640920_รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 10 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1sLltngFmDiaOPu4e1IaoqW7vCdz3NiDJY3sD_gbXp8A/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1wfx2OcSZllqGSSyHHfplTBK8xyXcFAbP/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/877380406484552 คำสอนพ่อครูเป็นจริงได้ไม่ใช่แค่เพ้อฝัน _สู่แดนธรรมว่า… มีคนถามผมว่าสิ่งที่พ่อท่านพูดนั้นเป็นการเพ้อฝัน เป็นไปไม่ได้ แต่พ่อท่านได้สร้างสังคมอโศกขึ้นมา เป็นการสร้างสังคมโดยไม่ต้องมีผู้นำคือหน้าที่ของผู้นำ พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 20 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นเรื่องซับซ้อนอยู่นะ มีหรือไม่มี ผู้ที่เป็นผู้นำที่เป็นโลกุตระแท้ จะไม่ติดใจว่าจะต้องได้เป็นผู้นำ ใครจะรู้ตัวเราว่าเป็นผู้นำ หรือไม่รู้ว่าตัวเราเป็นผู้นำ ก็ไม่ได้อยากแสดงตัวอยากอวดอยากเด่นดัง ท่านทำหน้าที่ของท่านไป หรือจะมีใครทำหน้าที่ได้ดีกว่า…. ก็ดีสิ แล้วท่านยิ่งรู้จริงรู้ยิ่งรู้แจ้งรู้ชัดว่า ความจริงมันเป็นเช่นใด แล้วท่านก็ทำอยู่ ท่านเป็นผู้นำเป็นไก่ตัวพี่ ท่านก็บอกว่าเป็นไก่ตัวพี่ ไม่ได้มีอะไรมังกุ(เก้อยาก) ที่จะบอกความจริง สำหรับผู้ที่ยังไม่จบกิจก็จะเก้อยาก จะไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ ยังไม่สามารถบอกความจริงตัวเองได้อย่างง่ายๆราบรื่น มันจะไม่เต็ม มันดูได้ คนที่มีปฏิภาณดีๆจะดูออก จะรู้ได้ว่าคนนี้รู้ความจริง อย่างอาตมารู้ความจริงคนที่มีปฏิภาณปัญญาดีๆจะรู้ว่าจริง พูดจริงทุกคำ อาตมาว่าอะไรที่อาตมาไม่เป็น อะไรไม่มี ก็บอกให้รู้ว่าไม่มี อะไรเป็นอะไรมีก็บอก ซึ่งเป็นความจริงที่จริงที่สุด อาตมาเกิดมาพูดความจริงที่จริงที่สุด สังคมที่จริงๆแล้วไม่มีผู้นำเลย จะบอกว่าไม่มีมันก็ไม่เชิง ผู้ที่เป็นผู้นำจริงๆท่านก็ไม่ได้ไปติดใจอะไร มันจะเกิดสัจจะทั้งรูปทั้งนาม ยากที่จะบอกความจริงครบครัน ศาสนาพุทธมาถึง 2,500 กว่าปี หมดจริงๆ เสื่อมไปไม่เหลือความเป็นศาสนาพุทธ ที่อาตมาย้ำว่าเป็นศาสนาพุทธ อย่างไรจึงเป็นศาสนาพุทธ อย่างไรไม่เป็นศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธคือศาสนาที่มีโลกุตรธรรม ศาสนาที่ยังไม่มีโลกุตรธรรมก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาทั่วไปที่มีแต่โลกียธรรม ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณีสูตร ว่ากลองอานกะ มันถูกเปลี่ยนแปลง ถูกเปลี่ยนไม้ถูกเปลี่ยนหนังถูกเปลี่ยนเนื้อของตัวกลองออกไปหมดมีแต่ชื่อ เนื้อแท้ๆของกลอง ที่ชื่อ ก็เป็นกลองที่เป็นโลกุตระ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ยังทรงมีพระชนม์ชีพซึ่งเป็นความจริงที่สุด มาถึง 2,500 ปีนี้ก็จริง กลองอานกะไม่เหลือเนื้อแท้เก่าแล้ว อาตมาเกิดมาชาตินี้มาบอกความจริง ไม่ได้บอกความเท็จ อาตมาจะไม่พูดเท็จเด็ดขาด ไม่พูดผิด มันเป็นบาปที่แท้จริง อาตมารู้บาป บุญ กุศล จริงๆ ไม่ได้พูดเล่นๆ คนจริง คนที่มี ปฏิภาณปัญญาจริงจึงจะรู้จริง คนที่พบพระพุทธเจ้า ที่น่าสงสารคือ พบพระพุทธเจ้าได้พูดคุยกับพระพุทธเจ้า ขนาดพูดคุยกันทั้งคืน ก็ยังไม่สะดุดไม่ฉุกคิดว่าองค์นี้คือพระพุทธเจ้า เขาแสวงหาธรรมนะ จิตใจก็ไม่ได้ต้านอะไร เขาก็ฟังธรรมซักไซ้ถามรื่นเริงในธรรมดีจนรุ่งเช้า สุดท้ายก็บอกว่าดีมาก ได้รับความเข้าใจความรู้ก็ว่าไป อาตมาจำรายละเอียดไม่ครบ เขาเอาไปแปลเป็นเรื่องกามนิต วาสิฏฐี สู่แดนธรรมว่า… เป็นนิทานอยู่ในธาตุวิภังคสูตร พ่อครูว่า… ไม่สะดุดไม่ฉุกใจว่าเป็นพระพุทธเจ้า ทำไมท่านรู้จริงรู้มากรู้เยอะ ผู้ที่มีปฏิภาณก็จะรู้ ส่วนคนไม่รู้ ฟังพูดแล้วก็หาว่าพูดอะไร ไปกันใหญ่เลอะๆเทอะๆ พูดเพ้อเจ้อ เพราะเขาไม่เข้าใจ ที่อาตมาพูดมันเป็นโลกุตรธรรมเป็นภาษาที่ลึกซึ้ง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) เขาก็หาว่าพูดอะไรเลอะเทอะก็น่าสงสาร อาตมาไม่ทำอย่างเพ้อฝัน อาตมาจบที่ความจริง ใช้พยัญชนะแทนสภาวะจริงก็จบ อาตมาไม่มีอะไรจะอาศัยนอกจากความจริง อาศัยความจริงอยู่กับความจริง ที่จะมายืนยัน การปฏิบัติธรรมที่ไปหลับตามันเป็นเรื่องโมฆะ เป็นเรื่องที่ไร้สาระ มันน่าสงสารสุดใจ คนที่ยังงมงายนั่งหลับตาสะกดจิตกันอยู่ อาตมาใช้เวลาทำงานมา 50 ปีนี้ยังไม่สะกิดพวกหลงงมงาย อยู่กับการนั่งหลับตาปฏิบัติ ไม่สามารถสะกิดแม้ผิวให้เขารู้สึก เขาก็ยังหลงการนั่งหลับตาปฏิบัติ ทั้งที่ อปัณณกปฏิปทา 3 คำว่า อปัณณก แปลว่า แท้ แปลว่า จริง แน่นอน ถ้ามีการปฏิบัติ 3 อย่างนี้อยู่ในการปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ไม่สามารถตื่นจากโลกีย์ก็ยังไม่สามารถตื่นรู้สมบูรณ์แบบ จึงยากมากที่คนจะรู้คนจะเข้าใจ แล้วปางนี้อาตมาเกิดมา ไม่มีอะไรเป็นเครื่องแสดงว่าเป็นผู้มีหลักฐาน เป็นผู้ที่มีที่มาที่ไปของธรรมะ ศิษย์มีครู มีสำนัก มีศิษย์พี่ศิษย์น้องอะไร ไม่มี แล้วบอกว่า มีของตนเองเท่านั้นด้วย ยืนยันว่า อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ในชาตินี้ เอาของเก่าของตัวเองมาพูด พูดไปเขาก็บอกว่าจริงตรงไหน จริงตรงที่พูดในสิ่งที่เขาไม่มี ก็เลยเป็นเรื่องขัดแย้ง เขาก็บอกว่ามาทำลายศาสนาพุทธเป็นความขัดแย้งมันไม่ตรงกับเขา เขาก็หาว่าอย่างนั้นเลย ก็เลยพยายามมาจัดการอาตมา แต่จัดการไปจัดการมา มาถึงวันนี้ ก็คงจะไม่มีใครกล้ามาจัดการอาตมาเหมือนกัน เพราะอาตมายืนยันความจริง นอกจากคนที่จะบ้าดีเดือด คือมืดบอดจริงๆเลย ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ตะวันออกตะวันตกอะไร ผลีผลามมา นึกว่าตัวเองถูก เชื่อมั่นในสัจจะที่ตัวเองเข้าใจ ไม่เชื่อว่าที่อาตมาพูดนี้คือความจริงของศาสนาพุทธยิ่งกว่า ไม่เชื่อ อาตมาก็พยายามพูดย้ำซ้ำซาก พูดเน้น ยืนยันความจริง ยืนยันสิ่งที่แสดงออกทั้งหมดยืนยันแม้กระทั่งเอามาประกาศมาอธิบาย คนฟังคือพวกคุณเอาไปปฏิบัติจนเกิดมรรคผล เป็นหมู่กลุ่มเป็นคนโลกุตระ มีพุทธมามกะเป็นพุทธบริษัทที่แท้ มีอุบาสกอุบาสิกา มีนักบวชหญิงนักบวชชาย ยืนยันว่ามีจริงๆ เขาก็มองไม่ออก เอาธรรมะมายืนยันว่า นี้เป็นกลุ่มบุคคลที่ปฏิบัติธรรมได้ถึงขั้นมีสาราณียธรรม 6 ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะเกิดคุณธรรม สาราณียธรรม6 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ ยืนยันว่ามี จิตพุทธพจน์ 7 จนเกิดเป็นสาธารณโภคี ทั้งฆราวาสทั้งนักบวช ยิ่งกว่าในยุคพระพุทธเจ้าที่มีแต่ในเฉพาะนักบวชเป็นสาธารณโภคี ก็เพราะมีเงื่อนไขว่า ตอนนั้นเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคทาส ยุคที่ยังไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน ซึ่งอันนี้เป็นความรู้ความจริงที่อาตมามีแล้วเอามาพูด ผู้รู้ผู้มีปัญญาที่เป็นโลกุตระก็น่าจะสะดุดใจ ว่า จริง อาตมาเอาพระไตรปิฎก เป็นหลักฐานยืนยันอ้างอิง ก็แล้ว ก็ยังไม่เชื่อ เขาก็เชื่ออาจารย์ของเขา เอ็งเป็นใครรู้ดีได้อย่างไร ไม่เชื่อ อาตมารู้ความจริง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โลกุตรธรรมยุคนี้ไม่มีคนรู้ได้ง่ายๆอาตมาเอามาเปิดเผยเอามาพูดสาธยายมีคนรู้ตามได้ ย้ำว่ามันไม่สูญเปล่าเป็นไปได้มีผู้รู้ได้ จนกระทั่งมีหมู่มีพวก มีหลักฐานยืนยัน อยู่ในหมู่คณะบางคนก็อยู่จนตาย แล้วไม่โดดเดี่ยวอะไรหรอก แล้วอาตมาก็รู้ความจริงว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีมากมาย เพราะเป็นเรื่องที่ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) คำต่างๆพวกนี้ สุดซาบซึ้งที่อาตมาได้อ่านที่เขาแปลเป็นไทยเอาไว้มาให้อ่านนี้ หลับตาสมาธิพาให้ไกลจากศาสนาพุทธ ประเด็นหลับตาเป็นประเด็นเรื่องหลักเลย ยุคพระพุทธเจ้าอุบัติ พอออกป่าไปตามลิงลมอมข้าวพอง ท่านก็เลยออกป่าตามเขาบ้าง ตามวัฒนธรรมของยุคนั้นที่ครอบครองอยู่ ออกไปก็เจอเขานั่งหลับตาเดินจงกรม แล้วท่านยังไม่มีมรรคยังไม่มีการประกาศโลกุตระ ไม่เหมือนอาตมาที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศโลกุตรธรรมมาก่อนแล้ว แต่ในยุคพระพุทธเจ้าจะไม่มีคนประกาศโลกุตรธรรมด้วย พระพุทธเจ้าท่านจึงต้องทรงอนุโลมหลายอย่าง เช่น อานาปานสติ ก็พากันนั่งหลับตา อานาปานสติ ไม่ได้หลับตาเลย ลืมตา คำว่า อานา อาปานะ คือ ลมหายใจเข้าออก ก็คือทุกลมหายใจเข้าออกจะต้องมีสติ การปฏิบัติที่มีสติเต็ม การทำงานอาชีพเป็นสัมมา ทุกกัมมันตะ การกระทำก็เป็นสัมมา จะพูดก็เป็นสัมมา จะคิดก็สัมมา มีหลักฐาน ไม่ใช่ไปหลับตาปฏิบัติ ทำอาชีพหลับตาปฏิบัติได้อย่างไร ทำกรรมกิริยาจะไปหลับตาปฏิบัติตัวอย่างไร มันไม่ใช่ มันเป็นปกติของคนธรรมดาก็ลืมตา นอนหลับพักผ่อนก็หลับสิ ก็จะไปทำอย่างอื่นทำไม เรื่องง่ายๆชัดๆ ตอนนี้ไปหลับตาจะเอาความรู้ครบ มันจะไปครบได้อย่างไรเพราะหลับตาก็มีแต่มืด แคบๆ อยู่ในกะลาครอบ จะรู้ได้อย่างไร อาตมาก็พูดหนักพูดจริง เขาก็ไม่สะเทือน ไม่สะดุ้ง ไม่หวั่นไหวไม่เปลี่ยนแปลง ทำไมโง่ดักโง่ดานอย่างนี้ มันน่าสงสารจริงๆ วันนี้วันจันทร์ที่ 20 กันยายน ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 10 ปีฉลู วันโกน อาตมาก็พูดถึงเรื่อง หลับตาปฏิบัตินั้นผิดไปจากศาสนาพุทธ ชาคริยานุโยคะ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ต้องเรียนรู้ทุกอย่างที่กระทบสัมผัส กระทบสัมผัสกับเครื่องกินเครื่องใช้ กระทบทางปาก ทางลิ้น ก็มีกาม ทางปาก ทางลิ้น จะรับรส รสที่จะมี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อยู่ในนี้หมด เป็นรสที่เราชอบหรือไม่ชอบ เราชอบก็กินประจำ กินติดปากเลย ทั้งที่เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะกินติดปากประจำ เช่น กินหมากกินพลู กินไป เคี้ยวทั้งวัน แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองติด แค่นี้ยังหลอกมนุษย์ว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์อีก มันน่าสงสาร แล้วก็หลงเชื่อกันจริงๆ ไม่ใช่เป็นคนจำนวนน้อยน้อยนะ เป็นระดับที่คนถือว่าเฉลียวฉลาดในสังคมเป็น activities ในสังคม ก็ยังเชื่อว่าพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เชื่อตามกันมาว่า เป็นพระอรหันต์ ซึ่งมันซ้อนย้อนแย้งตีกลับ มันไม่ใช่เลย นอกจากไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีทางบรรลุอรหันต์แล้วก็ยังหลงติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่เป็นกาม ที่ติดหมากติดพลู ก็ไม่สะดุดไม่ฉุกคิดกันเลย เวลาบอกว่าตัวเองบรรลุก็อธิบายอะไรไม่รู้ นั่งหลับตาไป เอาจริงเอาจัง ฆ่ากิเลสอย่างเดียว แล้วกิเลสเป็นอย่างไรอธิบายกิเลสไม่ออกสักตัวเดียว แล้วบอกให้สู้ต่อ พูดโมเมไป สู่แดนธรรมว่า… จะชักชวนให้เลิกล้มนั่งสมาธิได้อย่างไร ทางข้างนอกสั่งสอนว่า สิ่งที่มาชักชวน ขัดขวางไม่ให้นั่งสมาธินั่นแหละคือกิเลส พ่อครูว่า… ก็เชิญชวนให้มาทำการลืมตาทำสมาธิ อาตมาก็พยายามพูดความจริงตามความจริงที่รู้และมีหลักฐาน สู่แดนธรรมว่า… ผมเคยเรียนถามอาจารย์ว่า กิเลสคืออะไร อาจารย์ก็บอกว่ากิเลสคือสิ่งที่จะมาทำให้เราเลิกล้มการนั่งสมาธินี่แหละ ให้ท้อแท้กับการนั่งสมาธิ การเมื่อยการปวดหลัง ก็คือขันธมาร พ่อครูว่า… ขออภัยไม่ต้องไปนั่งเลยหรือจะนั่งก็ไม่ต้องไปนั่งสมาธิหลับตา แล้วไปนั่งหลับตาทำสมาธิมันเป็นของเดียรถีย์ พระพุทธเจ้าออกบวชก็เจอนั่งเต็มป่าไปหมด เท่านี้ก็น่าจะสะดุดแล้ว แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ทำไปตามลำดับ แต่ผู้ฟังคงเข้าใจยากว่าท่านไปสอนใคร เพราะเขาเชื่อว่า การนั่งสมาธิหลับตาเป็นทางเดียวที่จะหลุดพ้น เหมือนยุคนี้ 2,500 ปี ก็เสื่อมไปเหมือนยุคพระพุทธเจ้า เกือบเหมือนกันแล้วจะเหลืออยู่บ้างนิดหน่อย ยุคโน้นทั้งหมด เชื่อแบบนั่งหลับตา ในยุคนี้อาจจะเกือบหมด อาจจะเหลืออยู่บ้าง แต่ไม่มีใครกล้าบุกเบิกเหมือนกับอาตมา ยุคนี้ อาตมาบอกตัวเองว่า อาตมามาพลิกฟื้นธรรมะพระพุทธเจ้า เอาโลกุตรธรรมกลับมา ไม่ใช่เอาแค่ศีลธรรมกลับมา ซึ่งแค่ศีลธรรมกลับมายังตื้นไป โลกุตรธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศ มันต้องเอาโลกุตระธรรมกลับมา เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องสัจจะ โลกุตรธรรมมันเป็นของศาสนาพุทธ และมีศาสนาเดียวในโลก ที่รู้รอบไปหมดเลยในความเป็นพระพุทธเจ้า รู้รอบในความเป็นอัตตา รู้รอบในความเป็นเทวะ รู้รอบในความเป็นจิตวิญญาณ และสามารถสลายความเป็นจิตวิญญาณ ความเป็นอัตตา เลิกจบ ยืนยันว่าจิตวิญญาณไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่ของพระเจ้า พระเจ้าไม่ใช่เจ้าของจิตวิญญาณ ไม่ใช่ เราเป็นนายของจิต ไม่ใช่เป็นนายของผู้อื่นที่มีจิตวิญญาณพระเจ้ามา ไม่ใช่ เรานี่แหละ เป็นพระเจ้าเป็นนายเอง สามารถสลายจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลมได้ ถ้าหากพระเจ้ามีตัวตน แล้วรู้ว่าใครสามารถทำจิตวิญญาณของตัวเองสลายไปเลย ก็ทำให้พระเจ้าหน้าแตกเลยนะ พระเจ้าบอกว่าอัตตา จิตวิญญาณเที่ยงแท้นิรันดร ใครจะแตกแยกออกไปไม่ได้เลย เพราะเขาไม่มีปรินิพพานเป็นปริโยสาน ความรู้ของพระพุทธเจ้าแม้แต่จะเป็นจิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยาม ซึ่งเรียนรู้ได้และทำให้เป็น สมบูรณ์ได้ทุกอย่างจนกลายเป็นอุตุนิยามได้ด้วยกรรม ด้วยธรรมะ เรียกว่าธรรมนิยาม 5 สุดยอดเลย เป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณที่แท้จริง ผู้ที่ศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิจะทำได้จริงๆ แยกจิตเป็นดินน้ำไฟลมเลยไม่มีชีวะ สลายไปเลย ไม่มีดูดไม่มีผลักที่จะมาเป็นชีวะ ทำให้เป็นพีชะ อาศัย ก็เป็นชีวะอยู่ พีชะก็เป็นชีวะระดับหนึ่ง ความเป็นชีวะในระดับพีชะนี่แหละ คนไม่เข้าใจความซับซ้อน ทำจิตให้เป็นพีชะ แล้วยึดมั่นถือมั่นเป็นอัตตา แต่ไม่ใช่เป็นพีชะสมบูรณ์แบบ คือยึดสิ่งที่เป็นจิตวิญญาณของตัวเองเท่านั้น อย่างมนุษย์พืชมีชีวะ แต่ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ มีแต่สัญญากับสังขาร ปรุงแต่งกันอยู่ มนุษย์พืชมีสังขารกับสัญญา ผู้ที่นั่งหลับตาสมาธิ แล้วก็สะกดจิตตัวเอง ไม่รับรู้ภายนอก ไม่รับรู้เวทนา ไม่เป็นวิญญาณ กลายเป็นวิญญาณที่ผู้กำหนดตัวเองให้ไม่รับรู้อะไร รู้แต่ในสัญญากับสังขารของตัวเอง เสร็จแล้วก็ตาย เป็นมนุษย์พืชตายแล้วก็ไม่ยอมเน่า เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ ธรรมชาติของสัตว์ตายแล้วก็เน่าเปื่อยสูญสลาย แต่นี่ไม่เป็นธรรมชาติตายแล้วก็ยังเป็นตัวกู ถ้าให้อาหารไปก็เหมือนมนุษย์พืช จะอยู่ได้อีกนานเหมือนมันอยู่ในห้อง ICU จนกว่า ธาตุขันธ์ อวัยวะต่างๆไม่ทำงานแล้ว ไม่งั้นก็เลี้ยงไปจนกว่าจะไป อย่างที่เห็นกันอยู่ มันทรมานมากเพราะไม่เข้าใจ ทรมานทั้งผู้อยู่ ทั้งผู้ที่เป็นมนุษย์พืชเอง ทำให้ผู้ที่ต้องดูแลเป็นภาระ มีเครื่องมือเครื่องไม้ต่อลมหายใจไป ให้เขาทำแทนหมด เป็นเรื่องน่าสงสารสมเพชเวทนาในความไม่รู้พวกนี้ ที่เป็นภาระ เห็นความไม่รู้จักกรอบที่ตัด กลายเป็นเรื่องไม่เข้ารูปเข้าร่องอะไร ทุกวันนี้ พุทธคุณข้อวิชชาและจรณะ มันไม่มี ไม่เข้าใจ ปฏิบัติธรรมก็เข้าใจหลักธรรมแบบฤาษี แบบเดียรถีย์ หรือหลงโลก เป็นพระนักวิชาการนักรู้ พุทธศาสนาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเทวนิยม ได้ปริญญาเอก มีแต่ผู้ที่เป็นเทวนิยม ชาวพุทธที่เป็นเทวนิยม ไปเรียนความรู้แบบนี้ของเขามากกว่าความรู้แบบอเทวนิยม แล้วก็หลงตัวหลงตน ขออภัย พูดและอธิบายยืนยันว่า อาตมาเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า มาเรียนกับอาตมานี่ พูดแล้วก็น่าเกลียดเนาะ อวดตัวอวดตน อาตมาพูดความจริงจากใจ ไม่มีอะไรที่จะมังกุ เก้อยาก ไม่เก้อเขิน ไม่อาย ไม่มีอะไรสะดุดเลย มันเป็นความจริง อาตมาพูดไปเปิดเผยทุกอย่างไม่มีอะไรสะดุด ไม่มีอะไรติดขัด อาตมาบอกความจริงแบบ เกลี้ยงๆหมดแล้วนะ บอกความจริงครบพร้อม คนจะฟังเข้าใจ ก็ต้องมีไหวพริบพอสมควรที่จะรู้ว่าจริงขนาดไหน แล้วเวลาอาศัยเนื้อแท้สาระแท้ อาตมาก็อธิบายไป ที่จะติงเขา ตื่นเสียที รู้เสียที ที่หลงยึดติดนั้นไม่ถูก มาเอาความถูกต้องที่นี่ 50 กว่าปีนี้เหนื่อย ก็พยายามลากสังขารไปอีกนานมากกว่านี้หน่อย ได้มากเท่าไหร่ก็เอา ตั้งใจ ไม่เจตนาหรอกมันมีเหตุปัจจัยพาไปพูด 151 ปี เคยเล่าที่ไปที่มาให้ฟังแล้ว นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ เปรียบเหมือนหมากลางตลาดที่มาพิสูจน์โลกุตระ สู่แดนธรรมว่า… พ่อท่านมาชาตินี้ไม่มีอลังการ ไม่มีตัวช่วย พ่อท่านบอกว่าเอาแต่บารมีทางธรรมะเท่านั้น ไม่เห็นว่าพ่อท่านจะลดราการเผยแผ่ เมื่อก่อนเห็นพวกเราพยายามทำให้คนมายอมรับพวกเรา ก็ทำได้แต่วิธีการ แต่โลกุตระนั้นไม่ใช่จะได้ไวได้มาก พ่อครูว่า… คนจะรู้โลกุตรธรรมนั้นมีไม่มาก อาตมาไม่ต้องการพวกที่ ไม่เอาจริง ไม่เกิดจิตศรัทธา มีปฏิภาณปัญญาว่าอันนี้เป็นของแท้ที่ควรใส่ใจ อาตมาต้องการคนมีปฏิภาณปัญญารู้ จะต้องมาศึกษาด้วย ใครที่เห็นว่าอันนี้ไม่ใช่ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องหนักอาตมามากเกินไป เอาผู้ที่มีความเชื่อ มีความเข้าใจ มีศรัทธา มีปฏิภาณปัญญารับโลกุตรธรรมได้ ถ้าหากว่าเอาปริมาณมากๆ อาตมาไม่เคยคิดว่าจะต้องได้แบบนั้น ไม่พยายามทำ เป็นแต่เพียงเอาโลกุตรธรรมเป็นหลัก ถ้าใครพยายามศึกษา ติดตามบ้าง สะสมอัญญธาตุ คือธาตุ โลกุตรธรรม ค่อยๆรับไป จนกระทั่งมี อัญญธาตุ ได้ถึง 50% จึงค่อยเห็นว่ามีน้ำหนัก ได้ 60% ก็ถึงบอกว่าอันนี้ใช่ มีอัญญธาตุ เป็นธาตุรู้ที่มีโลกุตรธรรม หากมีถึง 70% ถึงยินดีถึงมีฉันทะยินดีจริงๆ แล้วมันจะมาศึกษา เมื่อมีฉันทะมาศึกษา ถึงจะปฏิบัติมนสิการ ทำใจในใจเก่ง มีมรรคผลโลกุตรธรรม ถ้าไม่อย่างนั้นทำไม่ได้ คนที่จะมนสิการได้อย่างถูกต้องถ่องแท้ โยนิโสมนสิการ ก็จึงต้องมีที่มา 6 อย่าง ใน สุริยเปยยาลสูตร 7 ข้อ ข้อที่ 7 คือโยนิโสมนสิการ เพราะฉะนั้นคุณจะโยนิโสมนสิการได้ องค์ประกอบอีก 6 คุณต้องมีก่อน สุริยเปยยาล7 [129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค หากไม่เอาจริงประมาท แม้รู้ก็ไม่เกิดผล ไม่มีทางได้หรอก กว่าจะทำโยนิโสมนสิการได้ถูก โยนิโสคือถ่องแท้ แยบคาย จะทำใจมนสิการได้อย่างไร เขาไปนั่งหลับตาสมาธิ เขาก็ทำใจในใจเป็นวิธีของเขา ทำให้เป็นสมาธิแบบเดียรถีย์แบบนอกทางพุทธ เขาก็ทำ มนสิการ แต่มันไม่ไดถ่องแท้ไม่ได้เข้าไปถึงที่เกิด ไม่ถึงสัมภวะ คือสมุทัย ในมูลสูตร มีมนสิการ เป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นเหตุเกิด(สมุทัย) มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง แล้วก็จัดการที่เวทนา ปฏิบัติกันที่เวทนาจิตจึงจะบริบูรณ์ บรรลุสมาธิได้ มีโยนิโสมนสิการได้ ถ้าไม่ทำที่เวทนาไม่รู้จักเวทนาเป็นฐานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติเรียกว่ากรรมฐาน ในพรหมชาลสูตรว่าไว้ ก็อ่านพระไตรปิฏกไม่แตก แล้วไปเอากรรมฐานเป็นสมถะ เช่นกสิณ 40 มาเป็นกรรมฐาน นี่ออกนอกรีตไปไกลๆเลย เป็นการสะกดจิต เอาจิตไปเกาะไว้ ตั้งแต่เกาะในบัญญัติพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกาะศีลต่างๆ 10อย่างหรือมากกว่า 40 อย่าง เป็นพันเป็นหมื่นอย่างก็ได้ที่ให้จิตไปเกาะอยู่เป็นสมถะ เป็นการทำใจในใจแบบเขา ไม่ใช่การทำใจในใจอย่างถูกต้อง อย่างแยบคายที่มี อปัณณกปฏิปทา 3 หรือมีศีล มี อปัณณกปฏิปทา 3 มีสัทธรรม 7 มีฌาน 4 จึงเกิดฌานของพุทธ แต่นี่ฌาน ไปนั่งหลับตาปี๋ แล้วจะเกิด ฌาน ก็เป็นความผิดของเดียรถีย์ เขาก็ต้องเป็นอย่างนั้น เป็นของพระพุทธเจ้าก็จะรู้ว่าสัมมาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิ รู้ถูกแล้วก็ต้องพากเพียร มีวิริยารัมภะ หรือมีชาคริยานุโยคะ อนุยุตโตพากเพียร มีอารัภภะ แต่ไม่ค่อยเข้าใจ ซึ่งก็น่าเห็นใจเหมือนกัน เพราะไม่มีใครไม่อยากไม่เข้าใจ ทุกคนอยากเข้าใจสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ดีทั้งนั้นแหละ แต่เขาได้แค่นั้น อาตมาเห็นอจินไตยที่อาตมาเกิดมาในชาตินี้ เกิดมาแล้วไม่มีอะไรเลยล่อนจ้อน อาตมาไม่มีอะไรเลย ล่อนจ้อน เป็นหมากลางตลาด ไม่มีเจ้าของ อาศัยกินของที่เขาทิ้ง ต้องหลบเท้า ไปใกล้เขาเอาน้ำร้อนสาด ต้องหลบน้ำร้อน หลบปังตอ เป็นหมากลางตลาด ยากเย็นกว่าจะมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ใช่หมาที่ไม่ทำงานนะ แต่เป็นหมาที่พยายามอยู่เพื่อประกาศโลกุตระ อาตมาเกิดปีหมา หมอดูบอกว่าอาตมาเป็นหมากลางตลาด ฟังดูเข้าทีเหมือนกัน ต้องคอยหลบเท้า หลบน้ำร้อนเก็บกินสิ่งที่เขาทิ้ง ขนาดเขาทิ้งแล้วเขาก็ยังหวง อยู่อดอยาก ต้องพากเพียร หลบตีน หลบน้ำร้อน หลบปังตอ หลบไม้หน้าสาม เขาหาว่าไปกวน ที่จริงไม่ได้ไปกวนเขาหรอก สู่แดนธรรมว่า… อุปสรรคการเป็นหมากลางตลาดมีเยอะ พ่อท่านจะประกาศโลกุตระเขาก็มีพวกมากกว่า เอาจรณะ 15 มาบอกสิ่งที่ถูกต้อง เขาก็หาว่ามารบกวน เขาไม่อยากฟัง เป็นวิบากของประเทศไทย สัตบุรุษมาประกาศอย่างองอาจจริงใจแต่ทำไมคนไทยรังเกียจ พ่อครูว่า… อันนี้เป็นอจินไตยกรรมวิบาก เป็นสัมภาระวิบากของอาตมาที่ต้องเอาความจริงมาประกาศ โดยไม่ต้องอาศัยอะไรเลย เอาธรรมะแท้ๆมาเพียวๆสดๆล่อนจ้อน มาจริงๆเลยจริงๆเลยแก่นๆจริงๆ เอาธรรมะแก่นๆ แต่แก่นของอาตมาไม่ใช่มีแต่แก่น ไม่มีกระพี้ ไม่มีเปลือกไม่มีสะเก็ด แต่มีหมด จะไม่มีก็แต่ใบดอกผล พระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบเทียบว่า ศีลคือกระพี้ สมาธิคือเปลือก ปัญญาคือเนื้อ วิมุติคือแก่น ทุกวันนี้อาตมาว่าศาสนาพุทธไม่มีแม้แต่ศีลมันชัด แต่เขาก็ไม่สะดุดกันเลย ไปถามใครก็ได้ชาวพุทธ ว่าพระภิกษุมีศีลเท่าไหร่ เขาก็ตอบมา 227 ข้อ ซึ่งอันนั้นเป็นพระวินัย ไม่ใช่ศีล เขาเชื่ออย่างสนิทใจเอาวินัยเป็นศีลวินัยเป็นหลักเกณฑ์ตั้งขึ้นเพื่อปรับอาบัติแต่ศีลไม่มีอาบัติ เป็นภาวะซับซ้อน วินัยหยาบกว่าศีล ศีล เป็นอิสรเสรีภาพ อาตมาก็เอาศีลมายืนยัน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล อาตมายืนยันในเถรสมาคม เขาก็ไม่มีมหาศีลกันเลย แต่จุลศีล มัชฌิมศีลก็ยังพอมี (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สู่แดนธรรมว่า… ผมเคยอยู่ในแวดวงพระสงฆ์ เห็นว่าท่านภูมิใจมากที่เป็นพระมีศีลมากข้อ 227 ข้อ แม้แต่วินัยมีให้ปฏิบัติก็ยังไม่ทำตาม ท่านแก้ปัญหาโดยการบอกว่า ถ้าอาบัติมาเดี๋ยวปลงเอา เดี๋ยวก็หาย พ่อครูว่า… อย่าไปทำถึงขั้นปาราชิกก็แล้วกัน สังฆาทิเสสเขาก็ไม่รับการลงโทษ อยู่ปนเปนกันไปอย่างนั้น แม้แต่ปาราชิกก็มีอยู่แต่ก็ทำอะไรกันไม่ได้เหมือนลูบหน้าปะจมูกเหมือนอย่างใครนะว่า ผมไปดูมาหมดแล้ว ไม่มีหรอกพระวัดไหนที่ไม่มีเมีย ซึ่งมันน่าเกลียด สู่แดนธรรมว่า… ช่วงถามปัญหา บุญคือเพชฌฆาตมือสุดท้าย _ขอให้พ่อช่วยอธิบายสภาวะของบุญคือเพชฌฆาตมือที่ 3 ทำไมจึงเป็นมือที่สาม พ่อครูว่า…เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ฌานคือการประหารการเผากิเลส เป็นพลังงานเผากิเลส ฌาน 1 เป็นเพชฌฆาตดาบที่ 1 ฌาน 2 เป็นเพชฌฆาตดาบที่ 2 ฌาน 3 เป็นเพชฌฆาตดาบที่ 3 ฌาน 4 เป็นเพชฌฆาตดาบที่ 4 จะบอกว่า ฌาน 4 เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ถอนอาสวะ บุญ คำว่าบุญ คำนี้มันเสื่อมไป เสื่อมไปเข้าใจว่าบุญ มีความหมายเหมือนกุศลเป็นความดีงาม เป็นสมบัติ เป็นกุศลเป็นสิ่งที่ต้องสะสม ซึ่งไม่ใช่เลย บุญ ไกลกว่านั้นมาก คำว่าบุญ เป็นโลกุตระธรรมที่จะเป็นพลังงานวิเศษจริงๆเลย ถ้าเขาใจบุญไม่ถูกไม่มีนิพพาน ไม่มีนิพพานคืออะไร คือไม่จบกิจ บุญเท่านั้นที่ทำหน้าที่ฆ่าโดยไม่เหลืออะไร จบ มีหน้าที่เดียวๆ การฆ่ากิเลส ไม่มีอะไรจะเหลือดีเลย เป็นนักฆ่า ฆ่ากิเลส ไม่มีอะไรที่ดีเหลืออยู่ในบุญเลย ฆ่าเสร็จแล้ว ถ้าไม่มีอะไรจะฆ่าก็ไม่มีบุญ บุญทำร้ายแต่กิเลสไม่ทำลายอย่างอื่นเลย บุญก็ต้องมีปัญญา ฌานก็ต้องมีปัญญา ต้องรู้ว่าอะไรเป็นนักโทษประหารที่ต้องฆ่า ก็ต้องรู้ตัวอย่างถูกต้องไม่ผิดตัวเลย ทำหน้าที่ฆ่าอย่างเดียวฆ่าเสร็จแล้วก็ไม่อยู่แล้ว เพราะว่าถ้ามีบุญเหลืออยู่ ก็ไม่มีปรินิพพานเป็นปริโยสาน มันก็ไม่จบกิจ ทำเสร็จงานแล้วก็ยังไม่เสร็จยังมีอะไรต่ออีก ล้างขี้ไคลออกหมดแล้ว บริสุทธิ์แล้วก็ต้องบริสุทธิ์จริง ไม่ใช่มาเปื้อนอีก แล้วเมื่อไหร่มันจะจบ มันจบไม่ได้ บุญทำหน้าที่ฆ่ากิเลสเมื่อฆ่าจบแล้วก็ไม่มีบุญแล้ว การเข้าใจคำว่าบุญคำเดียวไม่ได้ จึงไม่มีแล้วศาสนาพุทธ ไม่มีนิพพาน ไปเข้าใจว่าเป็นกุศล เข้าใจตัวร้ายตัวนักฆ่าเพชฌฆาตไม่ได้ พูดแล้วน่ากลัว ฉันเดียวกันกับบาปน่ากลัว บุญก็น่ากลัวฉันเดียวกัน ไม่น่ามีเลยแล้วไม่จำเป็นจะต้องมี แต่จำเป็นเพราะว่าคุณยังมีอวิชชา ต้องใช้บุญ เมื่อใช้บุญก็ไม่มีเครื่องมืออะไรอื่นจะมาฆ่ากิเลส คุณสร้างพลังงานจิตที่เป็นบุญให้เป็น แล้วบุญเกิดเป็นในปัจจุบันธรรม เกิดในขณะปัจจุบันทันทีทันใด ทำได้อย่างนี้ประกอบบุญขึ้นมา ในปัจจุบันทำงานฆ่ากิเลส ทำหน้าที่ ก็ทำเดี๋ยวนี้ ทำแล้วได้ผลหรือไม่ได้ผลได้ผลเท่าไหร่ ทำแล้วอยู่ที่ปัจจุบันหมดปัจจุบันไม่มีแล้ว บุญที่นอกปัจจุบันไม่มีบุญเลย อนาคตก็ไม่มี อดีตก็ไม่มี บุญอยู่ที่ปัจจุบัน ทิฏฐธรรมทิฏฐกาล อยู่ในปัจจุบันชาติ กระทบสัมผัสแล้วก็จัดการสร้างพลังงานนี้ขึ้นมาจัดการกิเลส คือสร้างพลังงานฌาน ฌานที่สำเร็จผลก็คือบุญ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) เป็นตัวที่ 4 ของฌาน โชคดีแค่ไหนที่ได้มาทำตามคำสอนพ่อครู _สู่แดนธรรมว่า… คนที่ไม่ต้องทำบุญอีกแล้วจะมีชีวิตเพื่ออะไร อนาคตของคนเหล่านี้จะอยู่ไปทำไมเพื่ออะไร พ่อครูว่า… คนเราถ้าไม่มีปัญญาที่แท้จริงก็จะหลงอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น คนที่เป็นอรหันต์แล้วจะรู้ตายแล้วไม่เกิดก็ได้หรือจะตายแล้วเกิดอีก เอาสิ่งที่ตัวเองรู้เผื่อแผ่ให้คนอื่นได้รู้บ้าง สิ่งที่มีแล้ว หากไม่ช่วยใครเลย ดูในโลหิจสูตร โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่… ฯลฯ ” . พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ ๒ คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๕๘) พ่อครูว่า… ท่านที่เชื่อเช่นนี้ก็จะโยนิโสมนสิการตามนี้ก็ไม่ได้มรรคผล ท่านทำใจในใจอย่างท่าน ท่านก็เชื่อแม้การนั่งหลับตาปฏิบัติ หรือไม่นั่งหลับตาปฏิบัติแต่ลืมตาแบบสมถะ การที่จะลืมตาปฏิบัติแบบวิปัสสนาไม่ใช่เรื่องตื้นๆเรื่องง่ายๆ ผู้จะปฏิบัติลืมตาได้แล้วต้องรู้ต้องเห็น มีปัสสนา มีวิปัสสนา ตาต้องเห็นรูป หูต้องได้ยินเสียง ไม่ใช่แค่สมถะ แต่ก็พูดกันอยู่ต้องมีสมถะเข้าช่วย คำว่าสมถะเป็นความสงบที่เป็นการสงบแบบสะกดจิต แต่ความสงบของพระพุทธเจ้าเรียกว่า ปัสสัทธิ เป็นความเก่งทางปัสสะ ไม่ใช่สงบอย่างสมถะ แต่เป็นสงบอย่างปัสสัทธิ พยัญชนะก็ยืนยันอยู่แล้ว ต้องเห็นๆ สงบอย่างมีดวงตาเปิด มีตา หู จมูก ลิ้น กาย เปิดรับรู้มีความรู้สึกที่เต็ม แล้วรู้จักกิเลส อ่านกิเลสที่เกิด แล้วดับแต่กิเลส ดับอย่างวิปัสสนา ดับชนิดที่ต้องเห็นรอบรู้ครบรอบเต็มด้วย ถึงจะเห็นกิเลสจริงๆ คุณหลับตาจะไปมีกิเลสที่ไหน หลับตามีแต่กิเลสจำหรือฟุ้งซ่านคิดไปเอง กิเลสจริงจะต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ไม่มีปัจจุบันไม่มีจริง อดีตไม่จริง หรือใครบอกอนาคตมีจริงไหม แม้กาละ 3 ก็จริงอยู่ที่ปัจจุบัน อดีตอนาคตไม่จริงแต่ไปหลับตาปฏิบัติก็ไปอยู่ที่แดนที่ไม่จริง พวกเราเป็นพวกที่โชคดี เกิดมาชาตินี้มามองออกว่า โพธิรักษ์เป็นโพธิสัตว์ เป็นผู้นำธรรมะพระพุทธเจ้ามา คนที่โชคไม่ดี คือคนยังไม่รู้ เขาก็เห็นว่า พูดไม่เหมือนอาจารย์เก่าเขาเลย ตามที่เขารู้เขายึดถือ ว่าอันนั้นแหละถูกไม่มีอื่นแล้ว ที่อาตมาพูดนี้ เป็นเรื่องปลีกย่อยเพ้อฝัน เล่นๆไม่จริงไม่ถูกหรอก ที่เขารู้มาถูกต้องแล้ว มันน่าสงสารที่เขาไปยึดมั่นถือมั่นตรงนั้น ก็ค่อยๆเป็นไป ในตัวโลกุตรธรรมเองก็รู้ยาก เห็นตามได้ยากอยู่ในตัวแล้ว แถมคนที่มาประกาศโลกุตระ เป็นโพธิรัก เขาเป็นคนอาภัพอัปภาคย์ขนาดหนักด้วย ประกาศความจริงออกไปแล้วก็ไปแย้งกับสิ่งที่เขายึดถือเขาอาศัย เขาอาศัยได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ เสวยสุขแบบโลกียะของเขาอยู่ เขาก็ได้อยู่อย่างนั้นเขาก็ปล่อยไม่ได้ สมเด็จต่างๆ ถ้าประกาศออกไปว่าต่อไปนี้อาตมาไม่เอาแล้วนะสมเด็จ เลิก เขาจะบอกเลิกได้ไหม แต่เขาบอกว่าไม่อยากได้หรอก มหาเถรสมาคมจับชื่อไปใส่ ไปมหาบัวก็ได้เป็นชั้นธรรม พระธรรมวิสุทธิมงคล ระดับชั้นมีตั้งแต่พระครู ไปถึงเจ้าคุณ เป็นเจ้าคุณตั้งแต่เจ้าคุณพื้นฐานไป แล้วก็เป็นเจ้าคุณชั้นราช จากชั้นราชแล้วไปเป็นชั้นเทพ จากชั้นเทพจึงจะเป็นชั้นธรรม จากชั้นธรรมถึงจะไปเป็นชั้นพรหม เป็นหิรัญญบัฏ(เงิน)แล้วไปเป็นชั้นสมเด็จ เป็นสุพรรณบัฏ (ทอง)จากสมเด็จก็จะได้เป็นถึงสังฆราช ชั้นวรรณะของศาสนาพุทธเจ้าคือวรรณะ 9 มาทำให้ทุกชั้นวรรณะตามพระพุทธเจ้าเรียกว่าวรรณะ 9 แต่ของพราหมณ์อินเดียยึดถือกันเป็นวรรณะ 4 ไปกันใหญ่เลย หนักหนาสาหัส เพราะฉะนั้นในเรื่องของศาสนาเรื่องของธรรมะ สรุปลงตรงนี้ เกิดมาเป็นคน ถ้ารู้จบในเรื่องธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์แล้วคุณจบอันนี้สุดยอดจริงๆ ชีวิตต่อไป หลักประกันคือคนคนนี้ไม่ทำชั่วอีกเลยทำแต่ดี แล้วหมดสุขหมดทุกข์เป็นหลักประกันที่คนคนนี้ต้องบรรลุอรหันต์ให้ได้ เป็นพระอรหันต์แล้วกรรมทุกกรรมมีแต่กรรมดี ไม่มีกรรมบาปมีแต่กุศล ไม่ใช่กรรมบุญด้วยเพราะว่าบุญหมดแล้ว เมื่อได้อันนี้แล้วคุณจะสามารถปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุสุดท้าย เมื่อตายสุดท้ายแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมได้ หายไปเลยหมดอัตตาสูญไปเลย ไม่มีตัวชีวะ ตัวอัตตาของเราอีกเลย จิตนิยามของเราแตกสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปหมดเลย หรือจะยังไม่ทำ เป็นอมตะบุคคล จะยังไม่ทำปรินิพพานเป็นปริโยสานก็กลับมาเกิดอีก เป็นโพธิสัตว์อย่างอาตมา เพื่อนำธรรมะพระพุทธเจ้าสืบทอดต่อไป หรือเราอยากจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หรือไม่ถึงขั้นนั้นหรือจะอยู่ไปประมาณหนึ่งแล้วค่อยปรินิพพานเป็นปริโยสานก็แล้วแต่ แต่ละบุคคล สู่แดนธรรมว่า… สรุป เรามีหลักประกันของชีวิตถึงแม้เราจะมีมวลน้อยแต่เราก็มีโลกุตระธรรม Category: ศาสนาBy Samanasandin20 กันยายน 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:640917_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชีวิตคืออะไร แล้วชีวิตจะอยู่ไปทำไม NextNext post:640922_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วันนี้พ่อครูบอกทางรอดของมนุษยชาติRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024