650316 ตอบปัญหาพาปฏิบัติเป็นลำดับอย่างไม่กดข่ม พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1j7fsmxFxnPa0eJjys2u3IS-ucJ_parDd3lpU-Y7LZp0/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/19lVl9PxKh1uW5bsXJ_ET98M2nWEPghDn/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/zaxLkW69Lkw
และ https://fb.watch/bNBmSucdSb/
สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้สถานการณ์โควิดก็ยังไม่ลดละ พวกเราต้องระวัง โดยเฉพาะที่ราชธานีอโศกเป็นชุมชนใหญ่ มันโจมตีแต่เราก็ระงับได้อย่างรวดเร็ว
พวกเราจะมีงานปลุกเสกกันวันที่ 3-9 เมษายน 2565 จะมีการสอบปริยัติ ใช้ข้อสอบจากเทศน์ของพ่อครู เริ่มตั้งแต่ 14 มีนาคม 2565 เป็นต้นไป และจากหนังสือรวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่ม 4 หน้า 1-100
พ่อครูว่า… SMS วันที่ 9 – 10 มี.ค. 2565
การไม่ขาดสติกับการทำสมาธิไม่เหมือนกัน แล้วลืมตาก็เกิดสมาธิได้
_นายกิตติ จุลกิจ : การลืมตาจะเกิดสมาธิได้ไหมครับ ได้ตรงไหน / การทำสมาธิกับการทำอะไรไม่ขาดสติ มีความหมายเหมือนกันไหม..
พ่อครูว่า…การทำสมาธิกับการทำอะไรไม่ขาดสติไม่เหมือนกัน
การทำอะไรไม่ขาดสตินั้นเป็นการสำรวมสังวรตน ทำอะไรอยู่ไม่ให้ขาดสติ
ทีนี้ การทำสมาธินั้น ไม่ใช่มีแต่แค่การสำรวมสังวรไม่ให้ขาดสติอย่างเดียว สมาธิแปลว่าจิตตั้งมั่น โดยเฉพาะของศาสนาพุทธคือ สมาหิโต หรือ สมาหิตะ(เอกพจน์) คือจิต จะเป็นหนึ่ง สะอาดบริสุทธิ์หนึ่งเดียว ตกผลึกลงไปๆ จิตที่จะเป็น สมาหิโต หรือ สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นคือ จิตสะอาดจากกิเลสอาสวะ
จิตบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ถึงขั้นอุเบกขา บรรลุถึงขั้นฌาน 4 เป็นจิตบริสุทธิ์จากกิเลสแล้ว แล้วก็ตกผลึก สะสมๆๆเข้า เป็น อเนญชาภิสังขาร คือ เป็นจิตที่ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวแล้ว ผนึกเข้า มากเข้า แน่นเข้าๆ อัปปปนา พยัปนา เจตโสอภินิโรปนา บาลีอยู่ในกระบวนการสังกัปปะ7
การปฏิบัติอยู่เพื่อให้สะอาดจากกิเลสก็คือ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เมื่อจิตสะอาดแล้วก็สั่งสมตกผลึกลงไป อัปปปนา พยัปนา เจตโสอภินิโรปนา อย่างนี้เป็นต้น ส่วนวจีสังขารนั้นคือ จิตที่ปรุงแต่งให้สะอาดสะอ้านก็ตาม ปรุงแต่งให้มีกิเลสมากก็ตาม ปรุงแต่งให้อภิสังขารจัดการให้กิเลสออกไปจนจิตสะอาด ได้ผลแล้วก็เป็น อภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร เป็นต้น หรืออปุญญาภิสังขาร
อปุญญาภิสังขาร ไม่ได้แปลว่าอภิสังขารนี้เป็นบาป อปุญญะ ไม่ใช่บุญก็เลยแปลว่าเป็นบาป ถ้าเข้าใจอย่างนี้ยังไม่สัมมาทิฏฐิในศาสนาพุทธ ถ้าขืน บุญ นี่ หมดแล้ว อปุญญะแล้ว ก็ยังวนไปเป็นบาปอีก ไม่จบ ไม่มีการสิ้นอาสวะ สิ้นอย่างไม่หมุนเวียนกลับ มันไม่หมุนเวียนกลับแล้ว บุญ อาตมาใช้ภาษาอังกฤษกำกับว่า One Way Traffic มันเดินทางตรงทางเดียวมันไม่มีโค้งไม่มีงอ ไม่มีโค้งกลับเลย มีแต่ตรงหายไปเลย มีหน้าที่เดียว ฆ่ากิเลสอย่างเดียว ฆ่าได้ไม่ได้ก็หายไปเลย เป็นรายละเอียดลึกซึ้งที่ต้องฟังแล้วฟังอีก
เพราะฉะนั้นการทำสมาธิของพุทธนั้น กับการทำอะไรไม่ขาดสตินั้นจึงต่างกัน การทำอะไรไม่ขาดสติก็เป็นส่วนหนึ่ง ดี ไม่ขาดสติทำให้จิตตื่น แล้วต้องมีองค์ธรรมอื่นอีกที่จะปฏิบัติเพื่อให้กิเลสลด ทำจิตตื่นเรียกว่า ชาคริยา พากเพียรให้จิตตื่น มันก็ไม่ขาดสติ ให้จิตตื่น รู้เท่าทันสภาพทุกอย่างในทวารทั้ง 6 แล้วก็ ปฏิบัติ โภชเนมัตตัญญุตา หรือสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกรับกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบโผฏฐัพพะ ทำให้สะอาดบริสุทธิ์ที่ใจ อย่างนี้เป็นต้น
การลืมตาทำให้เกิดสมาธิได้ ..ได้ตรงไหน การลืมตานี่แหละเป็นการทำสมาธิของศาสนาพุทธ การหลับตาปฏิบัติสมาธิเป็นของเดียรถีย์ เป็นของนอกศาสนาพุทธ แต่พุทธก็รู้ พุทธก็ทำได้ พุทธก็เอามาใช้เป็นอุปการะมากด้วยเหมือนกัน ไม่มิจฉาทิฏฐิในการหลับตาทำสมาธิ ใช้ศัพท์ว่า ทำสมาธิ ก็หมายความว่า
หลับตาแล้วก็คือให้จิตมันเป็นจิตตั้งมั่น จิตสะอาด จิตไม่มีกิเลส ก็ใช้จิตที่ไม่มีกิเลสนั่นแหละในขณะที่หลับตา ตรวจสอบ เตวิชโช เป็นต้น หรือ หลับพักผ่อนเป็นต้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็หลับตาแล้วก็ทำงานในจิต กิเลสเรายังไม่หมดไม่สะอาดสั่งสมลงเป็นสมาธิ เมื่อไม่มีอะไรกระทบสัมผัสในทวารอื่นข้างนอก ก็เหลือแต่ทวารใจ ก็ตรวจอาการของจิตในความจำไม่ใช่ความจริง
จิตที่หลับตาแล้วเป็นจิตที่มีความจำไม่ใช่จิตที่มีความจริง ความจริงต้องมีปัจจุบันชาติ ตากระทบรูปในปัจจุบันนี้ หูกระทบเสียงในปัจจุบันนี้ ทวารทั้ง 5 กระทบสัมผัส รับรู้อยู่ในปัจจุบันเป็นวิญญาณฐิติ ถ้าไม่มีการลืมตาสัมผัสรู้ข้างนอกโดยพร้อมไปกับอาโลก มีแสงสว่าง รู้ร่วมกับคนอื่นเขา ไม่เรียกว่าเป็นความจริง แต่เป็นความจำส่วนตัว ของใครของมัน คนอื่นไม่รู้ด้วยเรา แต่ลืมตานี้ รู้ร่วมกันได้สัมผัสร่วมกันได้ มันต่างกันอย่างนี้
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… พวกเราฝึกลดอบายมุขกันมาก่อน เช่นการแต่งหน้าแต่งตา เป็นต้น ตอนนี้ไม่มีแต่งหน้าแต่งตาก็รับรู้ได้ด้วยกันร่วมกันแต่หากหลับตาก็ไม่ได้รู้ร่วมกัน
_Danuthum Virulhsirikul ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล : “กราบนมัสการ”.พ่อท่าน.. ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ…ใครก็ตามถ้าได้มาประพฤติปฏิบัติ”ธรรม”..ในสันติอโศก..ถือได้ว่ามีกุศลเก่าอยู่มาก..แต่บางคนเข้ามาแล้วก็หลุดไปก็มีเพราะ…ยังมีความต้องการ”แบบโลกียะ” ที่เขาเป็นกัน…อยากมีสิ่งนั้นสิ่งนี้สารพัดโดยเฉพาะ”เด็กวัยรุ่น” ในสันติอโศก.. ใครไม่มี “กุศลเก่า” ที่ข้ามภพข้ามชาติมาจริง ก็จะอยู่ไม่ได้.. ต้องหลุดออกไปด้วยกิเลสทางโลก”ตามวัยของเขา” ต้องใช้ความอดทน ทางใจ และหยุดสิ่งที่ยั่วยวนทางใจ..ไม่ให้หลงไหลไปตามเพื่อนเพื่อน ที่อยู่ในทางโลกโลก…เด็กเด็กจงภูมิใจเถิด..ว่าพวกเราโชคดีที่สุด..ที่ได้มาอยู่ในดินแดน”พระโพธิสัตว์” ที่มีแต่ความร่มเย็นช่วยเหลือกันเกื้อกูลกัน..ด้วยความจริงใจต่อกันจนวันตาย..ขออนุโมทนาบุญ.. กับทุกผู้ทุกนาม.. และทุกสาขาของสันติอโศก.. ครับ
พ่อครูว่า… ก็จริงทุกอย่างที่คุณดนุธรรมพูด จะไม่ขยายความต่อ
_วรรณทนา หอมเลิศ : เหตุที่ไม่เข้ามาสันติอโศกเต็มตัวเพราะอุบัติเหตุร่างกาย ไม่พร้อม แต่ใจพร้อม ติดตามตลอด ปฏิบัติได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ไม่อยากทำบาปและเบียดเบียน
พ่อครูว่า…เอ้า ก็พากเพียรไป
_ฝนเอื้อฟ้า : ปัญญาพุทธที่เหนือ ศาสดาทั้งหลายข้อนี้ ลึกซึ้ง น่าคิดค่ะพ่อครู
เฉโกในตนเอง เป็นความหน้าด้านน่ารังเกียจจริงค่ะ คนที่จะเป็นสัญชาติคนตรง สง่างามเสมอ แม้ใครในโลกจะเคยฆ่าคน ทำร้ายคน ยังไม่เลวร้ายเท่าจิตไม่มีสัญชาติคนตรง ตัวอย่างท่านองคุลิมาลคือ สัญชาตญานจิตแห่งสัญชาติคนตรง = ปัญญาสูง น่าเป็น หายาก กราบสาธุค่ะ
_จนให้เป็น แล้วสบาย : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งครับ คนที่กล่าวตู่ว่าพ่อครูสอนผิด และเป็นพวกนอกรีต พากันร่วมทำปกาสนียกรรมพ่อครู จนทำให้คนเขาเสียโอกาสที่จะได้รับธรรมที่แท้จริงทั้งประเทศ เพราะเชื่อว่าท่านผิดตามที่เขาประกาศจะบาปมากไหมครับ เพราะผมเห็นว่าคนส่วนมากเสียโอกาสเพราะเรื่องนี้เยอะ แทบทั้งประเทศเลยครับ
พ่อครูว่า… ที่จริงอาตมาลาออกมาจากหมู่ใหญ่ เป็นนานาสังวาสกันแล้ว แต่หมู่ใหญ่เขาก็ทำผิดพระวินัยข้อที่เอาต่างนิกายมารวมกันทำสังฆกรรม ใครสงสัยอย่างไรไปอ่านในหนังสือ ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส ที่อาตมาเขียนไว้ อาตมาไม่ได้ตั้งใจไปถล่มทลายเขา เพราะเข้าใจอยู่ว่า จริงๆแล้วจะให้ มหาเถรสมาคมหยุดล้มเลิกไปทั้งกระบวนการมันทำไม่ได้หรอก เพราะว่า โดยบริบทของสังคมชาวพุทธไทยทุกวันนี้ มันจะต้องอาศัย Status quo อันนี้ จะต้องอาศัยความเป็นจริงที่ตั้งอยู่อันนี้ขณะนี้ปัจจุบันนี้ เป็นความรู้ความเข้าใจประมาณนี้ แล้วอนุโลมปฏิโลมกันไปก่อน จะดึงขึ้นมาหาโลกุตรธรรมอย่างที่อาตมาทำอย่างนี้ได้ดึงอย่างไรก็ทำไม่ได้ มันไปจับยัดเยียดบีบบังคับเป็นไปไม่ได้หรอก จะนวดมะม่วงให้รีบสุกก็เละคามือเท่านั้นเอง ดอกไม้จะบานก็ให้มันบานเอง ไม่ใช่ไปรีบคลี่กลีบให้มันบานออก หลุดหมดพังหมด ไม่เป็นธรรมชาติ
_พลังเพ็ญ คำด้วง : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพค่ะ ปัญญา๘ ประการที่พ่อครูนำมาเทศนาให้ฟังลึกซึ้งยิ่งนัก ขอบพระคุณค่ะที่นำมาขยายให้ลูกๆได้ฟัง เข้าใจมากขึ้น จะพยายามนำมาปฏิบัติค่ะ โดยเฉพาะคำว่า ละอายอย่างแรงกล้า ต่อสิ่งที่พ่อครูเทศน์แล้วเราก็ยังทำผิดอยู่จะพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น กราบสาธุด้วยความเคารพค่ะ
พ่อครูว่า… ยังไม่หมดนะ อาตมาเขียนเล่ม 2 อยู่ รอคิวอยู่ มี รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไรเล่ม 5 ถึงจะเป็นคิวของปัญญา 8 เล่ม 1 ก็เขียนกำกับไว้ว่า ไม่แก้อีกแล้ว
ต้องวนอีกนานหากแยกโลกียะโลกุตระไม่ออก
_เดชา อำพร · ชาวพุทธภายนอกหรือสำนักอื่นๆมองต่างมุมกับอโศก..เรื่องผู้หญิงแต่งหน้าหรือทาลิปสติกนั้น คือชาวพุทธทั่วไปเขาไม่ได้มองว่าแต่งหน้าหรือทาลิปสติกเป็นอบายมุข แป้งตลับหนึ่งก็ใช้ได้ตั้งนาน ลิปสติกหลอดหนึ่งก็ใช้ได้นานโข แต่เขามองว่าการแต่งให้สวยหรือดูดีเป็นฐานกามคุณ หรือฐานโลกธรรม..แต่สำนักทั่วไปเขายังไม่ค่อยจะได้เน้นฐานสกิทาคาหรืออนาคา ที่ต้องละทั้งกามคุณและโลกธรรมหรอก เขาเน้นเรื่องระดับศีล5เป็นหลักเท่านั้น..และเขาไม่ได้มองว่าการแต่งให้ดูสวย,ดูดีเป็นอบายมุขหรือฐานโสดาบัน(มันเป็นคนละทัศนะ) ซึ่งเราว่าของเขาก็ไม่ผิด แม้แต่คำว่าโสดาบันเขายังไม่นิยมพูดถึงเลย..เขาไม่ได้มองเรื่องติดสรรเสริญ,ติดกามด้วย เขามองว่ามันยังอีกไกล พอจะมาให้นั่งสมาธิเขาก็อาจจะตั้งนโม3จบ แล้วก็ให้กล่าวคำขอศีล 5 เป็นหลัก ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกันมาก เพราะถือว่าทุกคนก็พอรู้เรื่องศีล 5 อยู่แล้ว..และเขายังมองอีกว่าเมื่อให้มานั่งสงบทำเจโตสมถะหรือทำสมาธิหลับตาแล้ว คุณจะไปทำผิดศีล 5 ได้ที่ไหน ศีลข้อ1เอามือวางบนหน้าตัก,ขาก็ขวาทับซ้าย,มือก็ขวาทับซ้าย แล้วจะไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้ที่ไหน?..
พ่อครูว่า… คุณคงวนอีกนาน คุณแยกไม่ออกเลยว่า ควรจะเอาโลกียะหรือโลกุตระ ถ้าเขาไม่เอาโลกุตระ อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไร แล้วอาตมาก็ไม่ได้ไปย่ำยีเขา เขาไม่เอาโลกุตระก็เรื่องของเขาไปสิเขาทำของเขาอยู่แล้ว แต่อาตมาพูดถึงชาวพุทธ ควรจะต้องได้โลกุตระ ควรจะมาเอาโลกุตระ ไม่เช่นนั้นคุณจะวนเวียนอยู่ในโลกียะ แม้อย่างเก่งคุณก็สูงขึ้นได้เป็นแค่ศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของศาสนาเทวนิยม แล้วไม่มีความเที่ยง เป็นสมบัติผลัดกันชม เสร็จแล้วคุณก็จะต้องเลื่อนลงต่ำ คนอื่นก็แย่งขึ้นไปเป็นศาสดา ในวงกลุ่มของคุณเองในแต่ละนิกาย ศาสนาเทวนิยมแต่ละนิกายแต่ละพวก คุณก็จะวนแย่งกันไปเอง วนตกต่ำขึ้นสูง เหมือนโลกโลกีย์เขาแย่งกัน ไม่มีวันจบ
เพราะฉะนั้น ศาสนาที่เป็นโลกียะนั้น มันเป็น สมบัติผลัดกันชมที่ตกนรกขึ้นสวรรค์ ขึ้นสวรรค์ตกนรก ตกนรกขึ้นสวรรค์ไม่มีจบ มีแต่วิบากกรรม เทวนิยมไม่รู้เรื่องกรรมวิบาก ไม่ชัดเจนเรื่องกรรมเป็นของตน ตนเป็นทายาทของกรรม กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ
เขาเข้าใจแต่ God ซึ่ง God ของศาสดาแต่ละองค์ก็สอนเป็นชุดของแต่ละศาสนา ซึ่งจริงๆแล้วศาสดากับ God นั้นอันเดียวกัน แต่ศาสนาเทวนิยมไม่รู้ตัว ว่าความรู้นี้คือของตัวเองเพราะไม่เข้าใจกรรมวิบาก ที่ตนเองได้สั่งสมมา จนได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งเขาไม่รู้ นี่คืออวิชชาที่ซับซ้อน มันไม่เที่ยง แต่เขาคิดว่าเที่ยง แต่มันไม่มีเที่ยงโดยสัจจะ แต่เขายึดของเขาเองว่า เขาเที่ยงจริงๆเลย
จริง พยัญชนะ ที่สอนกันถือกันที่บันทึกกันอยู่ อาจมีอยู่ แต่แม้แต่พยัญชนะ มันก็ไม่ได้คงที่ ก็มีคนอธิบายผิดเพี้ยนเลอะเทอะไปบ้างด้วยได้ มันก็ไม่เที่ยงอยู่ดี ยิ่งยุคนี้ ความหลากหลายมีเยอะ แต่ก่อนนี้เขาไม่ได้บันทึกแบบเทคโนโลยีอะไรอย่างนี้ ดูเหมือนมันจะอยู่เที่ยงกว่า มันจำกันแม่นกว่า แล้วก็มีการสังคายนากัน มาตรวจสอบกันมันก็จะคม แต่เดี๋ยวนี้ต่างคนต่างบันทึกไปหลากหลายมากมาย ใครจะเอาอย่าง Google ก็เอาอย่าง Google ใครจะเอาอย่างวิกิพีเดียก็เอาอย่างวิกิพีเดีย หรือใครจะเอาอย่างหัวเหว่ย Android
ที่บอกว่าหลับตาแล้วจะไปทำผิดศีลตรงไหนมันก็เป็นสมาธิแล้ว ความสะอาดไม่ได้หมายความตื้นๆอย่างคุณว่า ที่คุณหลบอยู่ในถ้ำแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครเลยและบอกว่าคุณสะอาด อย่างนั้นมันตีขลุมเอาง่ายๆ
ความสะอาดของพุทธเป็นปรมัตถธรรม จิตของคุณที่สะอาด เรียกว่า ปริสุทธา จะมีสัมผัส ตาหูจมูกลิ้นกายไปสัมผัสกับโลกธรรม แต่จิตของคุณก็สะอาดเรียกว่า บริสุทธิ์ ไม่มีเปลี่ยนแปลง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จิตจะเป็นอยู่เช่นนั้นตลอดกาล นี่คือความเที่ยงแท้ของคุณสมบัติที่ได้แล้วมีศีลเป็นปกติ แต่คุณอย่าเพิ่งไปตีกินง่ายๆตื้นๆ ไปมัดมือแล้วจะไปตีใครได้ คิดง่ายๆตื่นๆแบบนั้นมันไม่ใช่
คุณอิสรเสรีภาพนี่แหละแต่คุณไม่ไปตีใคร อย่าว่าแต่ตีใคร ใครมาตีคุณ คุณก็ไม่ตีตอบ เขาทำร้ายคุณ คุณไม่ทำร้ายตอบเลยด้วยซ้ำ นี่คุณสมบัติมันสูงส่งไปถึงขนาดนั้น
สู่แดนธรรม… ที่พ่อท่านจะหมายให้บริสุทธิ์ ต้องมีเหตุปัจจัยกระทบใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่ ทุกอย่างต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยอยู่ตลอด ยิ่งแข็งแรงเหตุปัจจัยที่จะมา กระทบกระทุ้งกระแทกคุณก็จะยิ่งแรง ยิ่งจะทดสอบคุณไปสูงขึ้นๆ นี่เป็นสัจจะ ตามบารมีด้วย สู้ได้คุณก็ชนะ สู้ไม่ได้คุณก็แพ้
ก็ศึกษาให้ดีๆ สำหรับคุณคงจะนานพอสมควร ก็พูดไปแล้ว
SMS วันที่ 11-12 มีนาคม 2565
_ซึ้งซื่อ วิเชียรครับ : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้า ผมได้ ออเดอร์ ผัก สบู่เหลว กับแชมพูมาใช้ครับ เพื่อต้องการมีส่วนร่วมกับญาติธรรมชาวบ้านราชเพื่อสนับสนุนการเป็นอยู่กับกัมมัญญาครับ ผมทำแบบนี้ จะได้(กุศล)มากไหมครับ
พ่อครูว่า…ก็สะสมกุศลเป็นสมบัติไปตามลำดับฐานะ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท… ตอนนี้ banraj shop ก็ปิดสั่งผักก่อน เพราะคนเขาเชื่อมั่นในความเป็นผักไร้สารพิษของที่นี่
อยู่แบบกดข่มกรรมใครกรรมมันไม่ใช่แบบพุทธ
_ไพรดอกหญ้า มั่นคง : กราบนมัสการค่ะพ่อท่าน.ที่เคารพและศรัทธายิ่ง.ลูก ๆ ฝึกอยู่อย่างไรใจจะไร้ทุกข์ อยู่แบบกรรมใครกรรมมัน ไม่เอาใจไปเกาะเกี่ยวกับใครใจเราจะได้ไม่ทุกข์.ถูกมั้ยค่ะพ่อครู
พ่อครูว่า…ไม่ถูกหรอก แบบนั้นก็คือพวกเชน พวกหนีจากโลก – ไปไม่เกี่ยวกับใครเลย เอาตัวเองไปทิ้งเป็นเศษขยะรอวันตายไป ก็กินน้อยนะพวกเชน กินน้อยใช้น้อย อาศัยให้ชีวิตหายใจไป อะไรก็ไม่เอาทั้งนั้น นอนโคนไม้นอนพื้นดินไป เสื้อผ้าหน้าแพรไม่เอา เครื่องไม้เครื่องมือไม่ใช้ ผมก็ถอนเอา แม้แต่มีดโกนก็ไม่ใช้ เลือดโซมเลย เขาก็ทนได้ โอ้โห สุด ทุกรกิริยา ฝึกอดทนจริงๆเลย ผ้าผ่อนไม่นุ่ง นุ่งลมห่มฟ้า
เป็นการกดข่มอดทนที่สุด ไม่ใช่วิธีการของศาสนาพุทธที่ให้เรียนรู้ตัวกิเลส ให้เกิดปัญญาเป็น อุณหธาตุ มีฤทธิ์พิเศษที่ละลายกิเลสได้จริงๆ ฉะนั้นการสร้างปัญญาพลังงานจิตให้เกิดปัญญา จึงเป็นสุดยอดของการสร้างพลังงานในโลก
เพราะฉะนั้นพลังงานนิวเคลียร์ที่เขาใช้อยู่ทุกวันนี้ มันก็เป็นของหยาบทั้งนั้น แต่พลังงานของพระพุทธเจ้าที่ให้สร้างปัญญาเป็นของละเอียดลึกซึ้ง มีประสิทธิภาพที่ทำให้กิเลสดับได้ ลูกระเบิดปรมาณูระเบิดนิวเคลียร์ ดับกิเลสไม่ได้หรอก คิมจองอึนคิดไปได้ขนาดไหนก็ไม่รู้ ก็ไม่มีทางดับกิเลส
_1945 อยากให้มีสื่อการ์ตูน
พ่อครูว่า…เราไม่มีคนทำ แม้แต่หนังสือเดี๋ยวนี้ก็ลดลงเยอะแล้ว ยิ่งจะทำให้เป็นอนิเมชั่น กระดุกกระดิกได้เราไม่มีแรงงานพอ ไม่มีคนทำพอ เอาคนจริงๆก็มีเหลือแหล่อยู่แล้วตามลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่ต้องทำเป็นการ์ตูนหรอก พยายามทำตัวเองให้โตขึ้นมาอย่าเป็นเด็กต่อไปอีกนักเลย
_จนให้เป็น แล้วสบาย : กราบนมัสการพ่อด้วยความเคารพยิ่งครับ ผมอยากรู้ว่าความรู้ ความฉลาด ที่มาจากเนื้อสมอง กับความรู้ที่เป็นปัญญาที่เป็นปรมัตถ์ที่ทำให้รู้แจ้งเห็นจริงมาจากเนื้อสมองเหมือนกันไหมครับ🙏🙏🙏
พ่อครูว่า…สมองเป็นวัตถุเป็นที่พักเป็นคลังให้วิญญาณในธาตุรู้ ธาตุจิตให้อาศัย หัวใจสูบฉีดโลหิต เป็นเรื่องของรูปธรรม หัวใจเป็นที่อาศัยให้สูบฉีดโลหิตเข้ามาเลี้ยงร่างกาย หน้าที่ของหัวใจก็เป็นเรื่องของเลือด หน้าที่ของสมองก็เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… คนก็บอกว่า คนนี้สมองดี จำแม่น พ่อครูบอก จิตวิญญาณอาศัยสมองใช้งาน ผู้ที่อยากมีสมองดีก็มาลดกิเลส ลดความเฉกะ สมองก็จะดี ทำสิ่งที่ดีให้กับตนเองและสังคมได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่คนสมองแบบโลกีย์เอาชนะคะคาน ก็ยิ่งเปลืองพลังงาน สมองก็จะไม่ดี ถ้าเราดูหนัง อโศกมหาราช ไปดูตัวโกงไม่มีคิดดีสักตอน มีแต่คิดชั่ว แต่อโศกทำแต่ดี พอทำดี ก็ถุกคนใส่ร้ายป้ายสีว่าทำไม่ดี คล้ายๆกับพ่อครู ทำดีแล้วต้องต่อสู้อีก ทำดีแล้วไม่ได้โลกธรรม
_ภานุพงศ์ ป้องกันภัย : กราบนมัสการครับ มือใหม่หัดฟังธรรม ผมพยายามทำตามที่พ่อท่านสอนชาวอโศก คือ การกินน้อย ใช้น้อย และทำงานให้มากเพื่อส่วนรวม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน บางครั้งก็ได้คำชม ก็ยิ้มดีใจ แต่มาคิดได้ว่า เราไม่ได้ทำเพื่อคำชม แต่เราทำเพื่อเปลี่ยนแปลงตนเอง
พ่อครูว่า… ใจเราเป็นอย่างไร มันก็ทำเองทั้งนั้น ไม่รู้ก็ทำด้วยอวิชชา เรารู้เราก็ไม่ทำให้มันมีอาการที่ผิด เราจะค่อยๆเข้าใจ อาการ ลิงค นิมิต ตามที่อธิบาย เรียกว่า อุเทส แล้วก็คุณก็ไปทำที่จิตตรงที่มีอาการแล้วจับให้นิมิตเครื่องหมายของจิต ว่ามันมีความต่างกัน องค์ประกอบตั้งแต่ 2 หน่วยขึ้นไป มันจะมีความต่างกัน 2 หน่วยขึ้นไปไม่มีอะไรเหมือนกันเลย
จัดการเรื่องจิตวิญญาณเป็นเรื่องจบสุด
_ช่อทิพ หนูทอง : คนยุคนี้ ไม่เข้าใจเรื่องจิตวิญญาณ สนใจแต่วัตถุ
พ่อครูว่า… ออกความเห็นมาเท่านั้น ก็จริง คนสนใจเรื่องจิตวิญญาณมีนะ แต่มีน้อยก็ต้องทำ ก็ต้องช่วยกัน ช่วยเหลือเขา เพราะว่ามันเป็นเรื่องจบ มันไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยปละละเลย มันเป็นเรื่องที่ต้องสนใจใส่ใจ ไม่อย่างนั้นไม่จบหรอก ไม่มาจัดการที่จิตวิญญาณกับกิเลส จิตวิญญาณกับกิเลสนี้เป็นตัวสำคัญที่ต้องเรียนรู้และจัดการกิเลส
ถ้าจัดการกิเลสจบ คุณเป็นพระอรหันต์แล้ว จะเกิดมาอีกกี่ชาติ คุณก็มีฐานเป็นหลักประกันของคุณแล้วได้เลย อันนี้ เถรวาททางศาสนาพุทธเมืองไทยก็ไม่เข้าใจ เพราะว่าเขาหนักไปทางอุจเฉททิฏฐิ คือบรรลุอรหันต์เสร็จแล้ว ตายลงไปเมื่อไหร่ต้องสูญ ต่อไม่ได้ นี่เป็นอุจเฉททิฏฐิชนิดหนึ่ง เป็นพวกปฏิเสธการเกิด ก็ยังดีนะเป็นอรหันต์ตายแล้วสูญ ถ้าไม่เป็นอรหันต์ ตายแล้วก็ต้องเกิดอีก
ถ้ายังเข้าใจผิดไปเลยอย่างพวกเทวนิยม ตายแล้วชาติเดียวไม่มาเกิดอีกก็ไปอยู่กับพระเจ้าจบอยู่แค่ชาติเดียว ไอ้นั่นยิ่งหนัก พวกเทวนิยม หลายศาสนาเลยตายไปแล้วไปอยู่กับพระเจ้าเพราะเขาไม่รู้กรรมวิบาก ไม่รู้โลกที่มีความหมุนเวียน
ฝึกอานาปานสติอย่างไรให้เป็นลำดับไม่ลัดขั้นตอน
_จากโยม”ที่กำลังสงสัย” : การฝึกทำอานาปานสติแบบพุทธหรือการปหานกิเลสในทุกลมหายใจเข้าออกนั้น โยมสงสัยว่า ช่วงที่เรากำลังฟังธรรมหรีอช่วงที่เรากำลังอ่านหนังสือ เราจะเว้นวรรคไว้ก่อนได้มั้ย หรือว่าต้องฝึกทำอานาปานสติไปทุกลมหายใจเข้าออกให้ได้เป็นที่สุดเจ้าคะ
พ่อครูว่า…นี่ล่ะ ถ้าพูดไปแล้วมันน่าจะทุบหัวพวกที่มาสอนผิด โอ้โห.. เราก็ต้องมา ตามล้างตามเช็ด ต้องมาอธิบายขยายความหมาย
อานา กับ อาปานะ แปลว่าลมหายใจเข้า ลมหายใจออก คุณจะสลับกันยังไงก็ได้ จะให้อานา เป็นลมหายใจออกหรือเข้าก็ได้ อาปานะ ลมหายใจเข้าหรือออกก็ได้ไม่เป็นไรให้ถูกก็แล้วกัน ให้ตรงก็แล้วกัน
ทุกลมหายใจเข้าหายใจออก มีสติตื่นเต็ม รู้จักผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจทุกอย่าง ตื่นเต็มร้อย เสร็จแล้ว คุณปฏิบัติมันมีลำดับ ของพระพุทธเจ้าปฏิบัติไปตามศีล 5 ตามลำดับ คุณอย่าไปเลอะเทอะ อะไรก็เอาหมดกิเลสมันเกิดก็เอาหมด ไอ้ที่มันยากยังสูงคุณไม่อยู่ในฐานที่จะต้องทำก็เอาไว้ก่อน
กิเลสเกี่ยวกับสัตว์ อาตมาก็อธิบายซ้ำซากไปไม่รู้กี่ทีแล้ว สัตว์เดรัจฉานทุกตัว ปล่อยเขาตามยถากรรม อย่าไปยุ่งกับเขาเลย เขาจะฆ่าแกงกัน เขาจะกินกัน งูจะกินเขียด ก็เรื่องของเขา จะให้งูมันมากินผักบุ้ง มากินดอกดาหลา กินฟักทอง มันไม่ได้ งูมันก็ต้องกินสัตว์ เป็นสัตว์กินสัตว์มันต้องกินสัตว์ มันเป็นวิบากกรรมของเขา ที่เขาจะต้องวนเวียนอยู่ในวิบากจนกว่าจะเลื่อนฐาน
จากสัตว์ที่กินเนื้อมาเป็นสัตว์ที่กินพืช นี่เป็นบารมีของสัตว์ บารมีของสัตว์กินเนื้อ ยังยาก พอมาเป็นคนแล้ว มาเป็นสัตว์ที่กินพืชแล้วก็เจริญขึ้นมาหน่อย แต่เมื่อมาเป็นคนแล้วกลับไปกินสัตว์ กินเนื้อสัตว์ ฆ่าสัตว์มากินอีก ก็วนเวียนลงไปเป็นสัตว์อีก มาฉลาดแล้วก็กลับไปโง่ซ้ำโง่ซ้อน ให้เหมือนกันกับสัตว์เดรัจฉาน แล้วเมื่อไหร่มันจะเจริญสักที
อาตมาไม่ขยายความมาก เรื่องไม่กินเนื้อสัตว์ ขยายไปจนกระทั่งเป็น บุญญาวุธ หมายเลข 1 เรื่องมังสวิรัติ เรื่องไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ค่อยๆค้นคว้าเอา อธิบายไว้ บันทึกไว้มีเยอะแยะ
เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติตามลำดับ ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ และคนก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง นี่แหละให้ระมัดระวังสัมผัสกับสัตว์คน สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องไปสัมผัสกับมัน ไม่ต้องเอามาเลี้ยงเลย อย่าไปกินแรงสัตว์ เอาสัตว์มาใช้แรงงานก็ไม่ต้อง เป็นวิบากซ้ำซ้อนไปอีกเยอะแยะอีกนานชาติ หรือแม้แต่หลงดีใจ เอาสัตว์มาฝึกให้มันเก่ง มันชำนาญ มันฉลาด มันทำงานได้ทำอะไรได้พิสดารเลย คุณก็อาศัยมันแล้วมันก็มีวิบากต่อกันอยู่นั่นแหละ คุณไปกินแรงมัน คุณจ่ายเงินเดือนให้มันก็มีนะ แล้วใครได้ เจ้าของหมาได้ ไม่ใช่หมา หมามันไม่รู้เรื่องหรอกเรื่องเงิน ตั้งระดับชั้นด้วยนะ เป็นขนาดนายร้อยก็มี หมา มียศให้ มีอัตราเงินเดือนให้ก็ทำไป ก็เป็นเรื่องโลกๆ ต้องอาศัยพวกนี้อยู่กันไป ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่มีฐานอาศัยก็ต้องเข้าใจ เขาก็ต้องวนเวียนอยู่
ผู้ที่จะเตือนกันได้ อยู่ในฐานที่ควรจะขยับกันขึ้นมา แคะไค้กันขึ้นมาได้ เหมือนเด็กๆก็อยู่ฐานเด็ก เขายังไม่เดียงสายังไม่โตพอที่จะมาเป็นผู้ใหญ่ ไปบังคับมาก็ไม่ได้ไม่ดี มันเหมือนดอกไม้จะบานก็ต้องมีเวลาบานของมัน เมื่อไม่ถึงเวลาจะไปบังคับบีบบี้ มันผิด
ทีนี้ คนที่มีอานาปานสติ คือ คนมีลมหายใจ ทุกลมหายใจเข้าออก แล้วปฏิบัติไปตามลำดับ ศีล ข้อที่ 1 2 3 ข้อ 4 และ 5 ซึ่ง 5 ข้อนี้ครบแล้ว 3 ข้อแรกเป็นหลัก ส่วนข้อที่ 4 เกี่ยวกับการพูดจา ก็เกี่ยวกับ 3 ข้อแรกเป็นหลัก ข้อ 5 เป็นเรื่องของจิตที่ไปเมาไปหลง ก็ให้มันฉลาดกับ 3 ข้อที่เรากำหนดหมาย หลักเกณฑ์ เรียกว่าหลักเกณฑ์ เกี่ยวข้องกับสัตว์กับคน
ข้อที่ 1 ไม่ฆ่า ไม่ทำร้าย วางอาวุธ วางศาสตรา สร้างจิตให้เป็นจิตเมตตา กรุณา เอ็นดู หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ สัตว์คนนี่แหละ ทำจิตแบบนั้น ที่เป็นศีลข้อที่ 1
ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับวัตถุและพืช มันต่างกันอย่างไร สัตว์กับวัตถุกับพืช ต่างกันเพราะว่าสัตว์ มันจองเวรจองกรรม มีวิบากบาป วิบากกุศลโยงใย เป็นหนี้เป็นพันธกิจแก่กันและกัน ไปตลอด
ส่วนพืชกับวัตถุ มันไม่มีบาป ไม่มีจองเวรจองกรรม ใครทำมัน มันไม่รู้จักที่จะไปจองเวรใคร มันไม่ไปถือวิบากไม่มี แต่ต้องระมัดระวังทุจริต ในศีลข้อที่ 2 อันไม่ใช่ของๆเรา วัตถุก็ดีพืชก็ดี ที่ไม่ใช่ของของเราเขาไม่ยินดีให้ อย่าไปเอาของของเขา แม้จะถือวิสาสะ
ถือวิสาสะ หมายความว่าอยู่ด้วยกันก็จะเอาของกันได้ใช้ร่วมกันได้แค่นี้ก็ถือว่าได้ ซึ่งถ้าเรายังไม่แน่ใจว่า เขายึดถือของเขาอยู่นะ ก็อย่าไปเอา อย่าไปละลาบละล้วง นี่เรียกว่าถือวิสาสะ แต่ถ้าอย่างสังคมพวกเราเป็นสาธารณโภคี ช่วยกันดูแลรักษาเก็บงำ ประหยัด อย่าสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยทิ้งขว้างใช้กินร่วมกัน ให้ เอาแต่ของที่เขาให้ ไปขอส่วนแบ่งจากผู้ดูแลรักษา ควรจะแบ่งแจกกันใช้ไป
พวกเรามีรายละเอียดเยอะ ก็จะไม่อธิบายเพราะมีความละเอียดในตัวอยู่แล้ว มันก็เลยไม่ต้องพูดกันมาก เพราะปฏิบัติกันจนกระทั่งเข้าเนื้อแล้ว 50 ปีที่ผ่านมา มันเข้าเนื้อเข้าหนัง เข้ากระดูก เข้าจิตวิญญาณด้วยก็เลยกลายเป็นแบบนี้ สมบูรณ์แบบดี
ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เกี่ยวข้องกับการติดยึด เสพรสอัสสาทะ ของรูป เสียง กลิ่น รสทางลิ้น สัมผัสทางกาย สัมผัสทางใจ แล้วคุณก็ติดในรสอัสสาทะของมัน อันนี้ยากกว่าไม่ฆ่าสัตว์ ยากกว่าไม่ทุจริตในข้าวของ
แล้วมันก็ติดอยู่ในชีวิตของคนทุกคน ซึ่งจริงๆแล้วเบื้องต้นต้องทำก่อนด้วยซ้ำ แต่หยาบๆก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ คุณปฏิบัติก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนมาอยู่ในระดับ 3 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็ค่อยๆเรียนไป จนกระทั่งภายนอก ตาหูจมูกลิ้นกาย เรียกว่า กามคุณ 5 ไม่เสพมาเป็นรสอร่อย มาเป็นรสสุข ลดลงๆๆ จนกระทั่งสัมผัสแล้ว เราก็ไม่สุขไม่ทุกข์ภายนอก เกิดกิเลสกับภายนอก แต่มันยังมียุกยิกๆ อยู่ภายใน เป็นรูปธรรมภายใน เรียกว่ารูปราคะ แล้วยังมีลึกเข้าไปจากหยาบ รูปราคะ ดับรูปลดให้หมดจึงเหลืออรูป อรูปราคะ เป็นตัวสุดท้าย ถ้าไม่ทำไปตามลำดับ ไม่ได้ไปสะสมไม่ได้ ตัดลัดไขว้หัวไขว้หาง ไม่ได้เรื่อง นี่ก็เป็นรายละเอียดที่สำคัญมาก
เรียนดีๆอยู่กับหมู่ หมู่ฝูงที่เป็น มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มีวัฒนธรรม มีทั้งสิ่งที่มันเป็นเรื่องซึมซับ ไหลเข้าหาตัวเราอย่างไม่รู้สึกเรียกว่า osmosis เพราะฉะนั้นการอยู่กับหมู่ดีเรียกว่า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี กัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของศาสนา ของพรหมจรรย์ ของการปฏิบัติธรรม
เรามีชีวิตร่วมกันก็ช่วยกันเป็นสังคมที่ดี เป็นสังคมที่มีคุณธรรม มีวัฒนธรรมดีหมดแล้ว ไม่อยากจะพูดว่า อย่างอโศกเรานี่ ในยุคนี้เป็นเลิศเป็นยอดจริงๆในโลก ไม่อยากจะพูดหรอกเพราะเขาจะหมั่นไส้ว่าหลงตัวหลงตน ที่จริงมันเป็นเช่นนั้นจริงๆมันเป็นโลกุตรธรรมขั้นที่ 1 ลำดับที่ 1 สังคมไก่ตัวพี่ ของโลก
แม้แต่ทุกวันนี้เถรสมาคมเขาเงียบ เขาไม่กล้าประท้วง ไม่กล้าตอแย เพราะเราเอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก เขาก็ยึดถือพระไตรปิฎก ถ้าใครไม่ยึดถือพระไตรปิฎกไม่เอาพระไตรปิฎกเราก็ไม่คุยด้วยนะ แต่นี่โชคดีที่ประเทศไทยยังนับถือพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐด้วยกัน อันนี่เป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่ของอาตมามาก ถ้าไม่อย่างนั้นอาตมาตายอย่างเขียดเหยียดขาตายถูกเหยียบตาย ตอนนี้เป็นสัจจะ เพราะอะไร เพราะเขาก็มีปัญญา เถรสมาคมต้องมีปัญญา ไม่งั้นอาตมาตายอย่างเขียด ก็คนไม่ฉลาดมันไม่รู้เรื่องจะทำร้ายผู้ที่ไม่ควรทำร้าย เขาก็ไม่รู้บาปบุญกุศลอะไรหรอก เขาก็ทำไป แต่นี่ เขามีปฏิภาณปัญญา นี่แหละคือ ธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม