640728_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำไมพ่อครูเชียร์นายกประยุทธ์สวนกระแสกับคนอื่น
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1PwAtWGRdfRnE_s1RBmAvJWw_viDLFJE4lvSe1DIFd_U/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1-B_WUGKQI4WaK-aQxeQFDkRzM3U6X_AO/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/HqpC429_Vg0
สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 28 กรกฎาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ยุคโควิดเด็กของเราก็อยู่กับที่ไม่ได้ไปไหน ทำให้จิตใจสงบไปด้วย การเป็นอยู่ก็ไม่เดือดร้อน แต่คนที่อยู่นอกวัดโดยเฉพาะในเมืองบางคนก็เดือดร้อนการกินอยู่ เพราะพึ่งพาตนเองไม่ได้ ของเราอยู่กับพ่อครู อยู่กับเศรษฐกิจพอเพียงสบายมาก
พ่อครูว่า…พวกบ้านนอกขณะนี้อย่างไรๆก็ไปหากบหาเขียดหาปูหาปลากินกันได้ จะอดอยากอดตายก็หาไปเก็บผักจับปูจับเขียดกินได้ แต่ในเมืองมันไม่รู้จะไปจับอะไรกิน แม่น้ำเจ้าพระยาก็ไม่มีใครจะไปหาปลากัน กลายเป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำเท่านั้นไม่ได้เป็นที่ทำประมง นอกจากแม่น้ำเจ้าพระยาตามบ้านนอก แต่ในกรุงเทพฯไม่มี มีแต่พวกที่ตกปลาเล่นๆกันเท่านั้นเอง เป็นเรื่องตลกของมนุษยชาติ
สมณะฟ้าไท… สรุปว่าเรามาอยู่กับพ่อครูดีที่สุดแล้ว อยู่บ้านนอก
พ่อครูว่า… ดูสิ อินทผาลัมมีสีเหลืองก็มีสีแดงก็มี มันจะต่างกันอย่างไร สีแดงมาจากศีรษะอโศก สีเหลืองของราชธานีอโศก บอกว่าถวายหลวงปู่ หลวงปู่จะกินให้ท้องแตกเลย
SMSวันที่ 23-24 ก.ค. 2564
_Danuthum Virulhsirikul (ดนุธรรม วิรุฬห์สิริกุล) : กิเลสของคนมันมากเสียจนไม่รู็ว่า.. โควิด” มันคือเชื้อโรคเชื้อไวรัส นายกหรือใครไม่ใช่เทวดา.. ที่จะบันดาลอะไรให้ใครได้.. เอาแต่กิเลสความต้องการของตนเอง.เมื่อไม่ได้ก็ว่าก็ด่า..ใครมาเป็น” นายก”ตอนนี้ก็โดนว่าโดนด่า กันทุกคน แทนที่จะดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจาก” โควิด” ยังมีการกินเลี้ยงจับกลุ่มกัน.ไม่มีสามัญสำนึกกัน”อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” จะเอาแต่ความสุขสนุกสนานของตนเอง โดยไม่สนใจคนอื่นโดยส่วนรวม..มีแต่จะเป็นโควิดเพิ่มขึ้น..สงสาร”นายกประยุทธ”มากๆ ทุกวันนี้ท่านก็นอนไม่หลับเพราะประชาชนมีความทุกข์ ใครที่ชอบว่าท่าน… ผู้นั้นก็รับกรรมไปเต็มๆนั่นแหละ… เพราะ.. นายกประยุทธ ท่านเป็นคนที่มี”ธรรมะ” อยู่ในใจอยู่แล้ว..
ทำไมพ่อครูเชียร์นายกประยุทธ์สวนกระแสกับคนอื่น
_2166 พล : ส.ศิวรักษ์ อาจารย์ปราโมทย์ สนธิ ทนายนกเขา ฯลฯ ออกมาไล่ประยุทธิ์ มีแต่พ่อท่านคนเดียวเท่านั้นที่เชียร์ หมายความว่าอย่างไรครับขอช่วยอธิบายหน่อย
พ่อครูว่า… หมายความว่าความเห็นอาจารย์ส.ศิวรักษ์ก็ดี อาจารย์ปราโมทย์ก็ดี ซึ่งอาจารย์ปราโมทย์กับอาตมาเล่นกันมาตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบตอนอยู่จังหวัดหนองคาย ตอนนั้นลุงของอาตมาเอาอาตมาไปเลี้ยงเป็นลูก ลุงอาตมาเป็นหมอ อาจารย์ปราโมทย์ก็มีพ่อเป็นหมอเหมือนกัน ซึ่งอ.ปราโมทย์เกิดปีเดียวกันกับอาตมา เป็นลูกหมอด้วยกัน โรงพยาบาลมีอยู่แห่งเดียวในจังหวัดนั้น
อาตมาก็เห็นต่างกันกับเขา ในประเด็นที่ว่า 1 2 3 4 คนที่ยกตัวอย่างมาไล่พลเอกประยุทธ์ 4 คนนี้ก็มีความเห็นคล้ายกันว่าควรจะไล่ ก็ออกมาไล่พลเอกประยุทธ์ จะให้คนอื่นมาเป็นแทน ซึ่งก็เป็นกรรมวิธีซึ่งไม่รู้ว่าจะได้ใครมา ตอนนี้หน้าสิ่วหน้าขวานเรื่อง covid ก็ยังร้ายแรง ปัญหาหลายๆด้านกำลังติดพันอยู่ แล้วก็จะเปลี่ยนม้ากลางศึกกันต่างๆนานาพวกนี้มันยังไง อาตมารู้สึกว่า แต่ละท่านๆ สมาธิสั้น ส.ศิวลักษณ์ก็ดี อาจารย์ปราโมทย์ก็ดี สนธิคดี ทนายนกเขาก็ดี สมาธิสั้น คือไม่ดูอะไรยาวๆทำอะไรยาวๆ จะเปลี่ยนแปลง จะสงบอยู่อย่างยาวๆนานไม่ได้ ก็รู้สึกตอนต้นเขารู้สึกว่าทนอีกนิดหน่อยแต่ทนไม่ได้ก็จะเปลี่ยนแปลง ก็เป็นสมาธิสั้น อาตมาอธิบายได้แค่นี้ ท่านทั้งหลายนี่สมาธิสั้น
อาตมาดูองค์รวม ที่อาตมาเคยพูดแล้วว่าเมืองไทยมีนายกมา 29 คน อาตมาก็เห็นว่า ทั้งเหตุการณ์บ้านเมืองเหตุการณ์ของโลก แม้แต่เรื่อง covid แม้แต่เรื่องเศรษฐกิจของสังคมประเทศ ซึ่งจริงๆแล้วนายกประยุทธ์กอบกู้เศรษฐกิจประเทศได้ในท่ามกลางความหนัก ที่รัฐบาลทักษิณ สมชาย สมัคร ยิ่งลักษณ์ ช่วยกันทำให้เศรษฐกิจเมืองไทยชิบหายวายป่วงหนักมาตลอดเลย แล้วก็นายกประยุทธ์นี้มารับต่อ คุณลองคิดดูสิ ตั้งแต่ทักษิณ สมัคร สมชายยิ่งลักษณ์ทำให้เศรษฐกิจเมืองไทยชิบหายวายป่วงไปเท่าไหร่แล้วนายกประยุทธ์ต้องมานั่งรับแบกหามเศรษฐกิจที่พวกท่านเหล่านั้นทำชิบหายมาทับถมมา Covid ก็ปานนั้น เศรษฐกิจก็ปานนี้ การบริหารบุคคลต่างๆนานาอีกที่กำลังเปลี่ยนแปลง กำลังปรับปรุง
อาตมาดูกว้างดูองค์รวมแล้วบอกว่าฝีมือใช้ได้ ไม่ใช่ดูแคบๆแต่เพียงว่ามุมใดมุมหนึ่ง ในบางเรื่อง ขออภัยอาตมาไม่ได้เป็นผู้ที่เรียนจบปริญญาต่างๆนานามา ก็ดูสิ ความเห็นมันต่างกันได้ แต่สรุปแล้วโดยรวม รู้สึกว่ามันเป็นยุคเป็นกาละที่ ประเทศไทย อาตมามองไปถึงขั้นว่า มีความเข้าใจเรื่องกรรมวิบาก ความเข้าใจเรื่องของกาละ ยุคสมัย เข้าใจทั้งเรื่องของสังขารของสังคมประเทศ ที่มันได้เป็นมา เป็นสังขารโลก สังขารสังคมของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยพุทธศาสนา มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและอยู่ในระบอบประชาธิปไตยมาจนกระทั่งถึงป่านนี้ ก้าวหน้ามากเลย
ประชาธิปไตยก็ก้าวหน้าล้ำยุคของโลก อาตมาพูดอย่างนี้พวกที่เป็นนักศึกษาเป็นนักปราชญ์ เป็นผู้รู้เรียนรู้ตำรับตำราทางตะวันตกก็ดี อเมริกาก็ดี แต่อาตมามีความรู้ของพระพุทธเจ้า ในยุคพระพุทธเจ้ายังอยู่นั้นไม่ได้เรียกว่าประชาธิปไตย แต่การบริหารปกครอง อาตมาก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ในยุคนั้น ท่านทำประชาธิปไตยโดยมีธรรมนูญคือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ใครมาเข้ารีตก็มานับถือศีลของท่าน แล้วท่านก็บริหารปกครองไปตามทฤษฎีของท่าน ก็เกิดเป็นมนุษย์โดยเฉพาะเป็นนักบวชที่ชัดเจน ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่เป็นประชาธิปไตยที่เยี่ยมยอดที่สุดแล้ว อันนี้แหละคนเข้าใจได้ยาก มันก็เลยเข้าใจไม่ได้ ประชาธิปไตยช้อนอยู่ในประเทศสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในยุคทาส ยังจัดจ้าน
แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านทำรอดได้ ฉันเดียวกันกับอาตมาทำสาธารณโภคีรอดได้ เป็นสังคมสาธารณโภคีอยู่ในทุนนิยม แม้จะให้ไม่เป็นทุนนิยมแต่ประเทศไทยยังเป็นทุนนิยมอยู่นั่นแหละ คุณอาจจะบอกว่าไทยไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ก็เข้าใจได้เข้าใจไหมง่ายๆ แต่เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแล้วเป็นประชาธิปไตยอย่างไร ประเทศไทยทุนนิยม ไม่ใช่ประชาธิปไตยคอมมิวนิสต์ เพราะอะไรเพราะไปติดในพยัญชนะที่ว่า อิสรเสรี
อิสรเสรี ซึ่งคอมมิวนิสต์ไม่ใช่อิสรเสรีภาพ แต่สำหรับคนควรจะมีหลักเกณฑ์หลักกฎหมายระเบียบข่มไว้บ้างเท่านั้นเอง อุปาทานแค่ข่ม
ทีนี้ประเทศไทยก็ไปเอาอย่างอเมริกาอย่างทางตะวันตกหลายประเทศเขา แต่ของเขากฎหมายเข้มกว่าของไทย ประเทศไทยพยายามเอาอย่างแต่ไม่เข้มไม่เคร่งเท่าเขาด้วย มันก็เลยแย่กว่าเขา ดูข้อมูลแล้วก็ดียังมีแกนของธรรมะพระพุทธเจ้า
ผ่านมา 70 กว่าปี มีพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์มา 70 พรรษา ในหลวงเป็นพระเจ้าแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เปลี่ยนนายกมาตั้ง 29 คน สมัย 70 ปีที่ทรงครองราชย์ผ่านนายกรัฐมนตรีมา 26 คน ตั้งแต่จอมพลป. จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม จอมพลประภาส จะเห็นได้ว่าต่างกันกับนายกฯในรุ่นของรัชกาลที่ 8 รัชกาลที่ 7
เท่าที่อาตมามีความรับรู้ได้ตั้งแต่ จอมพล ป. ก็เห็นว่านายกฯกับกษัตริย์ร่วมกันบริหารประเทศเป็นราชประชาสมาสัย หมายความว่ามีพระราชากับประชาชน อาศัยซึ่งกันและกัน ประชาชนคือจำนวนประชากรทั้งหมด และต้องอาศัยกันระหว่างพระราชากับประชาชน ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำได้ จนกระทั่งเกิด bomb of love ท่านบริหารมา 70 ปี ประชาชนเข้าใจเลยว่าในหลวงทำเพื่อประชาชนจริงๆ เป็นพระราชาของประชาชนจริงๆ ทรงงานเพื่อ ประชาชนจริงๆ นายกฯบริหารประเทศ ในหลวงบริหารประเทศ ในหลวงเป็นนายกฯตลอดกาลส่วนนายกฯที่ถูกเลือกมาก็เปลี่ยนไปมา แต่ในหลวงพระองค์นี้ ครองราชย์ตั้ง 70 ปี บริหารประเทศมายาวนานกว่าใครๆในโลก บริหารจนกระทั่ง ต่างประเทศก็ยกย่องให้เป็น king of king
คนก็ไม่รู้ว่านี่คือประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วก็ส่งบริหารมา 70 กว่าปีได้รับการยกย่องว่าเป็น King of จริงของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กระแสสังคมให้ค่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งรัชกาลที่ 9 เป็นประมุขที่มีนายกรัฐมนตรี ในยุคของรัชกาลที่ 9 มีตั้ง 20 กว่าคน
อาตมาก็ว่า แต่ละนายกฯเข้าใจความเป็นประชาธิปไตยดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงนายกฯทักษิณดีขึ้นมากเลย แต่ไม่ใช่ว่าทักษิณดีขึ้นมากเลยนะ ทักษิณจะทำแบบบ้าอำนาจ แปลว่า คุณธรรมของประเทศไทยดีขึ้นมากเลย ซึ่งประเทศไทยทำมาดีขึ้นมากแล้ว แล้วจะให้เป็นอย่างเดิมอีก จึงได้เกิดการประท้วงต่อต้านทักษิโณมิกส์ เพราะคนไทยรู้เข้าใจประชาธิปไตย รู้ทันประชาธิปไตย ทักษิณถึงถูกจิ้มเลยว่า แกจะมาเป็นเผด็จการ แกจะมาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ จะมาสร้างหมู่กลุ่มรวบรวมอำนาจคัดค้านประชาชน ผู้ที่ประท้วงอยู่ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจ ยังหลงเศษอำนาจ
ทักษิณแสดงความโง่ขนาดหนัก เพราะประเทศไทยเขาเปลี่ยนนายกฯมาตั้งมากมายแล้ว คุณจะทำเก่งเพราะคุณขี้โกง เอาเงินของประเทศไทย แล้วก็เบ่งอำนาจ เพราะมีเงินเท่านั้นเองทุกวันนี้ ทักษิณถ้าไม่มีเงินก็คือหมาตัวนึง เขาไม่เข้าใจความซับซ้อนของความเป็นมนุษย์ เรื่องมนุษย์ชาตินี้ลึกซึ้งมาก ความเป็นไปความเป็นอยู่
นายกฯประยุทธ์บริหารประเทศไปได้ดีมากเลย อาตมาไม่ได้พูดประชดบอกว่าให้อยู่ต่ออีกเลยสัก 20 ปีทำไป เสียงนกเสียงกาพวกนั้นก็เป็นธรรมชาติของประชาธิปไตย เพราะไม่ใช่ระบบคอมมิวนิสต์ที่จะเก็บกวาดพวกนี้เข้าคุกให้หมด ซึ่งมันไม่ใช่ แล้วมันก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้ ซึ่งจริงๆแล้วสวยงามมาก
ฝ่ายค้านก็มีอยู่แล้วในรัฐสภาก็มีอยู่แล้ว พวกนี้อวดเก่งอวดดีว่า ฝ่ายค้านจริงๆแล้วพวกข้า แต่เปล่าหรอกคุณคือเศษส่วนความโง่ที่รับช่วงมาจากทักษิณ ดิ้นกระแด่วอยู่อย่างนั้น คือพวกเศษความโง่ของทักษิณ ก็เป็นธรรมชาติเป็นตัวยืนยันความจริงว่า นายกประยุทธ์นี้จะเป็นอย่างไร
เพราะฉะนั้นพวกที่สมาธิไม่ยาวไม่ว่าจะเป็น ส.ศิวรักษ์ อาจารย์ปราโมทย์ คุณสนธิ ทนายนกเขา อีกเยอะแยะ นักวิชาการต่างๆ พวกนี้นึกว่ามีความรู้ เขาก็จะเป็นอย่างนี้ อาตมาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเกิดมาในยุคนี้ แม้ว่าอาตมาจะไม่ได้เป็นคนอยู่ในระบอบหรืออยู่ในเส้นทางของมนุษยชาติ แม้อาตมาเป็นคนที่นอกเส้นทาง ของสามัญ อาตมาเป็นคนวิสามัญ ไม่ได้เป็นคนมีความรู้ไปตามเส้นทางที่จะไปทำการบริหาร อาตมาเดินมาในสายทางที่เป็นโลกุตระธรรม ซึ่งอาตมาเดินนอกทางตลอดเพราะศาสนาพุทธยุคนี้ไม่มีโลกุตระแล้วตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตร เรื่องกลองอานกะโลกุตรธรรมจะหายไปในอนาคต เนื้อแท้ของกลองอานกะหายไปแล้ว เหลือแต่โครงสร้างโครงแห้งๆพังๆ อาตมาก็ต้องเอากลองอานกะเอาโลกุตระมาคืน
ประชาธิปไตยที่เป็นประชาธิปไตยขาเดียว แบบอเมริกาแบบตะวันตกหลายประเทศนี้ เป็นประชาธิปไตยพิการ ประชาธิปไตยที่ไม่มีวิญญาณ ไม่มีการสืบทอดของวิญญาณ จะพยายามไปสืบทอดโดยการไปจับตัวออกจากประชาชนทั่วไปอย่างเดียว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ในความเป็นชีวะ โลกแห่งความเป็นชีวะจะต้องมี 2 เสมอ เทวะ ก็มีรูปมีนาม มีจิตวิญญาณกับมีองค์ประกอบของสรีระและวัตถุต่างๆ
แต่คนไม่เข้าใจในความลึกซึ้งความละเอียดของธรรมชาติพวกนี้ เขาก็เลยสุดโต่งไปในทางขาเดียว จะเอาแต่ทางวัตถุจะเอาแต่ร่างไม่เอาจิตวิญญาณ ไม่เอาการสืบทอดทางจิตวิญญาณ สืบทอดแต่ทางวัตถุ วัตถุ วัตถุ ซึ่งไม่ใช่มนุษย์แล้วนะ แต่ยิ่งเลือกแต่วัตถุยิ่งแหลกราญ ไม่มีเชื้อสายของจิตวิญญาณ ซึ่งมันต้องมีคู่เสมอ ซึ่งมันไม่ง่ายจริงๆ
อาตมาพูดนี้ไม่มีอะไรรับรองป้องกันยืนยันอ้างอิงเลยว่าอาตมาเป็นคนมีความรู้ แต่ก็อาตมาก็แสดงภูมิไปอย่างนี้ ใครจะรับได้เห็นว่าเป็นสาระบ้างก็แล้วแต่
อาตมาก็ยังจะเชียร์ต่อไป ไม่ได้มาป้อยอทำเล่น มันเหมาะสมและควรอยู่ อย่าเปลี่ยนม้ากลางศึก ตอนนี้ยังไม่สมควร จะเสียหายมากเลย ก็ถ้าหากนายกฯประยุทธ์ลาออกคุณก็จะต้องเลือก บรรดาส.ส. ที่มีอยู่นี้เป็นนายกฯคนใหม่ ในบรรดา ส.ส.ตอนนี้ใครเหมาะสมกว่านายกฯประยุทธ์ ถ้าหากไม่ได้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ก็จะต้องเลือกคนใดคนหนึ่งมาเป็นนายกฯใหม่ แล้วบรรดาส.ส. ที่มีอยู่ตอนนี้ก็รู้หน้ารู้ตารู้ชื่อเสียง หรือว่าจะมีม้ามืด ม้าขาวอยู่ในที่มืดๆโผล่ขึ้นมาอย่างไร?…ใคร? แค่นี้ก็ยากแล้ว ถ้ายิ่งเลือกตั้งใหม่รับรองว่ายิ่งเละเทะ
หากเลือกตั้งใหม่อาตมาว่าทักษิณทุ่มโถมหนักเลย เพราะว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขา ว่ามั้ย แล้วมันจะรวนกันขนาดไหนประเทศไทย จะฆ่าแกงกันมั้ย ซึ่งพวกเราก็อาจจะเดือดร้อนต้องไปประท้วงห้ามทัพ เราออกไปประท้วงจะทำให้เกิดความสงบ เราไม่ได้ออกไปรบราฆ่าฟัน ที่เราออกไปประท้วงเป็นตัวกลางอยู่ในถนนราชดำเนินนั้น เราไปสร้างอิทธิพลความสงบ เอาความสงบไปเป็นพลังงานเป็นอาวุธ เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ทำให้เกิดความดำเนินไปของประชาธิปไตยไทย จึงเกิดความสงบ ไม่อย่างนั้นมันจะฆ่าแกงกันกว่านี้ จริงๆ
นี่เป็นความเจริญของประชาธิปไตยไทยมีประชาชนไทยเข้าใจแล้วมาช่วยกัน ก็เลยเกิดความสงบตั้งแต่เราไประงับ ทั้งๆที่ทักษิณจะก่อหวอดก่อความวุ่นวายขึ้นให้ได้ ตั้งแต่นายกนอมินีสมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ เขาพยายามก่อความวุ่นวายจนมีไอ้โม่งชายชุดดำมายิงปืนซุ่มยิง ก็เกิดจากพวกโน้นทั้งนั้น ไม่ใช่ของประชาชนในประชาชน ไม่ใช่เนื้อแท้ของประชาชนคนไทย แต่เป็นพวกรับอิทธิพลรับจ้างมาจากทางโน้น
สุดท้ายมาถึงวันนี้มันผ่านไป จะว่าแพ้เขาก็แพ้ไปแล้ว มันสู้ไม่ได้สู้ประชาธิปไตยไทยไม่ได้ สู้อธิปไตยของประชาชนคนไทยที่แสดงพฤติกรรมจริงมาแล้วผ่านมากี่นายกฯพวกเราก็ร่วมมือตลอด จนกระทั่งมาไล่ยิ่งลักษณ์ นายกฯประยุทธ์ถึงได้มารับช่วงแทน เราก็สบายมาจนถึงป่านนี้ 7 ปี มีแต่เสียงหมาเห่าหมาหอนบ้าง ก็ยังเป็นไปได้ดี ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องออกไปอีกหรือเปล่า ถ้าเกิดมีอะไรมีอิทธิพลทำให้เราจะต้องออกไปเราก็ออกไป ถ้ามันมีอิทธิพลจริง เราก็ไม่ประมาทเขา แต่เท่าที่ดูแล้วน่าจะยาก เท่าที่ดูตามเหตุปัจจัยองค์รวมที่เขาทำ มันไม่น่าจะฟื้นขึ้นมาได้ ก็คงจะไม่ต้องไปออกแรงอีก
ซึ่งอาตมาเชื่ออยู่ลึกๆของตัวเอง ถ้าจะเกิดเหตุการณ์เหมือนอย่างในยุคทักษิณ สมัครสมชาย ยิ่งลักษณ์ ถ้าเราออกไปอีกคราวนี้ประชาชนจะเข้าใจ ยิ่งกว่าตอนโน้น อาตมาว่านะถ้านายกฯประยุทธ์ต้องออกไป ประชาชนคนไทยจะเข้าใจยิ่งกว่ายุคโน้น แต่ดูแล้วมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
อาตมามององค์รวมวงกว้างไกลลึก คนอื่นไม่ได้มอง เขาออกจากสมาธิไปแล้ว อาตมาก็ยังอยู่ในสมาธิก็เลยสมาธิลึกยาว ท่านเหล่านั้นสมาธิสั้นไม่ได้ลึกเหมือนอาตมา
_Kru Sa (ครู สา) : อยู่ห่างจากวงจรพ่อท่านมากมาย แต่ไม่ห่างจากคำสอนพ่อท่าน และทำตัวเป็น??????????ค่ะ
SMS วันที่ 25 ก.ค. 2564
_สมสมัย นันตะโภค : กราบนมัสการท่านสมณะท่านสิกขมาตุและญาติธรรมทุกท่านค่ะ
โมทนาสาธุกับทุกท่านที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเป็นพุทธบูชา ดิฉันอยู่นอกวัดก็ขอร่วมตั้งตบะด้วยค่ะ
-
กินข้าววันละ 2 มื้อ ไม่กินจุบจิบ
2 .ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 วันค่ะ
_yak sa (ยาก สา) : สาธุ กราบขอบพระคุณท่านฟ้าไทไขความลับตั้งตบะ ตัวอยากตัวยากต้องยาว 10 ปี ตั้งให้ถูกตัวเดียวขอตั้งกินมื้อเดียวครับ
สมณะฟ้าไทว่า…
_SMS วันที่ 26-27 ก.ค. 2564
_Varreru Rarm (วาเรรู ราม) : กราบนมัสการพ่อท่านครับ ผมขอกราบเรียนถามพ่อท่านว่า การตั้งจิตขอเกิดติดตามพ่อท่านทุกชาติๆไป จะใช่วิธีการกำหนดจิตแบบเดียวกันกับการตั้งจิตกำหนดเวลาตื่นในช่วงกลางคืน อย่างที่พวกเราทำกันอยู่ไหมครับ เพราะผมต้องการติดตามพ่อท่านไปทุก ๆ ชาติจนกว่าพ่อท่านจะปรินิพพานครับ ปกติการกำหนดการตื่นผมทำได้เป็นประจำครับ กราบขอบพระคุณพ่อท่านเป็นอย่างสูงครับ
พ่อครูว่า… มีนัยยะคล้ายกันอยู่ที่เราจะยึดที่จะทำสิ่งนั้นให้ได้ เรื่องการตื่นเป็นเฉพาะเรื่อง แต่อาตมานั้นมีหลายเรื่อง ติดตามอาตมาจะได้หลายเรื่อง แต่การทำเรื่องความตื่นอันนั้นเป็นนัยยะคล้ายกัน การจะตั้งจิตตามอาตมาก็คล้ายกันได้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ไม่เชื่อคุณเป็นคนแรก มีพระโพธิสัตว์มากี่องค์ก็เป็นธรรมชาติของคนที่คิดว่า จะติดตามอย่างนี้แหละ โดยไม่ได้ติดใจอยู่ที่บุคคล ทุกชาติทุกชาติก็ไม่ใช่บุคคลนั้นแล้ว ชาติหน้าก็เป็นใครไม่รู้ ก็ต้องดูว่า องค์นี้ เป็นทะไลลามะองค์เก่าหรือเปล่า ก็ต้องตาม เป็นทะไลลามะองค์เก่าจากชาติก่อน คุณก็ต้องติดตามอย่างนั้นคล้ายๆกันกับทางทิเบตเขา อันนั้นเป็นตัวตนบุคคลเราเขา แต่ทางนี้ไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว เอาที่ธรรมะ องค์นี้มีธรรมะคล้ายกันกับอันชาติเก่าเลยถ้าระลึกได้ว่าเราเคยตามมา ก็เอาที่จรณะ 15 วิชชา 8
_Pornthip Thaiiad (พรทิพย์ ไทยเอียด) : ถ้าลูกได้เจอคำสอนพ่อครูก่อนหน้านี้ หนี้ที่ก่อมาเพื่อสนองความอยากอย่างโลกๆ คงไม่เกิดขึ้น เสียดายที่ได้ฟังธรรมช้าไปหน่อย แต่นับจากวันที่เข้าใจธรรมะที่พ่อสอน ลูกก็ตั้งใจบอกตัวเองหยุดความอยากทั้งหลาย ไม่ก่อหนี้เพิ่มอีก จะขอใช้ชีวิตแบบติดดิน ทำอาชีพที่ไม่ผิดศีลเลี้ยงชีพแล้ว
_พันธุ์ พอเพียง : พรุ่งนี้จะค่อยๆเป็นไทแล้วจากชีวิตหาเงินหาทอง (เริ่มมอบงานให้หลาน)งานที่ได้รับเกียรติจากสมณะงานแรกคือ ตัดแต่งกิ่งไม้ให้โล่ง ที่พุทธสถานสีมาอโศกครับ (ผมกักตัวที่เซฟโซนแล้ว 21 วันครับ)
ศีลกับปัญญาเป็นสมบัติโลกุตระ
_โกศล สุขเล็ก : กราบคารวะพ่อท่าน..พระพุทธองค์ไม่ประสงค์สมบัติภายนอกกาย เน้นเอาแต่สมบัติภายในคือปัญญา..
พ่อครูว่า… ถูกต้องซึ่งเรื่องสมบัติภายนอกคนที่เขายังหลงอยู่ ก็เป็นเรื่องบารมี เรื่องภูมิของเขาจะต้องอยู่กับสมบัติภายนอก เช่น ลาภยศสรรเสริญ แล้วก็หลงติดสุขอยู่ ซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่าความสุขเป็นเรื่องลึก เป็นเรื่องมายา เป็นเรื่องทุกข์ ความทุกข์กับความสุขเป็นอย่างเดียวกันแต่เขาก็ไปเกาะเกี่ยวความสุขอยู่ เขาก็หลงอยู่อย่างนั้น เขาก็มีลาภยศสรรเสริญประมาณนั้น เขาอยู่ได้เป็นสุข ก็อยู่กันมาจนกระทั่งอายุ 40 50 60 70 80 90 แล้วก็ตายไป แต่ถ้าคนรู้แล้วเอามาทางนี้แน่นอน ไม่เอา จะต้องเลิกทิ้ง ก็เป็นสัจจะ ปัญญาพวกนี้เป็นปัญญาจริงๆ อาตมากำลังขยายปัญญา 8 ของพระพุทธเจ้า ซึ่งยากที่จะขยาย เพราะเป็นเรื่องสุดยอดลึกซึ้งจริงๆ แต่ก็พยายามเขียนเท่าที่พอจะทำได้ ซึ่งจะทำให้ยาวเท่าไหร่ก็ได้ ก็คงเอาประมาณนึง
คำศัพท์คำว่าปัญญาเป็นศัพท์ของพระพุทธเจ้า แต่เดี๋ยวนี้ผิดเพี้ยนไปจนเข้าใจว่าปัญญาเป็นภาษากลางๆ มาก่อนพระพุทธเจ้า เรียกความรู้ที่เป็นความฉลาด เป็นปัญญา ซึ่งความรู้ความฉลาดเป็นโลกียะภาษาบาลีเรียกว่า เฉโก แต่คำว่าปัญญาในพระพุทธเจ้าองค์ไหนไม่รู้บัญญัติ ซึ่งพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็เอาคำว่าปัญญานี้มาใช้ตามพระพุทธเจ้าองค์ก่อนที่ตั้งไว้ เป็นโลกุตรธรรม ขอยืนยันว่าปัญญาเป็นภาษาเรียกความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกุตระธรรมไม่ใช่เรื่องโลกียะเลย
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเล่ม 21 บอกว่า ศีลอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ไม่มีปัญญาที่ไม่มีศีล ไม่มีศีลที่ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาคือผู้ที่มีศีล การไปนั่งหลับตาไม่เอาศีลเลยไม่มีทางเกิดปัญญาเลย แต่นั่งหลับตาเกิดปัญญาไม่ได้ อาตมาเคยบอกว่าปัญญาเกิดในปัจจุบัน ปัญญาจะเกิดมีจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก
ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ (โสณทัณฑสูตร ล.๙ ข.๑๙๓)
ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์
ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล และศีลก็เป็นของผู้มีปัญญา
นักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก
เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้า ฉะนั้น
และ ฌานกับศีล
ฌานเผากิเลสทำให้เกิดบุญเป็นขั้นตอนสุดท้าย ทำบุญเสร็จจบหมดกิเลสก็ไม่ต้องทำบุญอีก ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป เป็นพระอรหันต์ บุญเป็นพลังงานใน ปัจจุบัน ต่อจากฌาน บุญเป็นพลังงานไฟ เป็นมือประหารสุดท้าย เพชฌฆาตมือสุดท้าย ฌานฆ่ามาจนสุดท้ายทำบุญ ฆ่ากิเลส
อรูปฌาน 4 แบบพุทธกับแบบฤาษี
_Emty (เอมที) : กราบนมัสการพ่อครูครับอรูปณาณ 4 มีอาการความรู้สึกอย่างไร
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… แต่ก่อนเขาว่าปฏิบัติศีลให้มาที่สันติอโศก จะมีปัญญาให้ไปที่สวนโมกข์ จะมีสมาธิให้ไปธรรมกาย แต่ที่จริงแล้วศีลจะทำให้เกิดสมาธิปัญญา
พ่อครูว่า… ผู้ไม่เข้าใจก็ไปแยกแบ่ง ศีลก็ไปสันติอโศก ปัญญาไปที่สวนโมกข์ สมาธิไปที่ธรรมกาย ซึ่งก็เป็นภูมิของแต่ละคนเข้าใจอย่างนั้นก็ว่าไป ความจริงแล้วศีล สมาธิ ปัญญาแยกกันไม่ได้ ศีลก็ต้องพูดก่อน ต่อมาต้องพูดสมาธิ ต่อมาก็พูดปัญญา วิมุติไปตามลำดับ อาตมาก็ทำไปตามลำดับ คนเข้าใจไม่ได้ก็หาว่ามีแต่ศีล ก็ถูกแล้วเริ่มต้นต้องเป็นศีล ต่อมาก็เป็นสมาธิ ปัญญา วิมุติไปตามลำดับ
อาตมาเองอาตมาไม่ได้สงสัย เพราะอาตมารู้ว่าทำอะไรอยู่ ผู้ที่มาตำหนิตามภูมิของท่าน อาตมาก็ไม่แปลกอะไรเราก็รับฟัง เราก็รู้ว่าท่านเข้าใจได้อย่างนี้ ก็ไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนท่าน ก็รู้กัน
อรูปฌาน 4 นั้น อย่าว่าแต่อรูปฌานเลย รูปฌาน 4 ก็ไม่มี ไปนั่งหลับตานั้นเป็นแบบ ฌาน เดียรถีย์ นั่งสะกดจิตหลับตาให้หยุดนิ่ง ที่นี้พวกที่นั่งสะกดจิตหลับตาพอไปถึง ฌาน 4 เขาจะจบ จะไม่เป็นอุเบกขา แต่จะเป็นสมถะ เขาจะสงบแบบดับ สงบดำมืด เรียกว่ากิณหะ แล้วไปหลงความดำความดับ ความมืด ว่าเป็นสิ่งที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น เรียกสุภกิณหะ แล้วเขาไปได้ความมืด เขานั่งหลับดับมืด กัณหะ กัณหา ต้นตระกูลของ อัมพัฏฐะ มืดดับเป็นอสัญญีสัตว์ตัวที่ 5
ฌาน 4 ดับเป็นฌานฤาษี พอดับถึง ฌาน 5 เป็นอสัญญีสัตว์ เขาไปดับความกำหนดรู้เลยจะเข้าไปถึง ฌาน 6 7 เขาจะไม่ได้เลย เขาดับอสัญญี จะไปรู้จัก อากาศ วิญญาณัญจาฯได้อย่างไร เพราะดับสัญญาไปแล้ววิญญาณมันไม่มีอะไรเลย มันเป็นความเพ้อพก มันไม่มีเลย
อากิญจัญยายตนะ หมายความว่า กิเลสนิดนึงน้อยหนึ่งก็ไม่มี ไม่ได้หมายความว่าไม่มีแสงสว่าง อากิญจัญยายตนะ หมายความว่ากิเลสนิดนึงน้อยหนึ่งก็ไม่มี ไม่มีกิเลสเลย
ฌาน ของผู้ที่ตื่นรู้ของพระพุทธเจ้าจะจบที่ อากิญจัญยายตนะ ในวิญญาณฐีติ 7 ไม่ต้องมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะจะปฏิบัติอย่างมีภูมิปัญญาถูกต้องมีสัมมาทิฏฐิ มาถึง อากิญจัญยายตนะ ก็จะรู้กิเลสหยาบกลางละเอียดก็จะหมดกิเลสได้สนิท เป็นนิโรธสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องใช้ สัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะสัญญากำหนดอากาศ กำหนดวิญญาณ กำหนดความไม่มีกิเลส จบในตัวหมดแล้วด้วยการตื่นรู้เต็ม ใช้สติสัมปชัญญะ ทำใน จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก จบในตัว จึงไม่ต้องมีอะไรรุ่มร่ามต่อไป ที่จะไป เนวสัญญานาสัญญายตนะ สัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่ต้องมี
หรือมีก็ได้ ในวิโมกข์ 8 แล้วก็เข้าใจมาตามลำดับ ได้ เพราะฉะนั้นการรู้ อากาสานัญจายตนะ ในอรูปฌาน 4 เริ่มตั้งแต่ อากาสานัญจายตนะ ซึ่งเป็นความรู้ของวิโมกข์ 8 ของผู้ที่ชัดเจนในรูปนาม
วิโมกข์ 3 ข้อ 1 2 3 เป็นวิโมกข์ที่รู้จัก รูปนาม วิญญาณอย่างชัดเจน ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอาหาร 4 ที่บอกว่าเรียนรู้รูปนามได้ก็เรียนรู้ได้ทุกอย่าง
รูปนามในวิโมกข์ 3 ข้อ 1 ต้องมีนามมีรูป ต้องเห็นรูป แล้วตัวที่เห็นคือนาม
-
ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ)
ผู้ปฏิบัติจะต้องเห็นรูป เพราะผู้ปฏิบัติคือคน มีจิตวิญญาณ ก็ต้องเอาจิตวิญญาณ มาเห็นรูปอย่างมี ปัสสติ รูปี รูปานิ ปัสสติ ก็จะต้องปฏิบัติให้เห็นนะไม่ใช่หมายความว่าหลับใน เห็นจะต้องมีตากระทบรูป มีหูกระทบเสียง มีจมูกกระทบกลิ่น ต้องมีคู่มีรูปนาม นี่เป็นข้อที่ 1 ผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลาย ท่านแปลไว้สั้นๆ
คำว่าเห็นคือปัสสติ ย่อมเห็น คือต้องปฏิบัติรู้รูปนาม มี นามเข้าไปรู้รูป
เช่น คนตาบอดไม่สามารถเห็นรูป ปฏิบัติวิโมกข์ข้อที่ 1 ไม่ได้ เพราะคนตาบอดก็คือคนไม่มีรูป เพราะฉะนั้นเมื่อคนไม่มีรูป ก็ปฏิบัติให้เห็น เป็นผู้ปฏิบัติรูปานิ ปฏิบัติรูปนาม ให้นามเข้าไปเห็นรูปไม่ได้เพราะตาบอด
พระพุทธเจ้าถึงมีบอกไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 [๘๕๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่ ในนิคมชื่อกัชชังคลา ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพ ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๘๕๔] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า ดูกรอุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า ฯ
อุ. แสดง พระโคดมผู้เจริญ ฯ
พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ
อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ (หลับตา) อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต (ปิดหูหรือหนีเสียงไปหาที่เงียบ) ฯ
พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตกก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ
พ่อครูว่า… จะมาพูดถึงคนหลับตาปฏิบัตินั้นปิดทางบรรลุธรรม ทำไมถึงไม่รู้ตัวกันสักทีว่าเป็นลูกศิษย์ของ ปาราสิย พราหมณ์ สอนให้ตาบอดหูหนวกจะไปได้ฌานอย่างไร
ฌาน ต้องมีสติ เต็ม ตื่น รู้ สัมผัสกับสิ่งภายนอก แล้วเมื่อเกิดกิเลสก็สร้างพลังงาน ฌาน ให้เผากิเลสให้มันหมดไป ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ก็ต้องพูดต่อไป น่าสงสารตัวเองที่ต้องพูดต้องบ่นทั้งๆที่เขาเสื่อมไปจากศาสนาพุทธหมดแล้ว เรียกว่าข่มก็แล้วบอกว่าผิดเต็มที่ก็แล้ว ก็พูดไปบ่นไป รายละเอียดต่างๆก็ว่าไป ทีนี้เข้าไปหาวิโมกข์ต่อ
วิโมกข์ ข้อที่ 1 ต้องมีรูปนาม จะบอกว่า รูปี คือรูป รูปานิ คือผู้มีนามในตัว ก็จะต้องรู้รูปก็จะเห็นรูปได้ จะต้องเป็นคนมีรูปมีนามมีตาหูจมูกลิ้นกายใจครบ แล้วต้องมีการสัมผัสเห็นด้วยกันได้
-
*ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
อัชฌัตตังคือภายใน
อรูปสัญญี คือ การกำหนดรู้ตั้งแต่รูปไปถึงอรูป คือผู้นี้กำหนดรู้จากภายนอก รูป อรูป
ผู้ไม่เข้าใจไปเอา อะไปใส่เป็น อสัญญี คือไม่กำหนดไม่สำคัญมั่นหมายกับรูปภายใน ทั้งที่มันเป็น อรูป กับ สัญญี คือ ต้องเป็นผู้กำหนดรู้ได้หมายสำคัญมั่นหมายใน อรูป รูป ทั้งภายนอกภายใน
อันนี้ท่านไล่เป็นลำดับๆไปว่า เมื่อผู้มีรูปย่อมกำหนดรู้รูป ตั้งแต่รูปภายนอกเป็นกาม หมดกามก็เข้าไปกำหนดรู้ ภวภพ ภายใน เป็น รูป อรูป และต้องรู้ทั้งภายในและภายนอกกำหนดรู้ทั้งภายในและภายนอก เห็นรูปภายนอกอยู่อย่างปัสสติ
มันยากเหมือนกัน ในขณะรู้รูปภายในทำรูปภายนอกแล้ว รูปภายนอกก็ยังอยู่ ทำกิเลสหมดภายนอกได้ก่อนแล้วไปทำลายกิเลสภายในจนหมดอรูป คือ หมดกามรูป รูปรูป อรูป หมดไปตามลำดับๆ นี่คือวิโมกข์ข้อ 2
-
ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)