650128 ความมหัศจรรย์จากพ่อครูผู้ตามรอยบาทพระศาสดา พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/15RghlAmH5rIkM51PlC8RbDi-4tfbE37yIv-9v2zkSJI/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1yr9szfXuZXBghfk9PENWpHaRmBlH5Q-G/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/265255895717084
และ https://youtu.be/xGu6TvTmbeg
สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ก็จะเริ่มงานพุทธาภิเษกครั้งที่ 46 พวกเราทำยันวิธีนี้มาตั้งแต่เช้าจนเป็นผู้สูงอายุแล้ว ถ้าเป็นเกจิก็ถูกปลุกเสกจนขลัง ตั้งแต่รุ่นหนึ่งก็มีโยมเหนี่ยว โยมยา โยมจัน โยมเจียม สมัยก่อนโยมพ่ออาตมาถือว่าหนุ่มที่สุด ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์
ปีนี้ เราจะมีการสอบด้วย ข้อสอบออกจากหนังสือปัญญา 8 ที่พ่อครูกำลังเขียนอยู่ แต่จะตัดออกมา 100 หน้า จะดูจากหนังสือหรือจะฟังจากเสียงที่มีผู้อัดเสียงอ่านให้ฟังได้
ที่บ้านราชฯมีบริการพริ้นจาก pdf มาเป็นหนังสือเล่มให้อ่านกันได้ง่ายตัวอักษรใหญ่
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 26-27 มกราคม 2565
_0852 : พอทักเรื่องหมอ เรื่องอุปัฏฐากก็บอกว่าไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้า แต่เมื่อพระพุทธเจ้าบอกจะอยู่ถึงกัปหรือเกินกัปก็ได้ ก็บอกจะอยู่ให้ถึง ไม่เป็นการวัดรอยเท้าหรือครับ
พ่อครูว่า…คุณมองเป็นเช่นนั้น ถ้าคุณ 0852 ได้ติดตามฟังอาตมาแสดงออกมา ทุกอย่าง ทั้งพูดทั้งสาธยายทั้งพฤติการณ์ต่างๆ ที่อาตมาได้ทำมาตลอด จนกระทั่งมามีมวลชนมีวัฒนธรรม มีพฤติการณ์ของสังคม ถึงขั้นสาธารณโภคีอย่างนี้เป็นต้น ถ้ามองว่าอาตมาแสดงธรรมมาตลอด แม้จะเกิดปรากฏการณ์ต่างๆอย่างที่ว่ามาก็ตาม คุณก็ยังมองว่าอาตมาเป็นคนวัดรอยเท้าพระพุทธเจ้า มันเป็นเชิงว่านะที่บอกมา
อาตมาก็กำลังเดินตามรอยเท้าของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ไปวัด คุณใช้ภาษาวัดรอยเท้าในคนไทยเป็นที่เข้าใจกันว่า มันเป็นสำนวนไทย แต่อาตมาไม่ได้วัดรอยเท้า อาตมากำลังดำเนินรอยตามพระบาทพระพุทธเจ้ามาตลอด
สู่แดนธรรม… ถ้าวัดรอยเท้าเหมือนลูกทรพี แต่เจตนาพ่อครูเป็นการเดินตามรอยเท้า
พ่อครูว่า… เป็นการเดินตามรอยเท้า ไม่ใช่ไปวัดรอยเท้า ทำให้มองเห็นว่า ทัศนคติของคุณมีทัศนคติอย่างไร ก็ชัดๆอยู่แล้วว่า คุณเป็นคนที่จะต้องเป็นอย่างที่คุณเป็น ก็คงไปถือสาคุณไม่ได้หรอก เพราะว่า อาตมาก็พูดอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แค่ระดับ 8 ก็ไม่ได้ เหิ่มหาญทำอะไร ก็บอกแค่เป็นสยังอภิญญา ไม่ได้เป็น สยัมภู ละเอียดหมดทุกอย่าง แต่คุณก็พยายามมองอย่างยัดเยียดเพ่งโทษอาตมาไป ก็อาจจะเป็นวิสัยของคุณก็เป็นได้คงเลยวิสัยไปบ้างก็คงจะเป็นเช่นนั้น
สมาธิของพุทธไปให้สุดถึงพ้นลาภแลกลาภ
_Wanawut Sirisakorn (วนวุฒิ สิริสาคร) : คือผมตั้งคำถามกับการนั่งสมาธิหลับตามาตลอดชีวิตว่า ทำแล้วได้คำตอบสูงสุดของชีวิตจริงหรือจนได้มาเจอพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์เทศน์ให้ฟังถึงกระจ่างแจ้ง และคลายความฉงนสงสัยที่มีมาตลอดชีวิต 🙏
พ่อครูว่า…ที่อาตมาใช้คำนี้เลย พิพากษาว่า การหลับตาขณะที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ มันไม่ใช่สมาธิของพุทธ ไม่ใช่สมาธิที่ได้จากโพธิปักขิยธรรม 37 หรือว่าไม่ได้ตามจรณะ 15 วิชชา 8 มันไม่ใช่สมาธิแบบพุทธ ก็รู้กันอยู่ทั่วโลกว่ามีสมาธิ แล้วเขาก็ทำสมาธิอย่างที่รู้กันทั่วไป มันเป็นสมาธิโลกีย์ เราก็เข้าใจและเห็นจริงว่ามันมีอยู่แล้วสมาธิแบบนั้น
แต่สมาธิของพระพุทธเจ้านั้น มันเป็น อจินไตย เป็นฌานวิสัย ไม่ใช่ว่าพูดแล้วจะเข้าใจได้ง่ายๆ ความเป็นสมาธิของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ง่ายที่คนจะเข้าใจ อาตมาก็ยังพยายามอธิบายทั้งเขียนทั้งบรรยาย มีหนังสือสมาธิพุทธเป็นเล่มเลย ยังรวบรวมไม่หมดที่เทศน์ไป ยังไม่ได้ต่อเล่ม 2 ต่างๆนานาสารพัดอธิบายไปมาตลอด
คำว่าสมาธิแปลว่า จิตตั้งมั่น จริงๆแล้วจิตตั้งมั่นอาตมาก็สรุปแล้วว่าของพระพุทธเจ้าเป็น สมาหิโต ไม่ใช่สมาธิ แล้วมาได้อย่างไร มันต้องมีปัญญารู้จักเจโตปริยญาณ 16 จัดการเจโตปริยญาณ 16 ได้อย่างบรรลุความจริง /บรรลุตาม จนถึง สมาหิโต ถึงขั้นวิมุติ ลงท้ายเป็นอนุตตรังจิตตังครบบริบูรณ์
ถ้าคุณเข้าใจสภาวะธรรมของเจโตปริยญาณ 16 ถ้าคุณเข้าใจตั้งแต่
-
สราคจิต (จิตมีราคะ)
-
วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
-
สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
-
วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
-
สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
-
วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .
-
วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
-
มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)
-
อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
-
สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
-
อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
-
อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
-
วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .
-
อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
ถ้าคุณจะเข้าใจถึงวิชา ข้อจิตในจิต เจโตปริยญาณ 16 เข้าใจสภาวะอาการต่างๆ ที่อาตมาพูดนี่ไม่ได้พูดตามพยัญชนะเท่านั้นอาตมาพูดตามสภาวะที่อาตมามีจริงเป็นจริง ที่ชัดเจนว่า อาตมาบรรลุเจโตปริยญาณ บรรลุผ่านสิ่งเหล่านั้น เข้าใจแล้วไม่ได้ไปติดยึด ไม่ได้ไปมีความหลงเหลืออะไรจากเจโตปริยญาณ 16 นี้เลย
เพราะฉะนั้นสมาธิพุทธนี้ ก็ต้องพูดอีก
จะเป็นสมาธิต้องมี ฌาน
ฌาน คือการสร้างพลังงานจิตให้มีเตโชธาตุ แปลว่าไฟ แปลว่าเพลิง เรียกด้วยภาษาว่า ไฟหรือเพลิง แปลเป็นไทย ฌานนี้คือภาษาบาลี ก็คือไฟ แต่เขาแปลผิดเพี้ยนว่าเป็นการเพ่ง ฌานคือการเพ่ง เพ่งให้เป็นจุดหนึ่งซึ่งเป็นสมถะ
เอาที่เขาผิดมาแล้ว มาแปล แม้แต่ในพจนานุกรมบาลีก็ไปแปลว่า เพ่ง concentration
ซึ่งมันไม่ใช่ มันเป็นปกติสามัญสำหรับของฌานพระพุทธเจ้า เป็นปกติสามัญที่มีโพธิปักขิยธรรม มีโพชฌงค์ 7 มีมรรคมีองค์ 8 เป็นคู่ ปฏิบัติตามฐานของมรรค 8 โดยมีโพชฌงค์ 7 เป็นตัวประกอบตั้งแต่ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์
ประกอบกรรมการงานอาชีพอยู่เป็นปกติสามัญ การทำฌาน การทำสมาธิของพระพุทธเจ้า อยู่ในสภาวะปกติสามัญ ไม่ได้เป็นสภาวะจะต้องไปสร้างสถานการณ์ ต้องไปมีวิธีการอะไรอื่น ไม่ใช่แต่เป็นเรื่องของสามัญ ประกอบอาชีพอยู่
พ้นจากมิจฉาอาชีวะ 5 ประการก็ตาม อธิบายมามากมาย
ตั้งแต่ ๑. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง .
๒. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .
๓. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้
๔. การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
๕. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๗๕ มหาจัตตารีสกสูตร)
ยกตัวอย่างอย่างเช่นคุณทักษิณ เป็นต้น คนที่เข้าไปคลุกคลีกับคุณทักษิณก็ตามก็คือคนที่มอบตนในทางที่ผิด นิปเปสิกตา เป็นอาชีพที่ผิด ผิดสมบูรณ์แบบ เป็นอาชีพที่เป็นมิจฉาชีพสมบูรณ์แบบ
4 ข้อนี้เป็นมิจฉาชีพสมบูรณ์แบบ ข้อที่ 5 นี่ยิ่งใหญ่มากเลย พ้นการเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา) มั่นใจว่าเราทำงานฟรีแต่มีคนอุปถัมภ์ค้ำชูดูแล อยู่ได้เลยเรียบร้อย เป็นการพิสูจน์อาชีพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีคนทำได้ไหม ที่ไหน…ที่นี่ พูดได้อย่างสบายใจ พูดได้อย่างเปิดเผย เขาหาว่าอวดตัวอวดตนได้ สิ่งที่น่าอวดและไม่อวดก็โง่ สิ่งที่ไม่น่าอวดและอวดก็โง่นักหนา แต่สิ่งที่ไม่น่าอวดเลยน่าจะต้องปิดบังคนอื่น ดันกลับคิดว่าเป็นของดีของเด่นน่าอวด อวดอีก แล้วจะพูดกันอย่างไรกับคนเหล่านี้ มันไม่มีดวงตามีความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลย
เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่สุดยอดมหัศจรรย์ที่สุด ไม่ได้พูดเล่นนะพูดจริงๆ ไม่ได้พูดยังหลงตัวยกตัวอย่างตนด้วย พูดอย่างย้ำยืนยันความจริงของโลกว่ามันมีอย่างนี้ เป็นเช่นนี้ มาศึกษาให้ดีๆสิ แล้วคุณจะสามารถมีอาชีพอย่างนี้ได้ มีชีวิตอย่างนี้ได้
แล้วสบายไหม? สบาย อีกต่างหาก
คุณทำได้แล้วหรือใครทำได้แล้ว มีจิตบรรลุธรรมอย่างนี้แล้ว เช่น บรรลุสาธารณโภคีด้วยจิตจริงๆ มาอยู่แบบอยู่กับสังคมส่วนกลาง ไม่ต้องยึดติดว่าเป็นของของเรา ไม่ต้องมีอะไรเป็นสัดส่วนของเรา ไม่ได้หลงว่าเป็นของเราเลยก็มีอยู่มีกินมีใช้ เพราะของเรามันสำเร็จบรรลุทั้งสังคม ทั้งพฤติกรรมสังคมทั้งตัวบุคคลมันเป็นของจริงหมดแล้ว มันพิสูจน์ยืนยันได้เลย พูดยังไงก็เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เป็นเรื่องโกหก ไม่ใช่เรื่องผิดเพี้ยนไปจากความจริงเลย เป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์เลย พิสูจน์ได้ อกาลิโก เอหิปัสสิโก ใครเขาอาจจะบอกว่าขี้โม้ มีที่ไหนมาทำงานฟรี อยู่ในสังคมสาธารณโภคี อยู่กันอย่างเมตตาเกื้อกูลกัน
สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ลาภที่ได้โดยธรรม ก็เอามารวมกันแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ไม่ต้องหวงแหน อุดมสมบูรณ์ เป็นการบรรลุเศรษฐกิจที่ทุกคนกำลังใฝ่หาในโลก
แต่ละสังคมประเทศกำลังหาจุดสมบูรณ์ของเศรษฐกิจ ชาวอโศกบรรลุจุดสมบูรณ์ของเศรษฐกิจ เรียกว่าเป็น Absolute Ultimate ก็ได้ สูงสุดแล้ว มีประโยชน์สุดแล้ว
มันเป็นที่สุดของชีวิตมนุษย์ วัฒนธรรมสังคมของมนุษย์ การดำเนินชีวิตไปของมนุษย์
เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักว่าอันนี้เป็นที่สุดของมนุษย์ มันเป็นอย่างนี้มีชีวิตอยู่ ทำอาชีพอย่างนี้ จะต้องมาปฏิบัติอย่างนี้มี กัมมันตะ จะต้องมาพูดด้วยกันเป็นภาษาคนชาวอโศก
อย่างที่อาตมาพูด เป็นภาษาโลกุตระเป็นภาษาคนชาวอโศก คนข้างนอกจะบอกว่าไม่เห็นรู้เรื่องด้วยเลย ก็ใช่ เขาไม่เข้าใจ เขาไม่ได้หยั่งรู้สิ่งนี้ได้จริงๆหรอก เขาจะไม่ซาบซึ้ง
แต่พวกที่ได้แล้วจริงจะซาบซึ้งเลย ซาบซึ้งจริงๆ ไม่เชื่อไปถามท่านสิริเตโชก็ได้ จริง ซาบซึ้งจริงๆ
ท่าน สิริเตโช นี่ อ่านพระไตรปิฎกและก็แยกแยะพระไตรปิฎก บัณฑิตกับคนพาล มาตั้งแต่โน้น มีหนังสือเล่มหนึ่งรวมพิมพ์ไว้ แยกบัณฑิตกับคนพาล ถ้าจะมาเจอพอดี เอามา ไม่ได้คิดจะพูดถึงเลยไม่ได้ติดมือมา พอดีมันมาหาอาตมาได้อย่างไรไม่รู้
บัณฑิตก็คือคนอย่างหนึ่งคนพาลก็คือคนอย่างนึง แบ่งไว้เป็นสองภาค ภาคบัณฑิตกับคนพาล คนก็ไม่ควรไปอยู่กับคนพาล ควรจะไปอยู่กับบัณฑิต แบ่งเป็น 2 อย่างง่ายๆอย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาจริงๆ รู้ชัดเจนว่า อ๋อ เกิดมาเป็นคนอยู่กับภาคบัณฑิตนี่แหละ ภาคคนพาล เขาก็อยู่กับคนพาล คนพาลคือคนไม่เดียงสา คนโง่ คนเกเร เอาละไม่เกเร ก็เป็นคนไม่เดียงสาคือยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ชัดๆก็คือคนยังโง่อยู่ พาละ ยังโง่ ยังอวิชชาอยู่ อย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะหลุดพ้นอวิชชา หลุดพ้นความโง่อย่างนั้น จิตใจเห็นจริงๆว่าไม่เอาแล้ว เช่น ไปแย่งเงินแย่งทองแย่งลาภ ไปแย่งยศหลงยศ หลงตำแหน่ง หลงยศหลงลาภอยู่
เอาให้ลึกเลย หลงความสุข จนมาเป็นคนที่ไม่ต้องมีสุขมีทุกข์ ไม่เป็นสุขเป็นทุกข์กับอะไรเลย กลางๆ อทุกขมสุข สบายๆ เพราะจิตเป็นอุเบกขา จิตบริสุทธิ์จากกิเลส เพราะฉะนั้นคนที่จิตบริสุทธิ์จากกิเลสแล้วคนนั้นก็จบ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขก็จบ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขไม่ใช่ไปกดข่ม ไม่ใช่ไปใช้วิธีทางโลกีย์ แต่ใช้วิธีทางโลกุตระ รู้จักเหตุแล้วกำจัดกิเลสจนบริสุทธิ์จริงๆ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… ที่บ้านราชฯช่วงนี้ดูหนัง อโศกมหาราชและดูข่าวประเทศไทยต่อ ดูแล้วก็เหมือนๆกันนั่นแหละคือ แย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข วางแผนสู้กัน ตรงกันข้ามกันกับวิถีที่เราอยู่ไปเลยคนละฟากฟ้า
ทุกวันนี้เราลงงานภาคสนาม ไม่ต้องพูดรายละเอียดกันมากมายก็สำเร็จเรียบร้อย โดยทั่วไปเขาต้องวางแผนต้องกำหนดตัวบุคคลกันเยอะแยะ แต่พวกเราเรียกกันไปลุยทุกอย่างก็เรียบร้อย ไม่ต้องไปแต่งตั้งกำหนดอะไรมากมาย
เพราะเราทำงานพ้นการเอา ลาภแลกลาภ พ้นทุจริต เป็นเรื่องจิตวิญญาณเมื่อพ้นจากมิจฉาอาชีวะแล้วเป็นความมหัศจรรย์ของจิตวิญญาณ ที่แต่ละคนจะมีสำนึกแห่งความรับผิดชอบที่จะสร้างสรรค์พัฒนา ความอุดมสมบูรณ์ก็เลยมีมาก
เศรษฐกิจแบบคนจนคือเศรษฐกิจมหัศจรรย์ที่คนทั้งโลกแสวงหา
พ่อครูว่า… ท่านเดินดิน สาธยายมาถึงมันเป็นความเจริญของคำว่า เศรษฐกิจนี่แหละ ที่แสวงหากันอยู่ทั้งโลก วิ่งหาเศรษฐกิจ เขาก็จะคว้าลม คว้าน้ำเหลวกันทั่วโลกเลยเพราะว่าเขามีความรู้แบบโลกีย์ เขาไม่เจอหรอกเศรษฐกิจอันสมบูรณ์แบบตามที่ชาวอโศกเดินตามรอยพระพุทธเจ้ามา หรือเดินตามรอยพระโพธิสัตว์ต่างๆแม้แต่ตามรอยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 คือ มาเข้าใจว่า ต้องมาเอาแบบคนจน
พูดไปแล้วคนที่ได้ยินได้ฟัง เขาก็ได้แต่บื้อ ในหลวงตรัส เป็นคำตรัสจากพระโอษฐ์ของในหลวง เขาก็บื้อ นักเศรษฐศาสตร์จบปริญญาเอกมาจะเป็นคนละหลายใบก็ตาม ฟังในหลวงตรัส เขาก็ไปว่าไปตำหนิในหลวงไม่ได้ แต่เขารับช่วงจากคำตรัสมาดำเนินต่อไม่ได้ แต่มีชาวอโศก จริงๆก็ทำอยู่แล้วจะว่ารับจากพระโอษฐ์มาทำก็ได้ จะว่าทำมาแต่เดิมตั้งแต่อาตมาพาทำสาธารณโภคี ในหลวงท่านตรัสแบบคนจน ท่านมาตรัสตอนหลัง อาตมาบวชมานานแล้วล่ะ ซึ่งมันก็ตรงกันตามภูมิปัญญาของในหลวงแน่นอน
ท่านเป็นในหลวงจะตรัสอะไรออกมา เป็นเรื่องที่หักลำกับโลกเขาเลย ท่านตรัสกับรัฐมนตรีประเทศเกาหลีนะ ไม่ใช่ตรัสเล่นๆพื้นๆกับใครกับใคร แล้วท่านก็เอามาขยายความอีกเอามาซ้ำเผยแพร่ต่อไปอีก ไม่ใช่เป็นเรื่องเล่นๆเป็นเรื่องชั่วคราว แต่เป็นเรื่องจริงเลย ตามพระปัญญาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 เห็นจริงเห็นจังว่า
เศรษฐกิจที่จะดำเนินไปถึงที่สุดมีจุดจบจุดสมบูรณ์ เศรษฐกิจสมบูรณ์ได้ ต้องมีทัศนคติอย่างสัมมาทิฏฐิจริงๆว่า อ๋อ ต้องมาฝึกจิตให้มีวรรณะ 9
ในวรรณะ 9 ก็ชี้ชัดไว้หมดเลย เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
คุณมี 0 นี้ยังชีพอยู่ได้ไหม คุณมีชีวิตอยู่ในสังคมแบบนี้มีชีวิตอยู่ได้ไหม เป็นสังคมที่มหัศจรรย์ที่สุด เป็นเศรษฐศาสตร์ที่มหัศจรรย์ที่สุด เป็นเศรษฐศาสตร์ที่เอามาประพฤติจริงเป็นเศรษฐกิจเอามาทำจริงเลยเป็นเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ก็คือความรู้ทางเศรษฐะ ความประพฤติเอามาทำเรียกว่ากิจ เราก็เกิดผลจริง
มีสาธารณโภคีจริงมีสาราณียธรรม 6 จริง เพราะมีคุณสมบัติของวรรณะ 9 ใจพอแม้ 0 ก็พอ อัปปิจฉะ มักน้อย สันตุฏฐิ พอแล้ว ก็ไม่ต้องเดือดร้อนดิ้นรนไม่ต้องมีอะไร ไม่มี วิปฏิสารอะไร มีแต่อวิปฏิหาร ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย
มีทรัพย์เท่าไหร่ 0 รายได้ประจำวันก็เป็น 0 แล้วอยู่ได้อย่างไรอยู่อย่าง 00 แล้วอยู่ได้หรือ มาดูสิ อยู่อย่างน่าผ่องๆเลย อยู่อย่าง สบม ทมด ปกต หห จจ มชยลล
มันเบิกบานร่าเริงแสดงธรรมโลกุตระที่พูดกันเป็นธรรมะที่เหนือกว่าคนธรรมดาเขาพูดกันเป็นกันได้ เราเป็นกันได้ด้วย พูดกันก็จริงจังเลย เออ!.. ใช่.. มันเป็นที่จบ เป็นจุดสมบูรณ์ เป็นที่จบ Absolute เลย มันสุดยอด
เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสรู้และให้คนศึกษาและเอามาปฏิบัติจนบรรลุ ชาวอโศกบรรลุไหม บรรลุ
ในชาวอโศกจึงเป็นพวกมหัศจรรย์
ไม่ได้พูดเรื่องความมหัศจรรย์
ชีวกสูตรอันเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ในปหาราทสูตร
_ปหาราทสูตร ล.23
พ. มี ๘ ประการ ปหาราทะ ๘ ประการเป็นไฉน ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ(อนุปฺพพสิกฺขา) มีการกระทำไปตามลำดับ (อนุปฺพพกิริยา)มีการปฏิบัติไปตามลำดับ(อนุปฺพพปฏิปทา) มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ(นายตเกเนวะ อัญญปฏิเวโธ) มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
พ่อครูว่า… แม้แต่ศีล เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติกันอย่างสัมมาทิฏฐิ อปัณณกปฏิปทา 3 เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติกันอย่างจริงจังเพราะฉะนั้นสัทธรรม 7 อย่าหวังเลยว่าจะเข้าถึงตรงนี้ ยิ่งฌาน 4 หลังจากสัทธรรม 7 ไม่ใช่เลยไม่มีเลย ซึ่งมันเป็นของพุทธนะ แต่ฌานหลับตาของ เดียรถีย์ของโลกียะทั่วไป ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร
ศีลข้อ 1 2 3 ท่านแยกไว้ชัดเจนแล้ว
ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์กับคน เรื่องของสัตว์เราไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกัน สัตว์มันก็มีวิบากของสัตว์ เราไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวด้วยวิธีใดๆเลย แล้วมาเรียนรู้กรรมวิบาก ที่มันยังสืบเนื่องสืบต่อกันอย่างลึกที่สุดเลยกรรมวิบากนี่
อาตมาขอยกชีวกสูตร 5 ประการ ที่เป็นบาปไม่ใช่บุญเลย 5 ประการนี้อีก
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก