640908_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อจินไตยเรื่องกรรม สู่การเป็นสถาบันกษัตริย์
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1bxMiZuodbhGuaGG0y208d0FLZNGBMnvW1p03NTeyKVdU8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1qwsQPViyWOfGQZ4q3q7F51HnKJW7huci/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/885277065525726
สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 8 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้เราจะค้นดูทีวีช่องไหนก็เจอกับข่าวพระดัง บ้างก็ชมว่าคนสนใจเป็นแสน บ้างก็ตำหนิว่าเอาแต่ตลกไม่มีธรรมะเนื้อหาสาระ แล้วพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าอย่างไรในเรื่องเหล่านี้
ภิกษุทั้งหลาย ! พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ…
หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ (น ชนกุหนัตถัง)
มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น อิติ มังชโน)
มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป
มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้นก็หามิได้
ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ (พรหมจริยสูตร พตปฎ.เล่ม ๒๑ ข้อ ๒๕)
คนที่อ้างว่าเพื่อให้คนสนใจมากๆนั้นไม่ใช่เป้าหมายของพระพุทธเจ้า แต่เป้าหมายของพระพุทธเจ้าเพื่อลดละกิเลส
พ่อครูว่า… ก็คงจะขอใช้ SMS เป็นไกด์ในการที่จะนำการสาธยายธรรม ก็ยังคงเป็นเนื้อหาสาระโลกุตระอธิบายอย่างไรก็เข้าหานิพพาน ถึงจะพูดอย่างไรอ้อมค้อมมากมายอย่างไรก็ตามแต่มันต้องลากไปถึงนิพพานจนได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า นิพพานังปรมังวะทันติพุทธา ผู้รู้พูดอย่างไรก็ไปสู่พระนิพพานอย่างยิ่ง
SMS วันที่ 3-5 ก.ย. 2564
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : อยากให้รายการจัดแบบนี้บ่อยๆ เอาคนที่เห็นต่างมาออกรายการบ้างครับ (รายการออกอากาศวันอาทิตย์ที่ 5 ก.ย. 64 ดำเนินรายการโดย ส.เดินดิน มีคุณถาวร เสนเนียม และ อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เป็นแขกรับเชิญ)
พ่อครูว่า…ก็ได้ แต่ถ้าเราไปรบกวนคนอื่นเขาก็เกรงใจ เพราะรายการของเราเป็นรายการที่เชิญใครมาแล้วก็ไม่จ่ายแม้แต่ค่ารถยนต์ อย่าว่าแต่จ่ายค่าตัวเลย ค่ารถก็ยังไม่ได้จ่ายเราก็เลยเกรงใจเขาทั้งนั้นก็ค่อยๆว่าไป
ศีลสามัญญตากับทิฏฐิสามัญญตาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะในสาราณียธรรม๖ ข้อที่ว่า ทิฏฐิสามัญตา(ทิฏฐิเสมอกัน)กับศีลสามัญตา(ศีลเสมอกัน)มีความหมายอย่างไรคะ น้อมกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…คำว่าสามัญญตาหมายถึงว่าเป็นเรื่องสามัญ เป็นเรื่องเดินทางไปตามปกติ เป็นเรื่องที่จบลงไปตรงนี้สามารถ เช่นสามัญญผล เป็นผลที่เป็นปกติ หรือแปลอีกคำหนึ่งว่า มันเป็นผลของสมณะ ทำแล้วจะเกิดผลประโยชน์ของสมณะ เป็นสามัญญตา
เพราะฉะนั้นทิฐิก็ดี ศีลก็ดีซึ่งเป็นความหมายนิยามไว้ ทิฐิก็หมายถึงความเข้าใจ ความรู้ความเห็นที่เกิดขึ้น ความเข้าใจความรู้ความเห็น ยังไม่ถึงขั้นถือว่าเป็นปัญญา เป็นความรู้ความเห็นที่สะสมไปผิดก็ได้ถูกก็ได้แต่ปัญญานั้นไม่มีผิดปัญญาจะต้องถูกอย่างเดียว และ ปัญญา คำนี้ยิ่งใหญ่ อาตมาเขียนหนังสือเป็น 1 เล่มเลยได้ 400 กว่าหน้าแล้ว ก็ยังไม่ยอมจบเสียทีเดียว เพิ่มหน้าใหม่อยู่เรื่อย เดี๋ยวก็ต้องเติมหน้าใหม่เข้าไปอีก ก็เพราะมันลึกซึ้งจึงมีเยอะ ก็คงคิดว่าไม่ให้เกิน 500 หน้า แต่ไปจัดหน้าอีกก็คงเกิน ว่าจะแบ่งหัวข้อมีสารบัญอีก
คำว่าทิฏฐิ คือความเห็นความรู้ความเข้าใจเท่านั้นเอง
ส่วนศีล เป็นหลักปฏิบัติเป็นข้อปฏิบัติข้อประพฤติ มันก็ต่างกันอยู่แล้ว
สามัญตา คือเอาไปปฏิบัติแล้วจะพาไปในทางเดียวกันเสมอสมานกัน หรือไปทางเดียวสู่ที่จบคือนิพพาน สู่ที่จบคือละกิเลสดับกิเลสหมด ไม่ว่าความเห็นความเข้าใจไม่ว่าหลักปฏิบัติหรือศีล จะพาไปสู่การละลดกำจัดกิเลสไปสู่นิพพาน นี่คือความหมาย
เป้าหมายของพรหมจรรย์โลกุตระไม่ใช่เพื่อลาภสักการะสรรเสริญ
_นพพล จรัสวิกรัยกุล : พวก 3 นิ้วกล่าวหาว่ากษัตริย์ไม่ใช่ประชาธิปไตย กล่าวหาว่าประยุทธ์เป็นเผด็จการไม่ใช่ประชาธิปไตย เขาลืมคิดไปว่าทั้งสถาบันกษัตริย์ และพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ได้รับการรับรองไว้ใจเชิดชูปกป้อง จากประชาชน !!นั่นหมายความว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว(คือประชาชนส่วนใหญ่ให้การรับรอง)
พ่อครูว่า…ถูกต้อง แต่พวกที่เขาจะยื้อแย่งฐานอำนาจ ฐานบัลลังก์ ก็จะมีเป็นธรรมดา มันเลี่ยงไม่ได้หรอก ในคน มนุษยชาติทั้งหลายแหล่ แม้แต่ในหมู่คนดีก็ยังมีคนที่ไม่หมดกิเลส ยังอยากได้อำนาจ ตำแหน่ง ยศศักดิ์ อยากได้โลกียะ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข มันเป็นธรรมดา มันก็จะต้องแย่งกันไปจนกว่ากิเลสจะหมด มาเรียนรู้มาลดละ ซึ่งมันไม่ได้ง่าย การมาลดละกิเลสมันไม่ได้ง่าย คนที่ลดละกิเลสได้จริงๆมันมีจำนวนน้อย ยิ่งเป็นการลดกิเลสได้ถูกต้อง มีสัมมาทิฏฐิ มีวิชชาแท้ๆของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระธรรม มันมีในประเทศไทย ในประเทศอื่นเขาก็มีโลกียธรรมเท่านั้น
เขาก็พอรู้ซ้อนอยู่ว่า ไปแบ่งอำนาจไปทับถมมันไม่ดี เขารู้เป็นนัยๆแต่ไม่ชัดไม่สมบูรณ์แบบ ไม่เหมือนพุทธ ไม่เหมือนสัมมาทิฏฐิหรือว่าโลกุตระที่แท้จริง ความรู้อันนี้โลกุตระที่แท้จริง พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ค้นพบ ซึ่งมีความพิเศษ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ก็มาพิสูจน์สำหรับคนที่สงสัยว่าอาตมาแปลไปนี้ถูกต้องไหม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าให้บอกสอนเป็นภาษาพื้นเมืองของถิ่นนั้น Mother tongue ภาษาลิ้นพ่อลิ้นแม่
อาตมาก็มั่นใจสัจจะที่จะให้แก่มนุษยชาติ อาตมาพูดไปก็เปิดเผยไม่ใช่ว่าเขาเชื่อนะ แต่เขาเลยเถิดความเชื่อจนไปเป็นหมั่นไส้แล้ว เพราะมันเน้นแต่ตัวเอง ย้ำแต่ตัวเองว่าตัวเองรู้ผู้เดียว รู้ยิ่งอะไรพวกนี้ ซึ่งมันก็เป็นความจริง ขนาดเน้นๆอย่างนี้ คนที่ยังไม่เข้าใจยังไม่ค่อยเชื่อ เน้นเพื่อให้เขาฟังชัดๆ ว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ เขาก็ยังไม่รู้สึกว่าไอ้นี่มันพูดความจริงเหรอ ดีไม่ดีก็เข้าใจว่าอวดตัวอวดตนอะไรไป อาตมาก็บอกว่าอาตมาไม่มีแล้วกิเลสอวดตัวอวดตน เขาก็เข้าใจไม่ได้ มีด้วยเหรอคนที่ไม่มีกิเลสที่จะอวดตัวอวดตน ซึ่งมันไม่มี ถ้าทำให้ไม่มีไม่ได้ ศาสนาพระพุทธเจ้าก็มีจริงสิ ไม่มีสาเฐยจิต ไม่มีจิตอยากอวดโอ่
อาตมาก็พูดความจริงอาการของจิตอยากอวดอยากโอ่ มันเป็นอย่างไร ก็ต้องศึกษาอาการนั้นในจิตของตนเอง ศึกษา อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ต้องเรียนรู้อย่างสำคัญเลย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส
อาการคือความแตกต่าง ลิงค คือเพศ นิมิตคือเครื่องหมายของสิ่งนั้น ตามอุเทส ตามคำบรรยายของผู้รู้ที่ท่านบรรยายเอาไว้ ก็มาศึกษาอ่านอาการของนามธรรมที่มันรู้ได้ยาก แต่รู้ได้ ศึกษาจริงๆแล้วจะรู้อาการของจิต อาการของเจตสิก อาการของนามธรรมพวกนี้ได้
อาตมาศึกษาความจริงก็บอกความจริง พูดความจริง จะได้รู้ว่าที่พูดนี้ พระพุทธเจ้าสอนนี้มันคนเป็นไปได้ไหม ก็นี่ไงคนเป็นๆอาตมาก็เป็นคนเป็นๆ ยืนยันตัวเองอยู่ อาตมาก็เป็นคนเหมือนพวกคนนั่นแหละ เคยโง่มาเหมือนพวกคุณนั่นแหละ เคยหลงโลกในเมืองมายาในจอโทรทัศน์ ปะเหลาะอย่างกับอะไรดี ให้คนมาชอบคนมาติดคนมาชื่นชม ถ้าสมัยนี้ก็ให้มากดไลค์ล้านวิว ก็เหมือนมหา 2 มหานั่นแหละ แต่ก่อนนี้ก็หลงอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วอย่างนั้น
คนก็ต้องฟังว่ามันมีด้วยหรือ ก็ต้องเป็นด้วยอย่างมหา 2 มหานี่แหละ มากหรือน้อย 2 มหานี้อาจจะมากเท่านั้นเพราะเขามีโอกาส คนอื่นเขาไม่มีโอกาสเหมือน 2 มหานี้ก็รอดไป
และก็พูดบอกไว้ตรงนี้ด้วยว่าใครอยากให้อาตมาวิจารณ์ 2 มหานี้อาตมาไม่วิจารณ์หรอก มันเสียเวลาสำหรับอาตมา อาตมาว่าอาตมาไม่วิจารณ์
จะเป็นกษัตริย์ได้ต้องมีบารมีมาซึ่งเกิดแต่กรรมของตน
_พลอยแผ้ว ชาวหินฟ้า : ขอกราบนมัสการและขอรบกวนพ่อครูช่วยดูว่า การรวบรวมความหมาย สถาบันพระมหากษัตริย์คือจิตวิญญาณของประเทศไทยดั่งต่อไปเข้าเค้าหรือไม่? กระไร? ค่ะ
-
ผู้จะเป็นพระมหากษัตริย์ต้องมีบารมีคือเป็นที่ยอมรับของเสนาอำมาตย์ เพราะถ้าหาไม่แล้ว ผู้อื่น ๆ ที่สามารถสร้างศูนย์รวมอำนาจในหมู่เสนาอำมาตย์จะสามารถแย่งชิงราชบัลลังก์ได้ โลกจึงสมมุติความหมายของบารมีนี้ว่า รามาวตาร หรือ นารายณ์อวตาร
พ่อครูว่า…เรื่องนี้เป็นเรื่องอจินไตย กรรมวิบาก อยู่ๆจะไปตั้งราชวงศ์ได้อย่างไรถ้าไม่มีบารมี ตั้งมาก็ไม่ยืนยาว เพราะฉะนั้นกรรมวิบากจึงเป็นของแท้ เป็นอจินไตย พระพุทธเจ้าก็จัดไว้เป็นหนึ่งในอจินไตย 4 ข้อสำหรับกรรมวิบาก คิดเองไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องจริงใหญ่กว่า God อาตมาขออภัยที่ต้องพูดความจริงอย่างนี้ ไม่ได้เอากรรมไปข่ม God มันเป็นสัจจะวิชาการสิ่งที่อาตมาพูด ศึกษาให้ดีๆที่พูดนี้ไม่ได้อยากเบ่งข่ม มีแต่พูดความจริงตามความเป็นจริงให้เข้าใจให้ศึกษา
เพราะฉะนั้นต้องสั่งสมบารมี อย่างพระพุทธเจ้าสมณโคดมท่านมีบารมีเต็มทั้งทางฆราวาสและทางธรรมะ เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำนายแม่นในยุคโน้น เขาทำนาย 2 อย่าง ท่านจะไปทางไหนก็เลิศยอด จะไปเป็นทางฆราวาสก็จะไปเป็นจอมจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ จะเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย ส่วนอัญญาโกณฑัญญะตอนนั้นเป็นพราหมณ์ที่หนุ่มกว่าเพื่อน พยากรณ์เลยว่า ท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าทางเดียวเลย ไม่พยากรณ์ทางจอมจักรพรรดิ
ตั้งแต่บัดนั้น โกณฑัญญะก็เลยเฝ้าตาม เมื่อไหร่ท่านจะประกาศตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า จนท่านประกาศเป็นพระพุทธเจ้า จนได้เป็นผู้ที่มี อัญญธาตุ คนแรกของศาสนาพุทธในสมณโคดม ซึ่งอาตมาก็เคยอธิบายไว้แล้ว
สรุปตรงนี้ว่า อยู่ๆจะมาเป็นกษัตริย์มันไม่ได้ กรรมวิบากต้องมีการสั่งสมบารมีมา แม้จะเป็นกษัตริย์ที่ ขออภัยที่ต้องพูดความจริง เป็นกษัตริย์ที่ไม่ดี ก็มีบารมีอย่างหนึ่ง แต่เสร็จแล้วก็กลายเป็นกษัตริย์ที่ไม่ดี เหมือนคนอย่างเทวทัต ใครอยากจะเป็นอย่างพระเทวทัต ไม่มีใครอยากเป็นหรอก แต่ตามที่เขาสั่งสมกรรมวิบากก็ต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นเรื่องกรรมวิบากจึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ แล้วเรื่องกรรมวิบากมันมีพลังพิเศษ ที่ยาก มันมีความจริงที่ซ้อนอยู่
ข้าราชบริพาร ก็ต้องมีบารมีมีความรู้ จะเป็นข้าราชบริพารชั้นใกล้ชิด เป็นผู้ที่มียศศักดิ์ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมวิบากอีกแหละ อยู่ๆใครจะเป็นอย่างนั้นได้ มันไม่ใช่ มันไม่ได้ ไม่ใช่พระเจ้าอยากจะให้ใครไปเป็นก็ให้ไปเป็นได้เลย ไม่ใช่ เป็นเพราะกรรมวิบากของแต่ละคน กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก
พิมพ์เขียวของการบำเพ็ญบารมีเป็นกษัตริย์
_2. สถาบันพระมหากษัตริย์จะมีพิมพ์เขียวหรือนโยบายที่กระทำต่อกันเพื่อพัฒนาประเทศให้แล้วเสร็จด้วยรู้จริงของพื้นภูมิถิ่นนี้ เพราะอยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเช่นปัญหาน้ำท่วมที่บรรพบุรุษได้รับผลกระทบจากเรื่องน้ำท่วมและได้แก้ไขจากรุ่นสู่รุ่นไม่ใช้คิดจ้างนักวิชาการจากยุโรปที่ไม่รู้จักพื้นที่นี้เป็นต้น หรือรู้ว่าจุดแข็งของประเทศไทยคือเกษตรไม่ใช่อุตสาหกรรม ดังที่นายกฯสมัคร สุนทรเวชจะให้ประเทศไทยเป็นนิค แล้วร.9 ต้องเบรคนายกฯสมัครว่า ไม่ใช่ เป็นต้น
พ่อครูว่า… คำว่าสถานที่ที่ดี มันอยู่ในพิกัดไหนของโลก จุดไหนที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะพึ่งอาศัยอันควร ถ้าเป็นหนาวเกินไป ร้อนเกินไป น้ำท่วมเกินไป แห้งแล้งเกินไป สารพัด แต่ที่ที่มันดีที่สุด อุดมสมบูรณ์ที่สุดน่าอยู่ที่สุดเหมาะสมที่สุดที่มนุษย์จะอยู่ อุณหภูมิก็พอเหมาะต่างๆนานา ทำมาหากินก็อุดมสมบูรณ์พรักพร้อม อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่าเสนาสนะที่สัปปายะ
อย่างอาตมานี่ วิบาก จะได้ เสนาสนะสัปปายะ ที่ราชธานีอโศกไม่ใช่สัปปายะนะ เป็นที่เขาทิ้งที่น้ำท่วม พืชพันธุ์ธัญญาหารก็ไม่ค่อยขึ้น มีแต่พืชที่ดันทุรังอยู่เท่านั้นเอง ไม่มีอะไร
อาตมาก็พบว่ามันเป็นวิบากของเรา ต้องมาก่อมาสร้างเอาปรุงแต่งเอา จนกระทั่งกลายเป็นพื้นที่ที่จะบอกว่าน้ำไม่ท่วมก็ยังผ่อนไม่ได้ เพราะที่ตรงนี้เป็นที่ล่างของลำน้ำมูล จากนี้ก็ไปลงน้ำโขงแล้ว มันก็ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอนเราก็ต้องทำให้พื้นดินสูงขึ้น และก็ต้องปรุงให้ดินดีขึ้น จนกระทั่งปลูกพืชผักได้ดีต่างๆนานา เราก็ต้องทำ
อาตมามีวิบากอย่างนี้ก็ต้องทำ ก็ยังภาคภูมิใจว่าเราทำสิ่งเหล่านี้ได้ อาตมาไม่ใช่พวกงมงาย เราก็ทำตามที่รู้ว่าเราต้องทำ แล้วมันไม่ใช่เสียหายอะไร ทำแล้วมันก็ดี ทำสิ่งที่ไม่ดีให้ดี ไอ้ที่ดีแล้วเราจะไปชุบมือเปิบก็เท่านั้นแหละ ไอ้ที่ดีแล้วคุณก็ไปปล้นเอาที่ไปแย่งไปชุบมือเปิบ อะไรที่ไม่ดีที่เขาทิ้งขว้างมาไม่มีใครเขาเอา จ้างเขาก็ยังไม่เอาเลย ถ้าจ้างเขาก็เอาแต่สตางค์ ที่ไม่เอา เอามาแล้วเป็นภาระแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ เราก็ต้องมาอยู่
มาอยู่ตอนแรกๆต้องใช้เรือที่เราอุตส่าห์หามาเป็นสะพานเดินต่อกัน ถ้าใครระลึกถึงความหลังได้ เรือใหญ่ๆเอามาผูกต่อกัน จะเดินไปไหนมาไหนจะกินข้าวที่ศาลาส่วนกลางก็ต้องเดินผ่านเรือใหญ่หรือพายเรือมา สารพัด ประวัติศาสตร์ก็ยืนยาว จนมาวันนี้ ทางราชการก็ช่วยเจาะช่องระบายน้ำ มันก็เลยไม่มาทางนี้บ้าง ทางเราก็ทำเองด้วย มันก็เลยดีขึ้นหน่อย ถึงวันนี้แล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. 2537 เรามาจุติลงตรงนี้ ถึงปีนี้ 2564 ทั้งหมด 27 ปี เราบูรณะขึ้นมา
อย่างไรเราก็ไม่เก่งเท่าธรรมชาติ แต่เราจะไม่ท้อกับธรรมชาติแต่เราช่วยเสริมสร้างธรรมชาติ พูดไปแล้วมันก็ลึกๆนะ อย่างอาตมาทำไมต้องมาบูรณะธรรมชาติกันจริงๆ ที่ไหนๆก็แล้วแต่ ต้องมาอยู่ที่ไม่ใช่ดีๆทุกที่ต้องมาบูรณะขึ้นทั้งนั้น มาตกลงอยู่ที่ราชธานีอโศกนี่ก็ โอ้โห.. ต้องทำขึ้นมา ช่วยกันขึ้นมาคนละไม้คนละมือมาตั้งแต่คนเก่าคนแก่ จนกระทั่งถึงวันนี้ ก็ว่ากันไปด้วยวิบาก ก็มีผลดี แม้ว่าเราเองหลายคนก็จะท้อแท้ตัวเอง เราก็ว่าเราได้ช่วยแต่ทำไมเราไม่เห็นจะได้รับอะไรเลย ก็อย่าไปท้อทำไปเถอะ สะสมกุศลให้แก่ตัวเองทั้งนั้น มันไม่ได้เสียหายอะไรหรอก
ที่นี่ถามว่าท่านมีพิมพ์เขียวนโยบายหรือไม่ ก็คือทุกอย่างจะต้องสืบทอด มันเป็นเรื่องลึกซึ้งซึ่งอาตมายังอธิบายไม่ได้ละเอียด
สถาบันกษัตริย์ ผู้ที่จะมีบารมีเป็นพระประยูรญาติของกษัตริย์ อยู่ๆใครจะไปเกิดเป็นลูกหลานพระประยูรญาติของกษัตริย์ได้ ไม่ พระเจ้าก็ไม่สามารถจะจับยัดเยียดใส่เข้าไป ไม่ได้ มันเป็นกรรมวิบากของแต่ละผู้แต่ละคนทั้งนั้น เป็นไปโดยธรรม และใครเข้าไปเป็นก็ต้องเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลฝึกฝนอบรม ทุกองค์ ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย
สืบทอดทางยีน สืบทอดทางกรรม ทั้งสองอย่างเลย จะต้องได้ยีนนั้นๆ ก็เป็นเรื่องอจินไตยอย่างหนึ่ง ได้เชื้อ DNA ของทั้งพ่อทั้งแม่จึงจะได้มาเป็นพระโอรส เป็นราชนัดดาอะไรก็แล้วแต่ ต้องมีส่วนของกรรมวิบากทั้งนั้น อยู่ๆจะโมเมมาเกิดไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษากันจริงๆแล้วจะรู้
ที่นี้การจะเกิดแต่ละชาติ อย่างเป็นสายเชื้อกษัตริย์ ก็ไม่ใช่เกิดทีเดียวแล้วก็เลิก ไม่ใช่ แต่ต่อเนื่องกันอยู่ สั่งสมวิบากไปจนกว่าจะเปลี่ยนทิศทางไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกรรมวิบากที่อาตมาค่อยๆอธิบายไป
ในขณะที่ยังจะต้องสืบทอด เกิดแต่ละชาติๆ มาสืบทอดเชื้ออันนี้ ก็พัฒนา หรือเสื่อมก็ได้ บางองค์เสื่อม มันก็เป็นธรรมดา แต่ในขณะที่พากเพียรตนเองนั้น ทุกคนก็จะมีปฏิภาณไหวพริบเป็นสามัญ พอจะรู้ได้ว่า การได้สูงได้เจริญเป็นกษัตริย์ที่ดีมันก็ดี เป็นกษัตริย์ที่ไม่ดีมันก็ไม่ดี มันเป็นสามัญสำนึกใครก็รู้ เพราะฉะนั้นไม่มีใครที่อยากจะเป็นกษัตริย์ที่ไม่ดีหรอกใช่ไหม โดยสามัญสำนึกเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นกษัตริย์ที่ไม่ดีก็เพราะว่าเป็นวิบากของท่าน ท่านก็หลุดไป ส่วนผู้ที่ท่านมีวิบากดีก็ได้ไป เจริญขึ้นแต่ละชาติจนเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นจอมจักรพรรดิอะไรก็ว่าไป โดยสัจจะก็เป็นเช่นนั้น
เป็นกษัตริย์แล้วต้องรู้เสนาสนะสัปปายะ เกิดเป็นกษัตริย์ไทย ก็ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวก็ไปเกิดเป็นกษัตริย์เขมร หรือกษัตริย์ทางยุโรป ทางตะวันออกกลาง มันไม่ไปง่ายๆหรอก โดยเฉพาะมาเป็นกษัตริย์ทางสายโลกุตระแล้วไม่ไปทางเทวนิยมง่ายๆ ไม่ไป มีแต่เทวนิยมจะต้องพัฒนาเข้ามาเป็นกษัตริย์ทางโลกุตระ มาเจริญทางนี้ ทางโน้นจะต้องเข้ามา ทางนี้สูงแล้วไม่ไปทางต่ำ เพราะจะต้อง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) เป็นเรื่องลึกซึ้ง
จะต้องรู้เสนาสนะ จะต้องรู้บุคคล ต้องรู้บริวารมีประชาชนอันพรั่งพร้อม จะเกิดร่วมชาติกันมาละเอียดลออมากมาย เป็นทั้งสถานที่ทั้งบุคคลทั้งเครื่องอาศัย ไม่ว่าจะเป็นดินนำ้ไฟลมที่เป็นอาหารการกิน เครื่องใช้ไม้สอย หรือแม้แต่เป็นความรู้ความสามารถ ก็ต้องอาศัยความรู้ความสามารถ ก็ต้องเจริญต้องเป็นสัปปายะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ มีธรรมะสัปปายะ มีความรู้ที่เป็นประธานจิตวิญญาณมีธรรมะ เป็นประธานสิ่งทั้งปวง ยิ่งกว่าพระเจ้า อันนี้ ธรรมะยิ่งกว่าพระเจ้าที่เป็นประธานของจิตวิญญาณ
3.พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์แม้จะมีต้นทุนทางธรรมมาแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าถูกวางตัวไว้เป็นพระมหากษัตริย์แล้วจะต้องฝึกฝนทศพิธราชธรรมคือคุณธรรมของพระราชาใหัเกิดขึ้นในตนเพื่อยังประโยชน์สุขให้อาณาประชาราษฎร์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้จึงถูกกล่อมเกลาจิตวิญญาณมาตั้งแต่เกิดนี้คือจิตวิญญาณของประเทศ จะถูกวาง
พ่อครูว่า… จริง อยู่ๆจะเล่นละครลิเกจับคนเป็นประธานาธิบดีได้เหมือนอย่างในบางประเทศมันไม่ใช่แบบกษัตริย์ อาตมาถึงบอกว่าประชาธิปไตยขาเดียวเล่นแบบวิธีทางโลกที่เขาทำกัน กับสิ่งที่ลึกซึ้งด้วยกรรมวิบากพวกนี้ ประชาธิปไตย 2 ขานี้ มันยังจะมีลึกซึ้งอีกเยอะ
4.พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ต้องดำเนินตามกฏมณเฑียรบาลซึ่งได้ตราขึ้นในสมัยพระบรมไตรโลกนารถว่าด้วยพระราชพิธี พระราชานุกิจทั้งการปกครองและส่วนพระองค์ในราชสำนักและพระราชฐาน
5.เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงต้องฝึกฝนจริยาวัตรที่งดงามมาตั้งแต่เกิด เช่นการพูด, การทักทาย, การเดินทาง, การกราบและอื่น ๆ อีกมากมาย ..
5 ข้อนี้พอจะสรุปว่าสถาบันพระมหากษัตริย์คือจิตวิญญาณได้ไหมคะ? และยังมีอื่น ๆ อีกไหมคะ? และทำไมประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีจึงไม่ใช่จิตวิญญาณ ทำไมจึงเป็นเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์
พ่อครูว่า… ก็สรุปมาตั้งนานแล้วว่าพระมหากษัตริย์คือจิตวิญญาณของประเทศ และยังมีอย่างอื่นอีกก็ค่อยว่ากันไป
คำตอบที่ดิฉันคิดได้ตอนนี้คือ ที่มาของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นฝ่ายโลกุตระ คือปัญญาแบบโลกุตระมากกว่าทางโลกีย์ แต่ที่มาของประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีอาจได้มาแบบสัมมาหรือเฉโก หรือใช้โลกีย์ก็ได้ เสมือนร่างทรงเป็นพักๆ ย่อมสู้ร่างกายจริงๆ ที่ถาวรและเป็นสถาบันที่มีพิมพ์เขียวต่อเนื่องหาได้ไม่ อย่างนี้ถูกต้องไหมคะ?
พ่อครูว่า…บางอย่างในเรื่องของกษัตริย์อาตมาก็พูดได้ไม่เต็ม แต่ก็พูดเท่าที่จะพูดได้ ต้องเป็นสิ่งที่เป็นจริงจะยั่งยืน สิ่งที่ไม่จริงนั้นจะไม่ยั่งยืน
พลอยแผ้วก็คนเก่าคนแก่ ติดตามมาศึกษาอย่างดีก็ศึกษาไป
_ภูบุญ หวังภูกลาง :
ค่อยค่อยรวบรวมชาวอโศกพี่ สภาดีมีบัณฑิตคิดปรึกษา
ทำงานการเมืองเพื่อประชา ให้ก้าวหน้าไร้ตัวตนคนรับใช้
พ่อครูว่า…เนื้อหาสาระได้ความดี แต่เป็นกลอนกวีก็ปรับปรุงหน่อย
_Deddeaw Inwara (เด็ดเดี่ยว อินวรา) : ทำการเมืองโดยไม่ทำการเมือง คือการช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยากให้เป็นรูปธรรม ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งทางการเมือง นี่คือการเมืองสร้างสรรค์ การเมืองภาคประชาชน
พ่อครูว่า…อาตมาก็ทำอยู่ อาตมาเป็นนักการเมืองอย่างสร้างสรร และเราก็มีพรรคสัมมาธิปไตยกัน ก็กำลังก่อร่างสร้างตัว ก็ทำให้ดี ทำไม่ดีอาตมาก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน ทำเป็นเล่นไปเถอะ ถ้าทำดีเอา พูดตรงนี้ก็นึกถึง คุณสุธรรม นาวานุเคราะห์ บก. หนังสือปิยะมิตรรายสัปดาห์ มันหมดยุคไปนานแล้ว บก.เขาชื่อสุธรรม นาวานุเคราะห์ มีนามปากกาว่า ทำดีมีเรือช่วย ก็แปลจากชื่อสุธรรม นาวานุเคราะห์ นี่แหละ ทำดี มีเรือช่วย นึกถึง แต่เขาตายไปนานแล้ว คุณสุธรรมนี่เคยวิจารณ์นิยายของอาตมาเรื่องหนึ่ง
เรื่อง หัวใจเปลือย อาตมาเขียนส่งให้เขา เขาวิจารณ์มาแหลกเลย ว่าอาตมา สอนใหญ่เลยนะ ว่ามันอุจาด มันลามก อะไรต่ออะไรทั้งที่อาตมาบอกว่า นี่เป็นเป็นเรื่องของศิลปะ ซึ่งไม่มีอะไรมากหรอก เนื้อหาสาระเป็นแต่เพียงว่าผู้หญิงเปลือยกายเท่านั้นแหละ แต่ไม่ได้เปลือยกายเฉยๆ แล้วภาพนี้แฟนเขาก็เป็นคนเขียน พล็อตของเรื่อง โดยให้ผู้หญิงเปลือยกายแล้วกระโดดลงน้ำ ก็ให้วาดภาพผู้หญิงที่เป็นลีลากระโดดลงน้ำเป็นภาพเปลือยของแฟนคนนี้ ก็บรรยาย จุดที่เขาวิจารณ์ว่ามันลามก มันไม่ดี ซึ่งอาตมาก็เน้นอธิบายที่ว่า เรื่องนี้ไม่ได้หมายความถึงเรื่องลามกไม่ได้หมายความถึงเรื่องอุจาด แต่มันเป็นเรื่องของผู้ที่รักศิลปะเต็มใจที่จะเป็นนางแบบให้กับแฟนวาดภาพที่จะให้เป็นศิลปะนู้ด ให้สวยงามในองค์ประกอบ มีคอมโพซิชั่นที่พร้อมอย่างสวยงามตามประสาของศิลปะเขา มันไม่ใช่เรื่องของความอุจาดหรอก แต่คุณสุธรรมบอกว่าเป็นเรื่องอุจาดสกปรก อย่าเขียนอย่างนี้อีก ใส่ใหญ่เลย เขาก็อายุมากกว่าอาตมา แต่ก็คบหากัน เขียนหนังสือส่งกันไปแต่ก่อนอาตมาก็ทำงานตั้งเขียนหนังสืออยู่ เอ๊ เล่าความหลังนี่แก่แล้วนะ
_ขาวดี พุธรชาตินิยม : กราบพ่อครูที่สุดคับ กราบพะปัดเจก_คับ
_ลักขณา โกยรัมย์ : หนูเองก็ฝันอยากจะเป็นคนจนที่มีแค่บาตรเดียว ชาติหน้ายังมีขอเพียงชาตินี้ตั้งใจฟังธรรมพ่อครูสมณะสิกขมาตุให้ได้ทุกวันๆ (แม้บางครั้งจะฟังแล้วเหมือนกิเลสจะกะอักเลือดหรือต้องปีนบันไดหลายชั้นฟัง) สักวันดอกไม้ในใจฉันจะบานทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยเวลาในการทำความเข้าใจและต้องเรียนรู้สภาวะกราบนมัสการค่ะ
_ธรรมธารทิพย์ วงษ์รักษ์ มาลิณี : เมื่อก่อนเคยทำทั้งเล่นแชร์ ขายตรง เลิกก่อนเข้าวัดสิบกว่าปี ไม่มีจิตคิดอยากทำอีกเลย
พ่อครูว่า…ดีมาก นี่ก็เพิ่งเฉ่งกันไปในอโศกเรา เรื่องเล่นแชร์ขายตรง
_รุ่งศรี แก้วดวงสี : กราบคารวะพ่อท่านค่ที่ะ กราบขออภัย ที่ขอหนังสือทีละหลายเล่ม เพราะเข้าใจว่าคงประหยัดถ้าส่งครั้งเดียว อีกอย่าง ลูกชอบชื้อหนังสือทีละสามสี่เล่ม เพื่อเป็นการเลือกอ่านที่ชอบสุดไปหาชอบน้อยสุด เวลาเบื่อเล่มนี้ ก็ไปอ่านอีกเล่ม ส่วนมากถ้าเจอเล่มที่ชอบ จะอ่านจบเร็ว แต่ก่อนเคยบ้าถักโครเชต์ ก็ขึ้นต้นทีละหลายอย่าง เช่น หมวก กับเสื้อ หรีอผ้าพันคอพร้อมกัน แบบนี้แสดงว่าลูกเป็นคน กิเลสหนามากใช่มั้ยคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า… พอทำได้ก็เอา แต่มันมากหลายอย่างก็จะไม่เสร็จสักอย่าง ก็ให้แต่พอดี