641001_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมบรรยายพรหมชาลสูตร ตอน 1
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1N65jNq69VDoTtjCCm0gTzWLQrkXsnGvYphQOs5nmZz0/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1SxZxFjwopiCV_rbic3EwmS3PG3LbbZKL/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/wH6kHRByZa8
สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก เหตุการณ์โควิดในประเทศไทย พอเริ่มคลายล็อค ก็เกิด cluster ใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีก อนุโลม ต่อไปยอดผู้ป่วยก็คงจะเพิ่มขึ้นอีก พวกเราจัดประเพณีกินเจก็ดีแต่อย่าให้เกิด cluster ขึ้นมาอีก
เร็วๆนี้พ่อครูได้ชี้ให้เห็นโทษภัยของการปฏิบัติธรรมแบบหลับตา แต่ดูกรณีลุงตู่แม้จะมีทั้งเสียงตำหนิและชื่นชม แต่ก็ไม่หวั่นไหว ยังคงอยู่เพื่อทำหน้าที่ให้ดีที่สุดต่อไป ทำอย่างไรให้ปฏิบัติธรรมกันแบบลืมตาเดิมมรรคมีองค์ 8 ไม่หวั่นไหวต่อผัสสะ ก็ยังมั่นคงแข็งแรง จะพลิกฟื้นประเทศไทยขึ้นมาได้
พ่อครูว่า… ??แจ้งอัพเดท หมายเลขช่องสัญญานรับชม #บุญนิยมทีวี
ช่อง PSI หมายเลข 237
SMS วันที่ 29-30 ก.ย. 2564
_ใบฟ้า ธัมทะมาลา : พ่อครูเคยตอบคำถามว่า”การเทศน์มีส่วนในการเพิ่มสปส.ขยายอายุขัยจริง”กราบนมัสการด้วยเศียรเกล้าฯ เจัา
พ่อครูว่า… การเทศน์นี่ ให้อาตมาเทศน์นี่ เขาเสริมความต้องการของเขา คุณใบฟ้า เขาต้องการให้อาตมาเทศน์เพิ่ม เขาก็เลยเสริมความต้องการของเขาด้วยเหตุที่เขียนมา สรุปความคือให้เทศน์จะได้อายุยืน
อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไร มันก็มีเพิ่มอีกวันวันอาทิตย์ ก็แล้วแต่ไม่มีปัญหาอะไร พวกเราก็เพิ่ม จะมีผู้ขึ้นมาอธิบายธรรมะเพิ่มขึ้น
_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ : บุญนิยมดูผ่านแอ๊พด้วย wifi บ่ได้แล้วฤา? เลยดูทางเฟซบุ๊คครั้งแรกกับธรรมะพ่อครูด้วยจอจิ๋วลิ๋วด้วยแว่น20บาท’ปรับเสียงจอมินิดังสุดสาธุ!
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม : ชุมขนราชธานีเป็นต้นแบบเรื่องการเป็นอยู่ ขนาดน้ำท่วมยังไม่ทุกข์ อยู่กับน้ำท่วมนาน ๆ ได้ไม่เดือดร้อนใจ กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… อันนี้ก็เป็นเรื่องจริง ชุมชนชาวอโศกจะอยู่ไหนก็ตาม อยู่ได้ทุกฤดูกาล แม้จะมีภัยธรรมชาติบ้าง เราก็ต้องใช้ปัญญาใช้ความเฉลียวฉลาดที่จะอยู่กับธรรมชาตินั้นได้ อยู่กับมันให้ได้ มันไม่เหลือบ่ากว่าแรง ถ้าหากธรรมชาติมันร้ายแรง อย่างเช่น ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว หนักหนา มันก็คงแย่ แต่ธรรมชาติพอประมาณ ถึงน้ำท่วมก็ไม่ได้ท่วมถึงขนาดมีสึนามิ น้ำท่วมอย่างโหดเหี้ยมถึงขนาดนั้น เราก็ค่อยๆปรับ เราก็มีปฏิภาณรับมือกับภัยธรรมชาตินี้ได้บ้าง เราก็ทำบ้างตามที่เป็นไป
ที่จริงแล้วเมืองไทยเราอยู่ในโซนที่เป็นชมพูทวีปจริงๆ เป็นสถานที่บรรยากาศทุกอย่างหมายความว่าโลกจะหมุนอย่างไร แต่ก่อนอินเดียเป็นสัปปายะที่ดี เป็นชมพูทวีป แต่เดี๋ยวนี้เมืองไทยเป็นแกน (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… น้ำท่วม หมู่บ้านข้างเคียงมายืนเรือท้องแบนเรา บอกว่ายืมเครื่องด้วย เราได้ข้อสรุปว่า แม้ว่าเขาจะมีเรือ แต่เขาไม่มีเรือส่วนกลาง แม้จะมีเรือก็มีแต่ส่วนตัว แต่ของเรามีมากคือไม่มีเรือส่วนตัวมีแต่เรือส่วนกลางก็เลยแจกจ่ายคนอื่นได้
พ่อครูว่า… เราต้องยืนยันพิสูจน์สาธารณโภคีเกินไปยิ่งใหญ่จริงๆ
_ตุ๊ก อัศวิน : ขอโอกาสเจ้าค่ะ
๑. พ่อครูเคยปรารภว่า ธรรมะ ที่ท่านแสดงนี้ไหลมาแต่ภาวะธรรมของท่านเอง ซึ่งได้ พตปฎ ยันรับในกาลต่อมา
พ่อครูว่า… ถูกต้องที่ว่าอาตมามีของอาตมาเอง ส่วนมีพระไตรปิฎกอ้างอิง มันก็ดีที่อาตมาไม่ได้สร้างเองนะแต่มาเอาของคนอื่นสร้าง มาตรงกัน ยืนยันได้ตรงสภาวะ ก็ทำให้เป็นน้ำหนักที่เขาต้องจำนนยอมเชื่อ ก็มันไม่ตรงกันได้อย่างไร
เนื้องอกในพระไตรปิฎกเป็นเช่นไร
๒. ท่านพุทธทาสเคยปรารภว่า มีเนื้องอก ใน พตปฎ = พตปฎ ไม่ใช่เนื้อแท้ทั้งหมด จึงขอโอกาส พ่อครูได้โปรด ชี้ให้แจ้ง ส่วนไหนที่ เป็น เนื้องอก ส่วนไหนเป็นเนื้อแท้ เพื่อให้เกิดพุทธิปัญญา แก่สาธุชน..ด้วยเจ้าคะ น้อมกราบสาธุด้วยความขอบพระคุณยิ่ง
พ่อครูว่า… ขออภัยท่านพุทธทาส ท่านภูมิไม่ถึงในพระไตรปิฎก ก็ไปหาว่าพระไตรปิฎกไม่ถูกต้อง อันนี้ก็ต้องพูดความจริง ท่านพุทธทาสยังมีภูมิที่รับยังไม่ได้ ท่านพูดว่าจะต้องฉีกทิ้งถึง 60% เหลืออยู่ 40 % แต่อาตมาใช้ 95% มั้ง ส่วนที่มีอะไรบกพร่องนิดหน่อยอาตมาก็ว่าเป็นธรรมชาติ ERROR นิดหน่อยมันเป็นไปได้ อาตมาก็ไม่ค่อยไปจำเท่าไหร่
“พระสีวลีเถระ ท่านมีประวัติอยู่ในครรภ์มารดานานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน คลอดออกมาแล้วเดินได้ พูดได้ ฯลฯ” ความเรื่องนี้มีปรากฎใน พตปฎ ตรงส่วนใด และ เป็นไปได้ฤา..เจ้าคะ / โปรดไขความนี้ให้แจ้งด้วยเถิดเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…อยู่ในพระไตรปิฎก ล.33/133สีวลีเถราปทานที่ ๓ ว่าด้วยบุพจริยาของพระสีวลีเถระ
ในครั้งนั้น เราเคืองศัตรูจึงสั่งให้ทหารทำการล้อมประตูเมืองของศัตรูไว้ ประตูที่ถูกล้อมของพระราชาผู้มีเดชรักษาไว้ได้เพียงวันเดียว เพราะผลของกรรมนั้น เราจึงต้องตกนรกอันร้ายกาจที่สุด และในภพสุดท้าย ในบัดนี้ เราเกิดในโกลิยบุรี พระชนนีของเราพระนามว่าสุปปวาสา พระชนกของเราพระนามว่ามหาลิลิจฉวี เราเกิดในราชวงศ์ก็เพราะบุญกรรม เพราะการล้อมประตูเมืองให้ผล เราจึงต้องประสบทุกข์อยู่ในพระครรภ์ของพระมารดาถึง ๗ ปี เราต้องหลงทวารอยู่อีก ๗ วัน เพียบพร้อมไปด้วยมหันตทุกข์ พระมารดาของเราต้องประสบทุกข์ด้วยเช่นนี้ ก็เพราะฉันทะในการล้อมประตูเมืองเราอันพระพุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์ จึงออกจากพระครรภ์พระมารดาโดยสวัสดี เราได้ออกบวชเป็นบรรพชิต ในวันที่เราคลอดออกมานั่นเอง ท่านพระสารีบุตรเถระเป็นอุปัชฌาย์ของเรา พระโมคคัลลานเถระผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ มีปรีชามาก เมื่อปลงผมให้ ได้อนุศาสน์พร่ำสอนเรา เราได้บรรลุอรหัตเมื่อกำลังปลงผมอยู่ ทวยเทพ นาคและมนุษย์ต่างก็น้อมนำปัจจัยเข้ามาถวายเรา เพราะเศษของกรรมที่เราเป็นผู้เบิกบาน บูชาพระผู้นำชั้นพิเศษ พระนามว่าปทุมุตระและพระนามว่าวิปัสสี ด้วยปัจจัยทั้งหลายโดยพิเศษ เราจึงได้ลาภอันอุดมไพบูลย์ทุกแห่งหน คือ ในป่า ในบ้าน ในน้ำ บนบก ในคราวที่พระผู้มีภาคผู้นำโลกชั้นเลิศพร้อมด้วยภิกษุสามหมื่นรูป เสด็จไปเยี่ยมท่านพระเรวตะ พระพุทธเจ้าผู้มีพระปรีชาใหญ่ มีความเพียรมาก เป็นนายกของโลก พร้อมด้วยพระสงฆ์ เป็นผู้อันเราบำรุงด้วยปัจจัยที่เทวดานำเข้ามาถวายเรา ได้เสด็จไปเยี่ยมท่านเรวตะแล้ว ภายหลังเสด็จกลับมายังพระเชตวันมหาวิหารแล้ว จึงทรงแต่งตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ พระศาสดาผู้ทรงประพฤติประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง ได้ตรัสสรรเสริญเราในท่ามกลางบริษัทว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายในบรรดาสาวกของเรา ภิกษุสีวลีเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายที่มีลาภมาก เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว … พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
พ่อครูว่า…มีที่เขาเขียนเสริมเติมเข้าไป ส่วนมากมาจากอรรถกถาจารย์ก็ฟังหูไว้สองหู ก็ว่าไป ก็ไม่มีปัญหาอะไรเราก็รับรู้ อะไรที่ปฏิบัติได้ก็เอา อะไรที่เกินกว่าจะปฏิบัติ เช่นเราจะไปอยู่ในครรภ์ถึง 7 ปีเราก็ฟัง รู้ไว้เท่านั้นเอง
คือ สิ่งที่มันประหลาดพิสดารต่างๆนานาที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา เราก็ฟังไป เรารู้ไม่ได้ว่าสิ่งที่มันพิเศษจริงๆเป็นได้ในหนึ่งในล้าน ก็พึงได้ เช่น พระพุทธเจ้าเดิน 7 ก้าวแล้วเปล่งพระวาจาออกมา คลอดออกมาก็เดินได้เลย ว่าไป เท็จจริง เราก็ไม่มีปัญหาอะไร อาจจะพิเศษอย่างนั้นก็ได้ แต่เราพิเศษไม่ได้ เราก็ได้แต่รับฟัง ก็พิเศษพิลึกพิลั่นอยู่ ก็รับรู้ หลายๆอย่าง
เหมือนอย่างปัจจุบันนี้ ได้ข่าว มีผู้อายุตั้ง 300 ปี ได้ข่าว ก็มีภาพถ่ายมา หน้าตาอย่างกับแก่นไม้กันเกรา นึกออกไหม ดูเส้นเอ็นที่เขาถ่ายมือมา อย่างกับรากไม้ ก็ไม่เป็นไร ยืนยันกัน ที่โน้ตไว้ว่าเกิดวันไหน ปีไหน มันจริงตรงกันตามที่ว่าหรือเปล่า ผ่านมาตั้งเป็น 200, 300 ปี
สู่แดนธรรม… คำว่า อยู่ในครรภ์มารดา 7 ปีนั้นผมคิดว่า ถ้าเป็นธรรมาธิษฐาน อาจหมายถึงว่า เป็นการอบรมพร้อมที่จะเกิด ทางนามธรรม 7 ปีได้ไหมครับ
พ่อครูว่า… ถ้าเป็นนามธรรมก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่รูปธรรม จะแปลเป็นพิลึกพิลืออย่างไรก็ได้ เราไม่อยู่ในฐานะจะเป็นเช่นนั้น เช่น เกิดมาเดิน 7 ก้าวแล้วเปล่งอาสภิวาจาพระพุทธเจ้านี้ก็พิลึก เราก็ยกไว้ให้พระพุทธเจ้าองค์เดียวก็แล้วกัน
เราก็รับไว้ จะเชื่อก็ไม่ทีเดียว จะไม่เชื่อก็ไม่เสร็จทีเดียว อะไรรับได้ เห็นดีเห็นงามแล้วก็เอามาปฏิบัติให้บรรลุธรรมก็แล้วกันสรุปจบอย่างนี้
_จากป้าคนบ้านราช
๑. สุตพุทธ คืออะไรคะ?* (ผมได้คำตอบมาว่า เป็นคำที่ใช้เรียกผู้ที่ศึกษา ได้ฟังพระพุทธพจน์มามาก จนเป็นพหูสูต ว่า สุตพุทธะ ครับ / มีอยู่ในพระไตรฯ ฉบับอรรถกถา ฉบับมหามกุฏ)
พ่อครูว่า…สุตะ คือ ได้ฟังมาก มี สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา สุตะเป็นคำต้น ก็คือได้ยินได้ฟังมา
ต้องปฏิบัติทีละคู่จึงนำไปสู่ประชาธิปไตยที่สูงสุดได้
_๒. ที่พ่อครูกล่าวว่า “ทำไปทีละคู่ๆ” คงหมายถึง คู่ของกุศล-อกุศล, คู่ของสุข-ทุกข์ หรือทำธรรมะ ๒ ให้เป็น ๑ ใช่ไหมค่ะ ขอคำอธิบายด้วยค่ะว่า ทีละคู่ๆ คืออะไร
พ่อครูว่า…คำว่าทีละคู่ก็ 2 ทั้งนั้น ก็อยู่ที่ว่าแล้วเราจะทำคู่ไหนเป็นคู่แรก คำว่า เทวฺ มันรวมไปทั้งหมด ตั้งแต่ต้นคือจิตวิญญาณ ซึ่งต้องมีสิ่งที่ถูกรู้และต้องมีธาตุรู้ร่วมด้วย ถ้าไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ แล้วไม่มีธาตุรู้ร่วมด้วยก็ไม่นับว่าเป็นวิญญาณ ไม่นับว่าเป็นธาตุรู้อย่างสมบูรณ์แบบ
หากธาตุรู้เกิดอยู่อย่างเดี่ยวๆ ไม่กระทบอะไรเลยมันก็เป็นอากาศ วิญญาณในอากาศ อากาศในวิญญาณ วิญญาณจะพูดอะไรกับอากาศให้รู้เรื่อง ซึ่งมันไม่ใช่ธาตุรู้มันก็ไม่รู้เรื่อง หรือยิ่งเป็นอากาศ เป็นธาตุรูปธรรมเดี่ยวๆเลย ก็ยิ่งไม่เป็นวิญญาณไม่เป็นธาตุรู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นคำว่า 2 จึงยิ่งใหญ่ที่สุดในทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อยู่ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ ซึ่งคุณจะต้องเรียนรู้ไปด้วย 2 ทั้งนั้น
ถ้าคุณจะเรียนรู้ด้วย 1 อย่างเดียว ไม่มี 2 เป็นโมฆะ ไม่มีทางสำเร็จ ไปนั่งหลับตาไม่มีแค่คำว่ากาย คือภายนอก หนึ่งเดียวก็พังแล้ว อาตมาถึงได้พูดนักหนาหลายทีแล้วว่า ประชาธิปไตยขาเดียว เป็นประชาธิปไตยโมฆะ ไปไม่รอดหรอก เมื่อไม่มีนามธรรมกำกับอย่างมีนัยยะสำคัญลึกซึ้ง นามเป็นประธาน แล้วเอารูปเป็นประธานด้วย แล้วมันจะไปไหนรอด ไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งดันทุรังไป เดี๋ยวคอยดูไปเรื่อยๆเถอะ ประชาธิปไตยขาเดียวที่อุตริกันอยู่ทุกวันนี้ ไปเป็นประชาธิปไตยขาเดียวไม่มีกษัตริย์
เรื่องนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเลย ประชาธิปไตยต้องมีกษัตริย์ แต่สุดท้ายเขาก็ไปไม่รอดมันพลิกแพลงไปจนกระทั่งกลายเป็นคอมมิวนิสต์สุดๆ วันนี้ก็ยังมีตัวอย่างอยู่คือคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ แต่สุดท้ายเขาก็ไปไม่รอดต้องมี 2 คอมมิวนิสต์ในเกาหลีเหนือ ตัวที่เป็นใหญ่ที่สุด ยิ่งกว่ากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์อีก หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเผด็จการใหญ่ที่สุด
สู่แดนธรรม… เขาเปรียบเหมือนพระเจ้า
พ่อครูว่า… ยิ่งกว่านั้นอีก เพราะฉะนั้นอยู่ไปอย่างนั้นอีกได้ไม่นานหรอก ทำเป็นเก่งเถอะ ในโลกยุคนี้มันกำลังมีสิ่งที่กำลังเหลือเศษ อย่างเศษสหรัฐ เศษอย่างเกาหลีเหนือ มีรูปร่างพอจะรับรู้ได้ เรียนรู้ได้ และจะเห็นความจริงที่ลึกซึ้งว่า ประชาธิปไตยต้องมีขา 2 ขา คือมีรูปกับนาม แล้วก็จะรู้
อย่างในเมืองไทยอาตมายืนยันว่าเป็นประชาธิปไตยที่มี activity มีลีลา เหตุปัจจัยที่ทำให้มีพฤติการณ์ มี phenomena ที่ทำให้คนเก็บเอาความเป็นจริงที่เกิดในสภาวะ status quo มาไว้เป็นเหตุปัจจัยในการศึกษา จะได้ศึกษาประวัติศาสตร์มีสิ่งที่เป็นจริงขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่ไปเอามาจากอะไรที่ไม่ได้อยู่ในยุค แต่มันอยู่ในยุคที่มีให้สัมผัสได้อยู่ เอาไปศึกษายืนยันกันได้ คนก็จะยอมรับกันดีที่สุด เพราะว่าสัมผัสจริงไม่ใช่อ่านแต่ในตำรา ฟังแต่ตำนานอวตารมาจากไหน ไม่ใช่ ถึงแม้ว่าประวัติศาสตร์นาน 100 ,200 ปีก็ยังใหม่อยู่ ตามศึกษาได้ ยังมีหลักฐานที่ยังไม่เลอะเลือน ไม่ตกหล่น ไปมากมาย
เพราะฉะนั้นจึงเป็นยุคที่จะยืนยันความจริงได้ เป็นปัจจุบันธรรม ทิฏฐกาละ อย่างจริงอย่างดีที่สุดเลย ตามศึกษาไป อาตมาว่าไม่น่าจะนาน น่าจะมีความกระจ่างแจ้ง น่าจะมีการรู้ได้อย่างดีขึ้นมา ไม่น่าจะเลย 20-30ปี จะเป็นที่รู้กันดีมากเลยว่า จริงๆแล้วความเป็นประชาธิปไตย ที่เป็นประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ มีเนื้อหาที่สมบูรณ์แบบที่สุด มันเป็นเช่นไร
ซึ่งมันไม่เที่ยง ที่จริงประชาธิปไตยก็ไม่เที่ยง ไประบุว่าอย่างนี้คือยอดประชาธิปไตยทั้งหมด ก็ไม่ได้เสียทีเดียว เป็นแต่เพียงว่า พูดเอาไว้เป็นหลักการ
เช่น อาตมายืนยันว่า ประชาธิปไตยที่ยอดเยี่ยมนั้นคือ
-
ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารหรือเป็นประชาชน ต้องไม่มีตัวตน
-
ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารหรือประชาชน ต้องซื่อสัตย์
-
รับใช้กันและกัน เอื้อกันได้เป็นทายก ปฏิคาหก
มันคือสุดยอดที่สุดแล้วของความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสุดยอดอย่างนั้นเป็นทุกคนไม่ได้ แต่ ผู้ที่เป็นยอดคือนายกฯเป็นได้ นายกฯ มีคุณสมบัติคุณวิเศษ ไม่มีตัวตนได้ ซื่อสัตย์ได้ รับใช้ประชาชนเต็มที่ได้ Wait and see คอยดู สิ่งจริงนี้จะปรากฏได้ ไม่น่าจะเกิน 30 ปี จะมีตัวอย่าง ตัวอย่างคือ
พระอรหันต์เป็นนายกฯ สรุปง่ายๆ เอาไว้แค่นี้ก่อน
จะฝึกให้มีสติแววไวได้อย่างไร
_๓. มีคนถามดิฉันว่า “จะฝึกให้มีสติแววไวได้อย่างไร” ดิฉันก็ตอบเขาไปตามภูมิเท่าที่มี และที่เคยปฏิบัติมา จึงขอให้พ่อครูอธิบายเรื่อง ฝึกอะไร อย่างไร จึงจะทำให้สติแววไว คะ ?
พ่อครูว่า…ฝึกฝนไปตามลำดับ ปฏิบัติศีลได้ผลแล้วได้ผลพอเพียงแล้วหรือยัง ต้องเพิ่ม อธิศีลเหลื่อมไปตามลำดับ
ศีลพื้นฐานมี 3 ข้อหลัก ศีลข้อที่ 1 2 3
ศีลข้อที่ 4 วาจา ก็ขยาย 3 ข้อนี้แหละ
ศีลข้อที่ 5 เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ก็คือ ความรู้ของ 3 ข้อหลัก อาตมาก็ขยายความมาไม่รู้กี่ทีแล้ว จนพระพุทธเจ้าท่านสรุปเอาไว้สมบูรณ์แบบแล้ว
ถ้าเข้าใจว่า 1. เกี่ยวกับสัตว์ สิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะคน คนด้วยกัน สิ่งมีชีวิตคือสัตว์ สัตว์เดรัจฉาน สัตว์อื่นๆ ปล่อยไปตามยถากรรมของเขา อย่าไปเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย หากมีความจำเป็นมากๆ จะต้องพึ่งพาอาศัยกันบ้าง ใช้แรงงาน ใช้เป็นอาหารบางส่วน อะไรก็แล้วแต่ แต่มันก็เป็นวิบากกันทั้งนั้นเลย ถ้าคุณจะทำ แต่ถ้าคุณต้องการบรรลุสูงสุดเป็นพระอรหันต์ไป คุณจะไปยุ่งทำไม ต้องไปใช้แรงงานเขา ต้องไปกินเนื้อกินไข่เขา ซึ่งไม่ต้องหรอก อาศัยคนด้วยกันนี่แหละ ทำได้ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานด้วย ฝึกเข้าสิ ไปฝึกสัตว์ไม่สู้ฝึกคนทำได้ดีกว่า อย่างไรๆเก่งอย่างไร อาจจะมีพิเศษบางอย่างในสัตว์บางตัว เช่น หมามันมีประสาทสัมผัสรู้ได้รายละเอียดกว่าคนอะไรเป็นต้น ก็ใช่ มันมีความจำเป็นอย่างไรบ้าง ก็พิเศษไป
ทีนี้ สติแววไวอย่างไร มุทุธาตุ เป็นสติที่ มีทั้งแข็งแรงทั้งแววไว ทั้ง Static และ Dynamic คุณเน้นไปทางไหนมาก เน้นความตั้งมั่น แววไวก็น้อยลง เน้นแววไว ความตั้งมั่นก็จะน้อยลง อาจจะน้อยลงอย่างไรมันก็จะสมดุลกัน โต่งไปทางใดทางหนึ่งก็กลายเป็น 2 ขั้วเป็นสายศรัทธากับสายปัญญา มันจะต้องให้มาใกล้เคียงกัน แม้คุณจะอยู่ในแกนไหน แกนศรัทธาหรือแกนปัญญา มันก็จะเอามาสังขารหรือผสมส่วนใช้งานทางพลังงาน 2 สภาพคือบวกกับลบ หรือพลังงานรูปแบบนามพลังงานสภาพ 2 นี่แหละ ให้ดีที่สุด ก็ได้สัดส่วนที่เป็นสมดุลช่วยกันได้ดี ซึ่งไม่เที่ยง ในยุคกาละนี้ ต้องให้ปัญญานำ กาละนี้ ต้องให้ศรัทธานำ ไม่เที่ยง อย่างนี้เป็นต้น
ทำใจในใจต้องทำตอนไหน
_ชาวสขจ. : ฝากถามเรื่อง เป็นอยู่อย่างกัมมัญญา ว่าต้องทำใจในใจตอนทำงาน หรือทำใจในใจทุกการกระทำตั้งแต่เราตื่นลืมตา หรือความหมายอื่นคะ
พ่อครูว่า… คุณต้องรู้จิตของคุณๆที่ไปกำหนดรู้ เมื่อเกิดการผัสสะภายในภายนอก แล้วก็จะได้ทำใจในใจ โดยใช้ นาม 5 คือ เวทนา เจตนา ผัสสะ มนสิการ การทำใจในใจไม่มีผัสสะมีแต่ภายในใจเท่านั้น มันก็สูญโญ เพราะฉะนั้นก็นั่งหลับตานี่พูดไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว แต่ค่อยดีขึ้นจะได้เลิกหลับตา ถ้าเมืองไทยเลิกนั่งหลับตาปฏิบัติกันได้เมื่อใด เลิกไปได้เกิน 50% จะรู้เรื่องกันเลย ไม่ต้องเลิกทั้งหมดหรอก ก็จะเห็นผลอย่างมหาศาลเลย
พวกที่นั่งหลับตาอยู่ทุกวันนี้ คนที่ฟังอาตมาอธิบายโลกุตระของพระพุทธเจ้าถึง 10%มั้ย ถ้าเผื่อว่ามาฟังอาตมามาเห็นจริงมีปฏิภาณปัญญาชัดเจนว่า หลับตานี้มันคือเดียรถีย์ 100% โอโห ทำไมเราถึงโง่มานานนัก ผู้ที่รู้ตัวเมื่อนั้น ศาสนาพุทธจะพลิกไปอย่างมาก พูดไปประเดี๋ยวก็ยกยอตัวเอง มันก็จะดูน่าเกลียดเกิน มันจะยกยอยกย่อง มันสุดยอดจริงๆ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าพวกเรานี้สุดยอด พูดแล้วก็น่าหมั่นไส้จริงๆ มันเวอร์เกินไปหรือเปล่า สุดยอดอะไรของเอ็งวะ
คำว่า รื้อขนสัตว์ของพระโพธิสัตว์ หมายถึงอะไร
_จนให้เป็น แล้วสบาย : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งครับ คำว่า รื้อขนสัตว์ของพระโพธิสัตว์ หมายถึงอะไรครับ
พ่อครูว่า… คือผู้ที่ได้ประโยชน์ตนแล้ว และมีความรู้ความจริงที่ได้แล้ว ก็เอาความรู้ความจริงนั้นมาให้คนอื่น เอามาสอน เอามาแนะนำ เอามาพาทำ แล้วก็จะมีผู้อื่นได้ตาม นั่นคือสัตว์ผู้นั้นได้ประโยชน์ตาม เรียกว่า รื้อขนสัตว์ไปในภูมิโลกุตระ ไม่เช่นนั้นก็ต้องปล่อยให้จมอยู่ในโลกียะอยู่ต่อไป
สู่แดนธรรม… ผมเคยเข้าใจผิด ว่า รื้อขนสัตว์คือ เอามือไปแหวกขนสัตว์
พ่อครูว่า… รื้อ ขน คนที่ตกในโลกียภูมิมาสู่โลกุตระ
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : รายการในเฟส-ยูทูปทุกวันนี้มีแต่สนุกสนานตื่นเต้นมากมาย แต่สุดท้ายแล้วก็สู้ธรรมชาวอโศกไม่ใด้.ถึงจะฟังยากไปหน่อยครับ
_ต่อขวัญ หินผาฟ้าน้ำ : กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอย่างสูง แปลกใจจังฟังพ่อครูเอ่ยอาวาสถานหินผา ไม่เข้าใจค่ะเพราะอะไรนะคะงง ๆๆ ค่ะ
พ่อครูว่า…ก็คือมันย่อยกระริบกระร่อยลงไป ก็ต้องพยายามทำให้มันเฟื่องฟูขึ้นมาสิก็จะได้ยกฐานะขึ้นมา เป็นไปตามสัจจะความจริง
_พรชมพู วรชินา : เล่นมากไปและเวลาผิดศีลพอมาสำนึกย้อนเวลาสำนึกผิดช่วงนั้นล่ะครับ เศร้า หดหู่
พ่อครูว่า…ก็ดีแล้ว ระมัดระวัง อย่าไปเล่นมากเกินไป จนเพลิดเพลินจนหลงใหล มันก็ทำให้ออกนอกเรื่องนอกทาง
_1945 : คิดถึงวงฆราวาสอยากให้อยู่คู่สันติอโศกตลอดไป คิดถึงกองทัพธรรมขอให้ทุกคนผ่านวิกฤติ
สู่แดนธรรม… แยกย้ายกันอยู่ครับ
พ่อครูว่า… ช่วงโควิด รวมตัวกันก็ยาก ตอนนี้ก็ฟังของคนอื่นไปก่อน แต่ถึงเวลาก็มาเอง พวกนี้ไม่ได้หรอกมันถึงเวลาก็มา มันอยู่ในสายเลือดวิญญาณแล้ว
_จิรวัฒน์ คล่องงาน : กราบนมัสการครับ ผมมีข้อข้องใจว่า เหตุใดนาฬิกาข้อมือจึงเป็นเครื่องประดับ ในความคิดผมว่ามันเป็นสิ่งที่บอกเวลาเราได้ แต่ทางโรงสัมมาสิกขามีกฏอยู่ว่าห้ามใส่นาฬิกาข้อมือ จึงเรียนถามว่าเพราะอะไรหรือถึงใส่นาฬิกาข้อมือไม่ได้ครับ
พ่อครูว่า…มันเป็นเครื่องตกแต่งจริงๆ คุณไม่ต้องพกใส่ข้อมือก็ได้ คุณพกใส่ที่อื่นก็ได้ ขนาดภิกษุเราก็ไม่ได้ใส่ข้อมือ แล้วเด็กๆเราล่ะ หากใส่ก็เป็นสิ่งที่อวดโชว์กันได้ ส่วนภิกษุเราก็พกใส่ที่อื่นไว้ดูเวลาได้ ส่วนเอาไว้ที่ข้อมือมันกลายเป็นเครื่องประดับตกแต่งไปได้
_สื่อฟ้าศิลป์
มาเยอะภูวนาถ : ถ้าทุกขวิบากโลกียทรัพย์คือวิบากหมาล่าเนื้อที่บางฝูงได้ทีขี่แพะไล่กัดลุงตู่ไม่ปล่อย’ คงมีแต่สัจธ.โลกุตระพ่อครูฯ ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด’ช่วยลุงตู่ได้’ ดังพ่อครูบริสุทธิ์ใจมวลชนพ้นทุกข์สิ้นโศกโลกียธรรมได้ สาธุ!วิบากกองหนุนลุงคนดีสู้ไปด้วยกัน
ธรรมบรรยายพรหมชาลสูตร ตอน 1
พรหมชาลสูตร (ต่อ)
พ่อครูว่า…อธิบายถึงตรงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ถึง คำตำหนิกับคำชม คำชมนั้นอันตราย มันเสริมกิเลส มันไม่ได้บอกนะว่ากิเลสมาแล้ว
เพราะฉะนั้นคำตินี้ เราไม่ต้องไปโกรธเคืองไม่ต้องไปถือสาอะไร เอาคำตำหนิเอาความหมายของเขามาพิจารณา พิจารณาว่าหมายความว่าอย่างไร แล้วความหมายที่ว่านี้ในตัวเราที่เขาตำหนิเรามันตรงไหม เรามีจริงไหม อย่าเข้าข้างตัวเองเป็นอันขาด พยายามพิจารณากรรมกรรมกิริยาต่างๆ กายวาจาใจ ยิ่งทางกายกรรมคุณก็หยาบ ก็ไม่รู้ตัว เขาตำหนิมาใครๆก็เห็นแต่ตัวเองไม่เห็นไม่รู้ โอ้.. น่าอายน่าขายหน้าจริงๆ ข้างนอกคนอื่นเขาเห็นหมดแล้ว แต่ตัวเองไม่รู้ตัว อย่างนี้เป็นต้น โอ้ย! มันก็สุดนะ ก็พยายาม ค่อยๆศึกษาไป
ต่อมา พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นไปได้อย่างไร พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเป็นไปได้ทีเดียวที่เขาจะมีอย่างนั้น ที่จะเอาประโยชน์จากการพิจารณา อะไรถูก ถ้าเราผิดตามที่เขาว่ามาถูกแล้วเราก็แก้ไข
แต่ถ้าเราถูก แต่เขาว่าเรานั้นผิด เขาเข้าใจไม่ได้ไปลงโทษเขาก็ไม่ได้ เพราะเขาเข้าใจไม่ได้ จะไปลงโทษเขาได้อย่างไร เขาเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ ก็ต้องยอมรับ ก็รับฟังไว้อ้าว รับรู้ว่าคนที่ยังไม่รู้ไม่เห็นก็มีนะ ก็เท่านั้นเอง
ทีนี้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า คนผู้อื่นที่พึงติเรา
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้ทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย
พ่อครูว่า… ที่เขาติมาแล้วเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่เราไม่แก้ไขไม่บอกเขาก็ไม่ดี ท่านให้แก้ว่า มันไม่จริงที่คุณพูดคุณติคุณว่า ยิ่งอย่างร้ายๆผิดๆไปมาก ก็ยิ่งต้องบอกเขาว่ามันไม่จริงไม่ถูก แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย แม้คำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรมชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น
จากนั้นท่านก็พูดถึงจุลศีล
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… พวกเราจะรออีก 30 ปีไหวไหม จะมีพระอรหันต์เป็นนายกรัฐมนตรีประเทศไทย แต่ขนาดในหลวงเป็นพระอรหันต์ นี่ยากกว่าด้วยซ้ำไป
พ่อครูว่า… ที่ว่าอย่าง ในหลวงเป็นพระอรหันต์ เขาจะอ้างว่าพระอรหันต์มีเมียมีลูกได้อย่างไร อะไรต่างๆนานา ซึ่งเป็นความซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนไปๆมาๆในความซับซ้อนพวกนี้เป็นสิริมหามายา จริงอย่าเพิ่งไปตำหนิอะไรมากๆ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับ กาละเทศะฐานะ 3 คำนี้ยิ่ง กาลเวลา เทศะคือที่สถานที่ องค์ประกอบของถิ่นที่ อย่างชมพูทวีปอินเดีย เทศะ แต่เดี๋ยวนี้ ชมพูทวีปคือประเทศไทย เทศะก็ต่างกันแล้ว ยิ่งฐานะ โอ้โห! รายละเอียดเยอะ ฐานะประกอบทั้งดินน้ำไฟลม ตัวตนบุคคล วิบาก ประกอบทั้งมวลประชาชน หรือสัตว์อื่นๆ สรุปแล้วรวมลงตรงนี้ตั้งอยู่ตรงฐานนะ ไม่เที่ยงเลย เพราะมีรายละเอียดต่างๆนานา กาละเทศะฐานะ ไม่ได้อยู่กับที่ทุกอย่างไม่เที่ยง เข้าใจความไม่เที่ยงได้ละเอียดลออจริงๆเลยขึ้นไปอีกไหม ว่าความไม่เที่ยงมันประกอบอะไรอีกมหาศาล อาตมาพูดมานี้ยังไม่ครบ แต่อธิบายไปเรื่อยๆ จะได้เข้าใจละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ
จุลศีล
[๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใดนั่นมีประมาณน้อยนักแล ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล
พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้นปุถุชนคนใดก็ตามที่ชมพระพุทธเจ้านั้นชมให้ตายก็ชมได้นิดเดียว เพราะว่าวิสัยของพุทธเจ้านั้นเกินปุถุชนจะรู้ได้ ผู้ที่มีความรู้ลึกซึ้งว่าอันนี้อย่างนี้สิ จะชมได้ลึกขึ้น แต่ยิ่งชมขึ้นไปลึกขึ้น ปุถุชนก็ยิ่งไม่รู้ ยิ่งชมพระพุทธเจ้าละเอียดลึกซึ้งกันไปมากๆ ปุถุชนก็ยิ่งไม่รู้ไปใหญ่อีก สลับซับซ้อนกลับไปกลับมาอย่างนี้
อย่างอาตมา ถ้าอาตมาชมตัวเองมากกว่านี้ โอ้โห! ปุถุชนเยอะ จะตีทิ้งอาตมาไปหมดเลย ชมขนาดนี้ก็ยัง… ซึ่งอาตมาไม่ได้เคยชมตัวเองเลย พูดความจริงเท่านั้น ความหมายคำว่าชม ยกยอปอปั้นนั้นอาตมาไม่ได้เป็นอย่างนั้น อาตมาพูดความจริงตามความเป็นจริง ถ้าจะว่าไปแล้ว ถ่อมตนด้วยซ้ำไป อีกแหละ มันชมตัวเองหนักเข้าไปอีก
สู่แดนธรรม… ผมก็เห็นว่าพ่อท่านถ่อมตนเองอยู่ครับ
พ่อครูว่า… ซึ่งมันยากมากๆ แค่อาตมาบอกว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษ เป็นไก่ตัวพี่ เป็นอะไรเท่านี้ พวกที่ไม่ศรัทธาก็บอกว่ามันยกตนจริงๆ ก็ไม่รู้จะทำยังไง คนฟังแล้วก็บอกว่าจริงหรือเปล่า ก็ท้าให้มาพิสูจน์ พอมาพิสูจน์แล้ว ยิ่งมาคบคุ้น ยิ่งมาปฏิบัติตาม มีเหตุปัจจัยให้เราปฏิบัติได้เป็นความจริงที่ยืนยันๆๆๆ
เพราะฉะนั้น ความจริงมันไม่หนีความจริง ความจริงจะมีแต่ความจริงเท่านั้นรับรองกันเอง ความจริงจะรับรองความจริง ความไม่จริงมารับรองความจริงมันก็ไม่จริง โอ้โห.. คมบาดเลยนะนี่ ความจริงเท่านั้นที่จะรับรองความจริงกัน ความไม่จริงมารับรองความจริงไม่ได้หรอก มันเป็นสัจจะของมัน
ปุถุชนเข้าใจยังเข้าเป็นโลกุตระแล้วจะไม่รู้เรื่องจะชมพระพุทธเจ้านั้นยังต่ำนัก เขาจะชมได้แค่ศีล ไม่มีปัญญารู้ถึงจิตและปัญญา เขาชมได้แค่ศีล อธิศีล ไม่สามารถชมถึง อธิจิต อธิปัญญา
ปุถุชนยึดอย่างนี้ ชมโลกุตระอย่างนี้ ปุถุชนยึดโลกียะ แต่โลกุตระจะไปชมได้อย่างไรเพราะเขาไม่รู้นี่ มันไม่ได้เรื่องอะไร เขาจะยิ่งเห็นเป็นเรื่องตลกเพ้อเจ้อ ไม่รู้เรื่อง มันก็เป็นเช่นนั้น
ต่อ…[๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคตจะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้น เป็นไฉน?
พ่อครูว่า…เบื้องต้นของพรหมจรรย์คือศีล เบื้องกลางคืนจิต เบื้องปลายคือปัญญา เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่เริ่มต้นมีศีลเป็นหลัก มีศีลเป็นข้อยืนยัน ขยายความจริงขยายความรู้ออกไปจากศีล เริ่มต้นเช่น
ข้อที่ ๑. พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรามีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.
พ่อครูว่า… ความละอายต่อบาปนี้ยิ่งใหญ่มาก พวกที่ยิ่งไปทำบาป แต่ก็น่าไม่อาย ยังนึกว่าน่าโชว์อีก ยิ่งปุถุชนยิ่งหยาบๆหนาๆ ไปโชว์สิ่งที่ไม่น่าโชว์เลย แล้วไปโชว์อย่างน่าภาคภูมิใจ อะไรหยาบๆ พวกคุณอาจไม่รู้ แต่สิ่งที่คุณเคยแสดงไปแล้วเคยละอายเคยมั้ย แม้ไม่มากก็รู้สึกมาก แม้ไม่หยาบสำหรับคนอื่น แต่หยาบสำหรับเรา ทำไมเราทำได้ถึงปานนั้น โอ้โห
สู่แดนธรรม…ผมเคยผิดพลาดเคยยกตนข่มท่าน พอมาคิดแล้วก็น่าละอาย
พ่อครูว่า… เป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่
ยกตัวอย่างในชีวิตของตนเอง ในชีวิตอาตมาเคยทำชั่ว
-
ยกเท้าขึ้นถีบน้องชาย 1 ครั้ง ในชีวิต ถีบ นั่นแหละ นายป้อม ที่เขาเชื่อว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า เสียชีวิตไปแล้ว ถีบยันไปเลย โอ้โห มารู้สึกที่หลังว่าเราไม่น่าทำเลย นั่น 1 ครั้ง
-
เอาไม้บรรทัดตีน้องชายคนเล็ก นายด้าว ตีที่แขน แดงเลยนะ ซึ่งรู้สึกว่าเราไม่ควรทำ แล้วระลึกได้ว่า ในชีวิตแม่เคยตีอาตมา 1 ที ตีด้วยไม้บรรทัดเหมือนกันตีที่แขน แล้วแม่ตีแล้วก็ร้องไห้ จำได้ว่าแม่เขาตีเราแล้วเขาก็ร้องไห้ มี 1 ทีในชีวิต นอกนั้น แม่จะถือว่า อาตมาโตเกินวัย ทำอะไรๆ แม่ยอมรับ เชื่อถือ แต่ไหนแต่ไรมา พูดสิ่งเหล่านี้พูดไปแล้วเหมือนคุยตัวเองอีกนั่นแหละก็ของตัวเองก็เอามาพูดได้เนาะ มันมีมาผ่านมา