออกมาเขียวแทงตาตรงนี้ ม่วงแทงตาตรงนี้ แดงแทงตาตรงนี้ ก็คือเพชรเม็ดเดียวนั่นแหละ
สรุปคือคุณต้องมาเรียนรู้ปฏิบัติวิญญาณฐีติ 7 แล้วคุณจะหมดสัตตาวาส 9 ได้ ถ้าเข้าใจวิญญาณฐีติ 7 กับสัตตาวาส 9 นี้ไม่ได้ ก็ไม่จบอรหันต์
เพราะฉะนั้นคนจบอรหันต์ที่ยังไม่มีปฏิภาณ ยังอธิบายอย่างอาตมาไม่ได้นี้ แต่ท่านได้ท่านทำสำเร็จของท่าน ท่านมีวิญญาณฐีติ ไม่ใช่สัมภเวสี
สัมภเวสีกับวิญญาณฐีติแตกต่างกันอย่างไร
วิญญาณมีที่ตั้ง มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสมีภายนอกด้วย จึงจะมีวิญญาณฐิติ 7 ถ้าคุณไม่มีภายนอก พวกนั่งอานาปานสติ มีความรู้สึกกำหนดตามเท่านั้น ตามลมหายใจเข้าออกลมหายใจสั้นยาว
ทีนี้ ลมหายใจก็กระทบกับกลิ่นเท่านั้นเอง ก็รู้จักเหม็น รู้จักหอม นอกนั้นมันไม่รู้อะไร คุณติดในความเหม็นความหอม คุณชังในความเหม็นความหอมก็เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นคุณจะกำหนดรู้ เรียนให้มันจบ แค่นั่งหลับตาก็ได้ คุณก็นั่งหลับตาสัมผัสแต่กลิ่นเหม็นกับหอม คุณก็รู้ว่าเหม็นกับหอมมันก็ธรรมดาธรรมชาติ อันนี้ปรุงแต่งกันเป็นกลิ่นอันนี้เขากำหนดว่าเป็นความเหม็น หรือบางคนไม่ชอบ บางคนก็ชอบดมขี้ฟันเหม็นๆ หรือบางคนแคะแผลเอามาดม มันมีไวรัสอะไรเหม็นๆ บางทีบางคนชอบเอาไปจับที่ตรงไหนของตัวเองที่เหม็นแล้วเอามาดม แสดงพวกนี้ติดเหม็นชอบเหม็น พวกนี้ชอบน้ำบูดู หรือ ปลาร้า หรือติดถั่วเน่า พวกนี้ ชอบกลิ่นอย่างนั้น
สรุปแล้ววิญญาณฐีติเป็นตัวปัจจุบัน เป็นตัวมีที่ตั้งของตา หู จมูก ลิ้น กาย เรียกว่า โผฏฐัพพารมย์ แล้วต้องมีจิตเป็นตัวร่วมด้วย เพราะฉะนั้นตัวจิตที่ไปร่วมด้วยนี่แหละ มันรู้ภายนอกครบทั้ง 5 ทวารเลย เป็นรวมเป็น 10
แต่จริงๆแล้วมันกลับ ในการอธิบายวิสยรูป เหลือ 9 ซึ่งเป็นนับเหลือ 9 ก็เพราะว่าจิตมันเป็นหนึ่ง มันร่วมกับตาหูจมูกลิ้นกาย เมื่อมันร่วมกับตาหูจมูกลิ้นกายก็ถือเป็น 1 เหมือนกันหมด ใช้ไปใน 5 ทวาร ก็ต้องหักเอาครึ่งนึง ก็เลยเหลือ 9 แทนที่จะเป็น 10 จาก 5 คู่ แต่คู่ที่เป็นจิตนั้นมันใช้ร่วมกันทั้งหมดก็ถือว่าคู่นี้เป็นหนึ่งเดียว
จากวิญญาณฐีติไปถึงขั้น 4 แล้ว สุภกิณหา อันนี้ไม่ใช่ใสแล้ว เป็นความมืด ส่วนอาภัสราคือความสว่าง กิณหาคือความมืด ผู้ที่รู้จักความมืดของโลกของธรรมดา กำหนดใช้สัญญากำหนดรู้ความมืด ตอนนอนหลับแล้วหลับตามันก็มืด อยู่กับความมืดไป ไม่ต้องมีแสงสว่างไม่ต้องมีภพชาติ สัญญาไม่ต้องขึ้นมาเลย นอนหลับสนิท เขาเรียกภาษาเท่ๆว่า หลับ deep sleep นั่นแหละก็มืดอยู่เป็นการพักผ่อน ก็ดี ทำได้ดี อาตมายังทำมืดตลอดไม่ได้ เทวดายังมาคุยอยู่เป็นภพชาติที่สัมมาทิฏฐิ ไม่เหมือนอาจารย์มั่นที่เทวดายังเป็นตัวเป็นตนเป็นเรื่อง เป็นรูปร่างสมมุติ แล้วไปยึดรูปร่างนั้น เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าเทวดาจริงๆ อย่างของอาตมาคำว่าเทวดา เป็นแต่เพียงบัญญัติกำหนดสภาวะธรรมของจิตที่เป็น แล้วจิตที่เป็นสัมภเวสีไม่เอามาเกี่ยว ถ้ามันจะเป็นอะไรก็ได้มันเป็นเรื่องของความคิดและตัวเองเท่านั้น ตื่นขึ้นมาสัมผัสกับคนอื่นร่วมรู้ด้วยกัน พูดกันรู้เรื่องว่าเป็นอย่างนี้ดีกว่า ยิ่งมากคนรู้ร่วมกันได้เป็นล้านคนก็ยิ่งถือว่าเป็นความจริงร่วมกันเท่านั้น
เพราะฉะนั้นมืดก็รู้ว่ามืด แล้วก็ใช้มืดเป็นสุภะ เราต้องการพักมืดใช้มืด ส่วนคนอวิชชา หรือคนมิจฉาทิฏฐิเขาก็ชอบความมืดแต่ความมืดของเขาเป็นมิจฉาทิฎฐิ เพราะความมืดของความไม่สว่าง มืดของเขามันมืดทั้งอวิชชา มืดทั้งมิจฉาทิฏฐิ เป็นความมืดทางนามธรรมเป็นความมืดที่ผิดเพี้ยน
เพราะฉะนั้นในวิญญาณฐีติตัวที่ 4 จึงอธิบายยากๆ
สัมมาทิฏฐินั้นก็อย่างหนึ่ง รู้จักความมืดที่สัมมาทิฏฐิ แล้วก็ใช้ความมืดอย่างเป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษ ไม่งมงาย แต่มิจฉาทิฏฐิยังใช้ความมืด งมงาย ดีไม่ดี เป็นโทษแก่ตัวเองไปติดไปยึดแล้วก็ไปหลง
คุณหลับตาแล้วถ้าไม่มีแสงอะไรเลยในกลางคืน ยิ่งแรม 15 ค่ำด้วยก็มืดไม่มีอะไรคุณหลับตาลงไปก็มืดไม่มีแสงอะไรเลย มีแต่มืดกับมืดอย่างเดียว หลับตาเข้า และมีแสงแวบวาบอยู่ภายในก็เป็นอุปาทานของคุณทั้งสิ้น คุณยังเหลืออุปาทานก็นี่แหละคืออาภัสรา แสงอยู่ในความมืด ทั้งที่จริงหลับตาแล้วมันไม่มีแสงเเว็บอะไรหรอก ใครมีก็แล้วแต่คืออุปาทานที่เหลือ แม้นิดน้อยเท่าไหร่ แต่ไม่ต้องติดใจอะไรหรอก คนที่หลับตาสนิทจริงๆถึงจะรู้ว่าเรามีอุปาทานสนิทไปแล้วแต่คนอุปาทานไม่สนิท ก็จะเห็นแสงสี แสงก็แค่แวบใสๆขาวๆ ยิ่งเป็นสีก็เป็นมิจฉาทิฐิมากกว่า หลับตาไม่มีแสงสีอะไรหรอก
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
พญานาคคือสภาพหลับดับดิ่งอสัญญีสัตว์
สมณะเดินดิน… การอธิบายธรรมะนั้นอธิบายตามภูมิของคนอธิบาย แม้แต่เรื่องของบั้งไฟพญานาคเขาก็อธิบายต่างกันไป
พ่อครูว่า… ขออธิบายแทรกตรงนี้ อธิบายเรื่องพญานาค อย่าไปงมงายกับพญานาคไปนักเลย พญานาคก็คือเขาสมมุติไปตามละครนิทาน
คำว่า นาคา แปลว่างูหรือช้าง ตัวนี้มันหมายถึงงู ที่เขาบอกว่า งูตัวนี้เป็นพญานาคที่นอนเฝ้าอยู่ที่ก้นมหาสมุทร ก้นบึ้งของแม่น้ำ ตรงที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ลอยถาดทวนกระแส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การอธิบายรูปธรรม ลอยถาดทวนกระแส คือธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมทวนกระแส แต่เขาไปเล่นเป็นเรื่องเป็นราวเป็นรูปธรรม ว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์บรรลุแล้วจะต้องเอาถาดทองคำ แล้วพระพุทธเจ้าเอาถาดทองคำมาจากที่ไหนทิ้งไปแล้วมาลอยน้ำ เวลาบรรลุพระพุทธเจ้าแล้ว จะบอกว่าโยมเอาถาดทองคำมาให้อาตมาลอยทวนน้ำหน่อยนะ จะบ้าหรือไง นี่เป็นนิยายหลอกเด็ก
เพราะฉะนั้นคนที่ยังหลงพญานาค ยิ่งกว่าเด็กถูกหลอก โตแล้วก็ยังถูกหลอกยิ่งกว่าเด็ก ซึ่งพระพุทธเจ้าลอยมาแล้วก็ถึงตรงที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าตั้งแต่องค์ที่ 1 จนกระทั่งองค์ที่ ล้านๆเท่าไหร่ กองอยู่ พญานาคก็ยังนอนเฝ้าอยู่ที่ถาดใบแรกของพระพุทธเจ้าองค์แรก อยู่ที่ก้นแม้น้ำมหาสมุทร พอถาดของพระพุทธเจ้าองค์ใดที่บรรลุแล้วลอยถาดมาถึงตรงนี้จะต้องหยุดแล้วจมลงตรงนี้ ลงไปกองเป็นถาดซ้อนขึ้นมา พอถาดใบใหม่กระทบกับถาดใบเก่า ก็เกิดเสียงขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พระยานาคตื่นได้เท่านั้นเสียงอื่นทำให้ตื่นไม่ได้ พญานาคก็ตื่นขึ้นมา ซึ่งเขาเปรียบเทียบพวกพญานาคคือพวกที่หลับดับทั้งหลาย
แล้วพญานาคก็ยังมีนิทานต่ออีกว่า ปลอมตัวมาขอบวช พระพุทธเจ้าไม่ให้บวชให้ผู้ที่เป็นนาค เขาก็แก้ต่างว่าให้สมมติแต่งตัวเป็นนาคนุ่งห่มขาวมา เพื่อเตรียมตัวบวชก็แล้วกัน นี่ก็มีนิทานซ้อนนิทาน พญานาคตัวนี้มันไม่รู้สีรู้สาอะไรเลย เหมือนกับที่อาตมาปลุกให้เขาตื่นกัน นี่แหละคือพวกพญานาคแท้ๆคือพวกนั่งหลับตาปฏิบัติ
อาตมาไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ลอยถาดทองคำ แต่ก็มีทองคำเสี้ยวหนึ่งมาดังกริ๊ก ก็ไม่เกิดไม่รู้ เดี๋ยวต้องรอพระพุทธเจ้าลอยถาดทองคำพญานาคถึงจะตื่นเท่านั้น นี่อาตมาก็ต่อนิยายต่อไป
สรุปแล้ว นาค หรือ งู มันเอาแต่นอน อย่างงูเหลือมใหญ่ กินช้างเข้าไปตัวหนึ่งแล้ว กินสัตว์ตัวใหญ่ก็ไปตัวหนึ่งกว่ามันจะย่อยหมดก็นอนไปนาน เขาถึงบอกว่าจนกระทั่งหญ้าคาทะลุจากหลังงูเลย นี่คือพวกหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น พญานาคคือผู้เอาแต่หลับ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า นาค อย่าให้บวช ก็เลยมีนิยายต่ออีกว่านาคปลอมตัวเป็นมานพมาบวช พอมาบวช ปรากฏว่า นาคตัวนั้นยังไม่ทันได้บวช นอนหลับไป ก็กลับกลายเป็นนาคเป็นงูเลื้อยหางยาวออกประตู ผู้ที่เป็นพระมาเห็นก็บอกว่า ผู้ที่จะมาบวชทำไมมีหางออกมาเป็นงู เปิดไปดูก็บอกว่าอันนี้มันงูนี่ ปลอมตัวมาขอบวช ก็เลยต้องทัก ถามก่อนว่าเป็นงูเป็นนาคหรือไม่ก่อนบวช
สรุปว่า พวกที่เอาแต่นอน พวกที่เอาแต่หลับไม่รู้สึกรู้สาเลย ถ้าหากมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ปลุกขึ้นได้ก็อย่ามาบวชเลย ต้องรอพระพุทธเจ้ามาเท่านั้นถึงจะตื่น สรุปแล้วคือมันสุดวิสัยแล้ว คนนี้บวชอย่างไรมันก็ไม่ตื่น มันไม่ชาคริยา มันไม่มาโลกุตระอะไรได้เลย อย่าบวชดีกว่า สรุปได้แค่นั้น ในนิยายเรื่องนาค
สัตตาวาส 9 เปรียบเทียบกับวิญญาณฐิติ 7 (ต่อ)
วิญญาณฐีติ กับ สัตตาวาส 9
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… เล่านิทานต่อมาจนพญานาคกลายเต็มหนองคาย ยิ่งพระสายหลับตา จะมาพยากรณ์ว่าเป็นนาคตรงนั้นตรงนี้
สู่แดนธรรม… นาค ที่พระพุทธเจ้าไม่บวชให้ อาจแปลว่า พวก สัตตาวาส ข้อที่ 5
พ่อครูว่า… อสัญญี ดี สู่แดนธรรม วิเคราะห์ตรงนี้ดี ผู้นี้ทำแต่ดับสัญญาดับเวทนาและบอกว่านิโรธ ซึ่งตรงกันข้ามพระพุทธเจ้าเลยที่บอกว่าสัญญาให้แจ้งชัดกำหนดรู้ทุกอย่างเลย แต่นี่ไปกำหนดดับมืดสัญญาไม่รับรู้อะไรเลย ก็เลยปิดประตูที่จะรู้เรื่องเลย ไม่มีความรู้อะไรเพราะไปดับธาตุรู้จะไปกำหนดอะไรแล้วคือสัญญา ก็เลยไม่ต้องรู้อะไรเลย โง่ตลอดกาล อสัญญีสัตว์
อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญยายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อีก 4 สัตว์ ในสัตตาวาส 9 จึงเป็นของปลอมทั้งนั้นเพราะมันดับอสัญญีสัตว์แล้ว ไม่กำหนดรู้อะไรแล้ว พวกนั้นเป็น นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย
เพราะปฏิบัติ 4 ข้อแรก ก็มิจฉาทิฏฐิ ในข้อที่ 5 คุณก็เป็น อสัญญีสัตว์แล้ว จากนั้น ก็ไม่มีใครรู้ใครเห็น ไม่รับรู้เรื่องอะไรกับใครเลย ต่างคนก็ต่างงมงายกันไปใหญ่เลย
เพราะฉะนั้น สัตตาวาส ตั้งแต่ข้อที่ 5 ไปถึงข้อที่ 9 ยิ่งเป็นเรื่องโมเมชั่น สมมุติกันไปแต่ละคนส่วนตัวหมดเลย สัตตาวาส 4 ข้อแรกยังพอกำหนดรู้กันได้ นั่งหลับตาเป็นฌานอย่างไร ก็พอรู้ได้ แต่นั่งจะหลับตาลืมตาพูดตั้งแต่ข้อ 6 7 8 9 อีก 4 ข้อนั้น เท่ากับคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้
คนตาบอดจูงคนตาบอดและหูหนวก ไปดูหนังใบ้ ถ้าคนที่ตาบอดเขาไม่เห็นภาพเขาก็ได้ยินเสียง นี่ตาก็บอดแล้วหูก็หนวก เขาเลยจูงคนตาบอดและหูหนวกไปดูหนังใบ้ คนตาบอดไม่ได้ยินเสียงแต่เห็นแต่ภาพ แต่จูงคนตาบอดและหูหนวกไปดูหนังใบ้ ภาพมันก็ไม่ได้เห็น เสียงก็ไม่ได้ยิน แล้วพาไปทำไม นี่เป็นคำเปรียบเทียบอย่างนั้น
สรุปแล้ว สัตตาวาส กับ วิญญาณฐีติ เป็นคู่ที่มิจฉาทิฏฐิกับสัมมาทิฏฐิสมบูรณ์แบบ
ที่พูดค้างไว้ว่า คุณต้องรู้กาย ตัวแรให้สัมมาทิฏฐิแล้วสรุปด้วย กาย ตัวสุดท้ายคือวิญญาณฐีติ 7 อย่างสัมมาทิฏฐิทั้งหมด คุณก็จะสรุปได้บริบูรณ์เลย ไม่มิจฉาทิฐิสัญญากำหนดถูกต้องหมดเลย
_สู่แดนธรรม… เคยมีญาติธรรมถามว่า จะแยก วิญญาณฐิติ 7 กับสัตตาวาส 9 อย่างไร ผมก็เลยบอกว่าให้ตัดทิ้งสัตตาวาส 9 ไปเลย ก็มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้มาศึกษาเฉพาะวิญญาณฐีติ 7 อย่างนี้จะได้หรือไม่ครับ
พ่อครูว่า… ได้ๆ พอถึงสัมมาทิฏฐิให้ได้ ศึกษาวิญญาณฐีติ 7 ให้บริบูรณ์ ซึ่ง วิญญาณฐิติ 7 นั้น 3 ตัวสุดท้าย อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญยายตนะ สามเส้า
-
คือสิ่งที่ถูกรู้เป็นอากาศ 2. คือวิญญาณกำหนดรู้ 3. เป็นตัวที่ไม่มีคือกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ทั้งหมด 3 ตัวนี้มันว่าง ว่างจากอะไร ว่างจากกิเลส แล้วรู้ไหม รู้ด้วยวิญญาณ
วิญญาณที่เป็นปัญญา วิญญาณที่เป็นความรู้ยอด รู้หมดเลยรู้ครบไม่มีอะไรเหลือไม่บกพร่องเลย ทุกอย่างบริบูรณ์
อากาสานัญจายตนะ ว่าง สะอาด ในขณะที่คุณเองคุณยังมี คุณก็ต้องเห็นสภาพสะอาดว่าง แล้ว คุณก็ยังมีวิญญาณ คุณก็สะอาดว่าง แล้วคุณก็ไม่มีกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ทั้งหมดไม่มีเลย จบด้วยสามเส้านี่
เพราะฉะนั้นวิญญาณฐีติ 7 ก็จบด้วย อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญยายตนะ ก็จบแล้ว ถ้าคุณยังจะต้องทบทวนแล้วทบทวนอีกใน เนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วเมื่อไหร่คุณจะจบ มันก็ต้องไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ จะบอกว่าใช่หรือไม่ใช่ จะบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ คุณจะต้องไปกำหนดสัญญาอีกก็ไม่ต้อง สัญญาคุณจะต้องกำหนดจบได้แล้ว อยู่ที่ อากิญจัญยายตนะ เท่านั้น
เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันหมายความว่ามันยังไม่จบ ใช่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ จะว่าใช่ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ใช่ ไม่ได้ มันต้องใช่อย่างเดียว ไม่มีอะไรไม่ใช่
เพราะฉะนั้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ จึงเป็นตัวที่ยังค้างคายังเหลือ ต้องไม่มีต้องหมดจบอย่างสะอาดบริสุทธิ์ ชัดเจนขึ้นนะ
เพราะฉะนั้นใน สัตตาวาส 9 ถูกบ้างผิดบ้าง ในข้อ 1-4 ที่จริงแล้วมันจะผิดมาตั้งแต่ข้อที่ 1 มาเรื่อยๆ พอข้อ 2 ก็ไปกำหนด ซ้อนลึกเป็นปฐมฌาน ก็เป็นแบบ เดียรถีย์ หลงปฐมฌานไปอีกโลกหนึ่งเลยเป็นสัตตาวาสข้อที่ 3 สว่างใสเหมือนสายธัมมชโย
ที่จริงแล้วมันดับมืดแต่มันไปใสในมืดอีก พอมา อันที่ 4 ก็ สุภกิณหา เหมือนพวกสายนั่งหลับตา มืด แล้วไปหลงความมืดว่าดี แต่ที่ดี เป็นมิจฉาทิฏฐิ สุภะ เขาก็ผิดไปมืดแบบเดียวไม่ใช่มืดแบบสัมมาทิฏฐิ รู้ความมืดก็คือความมืด มันไม่ใช่ความหมดกิเลส ความมืดก็คือความมืดของแสงเท่านั้นเอง แต่ความมืดนั่งหลับตามืดดับมืดเข้าไปสู่เบอร์มิวด้า ไม่รู้อะไรเลยไม่รู้เนื้อรู้ตัวหายวับไปหมดเลย ไม่รู้เนื้อรู้ตัวไม่มีตัวตนนะ มันก็งมงายเข้าไปหาความไม่มี
แล้วนึกว่าความไม่มีอย่างที่เขาเป็นลึกลับแบบนั้นของเขา คือ ความถูกต้องแห่งความไม่มี ซึ่งความไม่มีแบบนั้นมันเป็นมิจฉาทิฐิ การไม่มีนั้นจะต้องไปอ่านใน มหาสุญตสูตรหรือจูฬสุญญตสูตร ซึ่งไม่มีนั้นต้องมีคู่เทียบ
พระพุทธเจ้าเริ่มต้นตั้งแต่ศาลานี้ว่างจากช้าง แต่มี ต้นเสา มีภิกษุมีอะไรต่ออะไรอยู่
ศาลานี้ว่างจากภิกษุ ช้างก็ว่าง แต่ยังมีต้นเสาอยู่นะ
ศาลานี้ว่างจากต้นเสา แล้วศาลามันลอยอยู่ได้อย่างไร คือ รู้ว่ามันไม่มีกับอะไร นี่ต้องมีสองให้เทียบเสมอว่ามีกับไม่มี ในสภาพที่คุณยังมีธาตุรู้ จนกระทั่งคุณรู้สิ่งที่ไม่มีนั้นอย่างชัดเจนว่าไม่มีและไม่เกิดมาอีกเลยเด็ดขาด แต่คุณยังไม่ตายยังมีชีวะ คุณก็ต้องยังมี ผู้นี้รู้ทั้งมีและไม่มี แล้วไม่เข้าไปมี กับสิ่งที่ไม่มีก็ไม่เข้าไปใกล้ ไม่เข้าไปใกล้ทั้ง 2 อย่าง แต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็รู้ว่าสิ่งใดควรมี และสิ่งใดควรไม่มี ก็ทำตามสิ่งที่ควรนั้นตามมหาปเทส 4 หรือตาม สัปปุริสธรรม 7 อย่างนี้เป็นต้น
ผู้ที่บรรลุธรรมบริบูรณ์แล้ว ก็ต้องช่วยส่วนดี เข้าข้างส่วนดี นี่ก็ไม่ใช่เข้าใจได้ง่าย (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
อนุปคัมมะในการเมืองไทย
สมณะเดินดิน… ดูพ่อครูเอา อนุปคัมมัง อธิบายหลายครั้งแล้ว หากไม่มีสภาวะธรรมอธิบายไม่ได้
พ่อครูว่า… ไม่ง่าย อันนี้ก็เข้าใจเหมือนกัน โบราณาจารย์นั้นจะอธิบาย 3 อย่าง ปฏิปทา มัชเฌนะ อนุปคัมมะ
มัชเฌนะ คือ ผู้ที่เป็นกลางแล้ว
อนุปคัมมะแล้ว กับ มัชเฌนะเป็น 2 สภาพที่เหมือนกัน
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าคนก็อาศัยส่วนมีและส่วนไม่มีนี่แหละ อาศัย 2 ส่วน มีกับไม่มีคืออะไร มันหมดเลย ครอบจักรวาลในเรื่องความมีและความไม่มี ทั้งหมด
เพราะฉะนั้นคนที่บรรลุตรงกัน สัจจะเป็นหนึ่งเดียวที่อาตมาพูดอยู่นี้ ก็รู้ความมีกับความไม่มี แล้วผู้นี้ก็เป็น อนุปคัมมะ ก็แปลว่าไม่เข้าไปใกล้ ไม่เข้าไปมี ก็อนุโลมพอได้ ใช้เป็นพยัญชนะ ไม่เข้าไปใกล้ ที่จริงก็ไม่ใช่เข้าใกล้แต่เข้าไปช่วย แต่ไม่ไปเป็นอะไรกับเขา ไม่ไปเป็นอะไรกับพวกมี ไปเป็นอะไรกับพวกไม่มีก็ไม่เป็น ไม่เป็นไปกับพวกไหนเลย
เหมือนกับพลเอกประยุทธ์ ไม่ได้เป็นคนพรรคไหนเลย แต่เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นคนกลางๆ ที่คนเขาเลือกมา เขายอมให้บริหารประเทศ พรรคต่างๆก็จำนน ซึ่งไม่ใช่คนของพรรคไหนเลย จึงเป็นคนเป็นกลาง อันนี้พลเอกประยุทธ์รู้เขาเข้าใจเขาจึงทำตัวอย่างนี้ ไม่เช่นนั้นเขาก็ไปเป็นสมาชิกพรรค พปชร. แล้ว แต่เขาไม่เป็น
เขาประพฤติทำงานเท่านั้นตามหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นตัวอย่าง เพราะฉะนั้นอยู่ไป 8 ปีไม่มีปัญหาหรอก เพราะมันเป็นสัจจะองค์รวมประชาชนคนไทยเป็นโลกุตระบุคคลกัน
ตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 มา ก็ชัดเจนมา เพราะฉะนั้นอันนี้จึงเป็นเรื่องที่ยาก จะเรียกว่า อจินไตยก็ได้ เป็นเรื่องยากที่คนจะเข้าใจ
เหมือนอย่างที่ยากจะเข้าใจว่าประชาชนไปปฏิวัติลงไปถึง 4 รัฐบาล นอมินี และตัวทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์หมดไป คนก็ยังไม่เข้าใจว่าประชาชนเป็นผู้ปฏิวัติ พูดเท่าไหร่เขาก็ยังบอกว่าปฏิวัติอะไรมือเปล่า ไปปฏิวัติคนที่มีมีดมีปืน ใช่ ถ้าพวกคนไทยที่ไปปฏิวัติมา 3 4 รัฐบาลนี้ ไปปฏิวัติที่อเมริกาตายหมด เขายิงตายหมดไม่เหลือ เพราะมันไม่รู้ว่านี่คือสุดยอดแห่งประชาชนแห่งประชาธิปไตยชั้นหนึ่งเลย พวกคนอเมริกาจะยังไม่รู้ว่าประชาธิปไตยชั้นหนึ่งคืออย่างประเทศไทย พูดแล้วก็เหมือนกับหลงประเทศตัวเองมากมาย ซึ่งไม่ใช่ความหลง แต่มันเป็นตัวอย่างของโลก นี่คือสัจจะความจริงที่เป็นตัวอย่างของโลก
ประชาชนเขาไปอย่างสงบทั้งนั้นเลย ก็มีคนชุดดำมาแทรกแซง จับตัวได้บ้างไม่ได้บ้าง จับได้ก็เอาไปติดคุก ที่จับไม่ได้ก็หลบไป ร่องรอยอยู่ภายนอกด้วยอำนาจบาตรใหญ่ ซึ่งเป็นตัวประจานตัวเอง ถ้าหากทักษิณรีบตายไปเลยก็จะสงบไปเยอะ แต่ทักษิณยังไม่รีบตายก็ยังประจานตัวเองตลอดเวลา ประจานความโง่เง่าของตัวเอง แสดงสิ่งที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยออกมาตลอด ยิ่งแสดงออกมาก็คือความขี้เท่อของตัวเองของประชาธิปไตย แล้วพวกลิ่วล้อก็บอกว่าประชาธิปไตยอยู่นั่นแหละ ไม่ใช่ประชาธิปไตยอะไร แต่ประชาธิปตับ
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าดูถูกดูแคลน เป็นความโง่ซ้อนโง่ซ้ำแล้วมาแสดงความโง่ออกมาให้คนอื่นเขาเห็น ผู้รู้เขาเห็น ผู้รู้เขารู้ แต่ผู้ไม่รู้ก็ไปเข้าข้างไปส่งเสริมกัน บางทีเขาก็บอกว่าเป็นปราชญ์แห่งสยาม แสดงความเห็นเข้าข้างไปอีก ก็โถๆๆๆ โถจริงๆเลย นี่โถ ดีไม่ไปใส่ ตัว น
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : เรียนถามพ่อท่านว่าพระยันตระบรรลุธรรมขั้นใหนครับ
พ่อครูว่า… บรรลุธรรมขั้นสมี ขอให้ไปตรวจเลือดก็ไม่ยอมไป ไม่แสดงให้ไปตรวจความบริสุทธิ์ตัวเอง ก็แสดงว่าใช่ มันเป็นร่องรอยอยู่อย่างนี้จะไม่ให้เชื่อว่าเป็นสมีได้อย่างไรใครจะไม่เชื่อก็แล้วแต่เป็นธรรมชาติของคน
_เกษม สันทอง · วันนี้ 26 ตค. 2564 ดีใจครับ ที่ท่านสมณะสิริเตโช หายอาพาธครับ
_รัตน์ กลับมา · สิกขมาตุสัจฉิกตา เทศน์เข้าใจง่าย
พ่อครูว่า… SMS วันที่ 27-28 ต.ค. 2564
_พันธุ์ พอเพียง : เมื่อผมไปทำกสิกรรมกับท่านสมณะที่สวนของสีมาอโศก ผมเผลอไปทำรังมิ้มตื่น ท่านสมณะชี้ให้ผมดู ผมกลับตอบท่านว่า ที่นี่ธรรมชาติดี แต่ท่านเจตนาให้ผมระวังศีลข้อปาณาติบาต เหตุการณ์นี้จะเทียบกับวิญญาณฐีติประมาณว่า กายเดียวกันแต่สัญญาต่างกันได้ ไหมครับ กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า… ได้ กาย มิ้มมันตื่น แต่สัญญาคนนี้ว่า อย่าไปทำให้มันตื่น อย่าไปทำให้มันตาย อย่าไปเบียดเบียนมัน อีกคนหนึ่งว่าธรรมชาติของมัน ไม่เป็นไร
_Pornthip Mungklad พรทิพย์ มุ่งกลัด : บุญจบแล้ว แต่ผลของบุญคือความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนใช่มั้ยคะ
พ่อครูว่า…จะว่าใช่ก็ใช่นะ ผลของบุญไม่ใช่เป็นสภาพสมบัติ จะใช้คำว่า มั่นคงมั่งคั่งยั่งยืนก็มีคือจิตสะอาดอย่างยั่งยืนมั่นคง ก็ใช่
ไม่มีความบังเอิญในสัจจะ
_2166 ตะปู แร็งเย็น : ขอกราบเรียนถามพ่อท่านว่า การที่รัฐบาลลงทุนโปรโมทจ้างนักร้องระดับโลกเป็นเงินร้อยล้านเพื่อเรียกนักท่องเที่ยว จะไม่เป็นความเสี่ยง(สูง)ในการระบาดของโควิดอีกรอบหรือครับ จะคุ้มหรือครับ? ขอฟังความคิดเห็นของพ่อท่านด้วยครับ??
พ่อครูว่า…เขามาแล้วหรือ เขางดไปแล้ว อาตมาก็ระแวงเหมือนคุณว่าไปลงทุนอะไรกับเรื่องไม่ได้เรื่องได้ราวอย่างนั้น สรุปแล้วเขาก็มีปฏิภาณปัญญางดไปแล้วก็จบ ให้คะแนนรัฐบาลที่ไม่ไปหลง (พอดีค่ายของลิซ่าบอกว่ามาไม่ได้) มันก็สมส่วน ที่เหมือนบอกว่า พวกเราปฏิวัติเสร็จแล้วพลเอกประยุทธ์ก็มารับไม้ต่อ สอดคล้องกันพอดี ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทุกอย่างเป็นความสมคล้ายกันอย่างมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่สมคล้อยกันมันก็ต่อไม่ได้ สมคล้อยกัน เพราะมารับไม้ต่อช่วงแล้วหรือไม่รับไม้ต่อเหมือนอย่างกรณีลิซ่าก็จบก็สวย พลเอกประยุทธ์มารับไม้ต่อจากประชาชนและทำมาอีก 8 ปีก็สวย นี่คือเหตุที่มันลงตัวสมคล้ายกันไม่ใช่ความบังเอิญ ในสัจจะไม่มีอะไรบังเอิญ รูปนามตรงกันหมดไม่มีอะไรบังเอิญในสัจจะ เป็นเรื่อง อจินไตย ที่ยากจะเข้าใจ นี่คือเมืองไทยจะต้องเกิดอย่างนี้ในเมืองไทย มีประชากรบุคคลอย่างนี้ มีลักษณะอย่างนี้ มีองค์ประกอบลงตัวอย่างนี้ จะบอกว่างามก็งามอย่างนี้แหละ อย่างโลกุตรธรรม อย่างโพธิรักษ์ทำมาอย่างนี้เขาบอกว่าไม่งาม พลเอกประยุทธ์ก็บอกว่าเขาทำงานอย่างเขา คนที่บอกว่าจะงามอย่างคนอื่นมันก็เป็นอุดมคติ อาตมาก็ต้องทำให้ดีขึ้น พลเอกประยุทธ์ก็ต้องทำให้ดีขึ้น ไม่มีปัญหาอะไร
_Kiddee Thamdee คิดดี ทำดี : พ่อครู ใช้พลังงานทางกายเหนือคนวัยนี้มาก ๆ ค่ะ ฟังไปก็ลุ้นไป ว่าจะหยุดไอตอนไหน
พ่อครูว่า…ขอบคุณ
อาหารหลากหลายตามกาละ เทศะ ฐานะ คืออาหารอายุยืนที่สุด
_นุ้ย วิโรจน์ มาบุตร : พ่อท่านต้องลองฉันซาคาฮารี/ตอนพ่อท่านอายุ151ปีนี่ผมแก่เกือบจะเท่าท่านแล้วอะ 80 กว่า
พ่อครูว่า…ลองแล้ว มันไม่เข้ากับคีงอาตมา ไม่เข้ากับเนื้อกับตัวอาตมามันไปด้วยกันไม่ได้ ลองแล้ว มันไม่ไปด้วยกันเลย แม้แต่กลิ่นมันด้วย เครื่องเทศซาคาฮารี ไม่เข้ากับคีงอาตมา ไปด้วยกันไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
คือธรรมชาติของร่างกายนี้นะ ร่างกายมันก็รับหรือไม่รับได้นี่ร่างกายมันไม่รับแล้ว อาตมาจะต้องเอาจิตไปรับทำไม อาตมาว่าอาตมามีเซ้นส์อันนี้ ร่างกายมันช่วยอาตมาไม่รับอยู่แล้วเป็นธรรมชาติข้างนอก ก็เลยว่าไม่เป็นไรถ้าดีมันก็ดี แต่อาตมาดูแล้วนะว่า ซาคาฮารี มันเป็นอาหารในวงแคบไม่หลากหลาย มันก็จะเป็นอย่างนั้น จะช่วยให้ไปได้ระดับหนึ่ง แล้วไม่สูงไปกว่านั้น แต่อย่างที่เราทำนี้ มีหลากหลายเปลี่ยนไป มันยาวกว่ากันเยอะ เป็นอาหารที่จะพาให้อายุยืนยาวกว่า ซาคาฮารี
ซาคาฮารี ก็จะอายุยืนยาวอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ยาวเท่ากับผู้ที่ได้สัดส่วนตามกาละเทศะฐานะ หน้าร้อนหน้าหนาวก็กินอาหารต่างกัน แค่นี้โภชนาการเขาก็รู้อะไรต่างๆ เพราะฉะนั้นกินอาหารตามฤดูกาลพืชพันธุ์ธัญญาหารตามฤดูกาล นี่แหละคือธรรมชาติที่ลงตัว แต่ถ้าไปกำหนดอาหาร ซาคาฮารี กำหนดว่าเมื่อไหร่ก็ต้องแค่นี้แกงถั่วๆๆ ปัดโธ่เอ๊ย มันมีมากกว่าแกงถั่วตั้งเท่าไร จะไปจมอยู่กับแกงถั่วเท่านั้นคุณก็ถั่วไป
อ้าว ขออภัย ไม่ได้ไปล้มล้างบางของไม้ร่มเขานะ ไม่เป็นไร คนยังเห็นเป็นประโยชน์อยู่ก็ว่ากันไป หากพอสมควรแล้วก็พักก็เอา หรือจะไปต่อยังดีอยู่ก็ว่าไป ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็ออกความเห็นอาตมาอาจจะผิดก็ได้
การอนุโลมปฏิโลมในยุคพระพุทธเจ้ากับในยุคพ่อครูนั้นต่างกัน
_Thanaphat Samanchai ธนาพัฒน์ สมานชัย : แต่พ่อท่านครับ พ่อท่านก็บรรลุอรหันต์แล้ว แต่พ่อท่านก็ยังติดชอบร้องเพลงเวลาเดินอยู่เลย
พ่อครูว่า…ปัดโธ่เอ๊ย ร้อง ขอร้องนิดหน่อยก็ไม่ได้หรือยัง ขอกันกินหน่อยไม่ได้เหรอ อาตมาก็ถนัดเพลงนะ ตั้งแต่อาตมาอยู่ทางโลก ตอนนั้น อาตมาสั่งซื้อหนังสือเพลงคลาสสิคมาเป็นภาษาอังกฤษนะ ให้ขวัญดีเขาซื้อส่งมาให้จากอังกฤษ
พระพุทธเจ้าจะเป็นตัวอย่างในการสร้างศาสนาท่านจะไม่มีอะไรอนุโลมเลย เปรี๊ยะๆๆ หมดเลย แต่คุณไม่ใช่พระพุทธเจ้าคุณก็ต้องมีอนุโลมให้คนอื่น แต่ท่านจะวางมาตรฐานของสัจจะ ของโลกุตระของท่านของพระพุทธเจ้า ท่านก็ทำตัวอย่างให้เปรี๊ยะๆ ส่วนที่จะไปยืดหยุ่นอนุโลมปฏิโลมมันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของมันในอนาคตต่อไป มาถึงทุกวันไม่ใช่แค่ยืด แต่มันกลับตาลปัตรเลย ไม่ใช่แค่อนุโลมปฏิโลม ทุกวันนี้มันตีลังกากลับหัวเป็นหาง เอาผิดเป็นถูก เอาถูกเป็นผิดเลย ทุกวันนี้มันเอาหัวเดินต่างตีนกันเลย มันคนละเรื่องกันแล้ว เข้าใจหน่อย แหม ขอกินหน่อยก็ไม่ได้
_ดวงกมล ก้อนทอง · กราบนมัสการค่ะ คนที่แพ้ไม่ได้ทุกข์ตายเลย คนที่แพ้ได้สบายใจจริง ๆ ๆ
พ่อครูว่า…จริง เป็นจริงที่สุดเลย อาตมามีโศลก คนที่จะชนะรอบโลกได้คือคนที่รู้จักการแพ้ ถ้าคนที่ไม่รู้จักการแพ้ คือคนไม่ชนะอะไรเลยในโลก
อย่างทักษิณ นี่ ตลอดกาลเขาก็จะไม่ นี่ดูเขาเข็นอุ๊งอิ๊งขึ้นมา จะเป็นอย่างไร มันก็เป็นสัจธรรมของมันช่างน่ากลัวอะไรน่าสงสาร น่าสงสารตรงที่มีลูกผู้ชายกับเขาหนึ่งคนยังเข็นขึ้นมาไม่ได้ ต้องไปเข็นน้องสาวขึ้นมา แล้วยังไปเข็นลูกสาวขึ้นมาอีก ทำไมวาสนาบารมีทักษิณเขาเป็นอย่างนี้ เอ้าว่าไป อาตมาก็พูดตรงๆอย่างนี้แหละไม่กลัวเขามาฆ่า
_เอ็น.ดี. กรุ๊ป · ท่านสิกขมาตุกล้าข้ามฝันมีเมตตาสูง
พ่อครูว่า…พวกเราเมตตาสูงกันหมดแล้ว ไม่เมตตาสูงก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปหมด
ชุมชนชาวอโศกไม่เป็นหนี้ และมีเหลือแจก
_จากคนไม่ชอบเป็นหนี้ เพราะเป็นทุกข์ในโลก : พ่อครูเคยให้หลักสำคัญของชาวอโศกไว้ว่า 1.ต้องไม่เป็นหนี้ 2.ทำให้มากให้เหลือเฟือ 3.ช่วยเหลือแจกจ่ายแบ่งปัน
แต่ทุกวันนี้กลับมีข่าวว่า บางชุมชนของชาวอโศก ไปสร้างหนี้ขึ้นมา บางครั้งกรรมการก็ไม่ได้ร่วมรับรู้ด้วย หรือบางครั้งนักบวชก็ไปหยิบยืมมาจากญาติพี่น้องของตัวเองด้วย
การมุ่งแต่ขยายกิจการ โดยไม่ห่วงเรื่องหนี้สินที่ชุมชนเป็นภาระต้องแบกรับ จะสอดคล้องกับหลักการของชาวอโศกที่พ่อครูให้ไว้หรือเปล่าครับ..
พ่อครูว่า…ไม่สอดคล้อง ถ้าทำอย่างที่คุณคนนี้ว่า เลิกนะๆจะไปก่อหนี้ไม่ว่าจะเป็นทางตรงทางอ้อม การไม่เป็นหนี้เป็นคุณวิเศษอันประเสริฐ เราทำได้พอสมควรทีเดียว
อาตมาดูอยู่ แม้แต่ชุมชนราชธานีอโศกก็ไม่ได้เป็นหนี้นะ เรายังมีเงินคงคลังเหลืออยู่ เขาเรียกภาษาทางการเงิน คือเราไม่เก็บเงินคงคลังให้เป็นก้อนมากมาย แต่จะมีเงินที่มั่นใจว่าถึงอย่างไรมันจะเกิดเดือดร้อน อุปัทวเหตุขึ้นมาอย่างไร ก็พอมีเงินมาหมุนได้ไม่เป็นหนี้ใคร เรียกว่าสำรองคลัง ไม่ใช่คงคลัง พอได้ แล้วเราก็เป็นคนไม่ได้หยุดทำงาน ไม่ได้หยุดหา มันก็หมุนเข้ามาอยู่เรื่อยๆ
แล้วมันเป็นสาธารณโภคีนี่คือสุดยอดเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นทุกคนทำแม้จะไม่เห็นเป็นตัวเงินเป็นรูปร่างแต่พวกเราทำงาน มันก็มีผลผลิต ผลผลิตต่างๆพวกนั้นเรานั้นไม่ได้ขายเอาเงินเข้ามาแต่เราแจก ไอ้การแจกนี่ ราคาสูงกว่าขายมากๆ แจกด้วยใจบริสุทธิ์นี่ การให้โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนนะราคาสูงมาก การให้โดยมีการตอบแทนนั้นราคาต่ำลงมากเรื่อยๆ
อาตมาเห็นพวกเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำการให้โดยตรงตามพระพุทธเจ้าสอนในทานสูตร ให้โดยไม่มีสาเปกโข ไม่ต้องพูดว่าต้องมี สาเปกฺโข ปฏิพัทธจิตโต สันนิธิเปกโข ปริภุญฺชิสฺสามีติ
-
ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
-
มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
-
มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
-
ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ