640915_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำไมชีวิตนี้ควรได้นิพพาน
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1IPYI7idWUHAH3Cj5MN8wFpvEWZtmPNN6jNoOFQcuSjk/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1yr-Pl0_yUcNLRJFEWt2nwE8hGTW22jjc/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1039680073468944
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้วันพุธที่ 15 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก พระพุทธเจ้าตรัสว่าวันเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์ ชีวิตคนเราควรใช้เวลาสูญเสียไปกับอะไรบ้าง คนโลกนี้ก็สูญเสียเวลาไปกับอบายมุขกับอัตตา หรือเราจะใช้เวลาทำตนให้เป็นคนโลกุตระ โดยการพบสัตบุรุษฟังสัทธรรม ด้วยความเชื่อว่าตัวเองจะลดละอัตตาเป็นอาริยะได้ ก็จะทำใจในใจได้ สำรวมอินทรีย์มีสุจริตกรรม 3 ไปสู่วิชชาและวิมุติได้
พ่อครูว่า… มาสนทนากับ SMS ก่อน
สิริมหามายา แพ้หรือชนะในการไป protest ของชาวอโศก
_ไพศาล ศรีอำนวยไชย : ผู้ชำนาญด้านกฎหมาย เชี่ยวชาญเรื่องม็อบเต็มโซเชียล ผมยุ่งมากจึงไม่ได้ตามข่าวปี 52 กรณีเขาพระวิหาร ไปไล่ลุงกำนัน แล้วต่อมาเข้าร่วมกับลุงกำนัน+กปปส.จุดนี้ล่ะครับที่ผมไม่เข้าใจ / พ่อท่านพาลูกไปไล่กำนันสุเทพปี52 ต่อมา กลับพาลูกๆเข้าร่วมกับกำนันสุเทพ+กปปส.เพราะอะไรครับ
พ่อครูว่า… เรื่องม็อบทำให้แยกแยะภูมิธรรมคนนะ พวกเราออกไปประท้วงแต่เราไม่ได้เรียกตัวเองว่าม็อบ แต่เราใช้คำว่าโพรเทสต์ แต่เขาก็เรียกตัวเองว่าเป็นม็อบและก็ประพฤติตัวเองเป็นม็อบ คือพวกไปต่อต้านเลอะเทอะรุนแรงป่วนเมืองไปเรื่อย แต่ protest นี้มีคุณธรรม อาตมาว่าพวกเราที่ไปทำเป็นตัวอย่างนั้นสุดยอดเลย เรียกว่ามีปรากฏการณ์เป็นตัวอย่าง ทำขึ้นมาจริง ไปประท้วงไล่รัฐบาลโดยประชาชนเลย ใช้คำตามภาษารัฐศาสตร์เขาเลย
ไปไล่รัฐบาล ไปรัฐประหารรัฐบาลสำเร็จ โดยวิธีใช้มือเปล่าไม่ใช้อาวุธไม่ใช้ความรุนแรงเลย สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น นี่คือตัวหนังสือหลักฐานที่ติดอยู่ที่เวทีเลย สันติ คือสงบ อหิงสาคือไม่รุนแรง non violence ซื่อสัตย์บริสุทธิ์ คมลึก พยายามใช้ธรรมะที่เป็นความลึกซึ้ง คมแม่นประเด็น ต่อสู้ด้วยคุณธรรมอย่างนี้ จนชนะ
ชนะจริงๆเลย ที่เราชนะได้เพราะว่าคนไทยทั้งประเทศเป็นคนดี ถ้าคนไทยทั้งประเทศไม่เป็นคนดี ไม่ชัด ที่นี้โดยค่ารวมของคนไทยเป็นคนดี เข้าใจคุณธรรมจึงยอมให้คุณธรรมชนะ ถ้าคนไม่เข้าใจคุณธรรมเขาไม่ยอมให้คุณธรรมชนะหรอก เขามีแต่ให้พวกขี้โกงชนะ พวกขี้โกง พวกรุนแรง พวกอำนาจบาตรใหญ่ชนะ
ผู้ที่สู้กัน สองฝ่าย ฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม ถ้าฝ่ายอธรรมเลวร้ายจริงๆฝ่ายธรรมะแพ้ได้ ยิ่งในยุคกลียุค จะแพ้ แต่ถ้าว่า ยุคดี ธรรมะชนะ มวลประชาชนก็ดีก็ชนะ หรืออีกอันหนึ่งพิเศษมาก ธรรมะที่มีบารมีชนะอธรรมได้
อย่างพวกเราชาวอโศกถือว่าชนะหรือแพ้ …. แพ้
แพ้ที่เรายอมไง แม้แต่จะแย่งชิงทรัพย์สิน อำนาจก็เอาไปเลย แย่งชิงสรรเสริญสุข ก็เอาไปเลย สุกของเขาสุกต้มเดือดเลยนะ สุกโดนเผาเดือดพล่าน แต่เขาสุข อร่อย เขาอย่างนั้นเลย เขาได้ลาภยศสรรเสริญสุข เราไม่เอาเลยเขาก็ไม่มาแย่ง เราไม่มีสิ่งที่เขาอยากได้แล้วเขาจะมาแย่งทำไม แล้วเราก็ไม่ได้ไปรุกรานเขา เขามารุกรานเราก็ไม่โต้ตอบ เขาก็ทำไม่ลงเหมือนกัน
เราก็เลยกลายเป็นผู้ที่สบาย เราก็อยู่ของเรารอดเลี้ยงตัวเองรอดมีการสร้างสรรรู้จักปัจจัย 4 รู้จักปัจจัยชีวิต แล้วก็เลี้ยงชีวิตโดยไม่ได้เบียดเบียนใคร แถมมีสิ่งที่เป็นปัจจัยชีวิตเหลือเฟืออุดมสมบูรณ์ แจกจ่ายเจือจานผู้อื่นไปได้ มันเป็นธรรมะที่ซับซ้อนลึกซึ้งทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ชนะ ขอให้เราอย่าประมาท ทำธรรมะโลกุตรธรรมให้สูงขึ้น ยังไม่ประมาท ไม่มีแพ้ นี่พูดกลับไปกลับมา ตกลงแพ้หรือชนะกันแน่ นี่ภาษาสิริมหามายา พวกเราไม่งง
พวกเรามี มุทุภูตธาตุ ปัญญาแววไว ฟังทัน ยิ่งซาบซึ้งจริง ไม่เป็นไรเป็นโทษต่อใครมีประโยชน์กับเขาด้วยแล้วมีชีวิตอยู่ไปสงบเรียบร้อยเบิกบานร่าเริง
สู่แดนธรรมว่า… พวกเราเป็นผู้แพ้ที่ทำให้ผู้ชนะเกรงใจเป็นเรื่องประหลาดดีครับ
_สถานีวิทยุเสียงธรรมร่วมใจ วัดป่าสวนธรรมร่วมใจ : ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจมีผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามเงื่อนไขมาตรา 256 (9) หากศาลวินิจฉัยว่าไม่สามารถทำได้หรือต้องทำประชามติ..นั่นก็แนวทางหนึ่ง.. หรือ หากไม่มีการส่งเรื่องให้ศาลวินิจฉัย หรือ ส่งเรื่องแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้..นั่นก็เรื่อง
หนึ่ง.. แต่อย่างน้อยมันลดเงื่อนไขประเด็นเกี่ยวกับการเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของหลายกลุ่มลงไปได้มาก..โดยไม่มีการไปแตะต้องมาตราสำคัญแม้แต่มาตราเดียว.. หากมีการเปลี่ยนรูปแบบการเลือกตั้งจากบัตรใบเดียว เป็นบัตรสองใบ อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าจะปิดโอกาส ส.ส.คุณภาพต่ำหลายคนหมดโอกาสเข้าสู่สภา..ทำไมจึงไปมองด้านเดียวว่าบัตร 2 ใบเปิดโอกาสให้พรรคคนหนีคดีจะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง..ในเมื่อหลายสิ่งหลายอย่างมันเปลี่ยนไปมากแล้ว..ล่าสุดมีการใช้เงินมหาศาลยังทำอะไรลุงตู่ไม่ได้..ถ้าเป็นสมัยก่อนคงเรียบร้อยไปแล้ว..ผลการเลือกตั้งซ่อมทุกแห่งที่ผ่านมา..ประชาชนก็ไม่เลือกพรรคที่เคยผูกขาดเก้าอี้แล้ว..แต่มาเลือกพรรคที่สนับสนุนลุงตู่เป็นนายกฯ..บัตร 2 ใบ มีโอกาสทำให้เกิดเผด็จการรัฐสภา..แต่เผด็จการรัฐสภา มันจะส่งผลเสียต่อชาติบ้านเมืองก็ต่อเมื่อ ผู้นำประเทศเป็นคนไม่ดี..แต่หากผู้นำประเทศเป็นลุงตู่..ภายใต้เผด็จการรัฐสภาล่ะครับ..จากเผ็ดกลาง จะเปลี่ยนเป็นเผ็ดมากได้เลยนะครับ..คนที่มีอำนาจอยู่ในมือ..หากรู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้ตนเองเสียเปรียบ..จะทำไปทำไม..บทสรุปสุดท้ายมันจะไปจบลงที่แนวทางที่ดีที่สุดนั่นแหละครับ..
เหนือโลกเหนืออัตตาได้เป็นธรรมาธิปไตย
พ่อครูว่า… จะเป็นคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตย ก็ดีทั้งนั้นแหละ เพราะมันอยู่ที่คน ระบอบก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อยู่ที่มีคนที่มีคุณธรรมดีจริงๆและแข็งแรงทนทาน พร้อมทั้งมีปฏิภาณปัญญาไหวพริบ รับรองว่าอยู่ได้นาน เรื่องเหล่านี้ฟังดีๆ ที่พูดนี้เรื่องธรรมะทั้งนั้น แม้จะเกี่ยวกับการเมืองก็ตาม ทำให้มวลประชาชนอยู่เป็นสุข อาตมาทำงานการเมืองไม่ได้ไปแย่งตำแหน่งเขาหรอก แต่ทำเพื่อประชาชนจริงๆ นี่แหละคือนักการเมืองตัวจริง จำไว้ จะยกตำแหน่งหน้าที่อะไรก็ไม่เอา แต่ทำเพื่อประชาชนจริงๆ เราได้ทำสิ่งที่เรามั่นใจว่าถูกต้องจริงๆ
พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่คือสุดยอดอายะ 3 ประชาธิปไตยโลกุตระ
พวกที่เรียนจบดอกเตอร์จากต่างประเทศมาก็ตาม เข้าใจประชาธิปไตยพุทธเจ้าไม่ได้ซึ่งสุดยอด
โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และธัมมาธิปไตย คือ 3 อธิปไตยที่ยิ่งใหญ่
อธิปไตยคืออำนาจ โลกาธิปไตยคือ ผู้มีอำนาจเหนือโลก
อัตตาธิปไตย คือ ผู้มีอำนาจเหนืออัตตา
ธรรมาธิปไตย คือ ผู้มีธรรมะล้วนๆอยู่เหนือโลกเหนืออัตตาเป็นโลกุตระธรรม โลกุตระแปลว่าเหนือโลก คำว่า เหนือคำนี้ก็คือปัญญา พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ในมูลสูตร
สติเป็นอธิปไตย ปัญญาเป็นอุตระ
อธิปไตยคือ พลังอำนาจจริงๆ มีสติเป็นพลังอำนาจ แต่เมื่อใช้สติเป็นพลังอำนาจบาตรใหญ่เพราะมีปัญญากำกับ ปัญญาเป็นอุตระ ท่านแปลในพระไตรปิฎกว่ามีสติเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นยิ่ง ก็คืออยู่เหนือ ควบคุมดูแล ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่มีอำนาจไปทำลาย มีแต่อำนาจรับใช้อำนาจเพื่อผู้อื่น อำนาจที่เป็นคุณธรรมสุดยอดทั้งนั้นเลย
สัจจะความจริงพวกนี้มีจริงเป็นจริง จึงเกิดให้หลุดพ้นเรื่องความเป็นทุกข์เป็นโทษภัยความไม่ดีไม่งามหลุดพ้นเป็นวิมุติหมด เป็นแก่นเป็นสาระ
บุคคลที่ทำได้ถึงขั้นวิมุติ สัมมาทิฏฐิตามของพระพุทธเจ้ามาหมด มูละ แปลว่า รากเค้า หรือต้นธาตุต้นธรรมของอะไรทุกอย่างเลย มูลสูตร 10
-
มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)
-
มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)
-
มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)
-
มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)
-
มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)
-
มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) กัปตันรู้ยิ่งยอด
-
มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
-
มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) = สอุปาทิเสสนิพพาน.
-
มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
ปรินิพพานเป็นปริโยสานคือ จบสุด แยกจิตนิยามให้เป็นอุตุนิยามได้เลย ฝึกฝนอบรมให้ได้จริงๆ
โลกหยาบอบายมุขก็มีอยู่เต็มโลก เก่งไม่เห็นแก่ใคร โลภไปมาก จนคนอื่นขาดแคลนก็เป็นอบายมุขทั้งนั้น เขามองอบายมุขเป็นเรื่องเผินๆเป็นเรื่องตื้นๆ
โลกอบายมุขเราชัดเจน เป็นอุตุธาตุเลย ไกลกันคนละโยชน์ สำหรับเราเป็นอุตุธาตุไปหมดเลย แม้จะเป็น พีชธาตุ คือจิตเรา มีชีวิตชีวาไปกับเขาบ้าง แต่ไม่เจ็บไม่ปวดไปกับเขาเลย ก็เป็นเพียงอาศัยไปช่วยเขา พีชะ เป็นธาตุที่ไปช่วยมนุษย์ เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ไม่เป็นโทษแก่มนุษย์ มนุษย์สัตว์โลกมีพืชเป็นประโยชน์ต่อตนอย่างยิ่ง จึงเป็นจิตนิยามที่รู้จักความซับซ้อนลึกซึ้ง สภาพหมุนรอบเชิงซ้อนของจักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ โลกน้อยโลกใหญ่ อัตตาน้อยอัตตาใหญ่ ซ้อน อยู่ในความเป็นมนุษย์ชาติ
SMS วันที่ 13-14 ก.ย. 2564
_นพพล จรัสวิกรัยกุล : โดยธรรมดาปกติสามัญสำนึกและความคิดของความเป็นมนุษย์ ย่อมเห็นความเกี่ยวเนื่อง ของเหตุที่ทำให้สัตว์ตาย การพยายามคิดตัดเหตุและผล เพื่อที่จะกินเนื้อสัตว์ ก็ถือว่าผู้นั้นไม่มีธรรมดาปกติสามัญสำนึกความเป็นมนุษย์
พ่อครูว่า… ทำมนสิการให้ใจเราเป็นอย่างนี้ให้ได้เลยทำเวทนาให้เป็นสมาธิ เกิดสติปัญญาอันสมบูรณ์แบบ มีสติ ปัญญา วิมุติจบสามเส้า ก็เป็นอมตะบุคคล จะอยู่หรือจะไปก็ได้
คนไม่เชื่อว่าเกิดหรือตายตายแล้วเกิดได้ อาตมาก็เอามาพูด ตายแล้วก็จะกลับมาเกิดอีกเพราะยังไม่จบยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อนอาตมาก็ตายไปเยอะแล้ว มีเพื่อนเป็นศิลปินแห่งชาติเยอะแยะเลย อาตมาเลยเป็นชาติแห่งศิลปิน ไม่ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ เกิดมาเป็นศิลปิน และเป็นศิลปะที่คนเข้าใจยากเพราะเป็นศิลปะโลกุตระ เป็นมงคลอันอุดมเป็นโลกุตระ เขาก็เข้าใจได้ยาก อาตมาก็ทำตามที่อาตมาเป็นไม่ได้ไปอิจฉาริษยา
สุเทพก็ตายง่ายๆ วิมลก็เหมือนกัน นอนหลับแล้วตายไปง่ายๆ นี่ยังเหลือสุรพล ติดเตียง เหลือชาลี อินทรวิจิตร เขาแก่กว่าอาตมา เขาก็เรียกอาตมาไอ้แป๊ก มาบวชแล้ว เขาก็ไม่เรียกอย่างนั้นอีกเขาเรียกว่าท่าน
ส่วนโพธิสัตว์ที่รีไทร์เขาก็รีไทร์ไป
สู่แดนธรรมว่า… โพธิสัตว์ระดับ 7 ต้องรีไทร์ด้วยเหรอ
พ่อครูว่า… ระดับ 7 ระดับ 8 ก็รีไทร์ได้ แต่ไม่มีใครเขารีไทร์ ตั้งแต่ระดับ 7 ไปไม่มีใครมารีไทร์ได้นอกจากจะรีไทร์ตัวเอง จนกว่าจะเป็น ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า มีสัพพัญญุตญาณเท่ากันกับพระพุทธเจ้า แต่ท่านปรินิพพานปริโยสานไป โดยไม่ประกาศศาสนา ก็เลยไม่มีใครรู้จักท่าน แล้วจะให้อาตมาเอาอะไรมาพูด ท่านก็รีไทร์ไป โดยไม่ประกาศศาสนาแต่ท่านก็ทำงานเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เป็นโพธิสัตว์มาแต่ละยุคสมัยมาเรื่อยๆ จนถึงยุคเสื่อม ยุคเจริญ ยุคเจริญ ยุคเสื่อม ต่อไปก็จะเป็นยุคเจริญ มีคนเดาว่าอาตมาต่อไปจะเป็นพระศรีอริยเมตไตรย
ซึ่งคนไม่เข้าใจว่าพระศรีอริยเมตไตรยคืออย่างไร ที่จริงเป็นตำแหน่ง ใครเข้าไปถึงตรงนั้นได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใหม่ องค์ต่อไปจากองค์ที่แล้วไป เรียกว่า พระศรีอริยเมตไตรยทุกองค์
พระพุทธเจ้าสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าที่อายุสั้นที่สุด เป็นพระพุทธเจ้าอยู่แค่ 45 ปี ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน พระพุทธเจ้าบางองค์อยู่อายุหลายหมื่นปี ซึ่งเราคิดไม่ออกหรอกอยู่อย่างไรเป็นหมื่นปี
ในสิ่งเหล่านี้ อจินไตยเยอะเราก็อย่าไปคิดให้ปวดหัวเปล่าๆเราก็ทำตามเหตุปัจจัยศึกษาให้ดีที่สุด
ไถ่ชีวิตโคกระบือ แต่ทำไมยังต้องกินเนื้อสัตว์
_พลภัทร หวยหุ้นไหล : ขอถามว่าคนที่ไถ่ชีวิตโคกระบือ แต่ยังกินเนื้อสัตว์สองชนิดนี้อยู่ แล้วจะได้บุญอย่างไร ผมคิดว่าถ้าอยากไถ่ชีวิตเขาก็ไม่ควรกินเนื้อ ผมไม่กินเนื้อวัวควายมา 10 กว่าปีแล้ว หลวงพ่อพูดเรื่องนี้ด้วยน่ะครับ
พ่อครูว่า… เขายังไม่มีปฏิภาณปัญญาความรู้ ว่าชีวิตมันจะต้องมีวิบาก ที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งลึกซึ้ง เขายังไม่มีความรู้ แม้แต่วิบากที่จะเกิดชาตินี้ชาติหน้าเขาก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นเขาก็เริ่มจะรู้ว่า ชีวิตสัตว์ที่จะตายนี้ เขาก็ยังบอกว่าไม่น่าตาย ช่วยกันไม่ให้ตายดีกว่าเขาก็ช่วยกันได้แต่แค่ว่าทำได้เท่านี้ ไถ่ชีวิตมา เขาก็ทำแค่นั้นเป็นความดีความเข้าใจว่าเป็นการช่วยชีวิตสัตว์ เขาก็พัฒนาเจริญขึ้น โดยเห็นแก่ชีวิตตามศีลข้อที่ 1 ก็เป็นระดับของความเป็นมนุษย์
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : อยากให้พ่อท่านสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา
พ่อครูว่า… อาตมาไม่เก่งทางสัมภาษณ์คนหรอกสู้ สู่แดนธรรม หรือทองแก้วไม่ได้
_Seedin Lee (สีดิน ลี) : นายกฯลุงตู่เอาภาระต่อประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยสงบได้ทุกวันนี้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง เป็นการสะสมบารมีพระโพธิสัตว์ในจิตใจของนายกลุงตู่ ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้นายกค่ะ
พ่อครูว่า… เห็นด้วย อาตมาสนับสนุนความจริงความถูกต้องอันนี้
ไม่สุขไม่ทุกข์คือ 1 หรือ 0 ด้วยปัญญาอันยิ่ง
_ฝากบุญเกื้อ รมยาสัย : ผู้น้อยได้เห็นสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นตรงตามที่พ่อสอนว่า สุข ทุกข์ มันคือกระดาษแผ่นเดียวอยู่คนละหน้าแค่พลิกกลับไปกลับมาได้เด่นชัดมาก ๆ และได้ปฏิบัติตามที่พ่อสอนว่าไม่สุขไม่ทุกข์(อรหันต์)…เรื่องมีอยู่ว่าผู้น้อยได้ตั้งจิตตั้งใจทำบุญทำกุศล แล้วได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ แล้วมีความรู้สึกปิติสุขเบิกบานใจ แล้วได้คุยสนทนากับเพื่อน เพื่อนก็ตำหนิเราว่าไม่เหมาะไม่สมควร ซึ่งเราก็ไม่ปฏิเสธในข้อนี้ แต่เราเห็นอาการเวทนาที่เกิดในจิตเรามันมีโทมนัสเล็ก ๆ จากจิตที่มีปิติสุขอยู่มันพลิกกลับเป็นทุกข์ทันที เราก็อ่านจิตอ่านใจแล้วก็น้อมไปตามคำสอนของพ่อว่าโลกุตระคือสุขทุกข์ แล้วเราก็ทำใจในใจไม่ให้มีทั้งสุขทั้งทุกข์เราก็นึกขอบคุณเพื่อนค่ะ ว่าเขากระตุ้นเอากิเลสเราออกมา แล้วเราก็ได้ข้อคิดอีกว่า เราต้องมีการสำรวมกาย วาจาใจให้มาก ๆ มีสติยิ่งๆขึ้นไปอีกค่ะ สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
พ่อครูว่า… ถ้ายังมี 2 ก็จะกลับไปกลับมาระหว่าง 2 ถ้าไม่สุขไม่ทุกข์แล้วจึงจะเป็นหนึ่ง ไม่กลับไปกลับมา ถ้ายังมีโสมนัสโทมนัสอยู่ก็ยังเป็นสอง มีเศษนิดเศษหน่อยที่จะเป็นสองข้างทั้งสุขทั้งทุกข์ ก็ยังเป็น 2 อยู่ มันต้องเป็น 1 หรือเป็น 0 ไปเลย
ไม่สุขไม่ทุกข์เพราะว่าสะกดมันไว้ หรือไม่สุขไม่ทุกข์เพราะว่าใช้ปัญญา เห็นเลยว่า มันเป็นสิ่งที่ปลอม เทวะ เข้าใจได้เสร็จ ปัญญาเป็นปัญญาอันยิ่งก็จะรู้ว่า ไม่ควรเอาสิ่งที่ไม่สมบูรณ์เป็น 2 ต้องเอาสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวดีสุด หรือ 0 เลย แล้วจะทำอย่างไรให้เป็น 0 เป็น 1 ก็ศึกษาให้ได้ทำให้จบ รู้จักทำ 1 รู้จักทำ 0 จาก 2 หรือจะกี่คู่ก็ไม่รู้ จับแต่ละคู่ให้มาเป็น 1 หรือเป็น 0 คู่นั้นจบเป็นอรหันต์ ถ้ายังไม่จบ ยังไม่เป็นอรหันต์
_อ๋อย เอื้อมพร : กราบนมัสการค่ะ พ่อครูยิ้มสดชื่นมากค่ะ เห็นแล้วชื่นหัวใจ
ตอนนี้กำลังฝึกไม่โกรธค่ะ โดยเฉพาะไม่โกรธพ่อบ้าน ทำได้ดีพอสมควรค่ะ หลายครั้งมีแค่จิตสังขาร ยังไม่เป็นวจีสังขาร หยุดความโกรธได้แล้วรู้สึกว่า ชีวิตสงบขึ้นค่ะ
พ่อครูว่า… ดี เห็นคุณประโยชน์ในความสงบ แม้จะเป็นสมถะ ถ้ายิ่งปัญญาชัดแจ้งเลยว่าโง่ไปทำอยู่ได้ ภาษามันมีอยู่เท่านี้ ความฉลาดทางปัญญานี้มันเห็นจริงๆ โธ่เอ๋ย ไอ้โง่ ไปทำอยู่ทำไม ไม่รู้จะใช้ภาษาอย่างไร นี่ก็ใช้ชัดเจนแล้วนะ มีปฏิกิริยาอยู่กับเรื่องนั้นต่อไปทำไม มันไร้สาระ มันเห็นจริง ฉลาดเฉลียวรอบด้าน
คนที่ยังเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า น่าได้ น่ามี น่าเป็น ก็ทำอยู่เท่านั้นเอง จะหยาบคายขนาดไหนเขาก็ทำ รู้สึกว่าเป็นคุณค่าน่าได้น่ามี เป็นสุภะ ก็เท่านั้นเอง
_ฝุนบุญ สุขเกษม แม่แดง : กราบพ่อท่านอยางสูง เดี๋ยวนี้อาวาสถานดอยรายปรายฟ้ามีความเจริญก้าวหน้าในด้านบุคคลสัพปายะ ธรรมะสัพปายะ สถานที่สัพปายะ และอาหารสัพปายะแล้วก็พึ่งตัวเองได้แล้วค่ะ เรามีร้านค้าใหญ่โตพอสมควรเป็นร้านค้าบุญนิยมตามแนวทางของพ่อท่านให้ชาวบ้านได้พึ่งพาด้วยค่ะ
พ่อครูว่า… ดีพัฒนาไป อาตมาก็พาทำกันอย่างนี้ ใครช่วยอาตมาทำต่อไปให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติก็ดี
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไทว่า… ทุกวันนี้ประชาชนเดือดร้อนหากินลำบาก กิจกรรมอบายมุขต่างๆนานาหากินไม่ได้ กิจกรรมรวมกลุ่มกันมากๆก็หากินไม่ได้อีก ก็เหลือกิจกรรมกสิกรรมที่ทำได้ดี ปลูกพืชปลูกผัก ให้อยู่ห่างกัน มีแดด ช่วยให้สุขภาพดี ชุมชนชาวอโศกทำแต่ละจุดให้ได้อย่างนี้ก็จะไปรอดและเป็นจุดช่วยเหลือสังคมในประเทศไทย
พ่อครูว่า…
ทำไมชีวิตนี้ควรได้นิพพาน
พ่อครูว่า… สิ่งที่คนไม่รู้ว่า ชีวิตนี้ ควร ได้นิพพาน
ชีวิตนี้คนควรทำให้ชีวิตมีคุณธรรมคุณวิเศษจบที่นิพพาน คนไม่รู้ โดยเฉพาะเทวนิยมปิดประตูรู้ ชาวพุทธที่มิจฉาทิฏฐิอยู่ก็ไม่รู้ อยู่ในสังคมเมืองไทยชาวพุทธมี 95 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่รู้อยู่ประมาณ 93 เปอร์เซ็นต์ มั๊ง
จะรู้ว่าควรเอานิพพานมีสัก 2 เปอร์เซ็นต์
ที่เขาไม่รู้ว่าชีวิตนี้ควรได้นิพพานก็เพราะว่า
-
ตรงๆเลยคือเขาไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร
บางคนก็ไปรู้นิพพานเพี้ยน นิพพานก็เป็นเรื่องตายแล้วสูญไปเฉยๆง่ายๆต้นๆ ซึ่งก็มีส่วนถูกนิดนึงตายแล้วสูญได้ ก็ยังมีประโยชน์นะ เราก็ยังไม่เป็นคนมีโทษมีภัยแล้วจะตายไปทำไม ถ้าเขาเข้าใจว่าตายแล้วต้องเกิดมาอีก และเขาเข้าใจด้วยว่าบารมีมีการสั่งสมกรรมวิบาก ทำดีแต่ชาติหน้ามันก็ดีขึ้นจะรีบตายทำไม อย่างนี้เป็นต้น เขาชื่อว่านิพพานตายแล้วก็ต้องสูญ
-
เขาไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร ชีวิตอยู่ไปทำไม แล้วชีวิตจะเป็นอะไร
ชีวิตมีอะไรดีหรือไม่ดี หรือชีวิตหลงยึดอะไรอยู่ อย่างโง่ๆ ตรงนี้แสบเลย ไม่รู้ว่าชีวิตยึดอะไรอยู่อย่างโง่
สรุปอยู่ที่คำว่า โง่ๆ หรืออวิชชา มันไม่รู้ตรงนี้ มันก็ยึดอยู่หรืออุปาทานอยู่ก็จนกว่าจะหายโง่ จนกว่าจะไม่โง่จริงๆฉลาดจริงๆ แล้วก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า
ชีวิตนี้ควรได้นิพพาน ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้จะอยู่ไปทำไม ชีวิตจะเป็นอะไร ชีวิตมีดีอะไรดีอะไรไม่ดี หรือ เป็นชีวิตที่หลงยึดอะไรอยู่อย่างโง่ๆ ก็จริงๆก็ควรทำลายความโง่นั่นแหละ พอทำลายความโง่ เราก็จะรู้จักนิพพานขึ้นเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าตรัสปฏิจจสมุปบาท วิธีปฏิบัติเพื่อที่จะบรรลุสูงสุดก็คือจรณะ 15 วิชชา 8 โครงสร้างที่จะต้องปฏิบัติเป็นลำดับก็คือ สติปัฏฐาน 4 โพธิปักขิยธรรม 37
แล้วก็จะได้รู้จักว่า เมื่อเราปฏิบัติแล้ว เราจะเข้าใจหรือจะได้รู้เป็นลำดับๆ เป็นอิทัปปัจจยตาหรือคือ ปฏิจจสมุปบาท
อวิชชาไม่รู้จักสังขาร สังขารมันก็ปรุงแต่งกันอยู่ก็เป็นวิญญาณ เอาสามเส้าแรก อวิชชาเป็นต้นเหตุ โง่ก็ไม่รู้ว่าสังขารคืออะไร แล้วสังขารเสร็จก็เกิดวิญญาณ มันมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งอยู่นะ ที่ปรุงแต่งก็แยกเป็น 2 คือรูปกับนาม นามกับรูป ตัวที่ 4 ของปฏิจจสมุปบาท
คนนี้ไม่มีความรู้เรื่องนามรูป ไม่รู้ความเป็น 2 ยิ่งไปยึดว่า 3 นี้เป็น 1
1 เลย ยึด ต้นธาตุต้นธรรม เป็นพระเจ้า 1 ไม่ให้แยกเลย ให้เป็น 1 ตลอดนิรันดร สายเทวนิยม 100% ทางตะวันตก ตะวันออกกลางก็แล้วแต่ ยังไม่มีทางตื่นฟื้นขึ้นมาให้รู้ว่าชีวิตนี้คืออะไร นิพพานเป็นจุดเป้าหมายที่ชีวิตควรจะได้
สรุปตรงนี้ คนที่ได้นิพพานแล้วเป็นอมตะบุคคล คุณจะอยู่ไปอีกนานเท่าพระอวโลกิเตศวรก็เชิญสิ จนกว่า มนุษย์จะเป็นพระอรหันต์หมด จะช่วยคนให้หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์หมดทุกคน ตัวเองถึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นคนสุดท้าย มีปฏิภาณอย่างนั้นก็เชิญ มีอยู่องค์เดียวในมหาจักรวาลนี้ที่มีปณิธานอย่างนี้
ท่านชื่อว่า ค้ำฟ้า ก็อยู่ ค้ำฟ้า เพราะฟ้าคือ มหาจักรวาล ทั้งหมดเลยนั่นแหละคือฟ้า ก็อยู่ไป
เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักชีวิตคือนามรูปปรุงแต่งกันอยู่เป็นวิญญาณ เป็นชีวิตก็ดิ้นด๊อกแด๊กอยู่ รู้ว่าเราเล่นอะไรมีกรรมกิริยาทางกายวาจาใจ ก็เรียนรู้อันนี้ แล้วเราก็จะรู้ว่า เรานี่แหละเป็นเจ้าของวิญญาณ
วิญญาณคืออัตตา วิญญาณคือตัวเรา วิญญาณคือสิ่งที่ปรุงแต่งเป็น 2 เรียกว่า เทวฺ ปรุงแต่งกันอยู่แล้วเราก็เป็นประธาน มันมีพลังงานอันหนึ่งเป็นประธานของอีก 2 อันที่เป็นบวกกับลบ ตั้งแต่พลังงานสสาร เริ่มอุตุก็เป็น 3 (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า… เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่พ่อครูอธิบาย
ปฏิจจสมุปบาท ทำใจตรงไหนให้หายโง่
พ่อครูว่า… พลังงานอุตุแต่บวกลบและปรุงแต่งกันเอง ปรุงแต่งกันโดยสภาพแวดล้อมภายนอกบังคับให้มันเป็นไป ไอน์สไตน์ค้นพบก็เอามาใช้ E=MC2 เป็นพลังงานเล็กที่สุดและระเบิดแรงที่สุด ถ้าคนทำเล็กกว่านี้ได้ก็จะระเบิดแรงขึ้นอีก คนก็พยายามกัน คุณทำให้มันเล็กได้เท่านี้ก็จบแล้ว
แต่พลังงานทางนามธรรมจะเป็นธาตุรู้ เพราะพลังงานทางวัตถุไม่รู้ อย่างเช่นดอกกุหลาบมันก็ปรุงแต่งตัวมันเองเท่านั้น เท่าที่จะมีธาตุปรุงแต่งเป็นตัวมัน ฟักข้าวมันก็ปรุงแต่งของมันเท่าที่ตัวมันมีพลังงานทำเอง ธาตุอื่นมันไม่เอาด้วย มันก็เอาแต่ที่ตัวเองรู้ มี ISH คือ ไอเป็นประธานของ she กับ he พอมีตัวตนเป็น self เติมเข้าไปใน ISH เป็น Selfish ก็คือเห็นแก่ตัว
ตามปฏิจจสมุปบาท รู้จักสังขารวิญญาณนามรูป มีสภาพ 2 ปรุงแต่งกันเป็นวิญญาณ ก็ขยับจาก อวิชชาเป็นวิชชา วิชชารู้สังขาร คือการปรุงแต่ง รวมเรียกเต็มว่าวิญญาณ แล้วแยกวิญญาณได้เป็นนามรูป เป็นสามเส้า
สังขาร วิญญาณ นามรูป ทางเทวนิยมก็อยู่อย่างนี้ มีนามรูปที่แยกไม่ออก เขาก็อยู่กับพระวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เรียกว่าพระเจ้า ควบคุมทั้งหมด เขาก็อยู่ในกรอบของความวน กรอบสามเส้า cyclic order ไม่ออกจากกรอบนี้ จนกระทั่ง เป็นวิญญาณเขาว่าเขาเป็นเทวะที่ยิ่งใหญ่ด้วย เขาก็พอรู้แต่รู้แค่นั้นแหละ เขาไม่ได้เรียนต่อว่า เทวะ แยกเป็นนามกับรูปเป็น 2 ด้าน
นามรูปนี่แหละ ถ้าใครเรียนรู้แยกต่อได้ว่านามรูปคือวิญญาณ วิญญาณแยกเป็นนามรูปมันปรุงแต่งกันอยู่ด้วยก็สังขาร
นามรูปจะเรียนรู้ได้อย่างไร ก็เรียนรู้ได้ว่า รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ตั้งแต่มันไม่มีชีวะเป็นอุตุ จนกระทั่งมันเป็นชีวะเป็นพีชะ จนกระทั่งเป็นคนหรือสัตว์ สัตว์หรือคน ที่อยู่ในโลกนี้ ที่อยู่ในโลกนี้ เรียกว่ารูป กระทบสัมผัสกันได้
ตั้งแต่มหาภูตรูป 4 เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นอุตุธาตุแน่นอน จนกระทั่งมาเรียนรู้สภาวะของภาวะ 2 เป็นอุปาทายรูปอีก 24 จากทั้งหมดนั่นแหละ ดินน้ำ ไฟ ลม เป็นมหาภูตรูป ส่วนอุปาทายรูป 24 เริ่มจากภาวะ 2 ที่ต่างกันนามกับรูปที่ต่างกัน กายภายนอกกับภายในต่างกันเป็นต้น กายกับจิต แยกกายแยกจิต ใช้ภาษาเรียกว่าเจตสิก แยกกันทีละคู่
แยกตั้งแต่ กายิกะกับเจตสิกะ พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้การประชุมลงที่เวทนา สโมสรณา สำคัญที่สุดคือความรู้สึกตั้งแต่รู้สึกแรก จนกระทั่งรู้สึกจบ เวทนานี่ เป็นต้นจนจบอยู่ที่เวทนา
ท่านก็แยกให้รู้เป็นกระบวนการเวทนา 108 จากในคนเป็นๆ ศึกษาได้ เพราะมีตาหูจมูกลิ้นกายใจ 6 ทวาร แล้วเวทนา มันก็มีอยู่ 3 เท่านั้นคือ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ มีภายนอกกับภายใน มีกายิกกับเจตสิกะ คือเวทนา 2
สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็คือเวทนา 3
แล้วมันก็ยังมีน้ำหนักเป็นดีกรี น้ำหนักต่างกันอยู่อีก 5 ท่านเรียกว่าอินทรีย์ 5 พลังงานน้ำหนักของมัน 5
ภายนอกเรียกว่าสุขทุกข์ ภายในเรียกว่าโสมนัสโทมนัส คู่นี้ทำให้เป็นอุเบกขาเป็นกลางก็เป็น สุขินทรีย์ โสมนัสขินทรีย์และอุเบกขินทรีย์เป็น5 ลำดับ แยกไว้อย่างชัดเจนอีก 5
แล้วมันจะเกิดตอนนี้ได้เกิดมาจากเวทนา 6 กับเวทนา 3 เกิดจาก ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสโผฏฐัพพะ กระทบภายนอกทั้งหมด มนายตน กระทบภายใน สัมผัสอยู่ภายใน ต้องทำภายนอกให้ได้จริงเสียก่อน จึงค่อยมาอันสุดท้ายภายในไม่มีปัญหาเลย
สรุปแล้วก็มีคู่จาก 6 ทวารคือสุขกับทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ อีก 3 รวมกันแล้วก็เป็น 18 เรียกว่าพฤติกรรมของจิต ภาษาบาลีคือมโนปวิจาร 18 พฤติการณ์ของจิต
18 อาการนี้พระพุทธเจ้าแยกแยะอีก 2 อันคือ โลกียะ หรือเคหสิตะ กับ ทำกิเลสให้ออกไปเป็นโลกุตระ เป็นเนกขัมมสิตะ
จนกว่าจะมีปัญญามีความรู้แบบโลกุตระได้ยินจากผู้ตรัสรู้คือพระพุทธเจ้า ออกจากโลกคือโลกียะตั้งแต่ พื้นฐานสว่าน 5 ภายนอกมากระทบสัมผัสและมีใจเป็นตัวกลางเป็นทวารใน
ตา หู จมูก ลิ้นโผฏฐัพพะ ภายนอก 5 แล้วมีใจมารวมอยู่ในนี้ ใจที่ร่วมอยู่ในนี้ทั้งหมด ใจมันมีอันเดียว แบ่งกันอยู่อย่างละครึ่งกับทั้ง 5 ทวาร อย่างละครึ่งๆๆ ก็เลยหักออกสักครึ่งนึงทางใจ ก็เลยเหลือครึ่งเดียว เพราะฉะนั้นก็เลยเป็น 5 ครึ่งหรือเรียกว่า 9 นี่มันยากตรงนี้ บอกว่า 5 คู่ มันก็น่าจะเป็น 10 และเป็น 9 ได้อย่างไร
คือ มันมีใจเป็นตัวรวมอยู่ในนี้ทั้งหมด ใจ ไปเป็นคู่ของ ตาหูจมูกลิ้นกาย เพราะฉะนั้นใจเข้าไปอยู่ร่วมในนี้ทั้งหมดเลย ตรงนี้ก็เลยทำให้เข้าใจยาก ว่าทำไมมันหดลงเหลือ 9
แล้วทั้ง 5 คือ โผฏฐัพพะ หากไม่มีใจเข้าไปร่วมก็ไม่รู้ ต้องมีธาตุรู้ เข้าไปร่วมกับทวารทั้ง 5 นี่แหละ ที่มันหลงอนัตตามีอวิชชาคือหลงยึดว่าทั้ง 5 นี่แหละมี ก็เลยต้องมี แล้วน่าได้น่ามี ก็มีนิรันดร จริง พระเจ้าบอกว่าตัวจิตนี่แหละโง่ไปยึดว่ามันมี เอ็งก็เลยไปอยู่กับมันตลอดกาล เพราะฉะนั้นเองอย่าโง่ไปหลงเป็น 2 ให้เป็น 1 ก็พอ เลยถูกหักไปหนึ่ง 10 เลขถูกหักไป 1 เหลือ9 อย่าไปหลงกับเขาว่าเป็น 5 คู่ ว่าเป็น 10 เพราะว่าจิตมันเป็นอนัตตาดับจิต ดับจิตให้ได้ แล้วจิตมันดับได้หรือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่ามันดับได้ ไม่รวมปรุงแต่งกับพวกนี้ได้ สุดยอดเลย
ตรงนี้ขยายความไม่ไหวแล้ว จิตมันไม่ปรุงแต่งเป็นอย่างไร ก็ฝึกเอา จิตเราไม่ปรุงแต่งกับมันทั้งที่มันมีอยู่ในโลกนิรันดร คนโง่ก็อยู่ในนี้ทั้งนั้นแหละ ตั้งแต่เป็นสัตว์เดรัจฉานจนมาเป็นมนุษย์ อเวไนยสัตว์ สัตว์ที่สอนไม่ได้ มันก็เป็นอยู่อย่างนี้
จนกระทั่งมาเรียนมาสอนได้พระพุทธเจ้าก็สอนว่า ที่จริงเป็นเรื่องสังขารปรุงแต่งกันอยู่ทั้งนั้น เมื่อเรารู้พลังงานที่ไม่ต้องไปสังขาร เลิกสลาย ไม่มี อยัง อยะ ไม่มียางเหนียว ไม่มีแม่เหล็ก มันก็ไม่ติดไม่ยึดอะไรเลยสลายออกไปหมดเลย
ภาษาทางแม่เหล็กคือไม่ดูดไม่ผลัก ก็หัดทำพลังงานเวทนา ไม่ดูดไม่ผลัก การไม่ดูดไม่ผลักก็ต่างคนต่างอยู่ ดีไม่ดีมีลมพัดก็พาไป มีน้ำซัดมันก็พาไป มีฝนมาเดี๋ยวฝนก็พาไป ตอนนี้ฝนกำลังมา ร่วมสมัยกับฝน มันก็ไปซัดไป มีมรสุมมีคลื่นทำให้แตกแยกไปได้หมดด้วยพลังงานอำนาจภายนอก เมื่อเราไม่ยึดตัวเอง พลังงานภายนอกก็เป็นนาย มันก็แยกไปได้หมด สุดท้ายเราไม่ยึดเลย ก็ไม่มีเราอยู่ในนั้น มันก็แยกไปหมดเลย นี่ใช้โวหารภาษาพูดแค่นี้เข้าใจไหม
แล้วทำได้จริง จริง ทำได้เป็นคู่ๆๆ (ฝนหยุด) ฝนนี่ขานรับเรานะ เราพูด นี่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ไขความนะ
จากภาวรูป 2 ก็จะเริ่มต้นแล้ว เริ่มต้นที่ ปสาทรูป
ตา หู จมูก ลิ้น กาย 5 ถ้ามันออกไปทำงานปั๊บ เรียกว่า โคจรรูป มีประสาท มีตาหูจมูกลิ้นกาย จรออกไปทำงานร่วมกัน ตามวิสัยของอวิชชา จะต้องออกไปทำงานเป็นธาตุจิตนิยาม ธาตุของเดรัจฉาน จนถึงมนุษย์ที่อวิชชาก็สัมผัส ไปร่วมปรุงแต่งกัน โดยไม่รู้
พอปรุงแต่งกันเสร็จ มันก็จะเกิด หทยรูป ก็คือ สิ่ง 3 ห ท ย
ห คือ ความจริง ท คือตั้งอยู่ ย คือตัวพลังงานรวมกัน
อยะ เศษวรรค ตัวที่ 1 ย ร ล ว ส ห ฬ อัง
ฬ เป็นตัวที่ 6 กินรวบทั้ง 6 คือ สอง สามเส้า
ห ก็เอามาเป็นยอดของตัวนี้ ย ก็เอามาเป็นยอดตัวนี้ แล้ว ท คือ ตัวตั้งอยู่อย่างแข็งแรง
มันเป็นนามธรรม ไม่รู้จักที่อยู่ของมันหรอก แต่มันก็อยู่ในคูหาสยัง อยู่ในร่างกายเรานี้ เพราะฉะนั้นถ้ารู้ของเราเวทนาหรือสัญญา ไปกำหนดรู้ความรู้สึกนั้นขึ้น เวทนากับสัญญาทำงานร่วมกัน กำหนดรู้ร่วมกันที่ไหนโดยมีสภาวะ ถ้าไม่กระทบ มันก็จะไม่รู้กัน เวทนาก็อยู่ของมัน สัญญาก็อยู่ของมัน แต่มีเวทนากับสัญญารวมหัวกันไปกระทบอันหนึ่งเป็นเส้าที่ 3 เกิดรู้เลยว่ามีผัสสะ
กระทบขึ้นมาก็จะเกิดอายตนะมีตัวเชื่อมต่อซ้อน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ละเอียดครบครันมากเลยในปฏิจจสมุปบาท แค่ไม่กี่ตัวนี้วิญญาณ
เสร็จแล้วก็รวมตัวสรุปกันมาเป็นเวทนาด้วยอวิชชา เวทนาก็คือสังขารที่มันปรุงแต่งกันก็คือวิญญาณนั่นแหละ โง่เง่าก็ตายอยู่กับวิญญาณนั่นเลย แยกไม่ออกตีไม่แตก ไม่รู้เกิดรู้ดับ จมอยู่อย่างเดิม
พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่จำนน เมื่อมีผัสสะ เกิดนามรูป อายตนะ ผัสสะอายะทำไรมันไม่ใช่ตัวตน 3 ตัวนี้ นามรูป 2 ตัว กระทบกันก็เกิดอายตนะ
อายะ กับ ตนะ มันคือเวทนา อายะ กำไร ตนะคือ ตัวเรา ตน
ต คือตัวตั้ง น คือตัวไม่ มันไม่ใช่ตัวตนแต่มันหลงว่ามีตัวตนเพราะมีอวิชชา หลงว่ามีตัวมีตน ตัวนี่เป็นภาษาไทย ภาษาบาลีว่า ตนะ
พอตัวตน เป็นตัวตนขึ้นมาเป็นเวทนา ก็งมงายไปกับอวิชชาแล้วก็จมอยู่กับความรู้สึกทั้ง 3 ไปหลงว่า สุขๆๆ ติดสุข เป็นสุขนิยาม ด้วยอวิชชาไม่รู้ จนเทวนิยมก็จมอยู่กับอวิชชาสุขนิยม แล้วไปหลงว่าสุขนิยมมีเจ้าแห่งสุขนิยม มีอำนาจมีพลังเป็นเจ้าของความสุข อยากได้ความสุขต้องสยบกับพระเจ้า เพราะเป็นเจ้าของความสุข ใครยาขบถต่อพระเจ้าอย่าแข็งข้อต่อพระเจ้าพระเจ้าเท่านั้นจะประทานความสุขหรือจะให้ความทุกข์ ก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น ต้องเชื่อด้วย Have to ต้องเชื่อด้วย อย่างนั้นเลย ใครไม่เชื่อก็จะทุกข์นะ แล้วมันก็จริง เขาก็ทุกข์นะเพราะมันไม่ได้สมใจ ถ้าไม่ได้สมใจก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ก็แก้ไม่ได้เพราะจำนนกับพระเจ้า พระเจ้าเป็นเจ้าของความสุขความทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์
โดยเฉพาะเป็นเจ้าของสุขแท้ๆ ของท่านมีแต่ดีมีแต่สุขนี่แหละ ไม่ดีนี่มันทุกข์ เพราะฉะนั้นเอาใจพระเจ้าดีๆแล้วจะได้ดีๆ ถ้าไม่เอาใจพระเจ้าไม่ได้ดีๆนะ ถ้ามีพระประสงค์ให้ไม่ดีเมื่อไหร่ ท่านประทานความทุกข์ให้
นี่คือความจำนนแล้วก็จมอยู่อย่างนี้เพราะอะไร เพราะว่าสัตว์โลกมีอวิชชาอยู่แม้มาเป็นคนแล้วก็ยังมีอวิชชายังไม่ตื่น พระพุทธเจ้าจึงตรัสรู้สิ่งนี้ซึ่งเป็นสัจจะอันยิ่งใหญ่ที่สุดเลย
เพราะจริงๆแล้ววิญญาณคืออะไร ที่ว่าคืออะไรพลังงาน 2 ชนิดที่เป็นชีวะ จิตนิยามคืออะไร พระพุทธเจ้าค้นพบไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ถึงคนพบความจริงแล้วเอามาประกาศต่อโลก
อาตมาก็เลยได้มาเรียนตาม เพราะฉะนั้นเทวนิยมนี้
-
ยังไม่มีภูมิพอจะศึกษา คุณจะให้สิงเสือกระทิงแรดมาศึกษาโลกุตระก็ไม่ได้ แม้ว่ามาเป็นคนก็อีกนานมากเลย ทางศาสนาฮินดูบอกว่ากว่าจะเป็นคน ต้องเป็นคนแคระ กว่าจะมีคนรู้เรื่อง กว่าจะถึงขั้นพระราม เขาก็ไล่มาเป็นลำดับๆ