650228 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 29 อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติได้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1_nGWr0Cc-K80PPcnJBU_QxK6uZkC9ej5hn_lEPw1Pjw/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1OZHL35OIsKHxSh_-ilv7asRZIbtaWDyo/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/watch/live/?ref=watch_permalink&v=468614481637889
และ
_สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ชาวอโศก ชาวพุทธ มีหลักประกันของการปฏิบัติธรรม ให้เราอยู่ได้ในทุกสถานการณ์ที่โลกเขามีการเปลี่ยนแปลง
พ่อครูว่า…วันนี้ ขอยก sms ไว้ก่อน ก่อนอื่น เขากำชับให้โฆษณา หนังสือรวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไรเล่ม 4 คนเราก็รู้กันได้ด้วยสื่อ โดยเฉพาะสื่อสารด้วยภาษาความรู้ ใช้ภาษาถิ่นภาษาพ่อแม่ภาษาของแต่ละชนชาติ พูดสื่อกันออกไปสื่อสภาวธรรมกันให้เข้าใจ ให้เข้าใจกันได้ดี แต่ถ้าใช้ภาษาบาลีใช้ภาษาอื่นที่ไม่ใช่ของเราใช้ภาษาต่างประเทศ ก็พอประกอบบ้างนิดๆหน่อยๆ เผื่อสำหรับคนที่แม้จะเป็นคนไทย ก็ไปเข้าใจในความหมายภาษาอื่นเขาบ้าง บางคนเข้าใจภาษาบาลี ใช้ภาษาบาลีเข้าใจลึกดีนะ หรือใช้ภาษาอังกฤษเข้าใจลึกดีนะใช้ประกอบกันบ้าง แต่จริงๆแล้วส่วนใหญ่ก็คือภาษาพ่อภาษาแม่ หรือภาษาถิ่นที่ตัวเองมี
คนเราไม่ได้เกิดชาติเดียว เกิดมาอยู่ในชาตินี้ในสัญชาตินี้จะอยู่เป็นคนไทยก็จะเกิดเป็นไทยมาไม่รู้กี่ชาติ ร้อยชาติพันชาติหมื่นชาติแสนชาติ เพราะฉะนั้นมันก็จะฝังภาษาไว้เยอะ แน่นมาก คนชาติไหนก็แล้วแต่จะเกิดในชาตินั้นอยู่นาน ส่วนมากท่านจะใช้ภาษาคำว่า 500 ชาติ อย่างน้อย ซ้ำอยู่นั่นแหละ ที่จริงเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนชาติทีเดียว แล้วมันก็จะเป็นสัญญา เรียกว่าสัญชาติญาณ ที่จะรู้โดยอัตโนมัติและรู้อย่างเข้าใจลึกซึ้ง ความรู้ที่มันรู้อย่างฝังรากหยั่งลึก ฝังลึก มันอธิบายยากจริงๆ แล้วรู้แล้วเอามาอธิบายได้เท่าที่มีปฏิภาณปัญญามีบารมีที่จะสื่อภาษานี้ออกไปสู่ผู้อื่นให้รู้ได้ นั่นก็เป็นบารมีของแต่ละบุคคล
พ่อครูเป็นดีเจคนแรกของประเทศไทย
วันนี้ มีมากมายที่ให้อาตมาโฆษณา นอกจากจะโฆษณาหนังสือแล้ว นี่หอมแดงหุ้มทองมาด้วย ชีวิตอาตมาแต่ก่อนเคยไปเป็นคนเลี้ยงลูกให้เขา ซักผ้า ทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน ให้คุณล้วน ควันธรรม ตอนนั้นจำเป็นจำนนจึงต้องทำ อาศัยให้เป็นอยู่รอดก็ได้ไปเรียนหนังสือ ก็ยังดีที่คุณล้วนเขายังให้จักรยานใช้ 1 คัน ในชีวิตก็ยังไม่เคยเห็นใครใช้จักรยานแบบนี้ คุณล้วนใช้อาศัยให้ขายหนังสือเขา เราก็อาศัยรถจักรยานอันนี้แหละที่ไปขาย หน้าเฉลิมกรุง แยกเฉลิมบุรี ที่เขามีงาน เอาใส่รถถีบไป เบรคมันจะเป็นแบบฟรีสเตอร์ลิง ถอยหลังปุ๊บมันจะหยุด ได้ใช้ตอนเรียนม.7 ม.8 เขามีกระเป๋าหนังสือใบใหญ่ให้ใช้ แต่ก็ไม่ได้ยึดมาเป็นของเรา ออกมาแล้วก็ไม่ได้เอาอะไรไป กระเป๋า รถจักรยาน เขาให้แหวนเหล็ก หัวมันสี่เหลี่ยมอาตมาชอบใส่นิ้วนางพอดีเลย ดูเท่ แหวนเหล็กสแตนเลส เหล็กหัวสี่เหลี่ยมธรรมดา ก็ให้ใส่ อาตมาออกมาจากบ้านคืนเขาหมด แหวนก็ถอดคืนออกมา ไม่เอาอะไรติดตัวมาเลย ที่เป็นของคุณล้วน เพราะว่า เขาพูดประวัตินิดหน่อย
อาตมาเป็นดีเจคนแรกในประเทศไทย ตั้งแต่สถานีวิทยุในประเทศมันมีอยู่ 3 สถานี 1. กรมประชาสัมพันธ์ 2. สถานี 1 ปณ. 3. สถานีรักษาดินแดน ของทหาร อยู่ที่ท่าพระจันทร์
อาตมาสนิทสนม ตั้งแต่เด็กๆอายุ 16-17 ตั้งแต่เรียนอยู่กับคุณล้วน สนิทสนมยังไงไม่รู้ เป็นความพิเศษของอาตมา 1 ปณ อาตมาทำละครวิทยุเอาไปเข้าเลย ทั้งๆอายุแค่ 15 16 17 ลุงเหงี่ยมให้เต็มที่เลย อาตมาก็ทำอยู่ตอนรักษาดินแดนเกิด คุณล้วน ก็ขอออกเป็นช่องรายการเพลง เอาเพลงของเขา แผ่นเสียงเอามาโฆษณา หรือได้เป็นเสียงของคนอื่นก็ตามเป็นเพลงใหม่ออกมา ดีใจ ได้มาก็เอาไปเปิดโชว์ก่อนใครเลย ได้มาแล้วดีใจ เดี๋ยวนี้จ้างนะ เจ้าของเพลง แผ่นเสียงต้องมาจ้าง ต่อมาต้องมาจ้าง เดี๋ยวนี้มันไกลไปลิบลับแล้ว
อาตมาเป็น DJ คนแรก เปิดเพลงแล้วก็บรรยายไป แรกๆก็บรรยายอย่างเท่ แต่งเป็นกลอนแปด บรรยายเสร็จก็เปิดเพลงไป มีพูดบ้าง เป็นภาษาร้อยแก้วธรรมดาบ้าง กลอนประกอบอย่างเท่เลย เป็นดีเจคนแรกในประเทศไทย ได้สปอนเซอร์ มีสปอนเซอร์ใหญ่ 2 เจ้าของคุณล้วน คือ จักรPfaff กับ นาฬิกา Rolex อาตมาไม่ได้แอ้มเลย นาฬิกาจะให้สักเรือนก็ไม่มี หรือว่า จักรPfaff ได้เงินได้ทองมาไม่เคยเล็ดลอดมาให้อาตมาเลย ก็ขอพูดความเป็นจริงไม่ได้มีนินทาว่าร้าย พูดถึงความขี้เหนียวของแก
ขนาดแกชอบกินไอศกรีม อยู่หน้าศาลเจ้าพ่อเสือ ถนนบรรทัดทอง เป็นร้านอร่อย ไอ้เราก็อยากกิน แกก็ให้ไปซื้อใส่กระป๋องมา แกก็นั่งกินต่อหน้าเรา ใช้หมดก็บอก แกไม่แบ่งให้เรากินเลย เราก็ไม่ค่อยมีสตางค์มากไม่ค่อยได้กิน แกก็ซื้อมากินบ่อย ให้เราไปซื้อมาแกก็กินของแกคนเดียว จริงๆมันเป็นบทฝึกหัดของเรา ให้เราอดทนสู้ อย่าไปริษยาเขา ใครจะขี้เหนียวใครจะมีใครจะให้เราก็คุณเราไม่เกื้อกูลเรา เขาก็มีส่วนเกื้อกูลเราเพราะเราได้อาศัยบ้านอาศัยที่กินที่อยู่ที่หลับที่นอน อาศัยเรียนหนังสืออยู่มีชีวิตไป เราก็เห็นอันนี้เป็นหลักเป็นบุญคุณ
สู่แดนธรรม.. คนทางบ้านถาม ตอนพ่อท่านเป็นดีเจเปิดเพลงแนวไหนครับ
พ่อครูว่า… เพลงลูกกรุง เพลงคุณล้วนเป็นหลัก ต่อมาก็มีเพลงของเขา เมียเขา สะอาดนิลอร่าม เมียเขาหนี แม่นายแหลม นายหลิม ลูกชายของคุณล้วนเขา เขาหนี อาตมาก็เลยต้องมาทำหน้าที่แม่บ้านแทนเขา เลี้ยงนายแหลม นายหลิม ก็เด็กๆฟังประวัติไป
สู่แดนธรรม.. ชีวิตตอนบุญบารมีเก่าไม่ปรากฏ ก็เป็นไปตามวิบาก อุปมาว่า การเกิดยังไม่ปรากฏ เหมือนทารกมีเมือกไคลมารดาหุ้ม ดวงตายังไม่เปิด แขนขาไม่แข็งแรงก็ต้องเป็นไปตามโลก ตอนนั้นยังไม่มีความคิดเรื่องธรรมะสักอย่างใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… วิบากมาตามเล่นงาน ยังไม่คิดเรื่องธรรมะธรรมโมอะไร เป็นคนธรรมดาเป็นแต่เพียงคนไม่ทำชั่วก็อยู่กับโลกนี้แหละ เป็นคนรับใช้เขาไปส่วนใหญ่
คุณล้วนไม่ได้ส่งเสริมเพลงการของอาตมาเลยทั้งๆที่เขารู้ว่าอาตมามีฝีมือในการแต่ง ก็เคยเล่าว่ารู้ได้อย่างไร อาตมาเหมือนเลขาเขา เขาเปิดประกวดเพลง โดยมีทำนองเขาขึ้นมา เสร็จแล้วก็ประกาศไป เล่นเปียโนเมโลดี้ต่างๆให้พวกที่นั่งฟัง เสร็จแล้วคนที่สนใจบอกว่าประกาศแต่งเพลงชิงรางวัล ใส่เนื้อมา ทำนองของเขานี่แหละ ประกวดประขันกันและมีรางวัลให้
อาตมาเป็นเลขาเก็บใส่แฟ้มเป็นปึก มีทั้งไพบูลย์ บุตรขัน แต่เขาใช้นามปากกาว่า ตรีบูรณ์ , ศักดิ์พิสิษฐ คุรุการ ที่เขาแต่งอยู่กับสุนทราภรณ์เยอะ ภาษาเขาหวือหวามาก แต่เขาใช้นามปากกาว่า ศักดิ์พิสิษฐ์ คุรุการ เขาก็แต่งมา ส่งมาหลายร้อยรายส่งมาประกวด เสร็จแล้วเขาก็ตัดสิน คัดเลือกได้ของศักดิ์พิสิษฐ์นี่แหละ เป็นเบอร์ 1 ใส่เรียบร้อยเขาก็แต่ง เป็นเพลงแต่งชมโฉม วาสิฏฐีจำแลง ชมโฉมนางงามวาสิฏฐี
อาตมาก็วันสุดท้ายเลยนะ แต่งขึ้นมา แล้วก็ไปแปะอันสุดท้ายหน้าแฟ้มเลยเขาตื่นมาก็เปิดดู เขาก็ดู เพลงกลางไพรสณฑ์ อาตมาก็ชมไพรพนา เขาก็อ่าน โอ้โห เขาบอก เฮ้ย ไอ้นี่มาเมื่อไหร่วะ อาตมาก็ว่าพึ่งมา เขาก็ว่าตัดสินแล้วนะ ว่าให้ของศักดิ์พิสิษฐ์เป็นอันดับ 1 อาตมาแปะไปเป็นวันสุดท้าย เขาก็ดูแล้ว โอ้โห ดีนี่หว่า เฮ้ย แต่มันตัดสินใจให้คนนี้เป็นที่ 1 แล้วนี่หว่า โอ้โห ยังไม่ได้ประกาศผลออกไป เขาก็ว่า รักพี่เสียดายน้อง ให้ที่ 1 ทั้งคู่เลยละกัน
วันดีคืนดีเขาก็ประกาศรางวัลที่ 1 ได้แก่ศักดิ์พิสิษฐ์ พิสิษฐ์คุรุการ อาตมาใช้นามปากกาว่า ยุบลรัตน์ นามแฝงของอาตมา เสร็จแล้วเขาก็ประกาศ ตกลงที่ 1 มี 2 สำนวน รักพี่เสียดายน้อง เขาก็ประกาศที่ 1 มี 2 คน รางวัลเป็นปากกาเชฟเฟอร์ สลักชื่อ อาตมาก็เป็นคนไปซื้อปากกานั่นแหละ แล้วก็สลักชื่อใส่ปากกานั่นแหละ 2 ด้าม ประกาศ ศักดิ์พิสิษฐ์เขาก็มารับรางวัล อีกรางวัลหนึ่งก็อยู่ที่เรา นานแล้วไม่มีคนมารับสักที เขาก็บอกว่าไอ้แป๊ก ไอ้คนนี้ทำไมมารับรางวัลสักที เราก็ไม่ได้บอกว่าอย่างไร ทำเหมือนผ่านๆ ก็เขาไม่มาก็ไม่มาก็ผ่านไป เขาก็ถามหลายที สุดท้ายมันไม่มีทางเลี่ยงก็บอกเขาว่า อันนั้นน่ะ ผมแต่งเองเป็นผมเองครับ
เขาก็บอกว่า ไอ้***** ให้กูเสียเงิน แทนที่จะชม แหม นี่คือรางวัลของอาตมา
สู่แดนธรรม… สมัยพ่อท่านยังไม่เกิดพุทธะขึ้นมา ก็ดูเหมือนมีแต่ความต่ำต้อยด้อยค่า ต้องโกโรโกโส เหมือนถูกสกัดดาวรุ่ง
พ่อครูว่า… ตอนนั้นอายุประมาณ 17 ปียังไม่ถึง 18 ปี ก็แต่งเพลงพวกนี้ เพลงก็ดังอะไรไป แกไม่เคยส่งเสริม เพราะฉะนั้นจะไม่มีเพลงของอาตมาในของคุณล้วน ที่ดังอยู่ในสังคมสักเพลง
เพลงก่อนสิ้นแสงตะวัน ทำนองของพี่ตุ๋ย(สง่า ทองธัช)มันดังก่อน ทีนี้เพลงที่อาตมาแต่งทั้งเนื้อและทำนองของตัวเองเลยคือ เพลงผู้แพ้ มันดัง ตอนนั้นอายุ 20 แล้ว แต่เพลงที่มีมาก่อนก็มีแล้ว
สรุปอย่างนี้ ไอ้เรื่องของเพลงการ มันก็เป็นอันนึง แม้เพลงการที่แต่ง ที่อาตมาแบ่งศิลปะออกเป็น 5 ขั้น ไอ้ที่ไม่ใช่ศิลปะเลยเรียกว่าลามก เพลงก็ตาม ศิลปะขีดเขียนจิตรกรรมก็ตาม วรรณกรรมก็ตาม Music ก็ตาม เพลงมันลามก มันแฝงเรื่องไม่ค่อยดี เรื่องหยาบๆ เรื่องไม่ค่อยดี มันมี เขาเรียกเพลงใต้ดินพวกชอบร้องกัน ..ลามก
ต่อมาศิลปะขั้น 2 คือ ราคะ คือเพลงที่มีกาม เรื่องรักใคร่มีเยอะมาก ราคะนี้เยอะมาก ตั้งแต่ราคะค่อนๆไปถึงลามก จนกระทั่งขึ้นมาถึงบนดิน เป็นจัดจ้านราคะะจัดจ้าน ราคะมากมายเรื่องรักเรื่องใคร่แล้วดังเยอะ ใช้อาศัยเยอะยิ่งกว่าเพลง ลามก
จากราคะเพิ่งจะหมดจากกิเลสพวกนี้ มาเป็นเพลงสาระ
ลามก ราคะ สาระ เป็นเนื้อหาเป็นแก่นสาระ ก็อาจจะเป็นเพลงไม่ค่อยดี ไม่ค่อยเพราะ เพราะมันจะเป็นสาระที่แข็งๆไปบ้างก็มี ผู้ที่แต่งยังไม่ค่อยเก่ง ก็จะเป็นเพลง ทื่อๆแข็งๆ เป็นเพลงไม่ค่อยจะไพเราะเท่าไหร่
จนกระทั่งมาถึงเพลง ธรรมะ ก็จะเป็นธรรมะขั้นโลกีย์ ก็พอสมควรไม่น้อย แต่เพลงราคะนี่แหละเยอะมาก สาระก็เป็นเพลงเช่น เพลงเพื่อชีวิต เพลงชมธรรมชาติ เพลงชมคุณงามความดี ปลุกใจรักชาติพวกนี้ เพลงสาระ
พอมาถึงธรรมะก็เป็นคุณงามความดีเป็นหลัก เป็นเพลงคุณงามความดีต่างๆสารพัดแบบโลกีย์ จนกว่าจะสูงสุดเป็นเพลงระดับโลกุตระ สูงกว่าเพลงธรรมะสามัญโลกีย์เป็นเพลงโลกุตระ ซึ่งมีน้อยคนมากที่แต่ง น้อยจนอาตมาก็จะยกตัวอย่าง (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
พ่อครูว่า… โลกุตระคืออะไร หมายความว่า เป็นความรู้ในระดับที่รู้จักกิเลส แล้วก็ทำให้กิเลสลดได้ จะเริ่มต้นน้อยๆก็ตามก็เป็นโลกุตระ เป็นขั้นโสดาบันเป็นต้น อย่างนี้คือโลกุตระ ถ้ายังไม่เข้าไปถึงจิตแล้วก็แยกกิเลสได้ ทำให้กิเลสลดได้ ยังไม่เรียกว่าโลกุตระ เข้าใจไหม
ถ้าผู้ใดไม่มีภูมิปัญญากำหนดรู้จิต เจตสิกของตนเอง แล้วแยกกิเลสออกมาให้ได้ รู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส
รู้อาการ ลีลาของการเคลื่อนไหวของจิตเจตสิกว่า อย่างนี้ มันเป็นกิเลส กิเลสราคะหรือโทสะหรือโมหะ แล้วก็มีวิธีทำให้ราคะมันจางคลาย จางคลายนี้ ก็ไม่ใช่หลับตา กดข่มไว้ แต่ใช้ปัญญาทำให้กิเลสมันจางคลาย ปัญญารู้แจ้งสว่าง เปิดตาหูจมูกลิ้นกายไม่ต้องไปหลับไปหรี่อะไรเลย แล้วกิเลสมันลดลงๆๆได้ ตามลำดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ นั่นแหละเรียกว่า โลกุตระ
อาตมาก็รู้สึกว่าอธิบายอย่างนี้มาซ้ำซากก็ยังไม่เก่ง แต่คนนำไปปฏิบัติได้จนเกิดมนุษยชาติชาวอโศกขึ้นมา เป็นกลุ่มหมู่จริงๆเลย อันนี้เป็นความมหัศจรรย์ ที่แต่ละคนมีภูมิธรรมด้านโลกุตระ เป็นปัญญา รู้จักกิเลส อาจจะอธิบายไม่ได้อย่างอาตมาแน่นอน แต่จับสภาวธรรมได้ ตามศรัทธา เป็นน้ำหนักของศรัทธา ทำให้กิเลสลดได้จึงมากันได้ คนที่มีปัญญาก็จะรู้รายละเอียดของกิเลสตนเองแล้วทำให้กิเลสลด แล้วก็จะรู้และพูดบอกคนอื่นได้ จึงมีผู้รู้ทั้งปัญญาและศรัทธา ทั้งปัญญาโลกุตระ มาช่วยอาตมาบรรยาย มาช่วยอาตมาขยายผล จนเกิดมาป่านนี้ ทำงานศาสนามา 50 ปี
ตั้งแต่มาออกบวชก็คิดว่าจะทิ้งเรื่องเพลงไปหมดแล้ว เสร็จแล้วมาคิดอีกทีว่ามันก็เป็นศิลปะอันเป็นมงคลอันอุดมได้ อย่างที่เคยพูดอธิบายไปหลายทีแล้ว ก็เลยดึงกลับคืนมาเอามาทำดู ก็ดั่งที่มันได้เกิดมา อาตมาก็เลยต้องแต่งขึ้น เป็นเพลงโลกุตระมาตั้งแต่เริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ เพลงเก่าๆก็เป็นเพลงราคะก็อายที่จะนำออกมาเปิดเผย แต่ราคะไม่ร้ายแรง และก็ไม่ได้ดังมากมาย
มันก็เป็นสัจธรรม ถ้าหากเพลงโลกๆอาตมาดังมันก็จะติดลม ก็ไม่ดัง ก็มาดังอย่างเพลงสิ้นแสงตะวัน เพลงผู้แพ้ เพลงผกาดั่งนารี ผู้ครองรัก อันนี้ก็เกี่ยวเนื่องกับความรักอยู่แต่รักอย่างบริสุทธิ์แข็งแรง อย่างที่เรียกว่าไม่เหลาะแหละไม่มีความเลวเลยอะไรอย่างนี้ ก็ยังกึ่งๆเพลงรักๆใคร่ๆ ชื่นรัก ก็เป็นเพลงรักๆใคร่ๆอยู่ แต่เพลงฟ้าต่ำแผ่นดินสูงอธิบายเป็นเชิงรักก็ได้ เป็นเชิงโลกียะก็ได้ อธิบายเป็นโลกุตระก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น
สู่แดนธรรม… ถ้าเรามีกำลัง 4 จะได้พ้นภัย 5
คุณลักษณะอาหารเป็นเลิศของชาวอโศก
พ่อครูว่า… หัวมัน มันหรือ? พ่อครูยกหัวมันอันใหญ่ เป็นพันธุ์ okinawa หนัก 4.95 กิโล เกือบ5 กิโลกรัม โอ้โห ปลูกที่ไหนนี่ (ข้างอาคารบวร)
ความเป็นเลิศของอาหารเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ คำว่า เลิศ คำนี้หมายความว่า
-
คุณภาพดี 2. ไม่มีพิษ 3. ทำให้ได้มีปริมาณมาก 4. เกื้อกูลแจกจ่ายเจือจานผู้อื่นไปอย่างบริสุทธิ์ใจให้ได้มากๆ
อาตมาพาพวกเราทำ พวกเราก็ได้ศึกษาฝึกฝนจิตใจที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีตัวไม่มีตน มีแต่ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่นจริง จึงเต็มใจกันหรือว่าพักพร้อมกัน ไปทำ พยายามทำเพิ่มขึ้น ตอนนี้ขยายจนถึงขั้นสาธารณะ ปลูกไปข้างถนนเลย ทำจริงๆไม่ใช่ทำเล่นๆ ทำกันอย่างดี ให้มันเกิดมรรคผลให้มันเกิดจริง งอกงามสมบูรณ์เลย ได้อาศัยกินใช้กันจริงๆเลย ซึ่งก็เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารง่ายๆ โดยเฉพาะของชาวอีสาน บักหุ่งเป็นต้นเป็นหลัก แล้วก็กล้วยอะไรอย่างนี้ พริก ข่า ตะไคร้ มะเขือ มะนาว มะเขือเทศบ้าง อะไรอย่างนี้
บ้านราช เกิดตั้งแต่ปี 2537 ยังไม่ถึง 30 ปี เราก็อยู่กันสร้างพฤติกรรมต่างๆ มีบทบาทชีวิตอยู่กันไป ชาวบ้านชาวช่องเขาเข้าใจกันหมดแล้ว เราไม่ได้ทำเพื่อจะมาโชว์ให้คนอื่นเขามายกย่องสรรเสริญ เอาอะไรมาแลกเปลี่ยน เขาเข้าใจแล้วว่า เราไม่มีอะไรแอบแฝงพวกนี้ ทำขึ้นมาเพื่อเผื่อแผ่เกื้อกูลช่วยเหลือกัน ด้วยน้ำใจบริสุทธิ์บริบูรณ์ สิ่งนี้เกิดจากความเป็นจริง จิตใจของพวกเราเป็นจริง
แล้วพวกเราก็ไม่ไปทำอะไรเก่ง ไปทำสร้างเครื่องไม้เครื่องมือเก่งๆทางวิศวะ สร้างคอมพิวเตอร์ แม้แต่สร้างจานชามช้อน สร้างโต๊ะสร้างเตียง เราก็ไม่เก่ง แต่เราจะสร้างอาหาร อาหารก็เน้นพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่ได้ไปเน้นเรื่องปศุสัตว์ ไม่ได้ไปเน้นเรื่องประมง
อาหารก็เน้นพืชพันธุ์ธัญญาหารให้เต็มที่ ทำไป อาตมาเชื่อว่าพวกเราจะเข้าใจ ถ้าใครเข้าใจที่อาตมาพูดแล้วก็ลงไปเต็มที่ช่วยอาตมา ไม่ใช่ช่วยอาตมา แต่ช่วยโลกช่วยสิ่งที่ประเสริฐ เอาให้เต็มที่เลย ช่วยกัน นักเรียนก็ช่วยอยู่แล้ว ผู้ใหญ่ก็เยอะไม่ค่อยได้ไปเท่าไหร่ ไปบ้างแต่ก็ไม่เต็มที่ ถ้าเต็มที่มันจะดูดีอบอุ่นเลย แต่ก็ยังน้อย เข้าใจให้ได้ พูดนี้ไม่ได้ไปหมายความว่าเป็นการบังคับ หรือปะเหลาะ ไม่ใช่ แต่ให้เข้าใจด้วยปัญญาแล้วก็ไปเองทำเองอิสรเสรีภาพ จะรู้ว่าจริงเหรอชีวิตเราก็เป็นไปได้มาช่วยกัน ทำให้เกิดมรรคผลเกิดความอุดมสมบูรณ์เป็นกันได้จริงๆเลย แล้วจะเห็นผล มันเป็นขึ้นมาแล้วจะเห็นผลว่ามีผลอย่างไรกับประชาชน กับมนุษยชาติ
นี่ยังติด covid เท่านั้น เป็นโอกาสให้เราฟักตัว ถ้าไม่งั้นมันจะมะรุมมะตุ้มมามากจะไม่มีโอกาสได้ฟักตัว ไม่มีโอกาสได้เจริญงอกงาม มันจะไม่เหลือเลย ตอนนี้ก็คงจะพอมากพอที่จะให้คนย่านนี้เท่านั้น คนอื่นๆข้างนอกก็ยังไม่กรูเกรียว เราก็ทำเพิ่มขึ้น
สู่แดนธรรม… ตอนก่อนนั้นผมเข้ามาอโศกใหม่ๆ จะมีคำบอกว่าชาวอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ ผมอ่านดูแล้วถ้าคนไม่ชอบใจเขาจะหมั่นไส้มาก แต่ผมอ่านแล้วก็จะมีส่วนจริงอยู่นะ แต่ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม แต่ก็คิดว่าในอนาคต ชาวอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ ก็จะเป็นจริง จนถึงบัดนี้จึงมั่นใจว่าชาวอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติจริงๆ
นักธรรมะจะบอกว่าความไม่มีตัวตนอยู่ที่ไหน ชาวอโศกเราทำได้จริง ความไม่เห็นแก่ตัว เกิดขึ้นจริง พวกนายทุนมหาอำนาจทางอาหาร เขาจะทำเป็นการต่อรองกดขี่ข่มเหงผู้บริโภค แต่ว่าพ่อท่านกลับให้ทำตรงกันข้ามเลย ยิ่งเมื่อกี้นี้บอกว่ามีหลัก 1. คุณภาพดี 2.ไม่มีสารพิษ 3. เอาไปเกื้อกูลคนอื่น นี่เป็นการยืนยันว่าธรรมะที่พ่อท่านสอนให้เราพัฒนาไปสู่ความสิ้นความเห็นแก่ตัว
หนังสือ รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไรมีเล่มที่ 5 กำลังทำอยู่
_โศลกธรรมเก่าๆของเรา ตอนนั้นใช้บุญนิยามเดิมอยู่ เขาถามว่า สะสมบุญจงประณีตสร้างจารีตจงประหยัด ถามว่าคำว่าจารีตในที่นี้คืออะไร ทำไมเราไม่สามารถสร้างจารีตด้วยความฟุ่มเฟือย
พ่อครูว่า… ไม่เห็นจะน่าถามเลย ประหยัดกับความฟุ่มเฟือย เด็กๆเข้าใจไหม
ป่องเอี้ยม … ประหยัดคือใช้น้อยๆ ฟุ่มเฟือยคือใช้มากๆ
สู่แดนธรรม… บางอย่างบ้านเรามีของมาก เด็กๆอาจจะใช้ทิ้งใช้ขว้าง จานชามก็กินเสร็จทิ้งไว้เลย
พ่อครูว่า… เป็นการสร้างนิสัยเลวให้แก่ตัวเองนะ
อาหารเนื้อสัตว์เป็นบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก 5 ประการ
อาตมาว่าชีวิตชาตินี้ อย่างไรอย่างไรก็นึกถึงตัวเองแล้วตลอดชีวิตมา ที่ได้ฟื้นขึ้นมาเห็นรู้ตัวเองว่า เราเป็นใคร เราจะต้องมาทำอะไร ได้เลิกทางโลกีย์จะไปแย่งชิงลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเด่นดังอะไรตามโลกเขาทิ้งเลย แล้วก็มาทางนี้มาทางโลกุตระ มาตอนแรกไม่ได้เด่นดังอะไร ดังอย่างถูกด่าชนิดที่เขาจะเอาตายเลยนะ
จนพยายามทำความจริง มีธัมโมหะเวรักขะติธัมมะจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม อาตมาจึงได้รอดมาจนถึงทุกวันนี้ 50 ปี นี่ก็เป็นรูปเป็นร่าง มีรูปธรรมของมนุษยชาติ ที่เข้าใจทฤษฎีนี้ ทฤษฎีโลกุตระของพระพุทธเจ้าแล้วก็เอามาประพฤติปฏิบัติ จนกระทั่งได้ตั้งแต่เด็ก อายุที่พอรู้เดียงสา 7 ขวบขึ้นไปก็ค่อยๆเข้าใจขึ้น อายุไปเรื่อยๆจนแก่เฒ่า มันก็เป็นความจริงที่ปลูกฝังยืนยันลงไปแล้ว ไม่ได้แกล้ง แต่ทำจริงๆด้วยความบริสุทธิ์ใจ แกล้งก็ได้ถ้าใครแกล้งทำได้ก็เอาสิ ใครจะแกล้งทำอย่างนี้ได้แล้วเกิดผลอย่างนี้ เอา ไม่มีปัญหาหรอก ทำให้ได้ก็แล้วกัน ทำแล้วให้เกิดเป็นจริง ซึ่งมันยาก ไม่ใช่ง่าย
แต่ยากนี่แหละมันยังทำได้ อันนี้แหละมันจึงเกิดความมหัศจรรย์ สิ่งที่ยาก ยากจริงๆนะ ไม่ใช่เรื่องเล่น เป็นเรื่องมหัศจรรย์
ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 คนไม่ฆ่าสัตว์เนี่ย มันเป็นความหัศจรรย์แล้ว แม้ที่สุดสัตว์มันจะทำร้ายเรา เราก็ไม่ทำร้ายตอบสัตว์ สัตว์มันทำร้ายเราจนกระทั่งบางทีเจ็บ เราก็ไม่ได้โกรธเคืองแค้นสัตว์ เพราะเรารู้ว่าสัตว์มันก็ไม่รู้เรื่องอะไร มันเป็นเดรัจฉาน เราไปโกรธสัตว์เราก็โง่กว่าสัตว์ มันไม่ได้เรื่องอะไร เราไม่แค้นพยาบาทเราเข้าใจเรื่องกรรมวิบากอย่างดี
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีโลกุตรธรรม แม้แต่ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์กับคน แล้วยิ่งมาไม่กินเนื้อสัตว์มันยิ่งสูงส่งมหัศจรรย์ลึกเข้าไปอีก นอกจากไม่กินแล้วก็เข้าใจเรื่องกรรมวิบาก
เราเลิกกัน วิบากเกี่ยวกับสัตว์ จะลึกซึ้งจนกระทั่งจองเวรจองกรรมกัน เป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่สัตว์ชายมันไม่รู้ แต่มันมีสัญญา มันทำงาน มันจองเวรจองกรรมอะไรต่ออะไรต่างๆนานา
สัตว์เดรัจฉานตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนเป็นล้านๆๆเซลล์ มันจองเวรจองกรรมทั้งนั้น มันรักมันชัง มันผูกโกรธ ผูกรัก สัตว์ไปล่อให้มันรักมันก็รัก ไปทำให้มันชังมันก็ชัง
ผูกโกรธ ผูกรัก ผู้ศึกษาธรรมพระพุทธเจ้าแล้วไม่ผูกโกรธ ผูกรัก อยู่กันอย่างอภัย อโหสิ ไม่ติดผูกพันกันต่อไป จึงเป็นเรื่องสุดสูงส่ง เป็นเรื่องมหัศจรรย์
เพราะฉะนั้นสัตว์ก็คือ เราก็รู้สัตว์ก็มีชีวิตของเขา ไปตามวิบาก วิบากของเขามีหนักมีเบามียากมีลำบากมีง่าย มันก็เป็นของของตน ของเขา กัมมัสโกมหิ ไม่มีใครมาทดแทนทำแทนเสแสร้งไปได้ เป็นของของตน จะลึกซึ้งว่ากรรมวิบากเป็นอจินไตยซึ่งไม่ใช่เข้าใจกันได้ง่ายๆ
เพราะฉะนั้นเรื่องสัตว์แล้วแม้จะไม่กินแล้วจนกระทั่งถึงขั้นชีวกสูตร 1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) 2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส 3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” 4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส 5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
แม้กระทั่งมีที่จิตเป็นอกุศลแล้ว เปล่งชื่อสัตว์ เฮ้ย ปลาช่อนตัวนั้น ชี้บอกคนอื่น คนอื่นไปจับมาเลย ถ้าเรามีอิทธิพล เราพูดอย่างนี้ผู้ที่สนองอิทธิพลจะรีบไปจับมาเสนอหน้าเลย จับปลาช่อนตัวนั้นมา 1.แค่กล่าวชื่อเอ่ยชื่อปลาช่อน
-
สัตว์ตัวนั้นถูกจับผูกมามันไม่ชอบมันก็เป็นทุกข์มันก็ผูกโกรธ บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลยเป็นข้อที่ 2
-
สั่งฆ่า คิดดูสิ มันจะเป็นลำดับๆๆของมัน ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ สั่งฆ่าแน่นอนชัดเจนแค่สั่งให้ฆ่าด้วยเจตนากุศล มันบาปได้อย่างไร เพราะว่าคุณมีอกุศลจิตเป็นต้นเค้าแล้ว สัตว์มันมีอยู่จะไปออกชื่อมันทำไม บอกชื่อด้วยอกุศลจิต หากเป็นกุศลจิตออกชื่อมันก็อาจจะอีกอย่างหนึ่ง นี่มันอกุศลจิต แล้วคนก็ไปจับมาสนองอารมณ์ตัวเองเลย สัตว์มันก็ทุกข์ทรมานที่มันถูกจับผูกมัดมา มันก็เป็นวิบากบาปแล้ว สะสมลงไปแล้ว
พอมาถึงยังไม่พอ ยังสั่งฆ่า แน่นอน คนสั่งฆ่าบาปแน่นอน
สัตว์ตายด้วยการถูกฆ่า ทรมานทรกรรม บาปแรงกล้าเป็นข้อที่ 4 เลย
ข้อที่ 5 ยังไม่น่าอีก เอาเนื้อสัตว์ที่ฆ่ามาทำอาหาร อาหารอย่างปราณีตเลยฝีมือปรุงแต่งอย่างเก่ง เพื่อไปถวายภิกษุ สาวกพระพุทธเจ้า หรือถวายพระพุทธเจ้า เพื่อให้ยินดีในอาหารเนื้อสัตว์นี้ ร้ายแรงที่สุดเลยคนที่มีจิตแบบนี้แล้วทำแบบนี้ ฟังดีๆทวนมาไม่รู้กี่ทีแล้ว นี่ชัดยิ่งขึ้นไหม มันเป็นอกัปปิยะ เป็นสิ่งไม่ควรเลยในความเป็นคนที่จะกระทำ เอาเนื้อสัตว์ไปถวายภิกษุ ยิ่งพระพุทธเจ้าอยู่เอาไปถวายพระพุทธเจ้า จะได้บาปหรือได้บุญมาก แม้กระทั่งว่าจะถวายพระพุทธเจ้า
เด็กๆ ลองตอบซิ เอาแกงเนื้อสัตว์อาหารเนื้อสัตว์อย่างดีไปถวายพระพุทธเจ้า กับไปถวายภิกษุธรรมดา จะให้ภิกษุยินดีในอาหารเนื้อสัตว์นี้ อย่างไหนบาปกว่ากัน ….ถวายพระพุทธเจ้าก็ต้องบาปมากกว่าแน่ บังอาจทำให้พระพุทธเจ้าไปติดยึดในเนื้อสัตว์
5 ข้อนี้ ถ้าเข้าใจอย่างที่อาตมาอธิบายแล้ว ใครมันจะกล้าไปกินเนื้อสัตว์ เรื่องของกรรมวิบากเป็นอจินไตยอย่างนี้ปานฉะนี้ แต่มันเป็นอจินไตย คุณไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวเนื่องกันขนาดนี้หรือบาปบุญมันเป็นอย่างนี้หรือก็อธิบายสู่ฟังไม่ได้โมเม ไม่ได้จับแพะชนแกะแต่มันเป็นเหตุปัจจัยของกรรมวิบาก
เพราะฉะนั้นการไม่กินเนื้อสัตว์นี่แหละ คนไม่กินเนื้อสัตว์นี่แหละเป็นความมหัศจรรย์ไหม แล้วเรามาไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ใช่เพราะว่าเรื่องสุขภาพ กินแล้วสุขภาพจะได้ดี กินแล้วจะได้กุศลได้บุญแบบโลกีย์คิดๆไป ไม่ใช่ แต่ลึกซึ้งเป็นโลกุตระ เพราะเป็นกรรมวิบากที่เป็น อจินไตยที่ไม่ได้เข้าใจง่าย อย่างที่อธิบายไป คร่าวๆนะ
อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติได้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร
สู่แดนธรรม… จะเป็นชาวอโศกเพื่อมนุษยชาติจะต้องมาเป็นคนมหัศจรรย์ให้ได้ ความมหัศจรรย์แบบโลกๆก็ไม่ประเสริฐเท่ากับการมาละความเห็นแก่ตัว มาเป็นคนจนที่ไม่ทุกข์ไม่ร้อนสุขสำราญเบิกบานใจ พ่อท่านพาทำได้อย่างไร
พ่อครูว่า… ยิ่งใหญ่เลย อาตมาพาทำได้อย่างไร มันเป็นการสะสมความรู้ สะสมความจริง ไม่ใช่อยู่ดีๆไปซื้อตามร้านขายยาเอาได้ ไปซื้อจากห้างสรรพสินค้าได้ ก็ไม่ใช่ เอามาจากอะไรไม่ได้ ต้องสะสมเท่านั้น สะสมจากกรรมวิบากของตัวเองทำมาเอง ศึกษาฝึกฝนและเป็นกรรมเป็นวิบากของตนเองเป็นบารมีของเราเองทั้งนั้น ทำมา
เพราะฉะนั้นที่อาตมาพูดยืนยันว่าเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ ได้สะสมวิบากมาจนเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้พูดพล่อยๆ พูดอวดโอ่หลอกลวง มันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องต้องบอกความจริงที่มีในมนุษยชาติ ที่เป็นไปได้
พวกคุณจะนึกอย่างไรก็ไม่ทราบได้แต่อาตมาบอกความจริงลงไปอีกที ในการยกตัวเอง เพราะ การจะมาเป็น อาตมาเป็นในปางนี้ชาตินี้ก็ตาม ตลอดเวลาที่อาตมาทำมา 50 กว่าปี มันไม่ใช่เรื่องสามัญธรรมดาที่คนจะมาลอกเลียนทำ จนกระทั่งเกิดคน เกิดเป็นชุมชน หมู่กลุ่มมนุษยชาติ เอาหลักฐานของพุทธเจ้ามาอ้างอิงยืนยัน เป็นชุมชนสาราณียธรรม 6 เป็นคนที่เกิดจิตที่เป็นวรรณะ 9 เกิดพุทธพจน์ 7 ต่างๆนานาพวกนี้ หรือแม้แต่ไล่ไปตามมูลสูตร 10 ก็ดี
ปฏิบัติตามหลักจรณะ 15 แล้วเกิด วิชชา 8 เป็นยาดำผสมช่วยกันให้เกิดเจริญ ให้เกิดเป็น ฌานเป็นวิมุติก็ดี จะเกิดจริงเป็นจริงมีตัวบุคคลเป็นพฤติกรรมจริงวัฒนธรรมจริง คุณก็เอาชีวิตมาทิ้งอยู่กับอันนี้เลย ไม่เอาอื่นแล้วเอาอันนี้เลย ก็เป็นความจริงทั้งนั้นเลย
ใครจะมาอธิบายขยายความเหตุผล เหตุปัจจัยว่าดีกว่าแนวอื่นอย่างอื่น ก็เทียบได้ เทียบจนกระทั่งคุณบอกว่าไม่ต้องเปรียบเทียบอีกแล้ว ก็อย่าไปดูถูกเขาอีกอย่างนั้น เทียบได้เทียบไป คุณจะได้ความจริงความรู้ที่เป็นคู่ทีละคู่ๆ เทียบกันไป มันจะไม่มีอะไรที่ เผินๆ แต่มันเป็นจริง
เป็นการเรียกด้วยภาษาโลกๆว่า ไร้เทียมทาน ไม่มีอะไรเทียมได้นั่นแหละ ไม่มีอะไรที่จะเทียบกันได้อีกจริงๆ ไม่ใช่ไปหลงตัวหลงตน มันเป็นความเหนือชั้น เหนือ อุตริ แปลว่าเหนือชั้นที่ห่างจริงๆ เป็นความเจริญที่ระดับโลกุตระ
เพราะฉะนั้นความจริงอันนี้จะปรากฏ จะมีขึ้นในสังคมเพิ่มขึ้นๆ ไม่ง่าย แต่มันมีจริงเป็นจริง ไม่หยุดหรอก เพราะมันอยู่ในภาวะที่ยังเป็นความเจริญ เหมือนเด็ก ยังจะต้องเจริญเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นคนแข็งแรงไปอีก จนกระทั่งถึงสุดยอดแล้วมันก็จะลง ยังไม่ถึงสุดยอดก็ยังเจริญวัย เจริญขึ้น ช้า เพราะมันเป็นการเจริญอย่างชันมาก เหมือนรูปที่อาตมาทำเป็นแพทเทินไว้
เป็นรูปสามเหลี่ยมที่อาตมาเคยให้ไว้ อาตมาให้เวลา 500 ปีจะถึงยอด ตอนนี้ผ่านไป 50 ปียังอีก 450 ปีเอง แต่ปฏิภาคทวีมีความเจริญมากขึ้นนะ จากวันนี้ไปจะค่อยๆมากขึ้น ต่อไปมันจะปฏิภาคทวีขึ้น กว่าจะถึง 500 ก็ก้าวหน้าเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ พอถึง 500 ปีประมาณนั้น สุด peakสุด เต็มแล้ว มันก็จะลง ก็จะเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ก็จะมีคนไม่อยากให้เสื่อมแต่มันก็ต้องเสื่อม เพราะว่าโลกมันแรง โลกมันแรงกว่าโลกุตระ โลกุตระมันชนะ แต่มันก็ต้องแพ้ ไม่รู้จะพูดภาษาไหนแล้วนี่ภาษาจริง สุดท้ายโลกก็ครอบงำ จนกระทั่งสุดท้ายมันหมด หมดศาสนาพุทธไปอีก ต่อไปจนกระทั่งถึง 50 ปีตามความเป็นจริงของศาสนาพุทธของพระสมณโคดม มันก็จะหมด ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามได้เลย ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะพยากรณ์ หรือว่าสาวกที่เป็นพระเถระต่างๆที่จะพยากรณ์เอาไว้ว่า 5,000 ปี สุดศาสนาพระพุทธเจ้า ที่ผ่านมา 2,500 กว่าปีแล้ว ต่อไปอีก 2,500กว่าปี ก็จะสุด ก็จะหมดยุคพระพุทธเจ้า ก็จะว่าง ว่างจากศาสนาพุทธนี้ไปอีกนาน
ศาสนาพุทธจะไม่บังเกิดในกลียุค มันจะฆ่าฟันล้มล้างกันมนุษย์มะนา มันจะโหดเหี้ยมไม่เหลือหรออะไรเลย ตอนนี้มันก็มีความซับซ้อน คนที่จะมีปัญญารู้โลกุตระจะมีเพิ่มขึ้น แต่คนที่เป็นโลกียะที่บ้าดีเดือดมันก็มีเพิ่มขึ้นเหมือนกัน เพราะจำนวนคนโลกียะ ในโลกเจริญขึ้นเป็นปฏิภาคทวี กับคนที่เป็นโลกุตระเจริญขึ้นเป็นปฏิภาคทวีเหมือนกัน อัตราการก้าวหน้าของคนโลกียะกับคนโลกุตระ อันไหนจะมากกว่ากัน .. ของโลกียะมันมากกว่าแน่นอน
แม้โลกุตรธรรมจะมีพลังแรง ต้านไว้ได้ๆ ก็วันหนึ่ง ปฏิภาคทวี ของโลกียะมันก็มากท่วม จนกระทั่งโลกุตระไปไม่ออก นี่เป็นสัจธรรมที่จะไปบังคับอะไรไม่ได้เลย เดรัจฉาน ก็จะมีอีกเยอะแยะมากมาย กว่าจะพัฒนาจากเดรัจฉานโตขึ้นมาเป็นมนุษย์
มนุษย์อเวไนยสัตว์ สัตว์ที่สอนไม่ได้ จนกระทั่งเจริญมาเป็นสัตว์ที่สอนได้ สอนได้ในโลกียะก่อน จนกระทั่งเก่งเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งสร้างศาสนาโน่นแหละ ได้ด้วย ยังไม่มีโลกุตรธรรมก็ฆ่ากันตาย วนเวียนตามประสาเขาเหมือนกัน แต่ของโลกุตระนั้น มีความรู้พระพุทธเจ้าสอน อาตมาก็มีความรับรู้มาจากของพระพุทธเจ้าได้ จนกระทั่งเอามาอธิบายสู่ฟัง โลกุตระก็จะมีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป เหมือนกัน ตามระบบของโลกุตระ โลกียะ เขาก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป เกิดขึ้นมามากๆก็ฆ่ากันเป็นเบือ โลกียะก็เหมือนกัน
แต่โลกุตระไม่ได้ฆ่ากันนะ แต่เสื่อมกันไปโดยที่คุณธรรม มันเสื่อมไปเอง
สู่แดนธรรม… ตามข้อสุดท้ายของรูป 28 ถึงอย่างไรก็ต้องเข้าสู่กฎความไม่เที่ยงแท้
พ่อครูว่า… อนิจจัง เป็นตัวสุดท้ายของลักษณะ 4 ของ อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา เป็น 4 ข้อสุดท้ายของลักษณะ 4 ของรูป 24 อุปาทายรูป หรือรูป 28 ถ้ารวมทั้งดินน้ำไฟลม ไปด้วย อันสุดท้ายจะเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นสัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ยังไม่ขาดหกตกหล่นอะไรมากหรอก แม้ จะกระจายไป เช่น ธรรมนิยาม 5 ไม่ได้มีในพระไตรปิฎกชุดนี้เลย ของพระมหากัสสปะ เพราะว่าความรู้ของชุดบริวารของพระมหากัสสปะที่ทำสังคายนานี้ไว้ มันแคบ ก็เก็บได้แค่นี้
ซึ่งธรรมะนิยาม 5 ไม่มีในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ที่ใช้กันอยู่นี้ ไม่มี แต่อาตมาไปเจอในของพุทธโฆษาจารย์ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ว่า โอ้! อันนี้เป็นของพระพุทธเจ้านี่ ก็มหากัสสปะ เจโต ก็ได้ของท่านแค่นั้น อาตมาไม่เหมือนพระกัสสปะ อาตมารู้ เป็นสายปัญญาตรง ท่านกัสสปะเป็นสายศรัทธาตรง อาตมาก็เอามาใช้อธิบาย
ถ้าไม่มีธรรมนิยาม 5 ไม่มีทางบรรลุอรหันต์ แต่ทำไมสายพระกัสสปะบรรลุอรหันต์ เจโต ก็จะมีได้แต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ทำไปโดยได้รับคำสอนก็ทำไปๆ ก็ได้บรรลุเป็นสาย เจสวยโต ศรัทธา อาตมายังขยายให้ละเอียดลออไม่ได้ ก็ฝากไว้ก่อนโอฬาร
สู่แดนธรรม… พ่อท่าน อธิบายความเจริญความเจริญก้าวหน้าของโลกียะกับโลกุตระ ซึ่งมีอัตราส่วนเป็นปฏิภาคทวี ระยะ 500 ปี อัตราความเจริญของโลกุตระ ก็คงจะต้องขยายความก้าวหน้าไปมากกว่านี้ พวกเราก็อดคิดไม่ได้ว่า แล้วถ้าพ่อท่านจะจำลอง ลักษณะความเป็นไปได้สักอย่างไหมว่า ในระยะ 500 ปี ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่จะเจริญไปข้างหน้า มันจะสามารถมาแทนเศรษฐกิจของโลกได้ไหมครับ
พ่อครูว่า… มันไม่ใช่แทนหรอก เศรษฐกิจอย่างนี้เศรษฐกิจอย่างโลกุตระก็เป็นเศรษฐกิจที่ทวนกระแสกับเศรษฐกิจโลกียะ โลกียะได้เปรียบเขามามากเท่าไหร่ เขาว่าเจริญ แต่ว่าโลกุตระมันตรงกันข้ามกันเลย มันเสียไปได้มากเท่าไหร่ สละไปมากเท่าไหร่ มันเจริญ มันคนละขั้วกันเลย อันนี้แหละ ในมนุษย์ที่เจริญ
แม้เขาจะเป็นโลกียะ เขาก็จะรู้ว่า พวกนี้ ไม่ใช่เขาไม่มีสมรรถนะ คนชาวอโศกไม่ใช่ไม่มีสมรรถนะ ไม่รู้เรื่อง ไม่มีฝีมือ ไม่มีความรู้ ไม่สามารถจะสร้างอะไรได้ แต่ทำได้ ดีด้วย โดยเฉพาะเรื่องพืชพรรณธัญญาหาร เน้นอีกๆๆ พันเที่ยวร้อยเที่ยว หมื่นเที่ยวแสนเที่ยว จะมีสมรรถนะในการสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร
คิดดูสิ มัน okinawa ใหญ่กว่าหัวอาตมาอีก น้ำหนักถึงเกือบ 5 กิโลกรัม อะไรอย่างนี้เป็นต้น กล้วยนี่ดูสิ หวีนึงกี่ลูก มันเหมือนประชด แต่ไม่ได้ประชด มันเจริญตามความเป็นจริง พวกเราจะรู้เหตุปัจจัยต่างๆ ว่าอันนี้เป็นเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง เราก็จะสร้างสิ่งที่เรียกว่า ปุ๋ยก็ดี น้ำจุลินทรีย์อะไรก็ตาม ที่เป็นอาหารที่จะให้กับพืช เราก็จะรู้มีความรู้ยิ่งๆขึ้น แล้วก็จะยิ่งทำได้ดีก็จะยิ่งดีขึ้น
เพราะอย่างนี้แหละคนถึงศรัทธา คนจะอยู่ในที่ไหนๆ จะอยู่แอฟริกา จะอยู่New Guinea จะอยู่ตะวันออกกลางก็ต้องกิน แม้คุณจะกินเนื้อสัตว์ก็ตาม คุณจะหลงกินเนื้อสัตว์มากก็ตามคุณก็ต้องกินพืช คุณจะไม่ค่อยกินพืชก็ไม่เป็นไร แต่ที่สุดคุณจะต้องกินพืชด้วยความรู้และสุดท้ายด้วยความจำนน
สุดท้ายด้วยความจำนน ก็คือ สุดท้ายเขานึกว่าสัตว์โลกมันจะมีท่วมโลก ก็เหมือนกับมนุษย์นั่นแหละมันฆ่ากันเอง สัตว์โลกเห็นมันฆ่ากันเองไหม มันฆ่ากันเองแล้วมันโหดร้ายกว่าคนด้วย มันจะไปรู้อะไร มันฆ่ากันเอง มันไม่ฆ่ากินด้วยนะมันฆ่าทิ้ง เหมือนคนในโลกที่ฆ่ากันทิ้งเฉยๆด้วยนะไม่กิน สัตว์ที่มันฆ่ากันกินมันก็กิน กินแล้วมันก็ทิ้งๆขว้างๆ มันทิ้งขว้าง มันฟุ่มเฟือย
เสือ โอ้โห เป็นคณะเลยนะ มันล้ม แน่นอนล้มช้าง เสือ 10 ตัวล้มช้างเลย ช้างตาย มันกินไม่หมดหรอก มันหนีทิ้ง หมาไฮยีน่า มาเก็บกินเดนต่อ อีแร้งมันก็มาเก็บกินตอนสุดท้าย มันจะฆ่ายีราฟมันก็กินไม่หมด มันก็ทิ้งซากไว้ให้สัตว์อื่นกินต่อ จนกระทั่งอีแร้งมาเก็บกินตอนสุดท้าย หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่อยู่ในพื้นดินมากินต่อ หนอนชอนไชไปหมด อย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นธรรมชาติมากมายลึกซึ้งซับซ้อนอยู่ในนี้
สรุปแล้ว พืชพรรณธัญญาหาร คุณจะทำให้ชีวิตมันหมดไปอย่างไร มันก็เกิดเมื่อมันมีดิน ในน้ำมันก็มีพืชพันธุ์ธัญญาหาร กินได้ พืชพันธุ์ธัญญาหารกินได้ก็เยอะ ในดินก็เยอะ
สู่แดนธรรม… นอกจากชาวอโศกแล้ว คนไทยจะสนใจโลกุตระเพิ่มขึ้นไหม ต่างประเทศจะมีทิศทางเพิ่มขึ้นไหม
พ่อครูว่า… ได้ จะมีทั้งคนไทยจะเพิ่มขึ้น จะมีทั้งคนต่างประเทศที่แสวงหาอยู่ จริงๆ แน่นอน จะมีเพิ่มขึ้น อาตมาบอกเป็นปริมาณ บอกเป็นจำนวนไม่ได้ บอกเป็นอัตราไม่ได้ บอกได้กว้างๆ มีเพิ่มขึ้นแน่นอน ที่มั่นใจเช่นนั้นก็เพราะว่า
อันนี้มันเป็นความสูงสุดยอดของคุณธรรมมนุษยชาติ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ค้นพบแล้ว มันไม่มีอะไรสูงยิ่งกว่านี้อีกแล้ว ไม่ว่าจะกินอาหาร อาหารการกินก็ตาม ไม่มีอะไรจะสูงไปกว่านี้ มนุษย์สุดท้ายมากินพืชพันธุ์ธัญญาหาร สูงสุด ไม่มีกรรมวิบาก ไม่ไปเบียดเบียนอะไรใคร ไม่มีอะไรจะเป็นภัยเป็นโทษเลย
เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรจะไปค้านแย้ง ที่จะไปล้มล้างคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ นอกจากเข้าใจผิดเอง มิจฉาทิฏฐิเอง ก็แย้งอาตมาหรือว่าแย้งความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้ อาตมาก็เอามายืนยัน ใครยังไม่เชื่อก็พิสูจน์ไปเถอะ อย่ารีบตาย หรือตาย ก็จำให้ได้ว่ามีความรู้เหล่านี้ เกิดมาให้มีสัญญาเก่าระลึกชาติจำความรู้เหล่านี้ได้มาต่อให้ดีๆ แล้วคุณจะรู้ความจริงเลยว่า สุดท้ายคุณจะจำนน ว่าความจริงนี้มีหนึ่งเดียว ไม่มีอะไรแย้งหรอก พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้เอง
สู่แดนธรรม… นี่คือลักษณะที่จะบอกความจริงที่จะปรากฏในอนาคต จะปรากฏตามธรรมใช่ไหมครับ ผมเคยจำได้ พ่อท่านเคยบอกว่า ที่พูดๆไปนี่ ว่า อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ จะเป็นไปได้ก็เพราะว่าเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ที่เป็นไปได้เพราะว่ามีหัวเชื้อ มีพ่อท่าน มีสมณะ สิกขมาตุ แล้ว
ธรรมนิยาม 4ข้อ
-
ตถตา (ตนเป็นเช่นนั้นๆ ได้อย่างอัตโนมัติแล้ว หรือได้ความว่างเป็นสัจธรรมเช่นนั้นเองในตัวแล้ว)
-
อวิตถตา (ความจริงที่เที่ยงแท้แล้ว-ไม่กลับกลาย)
-
อนัญญถตา (เป็นไปอย่างนั้นแน่จริงชนิดไม่มีสิทธิ์เป็นอื่นอีกแล้วอย่างนิรันดร์)
-
อิทัปปัจจยตา (เพราะเป็นสิ่งนั้นได้จริงแล้ว จึงสืบต่อเชื้อความจริงในสิ่งนั้นได้.. อย่างมีของแท้จริงเกิดขึ้นสืบทอดให้กันและกันจริง)
พ่อครูว่า… ด้วย แล้วเรื่องของ สัจธรรมอีกอย่างหนึ่งก็คือ สัจธรรมที่เป็นสัญญาหรือความจำ ความจำมันก็จะฝังในอนุสัยของมนุษย์ ของสัตว์โลก โดยเฉพาะมนุษย์อาริยะ มนุษย์เจริญ มันก็จะดึงเอาความจำมาใช้ได้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็มีสัญชาตญาณความจำเดิมเอามาใช้ มนุษย์จะเป็น อเวไนยสัตว์ สัตว์ที่ยังสอนไม่ได้ มันก็จะเอาความจำมาใช้ มีสัญชาตญาณเอามาใช้ แต่มันแยกแยะยังไม่เก่ง
จนมาเป็นมนุษย์อริยะ มนุษย์ที่รู้จักแยกดีแยกชั่ว แยกถูกแยกผิด ชัดก็เอาแต่ดีมาใช้ ซึ่งยิ่งมีดีก็อาศัยดี แต่สุขกับทุกข์ตรงกันข้ามกัน สุขกับทุกข์เป็นหนึ่งเดียวกัน มันก็คือทุกข์นั่นแหละ หรือ สุขไม่อาศัย ส่วนดี ต้องอาศัย ฟังให้ดีนะ ดีต้องอาศัย พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า แม้ท่าน ก็ไม่สันโดษในกุศล คำนี้ เคยเอามาพูดแล้ว ทั้งๆที่ท่านก็จะปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว ท่านจะจบแล้ว แต่ความเป็นสันโดษในกุศลธรรม ความเป็นผู้ไม่ย่อหย่อนในความเพียร
อุปัญญาตธรรม 2 (ความรู้ทั่วถึงในคุณของธรรม)
-
ความเป็นผู้ไม่สันโดษในกุศลธรรม
(อสันตุฏฐิตา) กุศลไม่เที่ยง จึงบูรณาการได้อีก
-
ความเป็นผู้ไม่ย่อหย่อนในความเพียร