650119_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1JK3BLT3Y9z5ALCmDfiRoKpsJrKHPta6TmGooK3deCP8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1wlgeTiEQ_UdqwSLdeUlf0NXOdOTgAeej/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/aDMe2jCdVj/
และ https://youtu.be/CRe4qbZrBIo
อาหารแห่งวิชชาปรุงมาโดยสมณะโพธิรักษ์
สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงโควิด ชาวอโศกอยู่กับที่ก็เลยสร้างทำได้เต็มที่ พ่อครูก็ให้โศลกว่า “คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” บนโต๊ะก็เลยเต็มไปด้วยอาหาร ทำคนเดียวไม่ได้ ทำคนเดียวตายอย่างเขียดเหยียดขาตาย ต้องช่วยกันทำ ก็จะสำเร็จมาได้
ส่วนคนสนใจธรรมะออนไลน์ก็เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นคนมาเข้าค่ายอุโบสถศีลออนไลน์ ครั้งแรกประมาณ 100 คน ครั้งที่ 2 มี 150 คน ครั้งที่ 3 จะ 250 หรือเปล่าก็ไม่รู้ ได้แบ่งกลุ่มกันพบสมณะ ตื่นเต้นได้พบพ่อครูได้คุยกับสมณะสิกขมาตุ แต่พวกเราดูไม่ตื่นเต้นนะ พวกเราก็มาช่วยกันสร้างอาหาร ในยุคนี้การนี้ไม่มีใครสร้างอาหารได้ดีเท่ากับพ่อครูแล้ว เราต้องมากินอาหารจานนี้ ที่พ่อครูปรุงและเสิร์ฟมา
พ่อครูว่า… อาหารที่อาตมาปรุง เป็นพ่อครัว อาหารที่อาตมาปรุงให้พวกเรารับประทานทุกวันนี้ มันเป็นอาหาร ที่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วค้นพบ ที่แท้จริง เป็นอาหารที่ยิ่งใหญ่ อาหารนี้ อาตมาระลึกถึงอยู่แค่ 2 สูตร
สูตรหนึ่งคือ ปุตตมังสสูตร ซึ่งแบ่งอาหารเป็น 4 กับอีกสูตรหนึ่งก็คือ อวิชชาสูตร ก็มีอยู่ 10 เหตุปัจจัย
ตั้งแต่อาหาร ที่คนเรารับประทานอาหารคือความไม่รู้เป็นอวิชชามาตลอด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าผู้ที่ได้อวิชชา อวิชชามันยังมีอาหาร ไม่ใช่ไม่มีอาหาร ท่านตรัสอย่างนั้นเลย
อาหารของอวิชชาคือนิวรณ์ 5 นิวรณ์ 5 เป็นอาหารที่เอร็ดอร่อยของ อวิชชา เจ้านี่ รับประทานนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร สำคัญ แต่ละวันแต่ละวันรับประทานนิวรณ์ 5
นิวรณ์ 5 ก็มีอาหารอีก อาหารของนิวรณ์ 5 คือทุจริต 3 กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นอาหารของนิวรณ์ ง่ำๆ กินอาหารแต่ละวันทั้งกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต อาหย่อยๆ
ทุจริต 3 ก็มีอาหาร คือการไม่สำรวมอินทรีย์ 6 ไม่รู้จักอินทรีย์ 6 ไม่สำรวมอินทรีย์ 6 นี่ เป็นอาหารของทุจริต 3 สำคัญนะ การไม่สำรวมอินทรีย์ 6 อยู่ใน อปัณณกปฏิปทา 3 หากไม่สำรวมอินทรีย์ 6 โภชเนมัตตัญญุตากับชาคริยานุโยคะก็เสร็จ
หรืออยู่ในสัมมัปปทาน 4
-
สังวรปธาน 2. ปหานปธาน 3. ภาวนาปธาน 4. อนุรักขนาปธาน
เพราะไม่สังวรหรือสำรวมอินทรีย์ 6 นี่แหละ จึงปหานไม่ได้ ปหานปธาน ปหานกิเลส เมื่อไม่มีปหานปธาน ความสำเร็จหรือการเกิดผลคือภาวนา ภาวนาแปลว่าการเกิดผลสำเร็จ แต่ มิจฉาทิฏฐิหลงผิดทุกวันนี้ ก็เรียกภาวนาว่าเป็นภาคปฏิบัติ
อ้าวไปภาวนา อย่างมหาบัว ปฏิบัตินั่งสะกดจิตนั่นแหละคือภาวนา บรรลุอรหันต์ฆ่ากิเลสตายหมด โดยไม่มีเหตุปัจจัยที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ไม่รู้กี่สูตรต่อกี่สูตร มีเหตุปัจจัยเอามาอธิบายได้ ก็ไม่ได้อธิบายอธิบายแต่สิ่งวิเศษ สิ่งอดทน สิ่งที่พากเพียรพยายามจะตายก็ตาย ก้นแตกตาย นั่งสะกดจิตไปคนเดียวดุ่ยๆ แล้วอธิบายถึงความอุตสาหะวิริยะของตัวเองหนักหนาสาหัส สารพัดสารเพ คนที่ฟังก็ฟังง่ายๆแต่ไม่วิจิตรพิสดารอะไร
เพราะฉะนั้นก็จะไปอนุรักขนาปธาน เข้าไปรักษาผลที่มิจฉาผลเอามาสาธยาย เอามาสอนเอามาสืบทอดกันไป จนพ.ศ. 2500 ขึ้นมานี้ หมด ตามที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้ ใน อาณิสูตรว่า โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจะสูญหายไปหมดเกลี้ยง เปรียบเหมือนกลองอานกะ ไม่เหลือชิ้นส่วนอะไรของความเป็นของเดิม
เปลี่ยนเป็นของแปลกปลอมหมดในกลองอานกะ เปรียบกับเรียกชื่อเป็นพุทธเหมือนเดิมแต่ความเป็นพุทธถูกเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว อาตมาอธิบายตามเนื้อผ้า อธิบายตามความเป็นจริงที่มันเป็นจริง
พวกเราฟังแล้วสงสัยไหม อาตมาไปใส่ความหาเรื่องใช่ไหม ไม่ใช่นะไม่ได้ไปใส่ความหาเรื่อง พวกคุณก็เชื่อสนิทเห็นจริงเห็นจังตาม
เห็นจริงเห็นจังตรงไหน แล้วตอบมาได้อย่างไร? อยู่ที่ปฏิบัติตามกิเลสลดละได้?
ไม่ใช่ ก็มันเสื่อมไปหมดเลย ไม่เหลือชิ้นส่วนของกลองอานกะแล้วเหลือแต่ชื่อเฉยๆ อยู่ไหน อยู่นี่หรือ ชี้ไปตรงไหน?
ก็คือส่วนใหญ่กับกระแสหลัก ชาวพุทธส่วนมากไม่เหลือโลกุตรธรรม ก็คือไม่ได้หลงเสพเสวยไปมีแบบโลกธรรม ที่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่ได้ไปงมงาย หลงเสพสะสม หลงแย่งชิงไปมีไปครอง เหมือนกับคนจะไปร่ำรวยแบบโลกีย์
แต่นี่ท่านเป็นกระแสหลัก อย่างพระพุทธเจ้าในยุคของท่านก็เป็นโลกุตระกระแสหลัก สังคมสงฆ์ไม่มีใครมี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสพโลกียสุข อย่างที่เป็นทุกวันนี้เลย
พูดไปแล้วก็เห็นใจเหมือนกันนะ อาตมาก็เห็นใจท่านอยู่ว่า แหม ท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ท่านที่เข้าใจก็เข้าใจจริงๆ แต่มันสุดวิสัยที่จะแก้จะเปลี่ยนแปลงทำอะไรได้
ผู้ที่ท่านไม่มีอคติฟังอาตมาพูดแล้วก็รู้สึกตัวอยู่ แต่ว่ามันไม่รู้จะทำยังไง ส่วนที่ท่านเห็นแย้ง ท่านก็แย้งๆๆ โอ้โห แย้ง ผู้ที่แย้งอย่างแสดงออกมามากที่สุด
ทั้งแสดงออกต่างๆนานา ทั้งเขียนเป็นหลักฐานก็คือท่านมหาประยุทธ์ หรือสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ในบัดนี้ ท่านก็ทำ
มีคนไปถ่ายเอกสาร หนังสือที่ท่านเขียน 4-5 เล่มมาให้อาตมาเพิ่งได้มา อาตมาก็ลองมาอ่านทวนดู โอ้โห อ่านแล้วก็เออ เห็นใจท่าน ท่านเข้าใจจริงๆอย่างนั้น ถึงเห็นใจท่านเลย ท่านเข้าใจก็ยึดถืออย่างนั้นจริงๆ
จะบอกว่าท่านไม่หลง ท่านก็ไม่หล แต่ท่านรักสนิทแนบแน่นกับที่ท่านเข้าใจ เชื่อถือ แต่เราก็เห็นว่าท่านไปหลง เหมือนกับผู้ชายคนหนึ่งมีเมียสองคนก็ไปหลงมีอีกคนนึง เรื่องการเปรียบเทียบที่ไม่ค่อยน่าดู น่าเกลียดหน่อย มันปฏิภาณไม่ดี คิดอุทาหรณ์เปรียบเทียบอย่างอื่นยังไม่ทัน เอ้า ผ่าน
ก็เห็นแล้วก็น่าสงสาร ท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็พยายามทำแล้วก็พิสูจน์ตามลำดับ เอาหลักฐานพระพุทธเจ้าที่ตรัสเตือนเอาไว้ เช่น กลองอานกะในอาณีสูตร คำพยากรณ์ว่าศาสนาพุทธเสื่อมลงไปโลกุตระที่ท่านสอนจะเสื่อมลงไป แต่จะมีคำสอนที่ไพเราะน่าฟัง มีเหตุผลอะไรต่างๆนานา อย่างที่ท่านเรียบเรียงตำรา นึกคิดพยายามแปลไป ท่านแปลแล้วท่านก็ว่าถูกแล้วท่านก็ว่าอาตมาแปลผิด
ต่างคนต่างชี้หน้าว่าอีกฝ่ายหนึ่ง
ก็เห็นใจท่าน แล้วท่านเป็นคนส่วนมากด้วยเป็นคนระดับท่าน เป็นความหมายอย่างท่านมันเป็นโลกๆ เป็นโลกียะ มันก็เข้าใจง่ายสิ
โลกุตระมันเข้าใจยาก คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ในพรหมชาลสูตร ท่านบอกว่าศีลเป็นขั้นต่ำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนจะเข้าใจศีลได้ง่ายๆอย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ปฏิบัติศีลกันไม่รอด ทุกวันนี้ก็ไม่มีศีลแล้ว ยึดได้แต่วินัย 227 ก็เป็นหลักฐานยืนยันอยู่ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล หากไม่มียืนยันในพระไตรปิฎกอาตมาก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว
แต่ยังมีหลักฐานร่องรอยของศาสนาว่า ศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล คือศีลของเธอประการหนึ่งภิกษุทั้งหลาย ท่านก็แปลไว้ในพระไตรปิฎกเอง เป็นสำนวนของท่านก็ชัดเจนอยู่
มาไล่มาเรียงกัน โดยเฉพาะมหาศีล ผิดกันหมดเป็นเดรัจฉานวิชา ท่านก็ไม่รู้จักเดรัจฉานวิชา เอาง่ายๆที่ท่านไปเรียนดอกเตอร์ ทางวิชาพุทธศาสนามาจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เป็นดอกเตอร์ จบปริญญาเอกทางพุทธศาสนาจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เป็นเทวนิยม หรือจะมีบางคนเป็นอเทวนิยมหรือแบบพุทธก็ตามก็เขาอยู่ในแดนของเทวนิยม มันก็ได้มาอย่างที่ดีกว่า คนเขาไม่ได้เป็นเนื้อแท้ ซึ่งมันไม่ใช่ตื้นๆ อาจารย์ชาเอาความรู้นั้นมาสอนแล้วก็ได้ไปได้ปริญญาเอกมา ก็นึกว่าเป็นผู้ที่รู้จักศาสนาพุทธดี เขาจบด็อกเตอร์ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยใหญ่ของโลก ซึ่งมันง่ายที่ไหนอย่างนี้เป็นต้น
ถ้าจบดอกเตอร์จากประเทศไทย มหาวิทยาลัยสงฆ์ของไทยยังพอทำเนา แต่ก็เถอะอาตมาว่าน่าจะมาจบดอกเตอร์ที่ชาวอโศกนี่ แต่เราก็ไม่ได้ตั้ง ปริญญาตรีเราก็ยังตั้งไม่ค่อยสำเร็จเลย แม้แต่แค่วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ปริญญาตรีก็ยังประสาทไม่ได้เลย เราก็พยายามอยู่ซึ่งมันไม่ได้ เราก็ไม่ได้ขวนขวายอะไรต่อไป เราก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย แต่เราเอาเนื้อแท้ความรู้ความจริงที่ปฏิบัติบรรลุได้ อาตมาก็ไม่ได้ขวนขวายที่จะต้องไปเป็นสถาบันประสาทปริญญาตรีโทเอกก็ไม่ขวนขวาย
แต่พวกเรามีไปเรียนปริญญาตรีโทเอกในแขนงต่างๆ หรือแม้แต่แขนงพุทธก็ตามจากที่ท่านสอน ได้ปริญญาตรีโทเอกได้มาประดับ ให้รู้ว่าอย่างที่ท่านรู้นั้น เราก็ไปเรียนมา ไม่ใช่ว่าเราเองเป็นเหมือนหมาเห็นองุ่นเปรี้ยว มันไม่เคยลิ้มลองรสองุ่นเลยก็เลยไปว่าองุ่นของเปรี้ยว ซึ่งที่จริงมันก็หวานนะ เรากินองุ่นมาจนท้องกาง ไม่ใช่หมาเห็นองุ่นเปรี้ยวแน่นอน
ในโลกนี้ก็มี 2 อย่างสุดท้าย คนหนึ่งมองเห็นดวงดาวอยู่พราวพราย อีกคนหนึ่งมองเห็นโคลนตม สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนหนึ่งตาแหลมคมเห็นดวงดาวอยู่พราวพราย
ส่วนใครจะเข้าใจอย่างไรตัดสินเอาอะไรก็ได้ แต่เจ้าตัวเองเป็นเจ้าของความรู้ อันไหนเห็นเป็นธรรมวาที ให้ฟังความทั้งสองฝ่ายอย่างดีแล้วเอาไปปฏิบัติพิสูจน์เลย สุดท้ายตัดสินเอง เห็นอะไรเป็นธรรมวาที เพียงคำพูดคำสอนที่มันเป็นธรรม เราก็เลือกเอาอันนั้น ส่วนอีกอันหนึ่งมันไม่ใช่เราก็เข้าใจเอาว่ามันไม่ใช่อย่างนี้เป็นต้น
วันนี้มาเรียนเรื่องโลก 9 แบบ
ไม่ได้เรียงชั้นแต่มันมีแตกต่างกัน 9 แบบ
เพราะฉะนั้นขอสรุปว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าในโลกโลกุตรธรรม ความรู้อันนี้มันจะเสื่อมสูญหายไป ก็จริง จะยุคไหนมันก็ยุคนี้ที่มีเหตุปัจจัยจึงมีคนชาวพุทธมีผู้ที่รักษาดูแลพุทธ นำพาพุทธ แบบที่ท่านนำพาไป ถ้ามันไม่เสื่อมมันก็ไม่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านว่า
ฟังดีๆนะตรงนี้ ถ้าชาวพุทธกระแสหลักในยุคนี้หลัง 2,500 กว่าปีมานี้ ซึ่งก็พอรู้ว่าศาสนาของสมณโคดมจะยืนยาวไปถึง 5,000 ปี ถ้ามันไม่เสื่อมตรงนี้ ตามที่มันเป็นก็คงจะต้องไปรออีก 3-4 พันปี จึงเห็นว่ามันจะเสื่อมหรือไง
จะเสื่อมหรือไม่เสื่อม อาตมาเกิดมาในยุคนี้พอดี ก็มีคำพยากรณ์อีกแหละว่ามีธรรมิกราชที่จะขึ้นมากกอบกู้ศาสนาพุทธ 2 พระองค์ สอดคล้องกันตรงกันทั้งสองพระองค์ พระองค์หนึ่งก็มีพระจริยวัตรของท่านไปแล้วผ่านไปแล้ว สวรรคตไปแล้ว ก็เหลือซึ่งอาตมาก็พูดอย่างไม่ได้ มังกุ ไม่เก้อเขินเลย พูดความจริงว่า องค์หนึ่งก็คืออาตมา ก็ยังนำพาอยู่
แต่ตอนนี้อายุก็เกือบจะเท่ากับองค์ที่ท่านเพิ่งสวรรคตไป 89 ปี นี่ อาตมาก็กำลัง 88 89 กะร่อกะแร่อยู่นี่ ก็พากเพียรอยู่ว่ามันจะไหวไหมนี่ ที่จริงก็ไม่ถึงขั้นใกล้ตายอะไรหรอก ฟังดูก็เห็นอยู่ว่าไม่ถึงอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าจะตายจริงๆ
แต่อาตมารู้ตัวเองว่าพิสูจน์ธรรมะพุทธเจ้าในหลัก สัมประสิทธิ์ในหลักที่จะต่ออายุขัย พากเพียรที่จะเพิ่มพลังงาน เพิ่มอายุขัยอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์ เราจะมีอายุไปถึง 1 กัปหรือเกินกว่ากัปก็ได้ แต่เราพอแค่นี้ 80 ปี ท่านก็ขอปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเสีย แล้วท่านก็ตรัสกับพระอานนท์ไป แล้วพวกเราก็เคยได้ยินได้ฟัง ท่านจะต่ออายุไปถึง 1 กัป 120 หรือจะเลยไปกว่านั้นก็ได้ คือเอา 120 ปีเป็น 1 กัปในยุคพระพุทธเจ้า ในยุคพระพุทธเจ้ามีอายุเกิน 100 มีเยอะ จะเอาเท่าไหร่ก็ได้
อย่างที่อาตมากำลังจะพิสูจน์อยู่เหมือนกัน จะพยายามอยู่ให้เกิน 120 จะไปเรื่อยๆ คนที่นอนติดเตียงอยู่กันเป็น 10 ปี 20 ปี 30 ปีเขายังอยู่ได้เลย ท่านอาจารย์ชา ยังอยู่ติดเตียงตั้ง 7 ปีกว่าจะไป อาตมายังไม่ถึงขั้นนั้นเลย เพราะฉะนั้น 10 ปี 20 ปี 30 ปี มันก็น่าจะไปได้
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท… คนที่เขาเห็นด้วยกับพ่อครูที่แสดงธรรม แต่เขาไม่กล้าแสดงออก แต่คนที่เห็นแย้งกลับกล้าแสดงออก ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าประหลาด ความจริงคนที่เห็นด้วยในสิ่งที่ดีๆน่าจะแสดงออกว่าเป็นสิ่งวิเศษ
พ่อครูว่า.. เขาอยู่ในหมู่พวกนั้นก็แสดงออกสิ ถ้ามาอยู่ในหมู่นี้ก็แสดงออกอย่างนั้นก็ถูกตีหัวแตกสิ
สมณะฟ้าไท…ในโลกนี้ก็ต้องมี 2 อย่างนี่แหละ เราควรแสดงออกตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่มากกว่าแสดงออกตอนที่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว แม้ว่าเราแสดงออกไปแล้วจะถูกทำให้หัวแตกหรือถูกด่าก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าการประกาศสิ่งที่ดีจะเป็นคุณค่ามหาศาล อาตมารู้สึกเช่นนั้น เราบาดเจ็บนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก เป็นเรื่องธรรมดา ปกติเราก็ถูกด่าอยู่แล้วใช่ไหม ถูกด่ามากอีกนิดก็ไม่เป็นไร แต่เพื่อจะสร้างความดีสิ่งวิเศษเห็นสิ่งวิเศษที่สุดที่เกิดขึ้นในโลกนี้ อาตมาว่าน่าลงทุนคนที่มีฐานะอย่างนั้น ก็พูดไปตามความรู้สึกของตัวเอง แต่เขาจะทำอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน
กสิกรแข็งขลังเป็นกระดูกสันหลังของชาติ
พ่อครูว่า… ก่อนที่จะต่ออะไรก็ชื่นชมกับ สิ่งที่เอามาสำแดงนี้ก่อน ยกหน่อย โชว์ เปรียบเทียบกับหัวกระหล่ำปลี กับหัวโพธิรักษ์ นี่เป็นกะหล่ำปลีฝีมืออาจารย์ข้าดิน
ความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละ อาตมาภาคภูมิใจที่พวกเราช่วยกัน อาตมาก็ให้ลงดินเป็นกสิกรแข็งขลัง กระดูกสันหลังของชาติ ไทยจะเรื่องอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม มีผู้รู้ประพันธ์เอาไว้ แก้ว อัจฉริยะกุลหรืออย่างไร ประพันธ์เอาไว้
กสิกรแข็งขลังเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ไทยเจริญอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม
เดี๋ยวมันจะลืมทวนไว้หน่อย มันเก่าแล้วไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ ถ้าขืนอาตมาไปติดลมบน ไปติด ลาภยศสรรเสริญทางโน้นก็คงเสียดายนะ ดีแล้วมาทางนี้
อาตมามาถึงยุคนี้ ก็ยิ่งเห็นความชัดเจนว่า อาหารนี่แหละเป็นหนึ่งในโลก ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสจริงๆ มันเป็นเรื่องของมนุษยชาติ ที่จะต้องเลือกเฟ้นแล้วก็สร้างสรรค์เอามาพึ่งพาตนเองเลี้ยงตนเอง พึ่งพาแต่ธรรมชาติไม่พอ ธรรมชาติก็เกิดเองได้ แต่ว่าไม่ทันคนกิน คนนี่เป็นนักสวาปาม กินจริงๆ ไม่ทันไม่พอคนกิน คนไม่ทำมันเยอะกว่าคนทำ
เมืองไทยนี้ แต่เดิมมาเป็นกสิกรรม เป็นนักกสิกรรม เป็นกสิกร แต่เดี๋ยวนี้เป็นอาชีพที่ตามโลกเขา Export มา เราก็มามีอาชีพตามเขา ต่างๆเยอะแยะหลากหลาย แต่คนมาทำกสิกรรมในเนื้อที่แผ่นดินไทย ซึ่งยังมีอีกเยอะนะที่จะทำกสิกรรมต่างๆขึ้นมาให้อุดมสมบูรณ์ เลี้ยงโลกได้ เพื่อเลี้ยงประชากรโลกได้อย่างดี แต่คนก็ยังไม่เห็นความสำคัญ
ถ้าเมื่อใด คนไทย ชาวไทยเห็นความสำคัญของกสิกรรม จะยิ่งใหญ่มาก แล้วก็เปลี่ยนอาชีพที่แม้แต่เป็นนางฟ้า อย่างเช่น นี่นางฟ้าพิมพ์เพชรรุ้ง เป็นชาวฟ้าเป็นแอร์โฮสเตส ก็ลงมายินดีในเรื่องกสิกรรมแล้วตอนนี้สารภาพเองว่า ตอนนี้ตัวเองลงมาทำสวนทำไร่ทำนาทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร กับหมู่กับฝูงพวกเรา
พวกเราชาวอโศกก็เถอะ แม้แต่ชาวราชธานีช่วยกัน พยายามลงไปทางโน้นให้เยอะ ซึ่งอันอื่นก็สำคัญ แต่ถ้าอันไหนพอจะไปทำทางกสิกรรมให้มาก อาตมาว่าเอาให้เด่นเลย
เช่น ชาวบ้านราชฯนี่ ประมาณ 1,000 เป็นกสิกรสัก 800 นอกนั้นอีก 200 แบ่งไปทำหน้าที่อะไรอย่างอื่น แล้วจะไปได้ดีมากเลย
นี่ไม่ใช่อาตมาพูดเลอะๆเทอะๆไป แต่เห็นความสำคัญในความสำคัญนี้จริงๆ จึงพูดให้เห็น แล้วพวกเราก็ทำได้ดีด้วย ทำพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ดี ไร้สารพิษ แล้วก็เต็มไปด้วยคุณภาพ จับหัวกระหล่ำปลีดังกร๊อบเลย ใบแก่ก็เอาไปผัดน้ำมันหอยราดซีอิ๊วดีๆได้ขึ้นเหลา จริงนะ ชั้น 1 เลย
SMS วันที่=,89)ฟัง
_สติพล จนพัฒนา : ของบ้านราชมีแต่ของดีโชว์โดยเฉพาะของกินให้คนที่ไม่มีสิทธิ์ได้น้ำลายไหลหรืออยากกิน หรือโชว์เพื่ออะไรครับ?.
พ่อครูว่า…ก็คงไม่เอาของเน่าของเสียไปโชว์หรอก ก็จะโชว์เพื่ออย่างที่คุณว่านั่นแหละให้อยากจะมาช่วยกันทำให้เยอะๆแบ่งกัน คุณนั่นแหละมา เอาชัดๆเลยเอาแค่นี้ก็แล้วกัน ยิงเข้าเป้าเปรี้ยงเลย คุณนั่นแหละมา
_Thanyaphat Darunphan ธัญภัทร ดรุณพันธ์ : ผลจากการเจอช่องบุญนิยม ทำให้ตอนนี้กินมังสวิรัติได้โดยไม่โหยหาอาลัยอาหารที่มีเนื้อสัตว์ได้แล้วค่ะ แต่กิเลสข้ออื่น ๆ กำลังพยายามลดละลดได้ตามลำดับ ๆ และก็ตั้งใจจะทำต่อไปค่ะ
พ่อครูว่า…อนุโมทนาสาธุเลยทีเดียวคุณธนภัทร
_ฝน : พ่อครูตอบจุดตัดด้วยจิตถ่อมตนมากค่ะ กับคนที่ถามว่าทำไมพ่อครูจึงต้องมีคนช่วยเยอะ ตอบได้ลึกซึ้งครบ ที่พระพุทธเจ้าทำไมต้องมีคนช่วยน้อยกว่าพ่อครูเพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องประกาศศักดาพุทธภูมิ // ส่วนพ่อครูมาสู่ยุคให้โอกาสผู้คนในหลาย ๆ ท่านให้มีโอกาสได้ฝึกฝนจิตโพธิสัตว์ร่วมไปกับพ่อครู ถือว่ามีจังหวะปล่อยเชือกธรรมเส้นนี้ หลายท่านไต่ขึ้นมาสู่ที่สูงขึ้นๆ รู้สึกตามนี้ค่ะ กราบนมัสการอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาก็ขอยืนยันว่าจริงตามที่ฝนว่ามานะ
วิธีวิปัสสนาฆ่ากิเลสให้สิ้นเกลี้ยงเป็นเช่นนี้เอง
_Sangswang Rittichay แสงสว่าง ฤทธิชัย : กราบนมัสการหลวงปู่ครับ วิธีวิปัสสนากับกิเลสต้องพูดคุยอย่างไรกิเลสจึงจะหายไป ทำอย่างไรจะเลิกติดในรสอร่อยได้ครับ กราบเคารพอย่างสูงครับ
พ่อครูว่า…แหม พูดอย่างกับว่า มันเป็นสัตว์เลี้ยงตัวนึงง่ายๆ พูดกันเหมือนกับมันเป็นหมาเลี้ยงตัวนึง สุนัขเลี้ยงตัวนึง หรือว่าช้างตัวนึง หรือว่าอะไรตัวนึง
ตรงนี้แหละเป็นตัวจริง มันไม่ใช่เรื่องเล่น รสอร่อย อัสสาทะ ที่มันหลอกคนเป็นมายาตัวเก่ง เก่งนะตัวรสอร่อยนี่ รูปสวยก็ยังละได้ก่อน รสอร่อยตัวลิ้น กลิ่นหอมก็ยังละได้ก่อนตัวลิ้น กลิ่นหอม ลิ้นกับการสัมผัส เสียดสีทีหลังเลย โผฏฐัพพะ ทางลิ้น
พระพุทธเจ้าถึงมี โภชเนมัตตัญญุตา หรืออาหารที่เป็นคำข้าว กวฬิงการาหาร เป็นตัวสำคัญที่เรียน หากลดละอันนี้ได้ก็จะลดละอันอื่นได้ตาม นี่คือคำตอบให้คุณคนนี้มาเรียนรู้โภชเนมัตตัญญุตา ในรสอร่อยของอาหาร มันเป็นผีหลอก นี่แหละประเด็นพิจารณาเข้าไป
คุณติดอะไรในรสอาหาร ชนิดนั้นชนิดนี้พิจารณามันจนจางคลายได้ แล้วก็พิจารณาตัวอื่นอีก ตัวไหนที่คุณติดจัด เอาเฉพาะอาหารที่คุณกิน เอามาพิจารณาบ่อยๆทำซ้ำๆ รับรองอีกหน่อยก็ โธ่เอ๋ย
ซ้ำๆ ที่เป็นผัสสะ อะไรที่เป็นอะไรพิจารณาซ้ำๆ พิจารณาตามสัจจะเอร็ดอร่อยมันเป็นอย่างไร จะเห็นเข้าไปชัดเจนเลยว่ะ อยู่ที่ความหลง หลงติดหลงยึด หลงอุปาทานว่ามันอร่อย
มันจะรสอย่างไร ให้รสอร่อยเหมือนเดิมสุดๆเลย ให้แม่ครัวทำให้รสอะไรเหมือนเดิมทุกๆวัน เดี๋ยวจิตคุณก็จางคลายเองจริงๆ มันไม่เที่ยงหรอก กิเลสนี่มันไม่เที่ยง มันหลอกคนมานัก มันหลอกคนมามากมายหลอกชั่วกัปชั่วกัลป์
การหลุดพ้นเรื่องอาหารได้นี่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะทางลิ้นยิ่งใหญ่มากเลย กับรสทางสัมผัส โผฏฐัพพะ เสียดสีโดยเฉพาะสัมผัสเสียดสีทางเพศ สองมุมนี้แหละ
เรื่องเพศ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าไม่ต้องไปทดสอบไม่ต้องไปสัมผัส เอาอันนี้ รสทางลิ้นหมดได้ ทางเพศก็ลด ทางเพศ ก็ไปด้วยกัน 2 อย่าง ไม่ต้องไปเรื่องเพศ แต่เอาเรื่องลิ้น มาเป็นนักบวช มาเป็นพระพุทธเจ้า ก็ลดรสชาติทางลิ้นนี่แหละ จะสุดเลย คงเป็นคำตอบที่พอสมควรแล้ว
เจ้ากรรมนายเวรก็คือกิเลสตนนี่เอง
_Kru Sa ครู สา · กิเลส กับ เจ้ากรรมนายเวร เหมือนหรือต่างกันอย่างไรคะ นมัสการด้วยความเคารพค่ะ
พ่อครูว่า…กิเลสหรือ เจ้ากรรมนายเวร เออ.. ลองคิดๆดู
สู่แดนธรรม… เจ้ากรรมนายเวรถูกสร้างมาด้วยกิเลส
พ่อครูว่า… เออ นี่คำตอบสู่แดนธรรม ภาษาว่าเจ้ากรรมนายเวร มันเป็นเจ้านาย มันเป็นเจ้าของกรรม มันจำนนต่อตัวนี้ยกมันเป็นเจ้า เป็นเจ้าที่จะชักจูงให้เป็นอย่างไรไป
จริงๆแล้วกิเลสหรือเจ้ากรรมนายเวรก็ตัวเดียวกันนั่นแหละ หรือจะบอกอีกทีนั่นแหละว่าเรายอมให้เขา เจ้ากรรมนายเวร เรายอมให้เขา เหมือน God เหมือนพระเจ้า ยอมให้พระเจ้า แล้วแต่พระเจ้า แล้วแต่พระประสงค์จะให้เป็นอย่างไรไป แบบนี้เป็นคนสิ้นอิสระเสรีภาพหมด ให้พระเจ้าเป็นเจ้าของอิสระเสรีภาพหมดเลย ซึ่งตรงกันข้ามกับความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ว่า ไม่มีใครมาเป็นเจ้าของเรา เรานี่แหละเป็นเจ้าของอิสระเสรีภาพของเราเองแต่ผู้เดียว
เราโง่เองทั้งนั้น ไม่มีใครมาเป็นเจ้า บังคับให้เรามาทำตาม (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… พ่อครูเคยอธิบายว่ากรรมของเราเองนั้นแหละคือพระเจ้า เราก็หลงว่าต้องไปตามมัน ที่พ่อครูอธิบายตอนต้นเรื่องกินด้วยอวิชชา ให้อวิชชาเรากินเสพเต็มที่ บางคนก็กินจนพุงแตก พวกเราโชคดีมาเจอโพธิสัตว์เจ้าก็เลยเลิกกินอาหารแบบโง่ๆ หันมากินอาหารแบบโลกุตระ มหัศจรรย์จริงๆนะ โลกุตระนี่ ที่ทำตัวเล็กนิดเดียว แต่ทำงานได้มหาศาล มหัศจรรย์
พ่อครูว่า… พูดถึงตรงนี้แล้ว ก็อยากจะโชว์อีก ว่าคนอโศกนี่ เป็นคนที่มีรูปร่างยอดเยี่ยม อ้วนลงพุง พิกลพิการอย่างโน้นอย่างนี้ไม่เลย เรียกว่า รูปร่างสันทัดคน ได้สัดส่วน ไม่ผอมไป ไม่อ้วนเลย หลายร้อยคนจะมีอ้วนสักคน ในชาวอโศกอยู่ในบ้านราชฯก็มีอ้วนอยู่คนเดียว อ้อ.. ม่อนอยู่ในข่ายหรือ ระวังนะม่อน
ก็น้อยจริงๆที่มีอ้วนเรียกว่าได้สัดส่วนจริงๆเลย ถือว่าเป็น error ในคนหลายร้อยคนมีอยู่แค่นั้น ก็ไม่ดูน่าเกลียด จนกระทั่ง ข้างนอกเขา..โอ้โห เห็นแล้วน่าสงสาร ก็กลายเป็นคนพิกลพิการไป
เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์
เอ้า มาเข้าสู่ ที่เตรียมเอาไว้จะอธิบายโลก 9 เแบบ อ่านให้ฟังก่อน
โลก” 9 ชั้น โลก หมายถึง
-
ดวงดาว ดวงหนึ่ง ในแดนอวกาศ Space
-
โลก หมายถึง พลังงาน ความหมุนวน เปลี่ยนแปรสภาพไปต่างๆ
-
โลก หมายถึง สังขาร ที่มีวิญญาณเข้าร่วมปรุงแต่งกันอยู่
-
โลก หมายถึง อุปาทาน ที่ยึดเป็นภพ เป็นชาติ
-
โลก หมายถึง อวิชชา ที่คนผู้ไม่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง “ความจริง” บริบูรณ์
-
โลก หมายถึง วิชชา หรือ ปัญญา ที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง “ความจริง” สัมบูรณ์
-
โลก หมายถึง ความมี กับ ความไม่มี เท่านั้นในความเป็น 2 (เทว)
-
โลก หมายถึง ธรรมนิยาม 5
-
โลก หมายถึง สูญ หรือ ศูนย์ (สูญหายไป ; ศูนย์กลาง)
พ่อครูว่า… คนไทยอาคำว่า ศูนย์มาเขียนสองแบบคือ สูญ กับ ศูนย์
อย่างอาคารเรานี้ใช้คำว่า ศูนย์สูญ คำแรกเป็นสันสกฤต คำที่ 2 เป็นบาลี
มาใช้เป็นความหมายที่ต่างกันบ้าง อย่างสูญคือ หายไปหมดไป เป็นความไม่มี
ส่วน ศูนย์ หมายถึง ความมี กลางๆ อาศัยเลย สภาพศูนย์อันนี้เป็นสภาพอาศัยเลยกลางๆ เช่น ศูนย์กลาง
เพราะฉะนั้นจะเขียนหนังสือว่าศูนย์กลาง คุณจะต้องเขียนศูนย์ ถ้าไปเรียก สูญกลางก็ได้ ก็หมายถึงกลางตรงนั้นไม่มีอะไร
แต่ถ้าศูนย์กลาง หมายถึงความเป็นกลางที่มีอาศัยอยู่ ความเป็นกลางอันนี้ โอ้โหเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดที่คนจะต้องปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้า เอาตรงนี้แหละเป็นสำคัญที่สุดเลย ลักษณะ
อีกภาษาหนึ่งท่านใช้เรียกว่ามัชฌิมา ผู้ที่บรรลุอันนี้ ผู้ที่บรรลุได้แล้วแล้วเป็นตัวปฏิกิริยาไดนามิกเลย อนุปคัมมะ เป็นคนเข้าถึงสภาพ 2 อย่างแล้วก็มีอยู่ทั้ง 2 อย่างยังไม่ตายยังไม่สูญยังไม่ไปไหนมีวิจารณญาณอยู่ กับความมีกับความไม่มี ซึ่งเป็นความลึกซึ้งสูงส่งมากเลยอันนี้
เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็น อนุปคัมมะ หรือคนเป็นมัชฌิมา คือคนสุดยอดแล้วจบเลยในศาสนาพุทธ เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ เรียกว่าอภิภู จบเข้าเขตปาง 8
ขยายความโลก 9 แบบ
-
โลกหมายถึงดวงดาว ก็คือลูกโลกนี้แหละอยู่ในอวกาศ มีดาวแต่ละดวง อย่างของเรานี้เป็นพวกดาวดวงหนึ่งเป็นโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ ลูกโลกที่เราอาศัยอยู่ โลกมนุษย์นี้ ก็เป็น 1 ใน 9 ดวง เรียกว่าดาวเคราะห์ นพเคราะห์ ที่เป็นจักรวาลที่เรียกว่า สุริยะจักรวาลนี้ จากพระอาทิตย์ดวงเดียวดวงนี้ ก็มีโลก 9 ลูกหมุนรอบพระอาทิตย์นี้อยู่ สุริยะจักรวาล
นี่หมายความถึงโลก ลูกโลกที่มันหมุนอยู่ในแดนอวกาศทั้งหมด นี่คือเป็นรูปธรรมแท้ๆ นี่คือโลก คือดวงดาว
-
โลกหมายถึงพลังงาน พลังงานความหมุนวน เปลี่ยนแปรสภาพไปต่างๆ ตามเหตุปัจจัยต่างๆ ที่จะมาปรุงแต่งพลังงานอย่างไร มันก็หมุนเวียนเป็นพลังงานหมุนวนสังเคราะห์กันอยู่ในนี้ มีจุดศูนย์กลางแล้วก็มีแรงดูดพลังงานไป เป็นนามธรรม ที่จริงจะเป็นอรูปธรรมก็ได้ ถ้าเป็นอุตุก็เรียกเป็นรูปธรรม แม้แต่เป็นพีชะก็เรียกว่าเป็นรูปธรรม ไม่ได้ว่าเป็นนามธรรม จิตนิยามขึ้นไปจึงเป็นนามธรรม มีเวทนา มีความรู้สึก จึงเรียกว่านาม ถ้ายังเป็นแค่พืชยังไม่เรียกว่านามมทีเดียว เรียกว่ายังเป็นอรูปธรรม พลังงานอรูป
แม้ว่ามันมีชีวะแล้วยังไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ยังไม่จัดอยู่ในจิตนิยาม ยังไม่ทุกข์ไม่สุข ยังไม่จองเวรจองกรรม ยังไม่มีบาปมีบุญ นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แต่ข้อที่ 8 โลกเป็นธรรมะนิยาม 5
-
โลกคือสังขาร ตอนนี้มีวิญญาณเข้ามาร่วมเป็น สังขาร วิญญาณ นามรูป เป็น 3 เส้า
อวิชชา จึงรู้สังขาร สังขารจึงได้ว่ามีวิญญาณ วิญญาณจึงมีเหตุปัจจัยรู้งานบวชในนามรูป ต้นสังขารวิญญาณนามรูป สังขารคือสิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่ระหว่างสามเส้า เราเรียกตัวกลางว่าวิญญาณ มันปรุงแต่งกันอยู่ ก็แยกเป็น 2 คือนามกับรูป
พระพุทธเจ้าขยายรูปเป็นรูป 28 แต่นามมี 5 เอง
อุปทานยึดไปเป็นภพเป็นชาติ ที่ยึดคือวิชชา ไม่รู้สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะผัสสะ เวทนา ตัณหา ก็เลยตกตะกอนตกผลึกเป็นอุปทาน เป็นภพเป็นชาติ
-
โลก หมายถึง อุปาทาน ที่ยึดเป็นภพ เป็นชาติ
-
โลกหมายถึงอวิชชา ขยายถึงต้นตอของปฏิจจสมุปบาท อวิชชานี่แหละ ก็คือคนไม่รู้จักรู้แจ้งความจริงบริบูรณ์ ก็คืออวิชชา เหลือน้อยก็หนึ่งน้อยก็เป็นอวิชชาน้อยหนึ่ง เหลือสองน้อยก็อวิชชาสองน้อย
เพราะฉะนั้นต้องศึกษาให้เป็นวิชชา
-
โลก หมายถึง วิชชา หรือ ปัญญา ที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง “ความจริง” สัมบูรณ์
เคยสังเกตไหมว่าคำว่าบริบูรณ์ กับคำว่าสัมบูรณ์ 2 คำนี้มีนัยยะสำคัญต่างกันอยู่ เคยสังเกตเห็นไหม
บริบูรณ์หมายถึงเต็มเปี่ยม สัมบูรณ์ หมายถึงทั้งเต็มรอบครบถ้วนไปหมดเลย สัมบูรณ์
บูรณะอย่างปริอย่างรอบ กับ บูรณะอย่างสมะ ต่างกันที่สมะกับปริ ต่างกัน ถ้าจะไปลงถึงพยัญชนะก็ชัดขึ้นอีกแหละ แต่เอาไว้ก่อน ทั้งปริ มี ป ริ แต่ สม มี ส กับ ม เอง เป็นเศษวรรค ส่วนปริคือพยัญชนะตัวต้นเลย ป มีอีกสามใยเหนียวผูกไว้คือ อยะคือ ยางเหนียวผูกไว้ เพราะฉะนั้น ปริ มีสภาพความหยาบกว่า สมะ
-
โลก หมายถึง ความมี กับ ความไม่มี เท่านั้นในความเป็น 2 (เทว) เพราะฉะนั้นสรุปแล้ว 2 สภาพนั่นแหละ เทวฺ อาตมาสรุปแล้วในมหาจักรวาลในทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหากแยก 2 ในมุม เหลี่ยม มิติต่างๆประเด็นต่างๆนานาได้ทั้งครบทุกมุมทุกเหลี่ยม ทุกวิถีทุกมิติเลยนะรวมอยู่ที่เทวะสภาพ 2 ยิ่งใหญ่ที่สุดเลยสภาวะ 2 ถ้าเข้าใจแล้วในสภาวะที่คุณจะต้องเรียนรู้ที่ความมี ถ้าไม่มีก็ตีเป็น 0 ไปเลยจบ 0 กับ จบต่างกันตรงภาวะ 0 คือไม่มีก็จบแต่ถ้ามีก็คืออนันตัง คือหาประมาณไม่ได้ อัปปมาณา ส่วนไม่มีก็คือ 0 ตัวเดียว ถ้ามีนี้ไปเลยอันนันตังก็ได้ อัปปมาณาก็ได้ หรือหาที่สุดไม่ได้ หรือมากมายจนนับไม่ถ้วนแต่เขามีให้นับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 จนเป็น 10 ล้านเป็นโกฏ ก็ได้ ภาษาไทยบอกว่านับไม่ถ้วน นับอย่างไรก็นับไม่ถ้วน
-
โลก หมายถึง ธรรมนิยาม 5 ตัวนี้แหละ เอาตัวที่ 9 เลยแล้วก็หันกลับมาอธิบายตัวที่ 8 คร่าวๆสำหรับเวลาที่เหลือ 20 กว่านาที
-
โลก หมายถึง สูญ หรือ ศูนย์ (สูญหายไป ; ศูนย์กลาง) จะเป็นสูญหรือศูนย์ก็ตาม ถือว่าจบ จบลงที่ศูนย์ ถ้าใครไม่รู้ความศูนย์ ความจบ ความไม่มีที่บริบูรณ์สมบูรณ์แล้ว คุณก็เลยปัญหาไปแล้ว ปัญหามันมีอยู่ที่ว่า รู้จักความสูญได้ความไม่มีความจบได้ก็จบ ถ้ายังมีอะไรที่ยังสงสัยอยู่แสดงว่าคุณเองคุณยังไม่หมดปัญหา เลยปัญหาไปแล้ว หรือยังมีปัญหาที่ขาดหกตกหล่นยังไม่ครบเท่านั้นเอง ถ้าใครครบแล้วสูญครบ จบ จ่ายจบครบ จ่ายครบจบแน่ ที่เขาไปล้อเลียนพวกเรียนหนังสือ คุณจ่ายทรัพย์ครบก็จบแน่ มันเสื่อมขนาดนั้น