640806_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาละความกินดีอยู่ดีที่เป็นบาป
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1hhPdyOe9bydXAlzjL1rqn-UHf07Z9wlWX6wToN24OZc/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1u6lBByKGLfo3W8eBkflJj9_C8QkQSi3T/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/369829101323587
สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ที่บ้านราชฯได้มีพิธีฌาปนกิจ คนเก่าที่บุกเบิกบ้านราชฯมา คือคุณงามบุญ โควิดทำให้อะไรต่างๆเรียบง่ายไปหมด ตายเช้าก็เผาบ่าย ป่วยเป็นโรครูมาตอยด์ ซึ่งทำให้ภูมิต้านทานต่ำ ทำให้เกิดโรควัณโรคขึ้นด้วย รักษาวัณโรคไม่นานเท่าไหร่ ก็เสียชีวิต คุณงามบุญเป็นคนที่บุกเบิกปรับปรุงดินที่นี่ให้อุดมสมบูรณ์ ปลูกพืชผักได้งามมีผลผลิตมาก ให้ได้กินใช้กันในระบบสาธารณโภคี
พ่อครูว่า… SMS วันที่ 4 – 5 ส.ค. 2564
_สว่างแสง ขวัญดาว : ลูกฟังพ่อครูเทศน์เสียงพ่อครูชัดเจนมีพลังมากค่ะ เวลาพ่อครูเดินออกกำลังกายเดินได้ไกลกี่กิโลคะ น้อมกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า… เดินได้ประมาณอย่างเก่งก็ 3 กิโลเมตร ออกกำลังกายสลับกันระหว่างเดินช้า เดินสายพาน และโยคะ ก็มีคนอนุเคราะห์เครื่องออกกำลังกายมาให้เต็มเลย ก็เป็นไปตามธรรม
_พูน เมินกระโทก : ผมไม่ได้หัวแข็งนะ ผมเป็นครูสอนธรรมมานานพอสมควร ผมว่าคุณสอนไม่ค่อยน่าศรัทธาเนื่องจากการแต่งกายก็ไม่ใช่ การเมืองก็เห็นร่วมเดินขบวน มันไม่ใช่วิสัยสมณะ การพูดธรรมะใครก็พูดได้ แต่บางครั้งคนเคยเรียนเคยปฏิบัติฟังแล้วมันยังอ่อนครับ
พ่อครูว่า… ก็จริงอย่างที่พวกคุณพูด เพราะพวกคุณได้มีความเพี้ยนไปจากศาสนาพุทธแล้ว คำสอนมันได้เพี้ยนไปจากโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ากลายเป็นโลกียธรรม ศรัทธาเลื่อมใสในโลกียธรรมที่ออกนอกศาสนาพุทธแบบที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตร ว่า ธรรมะของท่านเป็นโลกุตระ ซึ่งต่อไปจะเสื่อมหมดไม่เหลือโลกุตระ จะไปนิยมชมชอบในคำสอนที่สอนตามกันมา จะไปนิยมคำสอนที่ฟังง่ายฟังรื่นหูเบาใจเอาใจตามโลกีย คุณก็หลงอยู่อย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้นคุณก็ย่อมไม่เข้าใจโลกุตรธรรม แล้วจะมาศรัทธาโลกุตรธรรมหรือพวกอาตมา ก็เป็นจริงอย่างนั้นคุณก็ศรัทธาไม่ได้หรอก
แล้วก็มามองตื้นๆว่าจากการแต่งกายก็ไม่ใช่ แล้วที่ว่าใช่หรือไม่ใช่คุณเองไม่รู้หรอกว่าสมัยพระพุทธเจ้าแต่งกายอย่างไร ท่านแต่งกายง่ายกว่าอาตมาหรอก ไม่ได้มีรูปแบบรูปทรงเหมือนอย่างทุกวันนี้หรอก เดี๋ยวนี้มีแบบธรรมยุตมหานิกาย ห่มแบบต่างๆ มันเป็นการประยุกต์ซึ่งไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเลย ของพระพุทธเจ้าได้ผ้ามาก็ห่มคลุมไปตามสบาย อย่างพวกเราก็ตามสบาย ห่มคลุมไม่ได้ผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าท่านพาเป็น ซึ่งไม่มีอะไรมากมายแต่ให้มันเป็นปริมณฑล อย่าให้มันหลุดลุ่ยเลอะเทอะ ไม่เข้ารูปเข้าร่องอะไรมากนัก ก็ทำ
ก็มีเหตุการณ์ที่เขาพยายามคว่ำจะล้มอาตมา อาตมาก็อยู่มาได้อย่างปกติดีไม่มีปัญหาทุกวันนี้ก็เป็นนานาสังวาสเรียบร้อย แต่ทางโน้นเขาถือว่าเป็นนิกายก็เรื่องของเขา อาตมาไม่บังอาจและไม่ทำเด็ดขาด อาตมาไม่เคยคิดว่าจะเป็นนิกายกับใคร อาตมาก็ยังเป็นนิกายพุทธอยู่
โยมว่า…วันนี้ครบรอบประกาศนานาสังวาสที่วัดหนองกระทุ่ม ตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2518
พ่อครูว่า… มาถึงวันนี้ก็ครบรอบ 46 ปี แล้ว นานาสังวาสกับเถรสมาคมมา
ที่บอกว่า การเมืองไม่ได้ไปร่วมเดินขบวน แต่ไปเป็นหลักในการเดินขบวนด้วย คุณก็บอกว่าไม่ใช่วิสัยของสมณะ ก็ความรู้ความเข้าใจมันไม่เหมือนกันมันต่างกันก็เป็นนานาสังวาส ความเห็นความเข้าใจเขาก็พูดได้เราก็พูดได้ ไม่มีปัญหาอะไร
ที่บอกว่ายังอ่อนนะ อาตมาสิยังเห็นว่าคุณยังอ่อนเละเทะเหลวไหลเลอะเทอะอยู่มาก เอาล่ะไม่ต้องไปอวดอ้างอะไรกันมากมาย ความเห็นที่ต่างกันก็ไม่มีปัญหาหรอก ตามสบาย
_กวี จากคุณหินทอง ดีรัตนา
ใบอโศก ร่วงอีกครา มาดับสูญ
โอ้งามบุญ รุ่นบุกเบิก บ้านราชหนา
แม่งามบุญ ไวพลัง ร่วมสร้างมา
ต้องจากลาด้วยศรัทธาของพวกเรา
ไปเปลี่ยนร่าง แล้วรีบกลับมาใหม่
โอ้กระไร วันนี้เจ็บ พรุ่งนี้เผา
คืองามบุญ คือผลงานให้ขานเล่า
จะขอเอา เป็นตัวอย่าง สร้างบารมี
เธอคือผู้ เสียสละ อันยิ่งใหญ่
ตัวเธอได้ มีธรรม นำวิถี
จิตวิญญาน เปี่ยมธรรม แต่กรรมดี
บุญมี พา กลับมาอยู่ ในหมู่เรา
ด้วยจิตคารวะ
“ ศิริ หินทอง ๖ สิงหาคม ๒๕๖๔ ”
บุญเป็นโลกุตระของศาสนาพุทธ
_Took Aswin (ตุ๊ก อัศวิน) : ได้รับ หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม แล้วด้วยความขอบพระคุณยิ่ง /เริ่มอ่านที่หน้าสารบัญ..อ่านแล้ว.ประทับใจ ในความพิถีพิถัน ที่พ่อครูแจกแจงเป็นรายหัวข้ออย่างละเอียด กล่าวคือ อ่านหัวข้อแล้วสนใจใคร่รู้รายละเอียด ก็พลิกอ่านตามหน้าที่ระบุไว้ ดุจดังกระหายน้ำแล้วได้ดื่มน้ำทิพย์ชโลมใจ..ดับกระหายในธรรมได้ในทันควัน /กราบขอบพระคุณในเมตตาธรรม..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… หนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 จากต้นฉบับคอลัมน์เปิดยุคบุญนิยมในหนังสือพิมพ์เราคิดอะไร 2 บทความ ต้นฉบับเดิม 8 หน้า เอาไปเรียบเรียงเสริมต่อไปทั้งหมด 608 หน้า ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เปิดเผยความจริง ของศาสนาพุทธในยุคนี้ที่ไม่รู้จักบุญจริงๆ ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เป็นคุณธรรมอันพิเศษ บุญคือการชำระกิเลสในสันดาน ให้จิตสะอาด
คำแปล บุญ คือ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ แปลว่าเป็นเครื่องชำระกิเลสจากสันดานให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ คือบุญ ซึ่งเป็นพลังงานทางจิต ไม่ใช่สมบัติแต่เป็นเรื่องวิบัติ เพราะเป็นอาวุธ จะบอกว่าเป็นอาวุธก็ได้หรือจะบอกว่าเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ต่อจากฌาน ฌานเมื่อประหารมาเรื่อยๆ ฌาน 1 2 3 4 บุญเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย เพื่อที่จะชัดเจนทำอย่างจริงจัง แล้วก็สมบูรณ์แบบ หรือกิเลสตายแบบเด็ดขาด สิ้นอาสวะสิ้นไม่เกิดอีกเป็นเด็ดขาด และบุญก็มีคุณสมบัติพิเศษ ไม่ตั้งอยู่ ณ ที่ใด ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปสั่งสมบุญ บุญสั่งสมไม่ได้เลย เพราะไม่ใช่สิ่งที่เป็นสมบัติ เป็นเรื่องวิบัติหน้าที่วิบัติ แล้วก็เดินทางเดียว ประหารทางเดียวเสร็จแล้วเลิกจบตัวเอง ไม่ตั้งอยู่ ณ ที่ใด ทำหน้าที่ประหารปัจจุบันสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องมี ต้องสร้างพลังงานให้เป็นบุญ กำจัดกิเลสให้ได้ หมดหน้าที่บุญกำจัดกิเลสได้แล้วเป็นพระอรหันต์เป็นต้นไป เป็นต้น
ไม่มีบุญไม่มีโอกาสมีบุญอีกแล้ว เป็นผลหมดบุญ พระอรหันต์คือสิ้นบุญสิ้นบาป” (ปุญญปาปปริกขีโณ) ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้ง่ายๆเลย….ทุกวันนี้มันเพี้ยนกันไปไกลหมด บาปหมดบุญหมด กรรมที่เหลือก็ไม่มีทางที่จะเป็นบุญอีกเลย กรรมของพระอรหันต์จึงไม่มีกรรมที่เป็นบาปเป็นบุญอีกเลยจากที่ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วไม่มีกรรมทุกกรรมมีแต่กุศล ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ กุศลกับบาปต้องชัดเจนว่ามันต่างกันคนละเรื่องเลย กุศลเป็นสมบัติ แม้แต่เป็นพระพุทธเจ้าและไม่สันโดษในกุศล ไม่พอไม่จบ ถึงเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังไม่พอในกุศล แต่บุญนั้นจบตั้งแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้วสิ้นบุญบาปไม่เหลืออย่างนี้เป็นต้น แล้วบุญไม่เกิดอีกก็เป็นอปุญญาอภิสังขาร เขาแปลกันไม่ได้แต่เพียงว่า สังขารเป็นบาป บุญชำระกิเลสจนสิ้นแล้ว นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) แต่ความหมายที่เป็นโลกุตระธรรมเหล่านี้ของพระพุทธเจ้าไม่เหลือแล้ว อาตมาจึงจำเป็นต้องรื้อฟื้นเอาความถูกต้องมาพูด เพราะฉะนั้นมันต้องไปข่มความผิด ความไม่ถูกต้องที่ผู้รู้เป็นปราชญ์ศาสนาอธิบายอย่างผิดเพี้ยนในยุคนี้ จึงดูเหมือนว่าอาตมาอวดเก่ง แต่มันเป็นสัจจะที่เลี่ยงไม่ได้ เมื่อเขาผิดอาตมาถูกจึงต้องเป็นอย่างนั้น
ถ้าหากอาตมาผิดเขาถูก แต่สังคมทุกวันนี้ของชาวไทยถ้ามีโลกุตรธรรมก็คงจะต้องเป็นสังคมที่มีศีลลดละกิเลสได้อย่างสังคมชาวอโศก แต่ทุกวันนี้เป็นสังคมที่ไม่มีศีล แต่ชาวอโศกมีทั้งศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ จริง แต่ทางด้านศาสนากระแสหลักส่วนใหญ่ไม่มีแล้ว ขออภัยที่อาตมาพูดความจริงไม่ได้พูดเพื่อยกตนข่มท่าน หรือไปใส่ร้ายใส่ความอะไร อาตมาไม่มีเวลาจะมาพูดเล่นลิ้นเหลาะแหละ ซึ่งมันไม่ชัดมันไม่จบ อาตมาก็ไม่มีเวลาจึงขออภัยที่ต้องพูดความจริงแบบลัดคัดสั้น ให้มันเร็วขึ้น
_Seedin Lee (สีดิน ลี) : กราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะท่านสิกขมาตุ เจริญธรรมญาติธรรมทุกท่าน รายงานตัวค่ะ ตอนนี้ยังอยู่ที่ทุ่งนาแรงรัก บ้านราชปิดชุมชนเสียก่อน เลยเดินทางเข้าบ้านราชไม่ทัน ตอนนี้เลยช่วยพี่น้องทางทุ่งนาทำนาใกล้เสร็จแล้วค่ะ อากาศที่ทุ่งนาดีมากๆสมุนไพรและผักไร้สารเคมีต้านโควิทมีหลายย่างไม่ต้องซื้อ เช่น ใบขี้เหล็ก สะเดา มะกรูด มะนาว กระชาย ฟ้าทลายโจร ตะใคร้ ข่า ฯลฯ
_ฝากบุญเกื้อ รมยาสัย : (สัญญา ปั้น ปรุง) ผู้น้อยไม่ได้แจงขยายรายละเอียดได้ชัดเจนเท่าที่ควรพอเข้าใจได้ง่ายแต่พระอาจารย์สิริท่านเมตตาอธิบายย่อยแจกแจงได้ถูกต้องตามสภาวะธรรมที่ผู้น้อยมี ที่เขียนรายงานให้พ่อทราบผู้น้อยอาจจะใช้ภาษาเกินฐานะผู้น้อยน้อมรับฟังและปฎิบัติตามเพื่อความเจริญในธรรมค่ะ???
คนที่ไม่กลัวผีเป็นเพราะอะไร
_รุ่งศรี แก้วดวงสี : กราบนมัสการพ่อครูค่ะ นอกจากเจ้าโควิดนี่แล้ว แต่ก่อนหนูมีความรู้สึกไม่กลัวใครหรือสิ่งใดง่าย ๆ แบบนี้มันคือปกติของคนหรือเปล่าคะ ตั้งแต่ฟังพ่อครูมา หนูยิ่งไม่กลัวสิ่งใดมากกว่าเดิม แต่ก่อนเคยกลัวๆผีบ้าง ตอนนี้กลัวแต่ใจตัวเองเท่านั้น แบบนี้คือสภาวะอะไรคะ
พ่อครูว่า…เป็นปกติของคนที่ไม่มีความผิดจะไม่กลัวใคร ถ้าคนที่มีความผิดในตัวก็จะกลัว แล้วก็จะเสแสร้งกลบเกลื่อน กล้า ทำหน้าแข็งๆไว้ เขาจะเป็นอย่างนั้น จะบอกว่าเป็นสัจจะ
ดีมาก ผีที่กลัวกัน คือ ผีหลอก ผีอุปทาน อย่างนั้นมันไม่มีเลย คนที่กลัวผีอย่างนั้นยังไม่สัมมาทิฏฐิมันเป็นผีหลอกจริงๆมันไม่มีผีจริง มีแต่ของหลอก มันหลอกตัวเองหลอกจนกลัวกันทั้งบ้านทั้งเมือง ผู้ใดที่มาสร้างให้คนกลัวผีอย่างนั้น แม้แต่เป็นพระเป็นเจ้าเป็นภิกษุ ทำเป็นอาจารย์ไล่ผีให้คนนั้นคนนี้ อาจารย์หรือพระพวกนั้นตกนรกทั้งนั้น ทำพิธีไล่ผีต่างๆ ซึ่งมันต้องสอนธรรมะไม่ใช่ไล่ผีแบบไสยศาสตร์แบบเดรัจฉานวิชา ต้องสอนธรรมะให้รู้จักว่า
จิตนี้โง่ ไปกลัวสิ่งที่ไม่มีจริงๆ ไม่มีตัวตนยิ่งกว่าอนัตตามันเป็นนิรมานกาย มันเป็นความเชื่อถือที่ไปเชื่อไปยึดถือว่ามันมี ทั้งๆที่มันไม่มี มันเป็นความวิปลาสในสิ่งที่ไม่มีไปยึดถือว่ามันมีก็เป็นวิปลาสของจิตคน
ทีนี้มาเรียนถูกมาพบพวกเราด้วย แต่ก่อนกลัวผีแต่ตอนนี้กลัวแต่ใจตัวเองนั้นถูกต้อง แบบนี้คือสภาวะที่มันเข้าร่องเข้ารอยมันถูกต้องธรรมะพระพุทธเจ้าที่สอนมา เพราะว่าคนที่สอนไว้แต่เดิมๆไม่ค่อยถูกหรอก พระพุทธเจ้าก็สอนสิ่งที่ถูกต้อง
คนที่แสวงหาการกินดีอยู่ดีนั้นเป็นอยู่ด้วยบาปอย่างไร
_”คนผู้เกิดมาเพื่อแสวงหาการกินดีอยู่ดี ผู้นั้น คือ ผู้มีชีวิตอยู่ด้วยบาป ด้วยความฉิบหาย”
..คือโศลกธรรมของ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์
มีผู้ได้อ่านแล้ว ให้ความเห็นแย้งและสงสัยมา กราบนิมนต์พ่อครู ช่วยไขความให้กระจ่างด้วยครับ
_คุณวัลลภ ท่าซู (Wanlop Tarzu) : สับสนครับ บาปอย่างไรครับ ขอคำอธิบายขยายความครับ
_คุณน้ำหวาน สีแดง : ก่อนติดป้ายควรคิดให้ดีๆๆ นี่คือการมองที่คับแคบมุมเดียวมุมตัวเองเท่านั้นถูก คนทำดีช่วยคนอื่น ปฏิบัติธรรมได้ แค่มีสัมมาชีพ มีอีกมากมาย ก็น่ายกย่องแล้วนะ
พ่อครูว่า… ไม่ใช่คับแคบแต่เป็นการมองสาระตีกรอบสาระให้รู้กัน แต่คนมันเลอะเทอะมากกว่า อาตมาพยายามสรุปให้เข้ากรอบความถูกต้องให้ฟัง เขาก็มองว่าคับแคบมองมุมเดียว ก็มองมุมเดียวที่เป็นสัจจะเป็นมุมที่ถูกเป็นสัจจะ สัจจะจะไปมีมากมายเลอะเทอะได้อย่างไร ติดตามฟังธรรมให้ดีๆ
ถ้าหากอาตมาไม่มั่นใจว่าตัวเองถูกผู้เดียว อาตมาไปมองว่าคนนั้นคนนี้ถูก อาตมาก็ยังสับสนอยู่ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… ก็เห็นใจคนที่ไม่เข้าใจ คำพูดโลกุตระคนจะเข้าใจได้ยากหน่อย
พ่อครูว่า… หากอาตมาไม่มั่นใจว่าอาตมาถูกผู้เดียวในยุคนี้อาตมาจะไม่พูดเข้มพูดเน้นอย่างนี้หรอก อาตมาบอกว่าไม่มีใครจะรู้โลกุตรธรรมแล้วในยุคนี้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ยุคนี้มีอาตมาเกิดมา นำโลกุตระกลับคืนมาเพียงผู้เดียวจึงเป็นไก่ตัวพี่ ไม่ได้พูดอย่างเผินๆ แต่พูดอย่างคมชัดแม่นอย่างที่ตนเองเข้าใจไม่ได้พูดเลอะเทอะ ตั้งใจฟังให้ดีๆ
คุณยังเข้าใจสัมมาอาชีพของพระพุทธเจ้าที่เป็นสัมมาอาชีวะ 5 ไม่ได้หรอก
สัมมาอาชีพที่คนเข้าใจ พ้นกุหนา ลปนายังยาก อาชีพทุกวันนี้ ทั้งมีความขี้โกงและหลอกลวงอยู่ในนั้น แต่คนไม่รู้หรอกว่าตนเองมีความขี้โกงและหลอกลวงอยู่ในนั้น สัมมาอาชีพสูงสุดนั้นคือทำงานฟรีเสียสละไม่เอาสิ่งตอบแทน ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ศึกษาให้ดีๆ คุณว่าอาตมามองแคบแต่อาตมาว่าได้มองกว้างมองลึกมองครบได้หมดคุณต่างหากรู้ไม่ทันอาตมา แล้วก็มองว่าอาตมามองแต่มุมแคบมุมเดียว เพราะคุณไม่มีความรู้หลายมุมอย่างที่อาตมาพูด
อาตมาพูดกว้างลึกหมดก็หาว่าอาตมามองมุมเดียวอีก คุณไม่รู้เลยว่าอาตมาพูดอะไรสรุปแล้วยัง ตั้งใจฟังให้ดีๆนะมาพูดความจริงไปเพราะมีเวลาน้อย ไม่ได้ไปข่มไปดูถูกคุณ
_คุณมิ โซ (Mi So) : บาปยังไงคะ ถ้าเขาเกิดมาได้กินดีอยู่ดีหรือเกิดมามีอันจะกิน อันนี้หมายถึงพวกที่โกงเงินคนอื่น หรือหมายถึงพวกที่โกงกินบ้านเมืองคะ งงค่ะ
_คุณแอ๊บบัส อัททา (Abbas Atta) : คนที่เกิดมาลำบากยากจน อดทนทำงาน และค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยบากบั่น ด้วยความเพียร มาเกือบทั้งชีวิต จนลืมตาอ้าปาก พอมีกินมีใช้ ไปจนถึงร่ำรวยได้ เค้าผิดด้วยงั้นหรือ? ในเมื่อสิ่งที่เค้าแสวงหามาปรนเปรอตนเองนั้น มาจากความยากจนและตรากตรำลำบาก ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเค้าเอง?
_คุณโก๋แนน ครับผ๊ม…ดูแล้วท่านกำลังสับสนจะเป็นพระหรือจะเป็นทหาร
พ่อครูว่า… ฟังแล้วสับสนจะไม่เข้าใจอาตมาเห็นตรงกันข้ามเห็นแย้งก็ดีส่งข้อความมาตามมาก็ขอบคุณทุกคนที่ส่งความเป็นอย่างนี้มา
อาตมาก็ขออธิบายโดยรวมว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตรธรรม ซึ่งเป็นเรื่องของสัจจะ ที่เหนือโลกียธรรม โลกียธรรมเขาจะอธิบายแต่เรื่องดีเรื่องชั่ว แล้วก็พยายามปฏิบัติให้มันได้แต่ดี อย่าทำชั่ว เขาเข้าใจแค่นั้นซึ่งเป็นโลกียธรรม ชั่วของเขาก็แคบๆ เขาว่ากว้างอย่างโลกียแต่ความจริงแล้วมันก็แคบวนอยู่อย่างเก่า วนอยู่กับดีและชั่ว สูงสุดความดีก็ได้ตำแหน่งศาสดา แล้วศาสดาก็ไม่เที่ยงเสื่อมลงไป ลงมาต่ำอีก โดยลืมตัว ซึ่งมันซับซ้อนพวกนี้เป็น อจินไตย แล้วก็ปรับตัวขึ้นไปใหม่ก็วนอยู่กับความดีและความชั่ว สัจจะของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แค่ดีและชั่ว ดีกับชั่วนั้นศาสดาในๆเขาก็รู้ ซึ่งตามความดีที่ไม่เหมือนกันสมมุติไม่เหมือนกันเสียทีเดียวด้วย
แต่สิ่งที่เป็นสัจจะหนึ่งเดียวนั่นคือความสุข อันนี้เป็นโลกุตระธรรมของศาสนาพระพุทธเจ้า ดีชั่วก็เรียนสำหรับศาสนาพุทธ แต่มาเรียนรู้ความเป็นจริงของจิตวิญญาณที่มันมีเวทนาสัญญาสังขาร รูป วิญญาณ ซึ่งเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เรื่อง ขันธ์ 5 แล้วเรียนรู้ด้วยเวทนาสัญญาเจตนาผัสสะมนสิการ แล้วก็ปฏิบัติให้ตัวเองบรรลุแจ้งเรียนรู้ว่าเวทนาเป็นอย่างไรสัญญาเป็นอย่างไรสังขารเป็นอย่างไรเจตนาเป็นอย่างไรด้วยมี ผัสสะ กับมนสิการ
การทำใจในใจให้ถูกต้องเป็นมนสิการอย่างถ่องแท้ลงไปถึงที่เกิดของกิเลส แล้วก็ฆ่ากิเลสได้ ต้องมีผัสสะเป็นสมุทัยมีเวทนาเป็นที่ประชุมลง ของเหตุปัจจัยต่างๆและปฏิบัติตรงนี้ ปฏิบัติที่เวทนา เวทนาเป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ เมื่อปฏิบัติที่เวทนาก็จะสั่งสมจิตเป็นสมาธิ สมาธิเป็นประมุขเป็นหัวหน้าของจิตวิญญาณต่างๆเป็นประธานของจิตวิญญาณ
แล้วก็จะชัดเจนจะเกิดสติที่เป็นอธิปไตยเกิดปัญญาเป็นอุตระเกิดวิมุติ ผู้บรรลุอันนี้เสร็จก็เป็นอมตะบุคคล เป็นผู้ที่รู้หมดเลยในจิตเจตสิกต่างๆ ทำให้จิตเป็น เลิกเกิดเลิกมีเลิกเป็นสลายจิตเป็นอุตุนิยามเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยหมดอัตตาหมดวิญญาณได้ นี่เป็นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
สู่แดนธรรม… คำถามอย่างนี้เขาอยากทราบว่า การทำอย่างนี้จะเป็นบาป
พ่อครูว่า… บาปคือมีกิเลส แล้วก็สั่งสมกิเลสเข้าไปในจิตสันดานนี่คือบาป บุญคือตัวที่ฆ่ากิเลสฆ่าความโง่ฆ่าสิ่งที่เป็นกิเลสอยู่ในสันดานของจิต ของตนเอง ถ้าได้จริงๆพอรู้จักหน้าตาของกิเลส อาการ ลิงค นิมิต อุเทส รู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส แล้วก็เรียนรู้ปฏิบัติด้วยหลักเรียกว่า System analysis ซึ่งมีเหตุนิทานสมุทัยปัจจัย แล้วก็มีผลสรุป ความรู้สมัยใหม่เขาก็ใช้เหมือนกัน แต่ของพระพุทธเจ้าใช้มาก่อนแล้วท่านเรียกว่าเหตุนิทานสมุทัยปัจจัยแล้วก็เป็นผลอันสุดท้าย หรือเป็นอิมแพค อย่างนี้เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านรู้หมดทุกอย่างแล้วก็พาทำหมดแล้ว ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ท่านตรัสไว้ ชัดเจนทุกอย่าง ตรงนี้เป็นหัวใจเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ทำให้เวทนา 2 ให้เป็น 1 และทำ 1 ให้เป็น 0 ได้ คือทำจากเยอะแยกทำทีละคู่ ทำ 2 ให้เป็น 1 เลือกเอาสิ่งที่มันถูกต้องดีแท้แล้วควรจะเป็นจะมี เมื่อทำ 2 เป็น 1 ได้ คนนี้ก็ทำ 1 เป็น 0 ได้ ระหว่าง 1 กับ 0 ก็เป็น 2 อย่าง ก็ทำ 1 ให้เป็น 0 ได้ นี่แหละหัวใจแท้ๆของศาสนา อธิบายเป็นภาษาไทยเป็นสภาวะธรรมให้ฟังได้แค่นี้ อาตมาก็ไม่เก่งกว่านี้
สู่แดนธรรม… ผมเคยจำได้ว่าพ่อท่านเคยตอบไว้ คนที่แสวงหาความสุขทำไมเป็นบาป พ่อท่านตอบว่ามันเป็นการเบียดเบียนตน คนทั่วไปเข้าใจแค่ว่าต้องเบียดเบียนคนอื่นจึงเป็นบาป แต่เขาไม่รู้ว่าเบียดเบียนตนเองก็เป็นบาป
พ่อครูว่า… เทวนิยมไม่เรียนรู้ตนเอง แม้แต่พระเจ้าก็ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักอัตตาแล้วหลอกว่าอัตตาเป็นนิรันดรด้วย ก็เลยไปกันใหญ่เลย ทั้งๆที่ อัตตามันเป็นอนัตตา เข้าใจว่า อนัตตาเป็นอัตตา มันวิปลาส
ศาสนาพุทธชัดเจนไม่ใช่รู้แค่ดีกับชั่ว ที่เป็นโลกียะ โลกุตระนั้นคือสุขทุกข์ รู้แจ้งรู้จริงในเทวฺ สุขทุกข์ นี่แหละคือความยิ่งใหญ่ในมหาจักรวาล เกิดมาเป็นจิตนิยามนี้อยู่กับสุขกับทุกข์นั่นแหละ ต้องมาเรียนรู้ว่าสุขกับทุกข์นั้นเป็นมายาเป็นอนัตตา ความสุขก็หลอกคนความทุกข์ก็หลอกคน ที่จริงแล้วสุขกับทุกข์มันอันเดียวกัน ดับความสุขได้ก็ดับความทุกข์ได้ดับความทุกข์ได้ก็ดับความสุขได้ แต่คนไม่เข้าใจหรอก จะบอกให้ดับความสุขมันไม่กล้าทำหรอกต้องบอกให้ดับความทุกข์ พระพุทธเจ้าเป็นอัจฉริยะเป็นผู้มีความฉลาด ให้ไปเรียนรู้ทุกข์ที่เป็นอริยสัจ แล้วพระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่าสุขมันเป็น สุขขัลลิกะ เป็นเรื่องเท็จเป็นเรื่องหลอก เขาก็เข้าใจไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องเท็จเป็นเรื่องหลอกอย่างไร ก็มันไม่มีจริงๆมันหลอกให้คนติดคนยึดมันไม่รู้จักจบ จิตก็ติดอยู่อย่างนั้นเป็นอัตตานิรันดรอย่างนั้น แล้วยิ่งไปหลงความสุขว่าเป็นอัตภาพ มันเป็นอัตรานิรันดร อันนี้ก็เจ๊งกันไปใหญ่ หลงความสุขเป็นสุขนิยม
สู่แดนธรรม… การกินดีอยู่ดี นั้นพ่อครูว่ามันเป็นการสะสมกิเลส
พ่อครูว่า… การกินดีอยู่ดีนั้นมันเกิดการสะสมอัตตาตัวตน พยัญชนะคำว่าสบายนั้นสูงกว่าความสุขเยอะ สบายหรือสัปปายะ เป็นความเจริญจริง แต่ไม่เข้าใจว่าเป็นอันเดียวกัน ปรับความเข้าใจมันซ้อน คุณได้แทนเสวยสุข นึกว่าสบายสัปปายะ แต่มันเป็นฐานของภพชาติ อัตตา ศาสนาพุทธล้างอัตตา จึงเป็นเรื่องยากที่คุณจะเข้าใจ เพราะอัตตามันเป็นบาปเป็นความโง่มันติดในสันดาน ต้องล้างความโง่ในจิตสันดานออกให้หมด บาปนี้คือความโง่ บาปคืออวิชชา บาปนี้คือนรก ล้างบาปหมดบาป บุญก็ไม่ต้องทำหน้าที่เป็น ปุญญปาปปริกขีโณ
เป็นภาษาที่ยากจะเข้าใจหมดบุญหมดบาป ถ้าเข้าใจบุญบาปหมดได้แล้วทำได้จริง คุณเป็นอรหันต์ แต่ถ้าคุณยังเข้าใจบุญมันจะหมดได้อย่างไร เอาล่ะพอได้ฟังได้ยินว่าบาปต้องเอาให้หมด ไม่ทำบาปอีก อาจจะเข้าใจอยู่ แต่ว่าบุญจะไม่เอาบุญไม่ทำบุญอีกไม่มีบุญอีกอย่างไร อย่างไรอย่างไรก็ยังยาก ที่คุณจะเข้าใจว่า บุญนี้เป็นเรื่องน่าเกลียดน่าชังมันเป็นเรื่องที่คนมีบุญอยู่จะต้องใช้บุญอยู่นั้นคือคนยังโง่คุณยังมีบาป เมื่อล้างบาปยังไม่หมดเมื่อใดคุณก็ต้องใช้บุญมาล้างมัน
แล้วคุณต้องเข้าใจว่าพลังงานบุญเป็นพลังงานอย่างไร พลังงานบุญเป็นพลังงานที่ต่อจาก ฌาน 4 เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย อาตมาอธิบายให้เข้าใจแต่เข้าใจได้ยาก ถ้าเข้าใจได้ง่ายก็เป็นอรหันต์กันหมดสิ แต่เขาเข้าใจอรหันต์เป็นแบบเดียรถีย์ เก๊ๆหลอกๆ หลงงมงายกันอาตมาก็พยายามบอกให้เข้าใจกัน ก็หาว่าหลงตัวเองไปข่มเบ่ง เพราะอันนั้นเขาถือว่าเป็นอรหันต์ทั้งเมือง ถ้าความรู้แบบอย่างนั่งหลับตาทำฌานทำสมาธิแบบพระอรหันต์หลับตา เดี๋ยวนี้ก็ยังหลับตาทำกันอยู่กันเต็มประเทศในวงการศาสนา มันก็เป็นอรหันต์กันเยอะแยะ อรหันต์จะไปมีทุกข์ร้อนอะไร ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าได้ เช่น ทำให้เกิดสาราณียธรรม 6 ทำให้เกิดวรรณะ 9 มันก็ต้องทำได้ แต่นี่คุณทำไม่ได้ แต่อาตมาพิสูจน์ธรรมะพุทธเจ้าว่าทำได้เพราะเรามีสาราณียธรรม 6 มีวรรณะ 9 นี่ไม่ใช่การอวดตัวอวดตน แต่เป็นเอหิปัสสิโกเชิญมาพิสูจน์ เชิญมาสำหรับผู้ที่แสวงหาความจริงมาศึกษา เชิญ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… ภพ
สู่แดนธรรม… พ่อครูเคยตอบในลำธารชีวิตว่า คนที่แสวงหาแต่ความสุข ก็เป็นการแสวงหาภพชาติ
สมณะเดินดิน… คุณสู่แดนธรรม จะให้โฆษณาหนัง “อีกกี่ภพกี่ชาติจึงจะขาดจากกันได้” ที่จิ๋นซีฮ่องเต้พยายามหายาอายุวัฒนะ
หลักการดูหนังดูละครย้อนดูกิเลส
พ่อครูว่า… การดูหนังดูละครต้องดูด้วยหลักการที่อาตมาเคยบอกไว้
-
ต้องเห็นทุกข์เกิดอาริยญาณ 2. ต้องทำการปฏิบัติ 3. อัดพลังกุศล 4. ฝึกฝนโลกวิทู เพิ่มพหูสูต นี่เป็นหลักการของการดูหนังดูละคร