640924_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทุนนิยมคือ Infinity แต่บุญนิยมนี้ 0 ยิ่งกว่า 0
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/19uLTgMSBZ0VRO_H4vRi11Jd8Rd_s2I6RWngAxW-aI9U/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1oTCTtvMONvnUiQfvAXW-8tUtY4vPj4k_/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/150544540605389
สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ฝนตกหนัก เป็นช่วงฤดูฝนเข้าพรรษา ของเราพื้นที่อยู่ปลายน้ำ มีเวลาเตรียมตัวรับมือน้ำท่วม เพราะที่อื่นจะท่วมก่อน ของเราอยู่ในจุดอันตราย แต่ก็เป็นจุดที่มีเทวดาคอยเตือนคอยให้สัญญาณให้เราเสียหายน้อยที่สุด แต่ก็ไม่ประมาทก็แล้วกัน
ปีนี้เรามีการขายอาหารเจที่อุทยานบุญนิยมด้วย แต่ก็ต้องมีมาตรการระมัดระวัง covid อย่างสูง ให้ปลอดภัยที่สุด กำหนดชนิดอาหารให้ไม่มากชนิด การรับเงินก็ให้ไม่มีการสัมผัสระหว่างคนขายคนซื้อ กำหนดจำนวนคนที่จะเข้ามาซื้อ เราจะเปิดขายตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม เป็นต้นไป จำนวนทั้งหมด 9 วัน
ที่ผ่านมาเราปลูกมันสำปะหลังได้ผลดีมาก 1 ต้นออกหัวมันเป็นจำนวนมาก เขาเรียกว่ามัน 5 นาที อยากนำเสนอบวรต่างๆนำไปปลูก เป็นอาหารวรรณะ 9 ปลูกง่าย ศัตรูพืชไม่ค่อยมี
แต่ก่อนพ่อครูเคยตั้งคลังแก่นเชื้อ และตอนนี้เราแบ่งให้แต่ละคุ้มในบ้านราชฯปลูกพืชเพื่อรักษาพันธุ์กันต่อไป
พ่อครูว่า… SMS วันที่ 22-23 ก.ย. 2564
โสดาบันยังกลัวผี หลับตาแล้วไม่เห็นแสงนับเป็นอรหันต์ได้
_จนให้เป็น แล้วสบาย : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งครับ ผมสงสัยว่าผู้ที่ปฏิบัติได้เป็นพระโสดาบันแล้วในจิตลึกๆ จะกลัวผีไหมครับ
พ่อครูว่า…โสดาบันยังกลัวผีอยู่ โสดาบันรู้จิตวิญญาณยังไม่ถ้วนรอบ แม้จะอนาคามีก็ยังมีกลัวๆอยู่ เพราะยังรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ยังไม่สมบูรณ์แบบ หรือเข้าใจคำว่า เทวนิยมยังไม่แจ้งชัด ผู้ที่เป็นโสดาบันก็ตาม ถ้ามีปฏิภาณปัญญาเข้าใจความเป็น เทวฺ ที่แปลว่า 2 แล้วพยายามทำให้เป็นหนึ่งแล้วรู้จักการทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ โดยทำที่เจตสิกเวทนา สุขทุกข์ ทำให้มันเป็นกลางๆไม่สุขไม่ทุกข์ได้ อย่างนี้เป็นต้น
ผู้ที่สามารถรู้จัก 2 จิตที่ เป็น 2หน่วย ทำให้เป็น 1 หน่วย โดยไม่คิดระแวงว่า เทวฺ หรือจิต เป็นสิ่งลึกลับอะไร มันเป็นเหตุปัจจัยของกรรมกิริยาของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งมันเป็นอนัตตา ไม่เป็นตัวตนของอะไรเลย มันเป็นพลังงาน 2 หน่วย 3 หน่วย สังเคราะห์กันเข้า จับตัวกันเข้าพีชะเป็นชีวะ พอรู้จิตนิยามเป็นพีชะ ก็ลดสุขลดทุกข์แล้ว ทำให้เป็นอุตุก็หมดไปเลยตอนเป็นๆเป็นๆนี่แหละ ทำให้จิตเป็นอุตุ ดินน้ำไฟลมได้เลย มันมีก็มีไปเราไม่ได้ร่วมสังเคราะห์สังขารกับมันเลย มันจะดีหรือไม่ดี อร่อยไม่อร่อย ไม่มีค่าหรือมีค่า เราก็ตีทิ้งเลยว่ามันไม่มีค่าสำหรับเรา เราก็เห็นมันอยู่ไป คนที่ยังตกเป็นทาสมันต้องเกี่ยวข้องก็ไปเสียเวลากับมันอยู่ไม่เสร็จสิ้น
นัยยะลึกซึ้งซับซ้อนพวกนี้ สามารถอาศัย ตัดได้กับอาศัยอยู่ เพียงแค่อาศัย ไม่ใช่ของเรา อาสยะ ไม่ใช่ทั้งอาสวะและอาสยะ
ค่อยๆศึกษาไป เพราะว่าสภาวะจริงๆที่ลึกซึ้งละเอียด จะได้อธิบายบัญญัติไปกำหนดละเอียดสุด จะเป็นภาวะ 2 บัญญัติออกมาเป็นสภาวะ แต่มันไม่ใช่ อย่างเช่น 0 บัญญัติว่า 0 มันไม่ใช่มีอะไร แต่มันไม่มี เพราะฉะนั้นคนที่จะชัดเจนว่า อ๋อ.. 0 นี่นะ เราก็กำหนดรู้ว่าเป็น 0 แต่ที่จริงมันไม่มีอะไรเลย เราจะรู้ของเราเอง สภาวะไม่มีอะไร 0 แต่คนอื่นกำหนด 0 ว่า นี่ ศูนย์กลางนะ นี่เฮือนศูนย์ เป็นที่รวมของทุกๆคน มันซ้อน แต่มันไม่ใช่ของใคร ความหมาย สิริมหามายา
มีไหม มี มีที่ แต่มันไม่มีของใคร ไม่มีนามธรรมเข้าไปยึดถือเป็นเราเป็นของเรา ใครทำนามธรรมอันนี้ได้จบ เฮือนศูนย์ ไม่มีใครยึดเป็นเราเป็นของเรา ส่วนใครยึดก็เป็นอย่างนั้น ใครยึด ของข้าใครอย่าแตะ ใครเข้ามาฮึ! ระวังนะตายแล้ว เป็นจิ้งจกเฝ้าทรัพย์ ไม่ใช่ปู่โสมเฝ้าทรัพย์นะ ได้เป็นจิ้งจกเฝ้าทรัพย์
สรุปแล้ว ผู้ที่เป็นโสดาบันกลัวผีอยู่ ส่วนผู้ที่ไม่กลัวแล้วก็เป็นโสดาบันที่ยกไว้ ซึ่งก็หาได้ยากน้อยคน สำหรับผู้ที่เป็นอนาคามีก็ยังระริกระรี้อยู่ เป็นอรหันต์ขึ้นไปจริงๆ ชัดเจนในความเป็นธาตุธจิตธาตุวิญญาณ แต่นอกนั้นแล้ว มันไม่ใช่ตัวตน
จริงๆแล้วผีที่มันมีอะไรที่มันหลอกคือไปกลัวมันเอง เราปั้นเองหลอกตัวเอง จริงๆแล้วมันไม่มีหรอก เราปั้นเองหลอกเอง อย่าว่าแต่ผีที่เป็นตัวเคลื่อนไหวมาหลอกเลย หลับตาลงนี่มีแสงไหม? … หลับตาหากในสถานที่มืด ไม่มีอะไรสะท้อนในผนังตาเลย ก็ไม่มีแสงอะไร แต่ถ้าผู้ใดหลับตาแล้วยังมีแสง นั่นแหละผี แสงนั้นแหละคือผี ผีอะไร ผีแสง ผีพุ่งไต้ อะไรก็แล้วแต่ หลับตาก็มือ ลืมตาก็มีแสงเป็นธรรมดา
คนที่ยังหลับตาแล้วเห็นแสง แสงสีแดงสีเขียวสีเหลืองมันอุปาทานทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีแต่เนรมิตให้มันมีเอง แต่เราไม่อยากให้มีไม่ง่ายนะ ต้องเรียนรู้อย่างละเอียดจริงๆจึงจะรู้ว่า อ้อ.. จนกระทั่ง
เอาอย่างนี้ เอาเป็นเครื่องตัดสินเป็นอรหันต์ได้ ผู้ใดหลับตาแล้วไม่มีแสงสีอะไร ในที่มืดนะ หากที่ไม่มืด มีแสงสะท้อนในการหลับตา คนนี้แหละอรหัตตผล แต่ก็อีกนั่นแหละ ผู้ที่ฝึกสมาธิหลับตา ดับดิ่ง ไม่กำหนดรู้อะไรเลย เขาก็ไม่เห็นเหมือนกัน แต่ไม่เห็นแบบมิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้มีสติตื่นเลย ถ้าจะไม่เห็นอะไรจริงๆเลย ดับปี๋ไม่รู้สึกตัวเลย เขาก็ไม่รู้ไม่เห็นอะไรได้ทั้งนั้น แต่ถ้ารู้ตัวขึ้นมาก็มีแสงสีตาม อุปาทาน ของคนผู้นั้น มีเทวดา มีผีนรกเป็นตัวเป็นตนอะไรอีกเยอะ เหมือนสายหลับตาหรือสายสมาธิลืมตา เหมือนสายธรรมกาย สาย อ.มั่น ก็ยังมิจฉาทิฏฐิกันอยู่ทั้งสองฝ่าย ก็เป็นเช่นนั้น
_พันธุ์ พอเพียง : วันนี้ผมเห็นคลิปพระอาจารย์แห่งวัดพระบาทน้ำพุ เอาสินค้ามาวางข้างหน้าท่าน แล้วพูดถึงสินค้าในทำนองว่า การช่วยซื้อสินค้าเหล่านี้ จะนำเงินมาใช้จ่ายที่วัดพระบาทน้ำพุครับ เลื่อนลงไปอีก ก็พบ 2 พส พูดถึงสินค้าที่วางตรงหน้า ว่าเอามาเป็นทุนในการเผยแพร่ธรรมะครับ เลื่อนลงไปอีกก็ฟังพ่อครูพูดถึงเงินของท่านธัมมชโย กับหลวงตาบัว ว่าหลวงตาบัว ซับซ้อนกว่า เพราะเอาไปบริจาค แต่จะเสพลึกกว่า ว่าได้เป็นผู้ให้ ร้ายสุดคือไม่รู้ตัวว่าตนเองหลงเสพ นี่แหละคือขุมที่ลึกมาก
_สำราญ นารูลา : ผมจะไปปฏิบัติธรรมไปเรียนรู้ได้ไหมครับท่าน
พ่อครูว่า… มาเลย เชิญ ยินดีต้อนรับ
_ศักดิ์ศรี หมายมีทอง : พ่อครูบอกว่าตอบไม่ได้ว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน…แต่ก่อนก็เห็นคนเอามาถกกันเล่นไม่ทราบว่าอะไรเกิดก่อนแน่ พอผมได้ฟังพ่อครูอธิบายว่าชีวิตพัฒนา จาก อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรม และที่พ่อพูดว่าสิ่งมีชีวิตพัฒนาจากสัตว์เชลเดียว และพัฒนามากไปเรื่อย ผมจึงเข้าใจว่ายังไงๆไก่ก็เกิดก่อนไข่แน่นอน เมื่อมีไก่ตัวแรกจึงจะได้แพร่พันธุ์ต่อไปคงไม่มีการพัฒนาจากอุตุ พีชะ เป็นไข่ จิต กรรม ธรรม ผมเข้าใจแบบนี้จะถูกมั๊ยครับ
พ่อครูว่า… ถูกๆถูก อย่าไปยุ่งมันมากเลย ไก่จะเกิดก่อนไข่ หรือ ไข่จะเกิดก่อนไก่ เป็นลักษณะของธรรมชาติ อัณฑชโยนิ ชนิดหนึ่งทราบเท่านั้นก็พอแล้ว สังเสทชโยนิ ชราพุชโยนิ ก็เป็นไปตามธรรมชาติ เรามาศึกษาโอปปาติกโยนิ ให้จบ ดีกว่า
_ยายทอง ยายทอง : ขณะนี้เสียงขาดๆหายครับไม่ทราบว่าที่บ้านราชฝนตกมั้ยครับแต่ที่เมืองศรีตอนนี้ฝนตกฟ้าร้องครับสาธุ ๆ ๆ
_จรรยา อิ่มประเสริฐ : แม่กิมตังที่ท่านเป็นอรหันต์อยู่นครปฐม เราเข้าไปดูคลิป ท่านไม่พูดยืดเยื้อ ที่เขาสัมภาษณ์ ท่านพูดตรงประเด็น เนื้อ ๆ ไม่วนแล้ววนอีก เห็นแล้วน่าศรัทธายิ่ง และท่านไม่อวดตัวว่าท่านเป็นอรหันต์เลย น่าอัศจรรย์จริง ๆ สาธุค่ะ
พ่อครูว่า… ก็ดี เรียนรู้กันไป
ซาบซึ้งความดีจนน้ำตาไหล อาศัย อนุสัย
_หนูเป็นคนจิตใจอ่อนไหวง่าย เวลาดูหนังนางเอกร้องไห้หนูก็จะร้องไห้ตาม เวลาฟังพ่อครู บางครั้งซึ้ง ก็นั่งร้องไห้ ทำอย่างไรหนูจะเป็นคนจิตใจเข้มแข็งไม่อ่อนไหวง่าย หนูก็พยายามปฏิบัติธรรมตามพ่อครูสอนอยู่ค่ะ ถ้ากิเลสละง่ายวันเวลาผ่านไปก็ดีนะคะ หนูขอกราบขออภัยพ่อครูที่พ่อครูเดินผ่านตอนบ่าย แล้วหนูไม่ได้กราบ เพราะตอนนั้นกำลัง Line หาหมอเพื่อปรึกษา หนูเป็นห่วงพ่อมาก พ่อหนูติดโควิดค่ะขอพ่อครูเมตตาด้วยค่ะ
พ่อครูว่า… เรื่องอ่อนไหวง่าย น้ำตาไหลง่าย มันก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าจะให้พูดมุมดีของมัน เป็นคนที่ซาบซึ้งในสิ่งที่ดีงาม น้ำตาไหล มันกว่าจะหมดจริงๆ สำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมไม่ง่าย การซาบซึ้งในกุศลธรรม เป็นเรื่องของปีติ น้ำตาไหล เป็นปีติแรง
เพราะฉะนั้นเราต้องฝึกให้เข้าใจว่า มันน่ายินดีก็ยินดี มันก็ค่อยๆเบาๆไป ไม่ถึงกับต้องตื่นเต้นเกินไปให้มันเป็นปิติแรง ทำให้เกิดอาการเคลื่อนไหวทางกายทางวจี ทางสรีระส่วนนั้นส่วนนี้ไม่ปกตินะ จนกระทั่งเป็นอุเพงคาปีติ
เราก็ต้องเรียนรู้สิ่งที่น่ายินดีก็น่ายินดี ไม่ต้องไปฟูฟองแรงมากไป จริง เราอาจเคยฝึกในเรื่องของ ยินดีในสิ่งที่ดี อย่าไปยินดีในสิ่งที่ไม่ดี แต่ว่าก็ไม่ถึงขนาดจะต้องไปแรง หรือเราเคยศึกษามาว่า ซาบซึ้งในสิ่งที่ดีไว้ เป็นพื้นฐาน ขั้นลึกซึ้งมาก็รู้แล้วว่าเราปล่อยได้ทั้งสองข้าง แล้วปล่อยสิ่งที่ไม่ดีกว่า ถือสิ่งที่ดีไว้อาศัย แล้วค่อยวางสิ่งดี ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แต่เราก็ต้องอาศัย เราจะซ้อนสภาพสิริมหามายา ไม่เอาแต่เราต้องเอา ไม่มีแต่เราก็ต้องมีอยู่ จบ
เพราะอะไรเพราะชีวะชีวิตของเรายังมีอยู่ เราต้องอาศัยสิ่งมี แต่เราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามันมี อันนี้เป็นสภาวะธรรม ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามี เป็นภาษาบอก คุณไม่ยึดมั่นถือมั่น ยึดไว้แค่อาศัย
เพราะฉะนั้น เวลาจะปฏิบัติธรรม อาตมาขยายคำ 4 คำ อาสัย นิสัย วิสัย อนุสัย
สัย หรือ สย แปลว่า เป็นตนทั้งนั้น เป็นพลังงานสุดท้าย เอา ย กับ ส มาใช้ ส ตัวที่ 5 ของเศษวรรคกับตัวที่ 1 ของเศษวรรค สย เป็นตัวตน ซึ่งเป็นตัวที่บางเบาหรือว่าละเอียดกว่า สว
สย ละเอียดกว่า สว เพราะ สย มันเป็นตัวที่ 1 ใน ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
หาก สว ก็ตัวที่ 5 ของเศษวรรค มันผสมกันหลายหน่วยกว่า สย
ยิ่ง สก เป็นตัวต้นของพยัญชนะตัวที่ 1 เลย สก ก็ยึดมาก แบ่ง 3 ส ก็ชัดเจนแล้ว
เราจะอาศัยก็อาศัย สย อาสัยนี้หยาบกว่า อนุสัย จะไปบอกว่าหยาบก็ไม่มีตัวแล้วล่ะ แต่มันเล็กละเอียดกว่ากัน อาศัยนี่ละเอียดแล้ว แต่ อนุ นี่เล็กละเอียดกว่า
เพราะฉะนั้นในสุดแห่งที่สุด อาตมาเป็นโพธิสัตว์จะรู้จักตัว อนุสัย ตัว อาสัยก็รู้ดีแต่ที่สุดแล้วต้อง อนุสัย ก็อาศัย แต่เราจำเป็นต้องอาศัยอนุสัย เราอาศัย แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น มันเป็นตัวน้อยที่สุด
เพราะฉะนั้นอนุสัยของพระโพธิสัตว์สุดท้ายไม่ใช่ตัวเลวหรอก แต่เป็นตัวดีที่สุด เห็นไหม โอ้โห.. ยากไหม นี่บอก สำหรับอาตมามีสภาวะอาศัยใช้อยู่จริง ซึ่งพวกคุณ ยังไม่ถึงก็ไม่เป็นปัญหาหรอกไม่ต้องกังวล จะมีหรือไม่มีเมื่อไหร่ถึงเวลาก็เอามาใช้ ยังไม่ถึงฐานะของคุณจะไปกังวลมันทำไม ไม่เกี่ยวกับเรา เรายังไม่ถึงฐานไม่จำเป็นอะไร
พ่อครูว่า…
ทุนนิยมคือ Infinity แต่บุญนิยมนี้ 0 ยิ่งกว่า 0
สาธารณโภคี
ถ้าเผื่อว่า อาตมาไม่เกิดมา ไม่มีใครเอามาพูดหรอกประเด็นนี้ เพราะเป็นประเด็นที่ยอดสุด ในยุคพระพุทธเจ้าใช้ได้แต่ในคณะสงฆ์ ในฆราวาสสร้างไม่ได้ เพราะเป็นข้อจำกัด ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคของสังคมทาส นายทาส ลูกทาสไม่มีสิทธิ คนแท้ๆก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิแสดงออกในฐานะที่เป็นตัวมนุษย์ตัวบุคคลมีสิทธิมนุษยชน หมดสิทธิ์เลย ไม่มีสิทธิ์อะไรสักอย่าง มันก็เลยยากมากเลย จะไปละลาบละล้วงคนข้างนอก ก็ไม่ใช่ทาสของเรา หากเป็นทาสของเราเราก็อย่างไรก็ได้
ท่านก็เลยเอาอิสรเสรีภาพ ผู้ใดสมัครใจมาเข้ารีต มาอยู่ในกรอบของท่านใช้ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นหลัก ใครมาเข้ากรอบก็ตัดไปตามหลัก ปฏิบัติธรรมไปตามลำดับ ก็ใช้ได้ ก็จะมีสาธารณโภคีในหมู่ได้ เพราะฉะนั้น สงฆ์ในสมัยพระพุทธเจ้าเป็นสาธารณโภคีหมด ไม่มีสมบัติส่วนตัว ทุกอย่างเป็นสมบัติส่วนกลางหมดเลย ไม่มีเงินทองข้าวของตัวเอง
มีผ้าส่วนตัว 3 ผืน มีบริขาร 8 เสนาสนะ กุฏิ ก็ไม่มีของตน อาศัยตามเหมาะควร จะอยู่พักอาศัย เปลี่ยนแปลงได้ ไปนอนโคนไม้ นอนกลางแจ้งนอนที่อื่นได้ ไม่ได้ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา ไม่ได้มีบ้านเรือนส่วนกลาง เป็นต้น
ลักษณะนี้ เป็นสาธารณะโภคี พอมาถึงยุคนี้เข้าใจสิทธิมนุษยชนสมบูรณ์แบบ เข้าใจอิสรเสรีภาพสมบูรณ์แบบ แล้วก็เป็นสังคมที่ไม่มีสมบูรณาญาสิทธิราชย์เลย แม้เป็นเผด็จการแม้เป็นคอมมิวนิสต์ จะมาบังคับไม่เลย อาจจะตั้งหลักเกณฑ์ เป็นศีลของพระพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว ไม่ต้องบัญญัติใหม่เลย อย่างพวกเราก็ใช้ศีลของพระพุทธเจ้า เข้ามาอยู่ในกรอบศีลของพระพุทธเจ้า
คนนี้ยังอยู่ในขั้นแค่ ศีล 5 คนนี้ศีล 8 คนนี้ศีล 10 พอศีล 10 มันจะตีถัวไปถึงทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่องเรือนชานหมดเลย เป็นองค์รวม ใน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มันจะมีรายละเอียดซ้อน แยกออกจากกันขาดไม่ได้ แต่ท่านมาสรุป เป็นศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 เอามาปฏิบัติ เราก็ใช้ได้ พวกเราปฏิบัติสำเร็จ
แค่ศีล 10 เรามีสาธารณโภคีกันได้แล้ว ส่วนใครจะมีกิเลสแอบซุกเป็นของเราก็เป็นส่วนตัว เราก็รู้ตัวว่าเรายังยึดเป็นของเรา ยังแฝง ไม่สะอาดหมดจดก็ยังมี อบายมุข ก็เป็นสัจจะที่จริง
ที้นี้ อาตมาใช้เศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจ จะเรียกว่าการเมืองก็ได้ การเมืองประชาธิปไตยสาธารณโภคียิ่งลึกซึ้ง เป็นสังคมสาธารณโภคีหรือจะบอกว่าเป็นเศรษฐกิจสาธารณโภคี
เศรษฐกิจหมายถึงข้าวของที่แบ่งแจกเฉลี่ยกันใช้ ของมีส่วนกลางส่วนน้อยมีจำนวนหนึ่ง แต่ผู้ใช้มีมาก โดยเฉพาะคนที่ใช้อยู่มีความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้กลับเอาไปเป็นของตัวของตน ไปห้ามมันไม่มีไม่ได้เป็นมนุษยชาติ เอาไปกักของตัวรวยล้นฟ้าใช้ไป 3 ชาติ 5 ชาติก็ไม่หมด แต่มันก็สะสมเอาสิทธิตามโลกต้องเอาสิทธิเข้าไป เขามีสิทธิโดยธรรม ยึดเป็นของของเขารวยล้นฟ้า ก็เลยเกิดธนบัตร เอามาให้ใช้เฉลี่ยแต่กลับเอาไปเป็นของตนเอง เอาเป็นของตัวเองไม่พอ หลอกเอาตัวเลขของข้า แต่เอ็งเอาธนบัตรไปใช้แต่ตัวเลขเป็นของข้านะเอ็งเป็นหนี้ข้า มันซับซ้อน
จนกลายเป็นไม่ต้องยึดเป็นเราเป็นของเราทุกคนมีจิตวิญญาณ ทุกคนมีสาธารณะ กินใช้ร่วมกัน โภคะ โภคี เป็นของสาธารณะ เราก็เป็นคนมักน้อยเป็นคนไม่ผลาญ ไม่เปลือง ไม่กินใช้มากแต่สร้างมากขยันมีกายกรรม วจีกรรม กับมโนกรรม มีผลผลิตของเรา ผลผลิตทางเกษตรกรรมมีตัวมีตนมีรูปร่าง เช่นปลูกผักปลูกพืชเป็นต้น หรือจะสร้างอุตสาหกรรมก็ตาม
เป็นเนื้อหาของวาจาก็ตาม เป็นผู้ที่มีเนื้อหาความจริงสาธยายได้ถูกต้องดี ฟังรู้เรื่องเอาไปใช้ปฏิบัติประพฤติทำตามได้ เจริญ จากความคิด ก็ซ้อนอยู่ในมนุษยชาติ
สรุปแล้วก็มนุษย์มีทรัพย์ส่วนกลาง แล้วเข้ามาอยู่ร่วมกินร่วมใช้กันอย่าง ไม่แย่งชิง ไม่ทะเลาะวิวาท ไม่ฆ่าแกง จะมีกิเลสส่วนตัวบ้างนิดหน่อยก็สงบเรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม ไม่มีคดีที่มาแย่งเงิน แย่งทรัพย์สินเงินทอง แย่งเพชรพลอย แม้แต่แย่งเสื้อผ้าหน้าแพรเป็นปัจจัยก็ไม่มี สงบเรียบร้อย
เหมือนอย่างสังคมพวกเรามันเป็นสังคมที่สมบูรณ์แบบ เอาจิตวิญญาณเป็นประธาน จิตวิญญาณมี คุณธรรม คุณวิเศษ คุณธรรม ระดับโลกุตระเป็นจริงแท้จริง ไม่มีตัวตนลดตัวตน จะเหลือตัวตนก็น้อยลงน้อยลงให้ได้จนไม่มีตัวตน คำว่าตัวตนนี้จึงยิ่งใหญ่มาก
ไม่มีตัวตนเป็นภาษาทางนามธรรม จริงๆ แล้วตัวเองมี กัมมัญญา มีความรู้ความสามารถก็ใช้สร้างสรรผลผลิต วาจา ความคิด ให้ผู้อื่น ได้เป็นประโยชน์ไปอย่างซับซ้อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ลึกซึ้งมาก
ในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งหมดแล้วสาธารณโภคีเป็นเรื่องสูงสุด ในสภาพที่มี และเป็นเรื่องของสังคม เพราะสังคมสาธารณโภคีกว้างใหญ่มากขึ้น มีมากก็กระจายไปในโลกมากขึ้น นั่นคือโลกเจริญ ตอนนี้เราก็ทำขึ้นในประเทศไทย กระจายสาธารณโภคี
นี่อาตมาให้ตรวจสอบดูว่าชุมชนเรามีกี่ที่แล้ว มันล้มหายตายจากโรงหรือมันมีขึ้นมาใหม่ไปดูซิ เป็นชุมชนหรือสังคมชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี ชั้นจัตวา ชั้นสำรอง ตั้งกรอบกำหนดว่า ชั้นเอก มีประมาณสักเท่าไหร่แข็งแรงอย่างไร ชั้นโทเป็นอย่างไร ชั้นตรีเป็นอย่างไร ชั้นจัตวาเป็นอย่างไร ชั้นสำรองเป็นอย่างไร ก็ไล่กันเป็นขั้นๆๆ ก็ลองกำหนดกันดู ชั้นกองหนุนอีก
ในองค์รวม ภาวะรวมของมนุษยชาติและสังคม ซึ่งจะมีเศรษฐกิจการเมืองสังคมอยู่ในนี้ก็แล้วแต่ ก็แบบสาธารณโภคี คือต่างคนต่างไม่ยึด เป็นเศรษฐกิจ เป็นสังคม เป็นการเมือง ก็ไม่ใช่เป็นเราเป็นของเรา แต่เราก็อาศัยทำงานกับสังคม ก็ต้องช่วยกัน
การเมืองคืออะไร สังคมคืออะไร เศรษฐกิจคืออะไร ไม่ใช่ของเราแต่เราต้องช่วยกัน แล้วเราก็อยู่อาศัย เป็นผู้อาศัย ที่ได้มีความรู้ความสามารถ สร้างสรรออกไป มากๆ แต่ตนเองอาศัยน้อย นั่นแหละคือคนเจริญ ตนเองก็ใช้น้อย
เราสร้างได้ 100 นึง เราใช้ 20 อีก 80 ให้ผู้อื่นไป อันนี้โก้แล้ว สาธารณโภคี แต่ทางโลก สร้างได้ 10 แล้วเขาก็เอามาเป็นของตน ล้านๆ หรือไม่ได้สร้างเลย ตัวเองได้แต่ใช้ บริวาร ใช่คนอื่นสร้างแล้วตัวเองก็ได้ โลภ คือลักษณะของทุนนิยมสามานย์ที่เลวร้ายที่สุด เป็นระบบวิธีทุนนิยมสามานย์เลวร้ายสุด เป็นศัตรูตัวร้ายของสาธารณโภคี สุดคนละขั้ว
เคยมีคนพูดไว้ว่า อาตมานี้ มาต่อสู้กับเถรสมาคม กับศาสนาคณะใหญ่ อาตมาว่าเปล่า นิดหน่อย อาตมาสู้กับทุนนิยมสามานย์คือคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่
สู่แดนธรรม…พ่อท่านเคยบอกว่า เถรสมาคม ไม่ใช่คู่มวยของอาตมา พ่อท่านมาชาตินี้มาจับคู่กับทุนนิยมทั้งโลก
พ่อครูว่า… ทำไมถึงตั้งชื่อขึ้นมาว่าบุญนิยม เพราะคำนี้ช่างคล้องจอง ทุน กับ บุญ
มันคนละอย่าง ทุน Infinity แต่ บุญนี้ 0 ยิ่งกว่า 0 ส่วนทุนนี่ Infinity
ซึ่งมันคนละขั้วสุดโลกเลย ถ้ามีสภาวะจริงไหม มี พวกคุณก็ค่อยๆรู้กันมาทีละระดับ เราก็ทำตามมา มีคุณสมบัติคุณวิเศษ เพราะว่าไม่ใช่เรื่องง่าย การทำได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องวิเศษ ไม่ใช่เอาคำว่ายกยอเล่นเป็นที่ ,คุณวิเศษ แต่ผู้ทำได้มีคุณวิเศษนั้นจริงมันเหนือชั้นกว่ามนุษย์สามัญ ไม่ได้มานั่งยกยอยกย่อง เหมือนอาตมายกตัวเอง อาตมาไม่ได้ยกยอตนเอง อาตมาพูดความจริง แต่พวกคุณไม่รู้จักความจริง
ทำไมอาตมาบอกความจริง ก็เพื่อให้คุณดูคุณเห็นครบครันเลยว่านี่ของจริง สภาวะจริงมีทุกอย่างเลย ไม่ว่าวัตถุแท่งก้อนพฤติกรรมกายวาจาใจ ทั้งจิตคิดจิตนิยามอยู่ในนี้ครบ นี่แหละแท่งความจริง ไม่ใช่เรื่องลอยลมไม่ใช่เรื่องสมมุติ ไม่ใช่เรื่องคนเป็นไปได้ อาตมาก็เป็นคนเหมือนกับคุณทุกคน แต่อาตมามีคุณวิเศษอันนี้ได้ คุณวิเศษอันนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้แล้วเอามาประกาศให้คนปฏิบัติตาม อาตมาปฏิบัติตามหาไม่รู้กี่ล้านชาติ จนมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ใช่พูดเกินความจริง ล้านชาติไม่ใช่พูดเกินความจริง สั่งสมบารมีมาจริงๆ
จนมาถึงชาตินี้ แล้วเอามายืนยัน ไม่ใช่อยู่ดีๆไปเอาของใครมา ไม่ได้ เหมือนเอาเสื้อผ้าคนอื่นมาใส่ไม่ใช่ ต้องเป็นของเรา เป็นสัมภาระวิบากของเรา กรรมของเราทำมาเองได้เป็นเอง
เพราะฉะนั้นแม้แต่จะรู้ว่า สิ่งที่เป็นที่มีที่ได้เป็นพฤติกรรมของเราเป็นคุณวิเศษ ไม่ใช่เอาของคนอื่นมาเป็นของเรา หรือไปซื้อหาตามร้านขายยาหรือห้างสรรพสินค้ายิ่งใหญ่ในมหาจักรวาลก็ไม่ใช่ มันต้องเรียนรู้และประพฤติ เป็นหน่วยกิตจริงๆเลยสะสมเนื้อหาเป็นพฤติกรรมกายวาจาใจของเราเอง เกิดได้เป็นได้ขึ้นมา
แล้วเป็นเรื่องของชีวะเป็นจิตนิยาม สั่งสมกรรมวิบาก ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านจัดกรรมวิบากไว้ใน อจินไตย 4 ข้อ เป็นเรื่องที่ผู้ไม่ศึกษาจะไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่ากรรมวิบากมีจริงเป็นจริงในมนุษย์ ซื่อสัตย์สุจริตที่สุด กรรมเป็นอันทำ ทำแล้วบอกว่าไม่ใช่ของตนก็ไม่ได้ ทำแล้วไม่เอาก็ไม่ได้ กรรมเป็นทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นสรุปลงไปสูงสุดแล้ว ในความรู้ของมนุษย์ก็มีกรรมกับ God เป็นภาษาอังกฤษ ภาษาไทยคือ กรรมกับ กอด กอดแน่นเลย เป็นตัวกูของกู ทั้ง God ทั้งกอดทั้งกด เป็นของตัวของตน
แต่พระพุทธเจ้าอธิบายขยายความ จะกอดจะกดอย่างไรๆ คุณก็ยึดไปเป็นอีกล้านปีก็ยึดเป็นของตัวของตน แค่คนอื่นเขาแย่งเขาเปลี่ยนแปลงในฐานะบุคคลที่อยู่ในสังคม คุณยังเอาฐานะไว้ไม่อยู่เลย ชาตินี้ คุณมีฐานะ เป็นคนสูง ชาติต่อไปคุณอยากสูงอย่างนี้ก็อาจไม่ได้ ลดลงไป ต่างคนต่างแย่งเป็นสมบัติผลัดกันชมไม่เที่ยง ไม่มีใครสะสมสมบัติไว้เป็นของตัวของตนได้ ตลอดกาลนานกี่ชาติไม่เปลี่ยนแปลงไม่มี ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น ยึดเป็นตัวเป็นตนเป็นของตัวของตนไว้ตลอดกาลนานไม่ได้ ยึดไม่ได้
คนหลงยึด จึงเป็นคนที่ยังมีอวิชชา โง่อยู่ คนที่รู้แล้ว ยึดไว้เพียงอาศัยให้พอเหมาะพอดีน้อยลงน้อยลง แล้วเราก็สามารถรู้ว่าคนอื่นเขาต้องอาศัยเยอะอาศัยมากเป็นภาระมาก คุณก็ต้องใช้ทั้งแรงทั้งเวลา ทั้งทรัพย์ ทุนรอน อาตมาสรุปไว้ เวลา ทุนรอน แรงงาน คุณก็ต้องใช้ 3 อย่างมีมากขึ้นมากขึ้น คุณก็ติดอยู่ในโลกีย์ในสังสารวัฏนี้ ไปอีกนานนนนนนนนน คุณจะไม่ยอมให้มันหยุดหรอก
เพราะเทวนิยมจะไม่รู้จักความสูญ เทวนิยมจัดรู้แต่ว่าต้องมีต้องมากต้องเยอะต้องมากต้องมีตลอดกาล แล้วจะยึดให้เป็นเราเป็นของเรา อยู่ให้เที่ยงไม่เปลี่ยนแปลง ได้ไหม? ไม่ได้ ไม่มีวันที่ฉันจะคุกเข่าให้ นี่เพลง
สรุปอีกทีนึง เกิดมาเป็นคน มาเรียนรู้ สิ่งที่เป็นเราเป็นของเรา แล้วรู้ให้ได้ว่ามันไม่ใช่ของเรา
ภาษามันง่ายๆพูดพล่อยๆโก้ๆเท่ๆได้ แต่มันจะเป็นจริงไม่ใช่ง่าย แล้วมันมีสภาวะซ้อน ซ้อนมากๆเลย คนที่ยิ่งไม่เอามาเป็นเราเป็นของเรา มันยิ่งเป็นของเรา คือเขาจะยิ่งยกให้ ยิ่งเราไม่เอาเขายิ่งยกให้ ถ้ายิ่งอยากได้เขายิ่งจะแย่งเอาไป ยิ่งแย่งกันยิ่งแย่งกันใหญ่เลย
จริงไหม? จริง
ถ้าผู้ใดไม่เอา ให้เอาไปๆ หมดตัวหมดตน คนเอามาให้หมดเลย ง่ายไหม? …ง่าย
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… หากปัจจุบันศาสนาพุทธเสื่อมโลกุตระไม่มีแล้ว หากไม่มีคนมากอบกู้ศาสนาพุทธจะไปถึง 5,000 ปีได้อย่างไร จึงต้องมีผู้กอบกู้ ซึ่งเขาอาจจะบอกว่ามาทีหลังพ่อครูก็ได้ แต่เราจะเห็นว่าอย่างในยุคนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ปูพื้นฐานไว้หลายอย่าง แต่ก็ยังต่อ ยอดกันได้ยากทำได้ยาก แต่พวกเราเข้าใจ พวกที่ไม่ศรัทธาก็คงไม่เข้าใจ
ทำทานอย่างไรให้ไปถึงความรักมิติที่ 7
พ่อครูว่า… มาเข้าถึงวิชาการ วิชาการที่ว่าก็ได้ยินได้ฟังกันมานานมาก อยู่ในศาสนาพุทธได้ยินเลยว่า ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ทาน ศีล ภาวนา ว่างั้นนะ ได้ยินกันมานาน เสร็จแล้ว
ทาน ศีล ภาวนา ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของความกว้าง ครอบคลุมไปหมดเลย ทั้งพฤติกรรมมนุษย์ทั่วไป
พอ ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะตีกรอบแคบเข้ามาหาการปฏิบัติธรรม ถ้า ทาน ศีล ภาวนา หากไม่ปฏิบัติธรรมอย่างน้อยคุณก็ทำทาน หรือแม้แต่คำว่า ภาวนา แปลว่า การเกิดผลนั้นๆ เอาล่ะ ยังไม่วิเคราะห์ที่ว่าคนปฏิบัติธรรมผิดเพี้ยนในการภาวนา ซึ่งไปไม่ถึงผล ซึ่งผลเขาก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไรไม่รู้ว่าเป็นภาวนา
เอา ทาน ศีล ภาวนา
ทาน ตัวแรกในพฤติการณ์ของมนุษย์ ตัวแรกเลย ทาน คือการให้ เป็นคุณสมบัติ การเอา เป็นโทษสมบัติ การเอายิ่งยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา เป็นตัวโทษสมบัติแท้
การให้ไปจากการเป็นเราเป็นของเรานั่นคือ คุณแท้ คุณสมบัติแท้
ทีนี้คนปฏิบัติทานกัน ก็ซับซ้อนเลย ทำวิธีทาน เอาออกให้ออก ใครก็เห็นว่าดี คนนี้เป็นคนแจกคนให้คนอื่น ดีจริงๆ ดี แต่ใจ ยังไม่ได้ให้หรอก ยังคิดว่าเอ็งต้องเอามาคืนข้าพร้อมกับดอก ดอกคิดทบต้นสูงนะ ใจมันยังไม่ได้ปล่อยจริงยังไม่ได้ให้จริง
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเรื่องทานสูตร
-
ทานจะต้องทานอย่างสาเปกโข ทานก็คือการให้ โดยไม่มีการตั้งความหวัง ตั้งภพชาติ เป็นตัวเป็นตน ให้ก็คือให้ นั่นคือทานที่มีอานิสงส์ที่สุด ตรงที่สุด สูงที่สุด จบเลย