650112_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ความมหัศจรรย์ 8 ประการในชาวอโศกบุญนิยม
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/11J6u5yavI6TTFkswL-dsAeDXk2vjSOH-OvSrGFGAV7c/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1TRVOwo5z8l9z5zNKeZIzTZ2qo8YxshaQ/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1086936565429703
และ
สมณะเดินดิน…วันนี้เป็นวันพุธที่ 12 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้จะถึงงานพุทธาภิเษกฯ ซึ่งอยู่ในช่วงวันวาเลนไทน์และวันมาฆบูชา งานที่จัดกันมาก็เป็นการเพิ่มภูมิเพิ่มปัญญาให้แก่พวกเรา ในงานนี้ก็จะมีการสอบซึ่งจะใช้การเทศนาของพ่อครูเป็นข้อสอบ ดูข้อมูลได้ที่ www.boonniyom.net ขอให้เราไปทบทวนดู การทำวัตรตอนเช้าดูจะไม่ค่อยเหมาะกับสุขภาพพ่อครูซักเท่าไร ก็มีผู้เสนอให้เทศน์ตอนเย็น ก็ดูความเป็นไปได้ ตอนทำวัตรเช้าก็เป็นสมณะ สิกขมาตุแทน
พ่อครูว่า…
SMS วันที่ 10-11 มกราคม 2565
สาธารณโภคีนี้คือสิ่งมหัศจรรย์ในยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน
_ตุ๊ก อัศวิน : โพธิกิจของพ่อครู ที่ได้นำพาลูกๆ(ชาวอโศก) ปฏิบัติมานาน >๕๐ ปี จนได้รูปธรรมต่างๆ ที่จับต้องได้.. ท้าพิสูจน์ได้.. ที่เห็นเด่นชัด คือ สาธารณะโภคี ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในโลก..ในยุคนี้!! น่าจะกระทบ จิต ของผู้มีปัญญาได้บ้าง..นะเจ้าคะ!! ฤา..ยุคนี้..จะไม่มี “ผู้กล้า/ผู้มีปัญญา” มาถอน กิ่งหว้า หรือหนอแล !!!
พ่อครูว่า… เอาตำนานถอนกิ่งหว้ามากล่าวถึงเลย ผู้ไม่รู้ตำนานก็คงจะไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร คือหมายความว่าอย่างนี้ ถอนกิ่งหว้า คือในยุคพระพุทธเจ้า จะมีการถกปัญหาถกธรรมะกัน ผู้ที่อยากจะถกธรรมะกับใครก็เอากิ่งหว้านี้ไปหัก หักกิ่งหว้าไปปักไว้ หน้าสำนักเขาเลยท้า ให้ออกมา โต้ ให้ออกมาถกเรื่องธรรมะกัน เข้าใจอย่างนั้นเลย ลัทธินี้มีอยู่ในทิเบต เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ เอาวิธีปักกิ่งหว้ากันอยู่ เขาถกกันหน้าดำหน้าแดง แต่เขาไม่ได้โกรธกันนะ
ทีนี้ที่คุณตุ๊กกล่าวถึงว่า อาตมาได้แสดงธรรม จนคนชาวอโศกได้ปฏิบัติกันจนเกิดมรรคผล แล้วเกิดเป็นรูปธรรมต่างๆที่จับต้องได้พิสูจน์ได้เห็นได้ชัด คือสาธารณโภคี ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในโลกในยุคนี้ ในยุคพระพุทธเจ้าก็มหัศจรรย์ แต่ว่ามันเป็นภาวะจำนน
สาธารณโภคีมันจะแพร่กว้างออกไปไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นยุคที่มีข้อจำกัด เป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่อาตมากล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกไปหลายที เป็นยุคทาส เป็นยุคที่ผู้คนเป็นเรื่องทาสกันอยู่ มีระบบทาส มีระบบที่ยังไม่มีปัญญาไหวพริบพัฒนา ในเรื่องของสิทธิความเป็นคน มนุษยชน ยังไม่รู้จักสิทธิของความเป็นคน สิทธิมนุษยชน… ยังเป็นยุคทาสกันอยู่ มันก็เลยไม่สามารถที่จะทำให้คนทั่วไป ประชาชนทั่วไปสามารถจะปฏิบัติสาธารณโภคีได้
แต่ยุคนี้ทั่วโลกไม่มีแล้วความเป็นทาส เลิกทาสกันทั่วโลกแล้ว แล้วก็ไม่ใช่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกด้วย พร้อมกับคนรู้ดีแล้วว่า ตนมีสิทธิมนุษยชนเต็มร้อย ในยุคนี้
เพราะฉะนั้นจึงเป็นยุคที่ต่างกันกับยุคพระพุทธเจ้า จึงเป็นยุคที่อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาให้ศึกษาปฏิบัติกันแล้ว ก็เกิดสาธารณโภคีได้ เพราะจิตของเขาเกิดสาราณียธรรม สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ และเป็นคนที่มีภูมิธรรมขั้นวรรณะ 9 เกี่ยวข้องกันยังไง เกี่ยวข้องกันมากเลย
เพราะจิตที่บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าและเป็นโลกุตรธรรมแล้ว จะเป็นคนที่เป็นอยู่ง่าย เลี้ยงดูง่าย ปกครองง่าย บริหารง่าย อยู่กินกันง่ายๆ ไม่เป็นเรื่องลำบากเลย จะกินจะอยู่ จะเป็นจะไป จะไปจะมา จะอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นเรื่องอย่างนั้นขัดข้องอย่างนี้ ไม่ชอบใจ ไม่เลย
เพราะจะรู้ถึงสถานะของสังคมที่ดี เป็นความเจริญชนิดที่สำคัญมาก วรรณะ 9 นี้คือ The Classes เป็นขั้นชั้นระดับโลกุตระของมนุษยชาติ
สุภระ สุโปสะ และเป็นคนที่ศึกษา มีวิสัยทัศน์มีทัศนคติกว้าง เปิดรู้ รับรู้ว่า อ๋อ.. โลกเขาไม่ได้แคบเหมือนสมัยโบราณสมัยเก่า โลกทุกวันนี้กว้างหาที่สุดมิได้ ปานฉะนั้นทีเดียว สุโปสะ เพราะฉะนั้นพัฒนาให้เจริญได้ง่าย
ที่สำคัญก็คือมีจิตอัปปิจฉะ มีจิตมักน้อย มีจิตไม่ต้องการมาก ต้องการมีน้อย มักน้อยคือต้องการไม่ต้องมีมาก ชีวิตไม่ต้องมีมาก มีมากมันหอบ ลำบากลำบน รักษายากเป็นภาระ เป็นที่ปองหมายของโจร เป็นที่ริษยา อะไรต่างๆนานา จะมีปฏิภาณปัญญาเยอะ เข้าใจว่า
อ๋อ.. มาเป็นคนจนนี้ปลอดภัย เป็นคนที่ไม่ต้องไปเบียดเบียนอะไรต่างๆนานาสารพัด มีเหตุปัจจัยมีผลเยอะ สรุปว่าเป็นคนจนเป็นคนประเสริฐ ดีกว่าจะไปเป็นคนรวย เป็นคนรวยนี้ขออภัย พูดชัดๆ มันเป็นแนวคิดที่ต่ำทราม มาเป็นคนจนนี้เป็นแนวคิดที่เจริญที่ประเสริฐ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ยืนยันได้เลย มาเป็นคนมักน้อย เป็นคนมาจน สละออกหมด ทิ้งทรัพย์ศฤงคารหมด ไม่ใช่เรื่องพูดโมเมเอา แต่เป็นเรื่องสัจธรรมตายตัวมาทุกยุคทุกสมัย เป็นสัจจะที่วิเศษ เป็นคนต้องการน้อย มีน้อยก็พอ แค่นี้ก็พอ
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่มาก อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ
ปวิเวก แปลว่าความสงบ เป็นผู้เข้าใจ ในเรื่องความสงบ ความสงบ ไม่ใช่เรื่องต้องหนีไปจากบรรยากาศด้วยจากผู้คนสังคมหนีจากสิ่งกระทบต่างๆ ไม่ใช่
ความสงบในปัญญาข้อที่ 3 ในปัญญา 8 ข้อที่เป็นผู้ที่ได้ความสงบ 2 อย่าง พระพุทธเจ้าท่านตรัส จะเกิดปัญญาโลกุตระ ความรู้ความฉลาดแบบโลกุตระ จะรู้จักความสงบ 2 อย่าง สงบจากกิเลสทั้งกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ……
แต่ความสงบแบบโลกียะที่เขาเข้าใจกันเป็นความเข้าใจที่มิจฉาทิฏฐิ แม้แต่มโนก็ทำให้คิดช้าๆ เชื่องช้า หยุดคิดหยุดทำ คล่องแคล่วว่องไว ให้เซื่องๆ หยุดๆนิ่งๆ ดับได้แล้วก็หลงว่าเป็นนิโรธ เอาอย่างนั้นเลย
ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งมากเลยในเรื่องความสงบของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องลึกซึ้งมากเป็นโลกุตระธรรม ยิ่งสงบยิ่งคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว ไม่ใช่ความสงบอันที่สองของพระพุทธเจ้า ยิ่งสงบไม่ใช่ความเฉื่อยไม่ใช่ความช้า แต่ยิ่งไปคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว เหมือนพระสารีบุตรนี้ยิ่งกว่าลิง ได้รับความสรรเสริญยกย่องด้วยจากพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจ
คนที่ท้วงอาตมาเป็นพระอรหันต์ทำไมไม่มีความสงบ สงบอะไรยิ่งกว่าลิง ก็น้อยไป อาตมายังลิงน้อย พระสารีบุตรลิงใหญ่กว่าอาตมา อาตมายังเป็นลิงเกรงใจ พระสารีบุตร ลิงไม่ต้องเกรงใจ พระพุทธเจ้าอยู่ทั้งพระองค์ เรื่องนี้คนเข้าใจได้ยาก
นี่คือเรื่องที่อาตมาอยาก ขอเสริมเติมเข้าไปอีกนิดหน่อย ใน sms ข้อนี้ เข้าใจให้ได้ เดี๋ยวอาตมาจะเอาความมหัศจรรย์มาอธิบาย
_Aranyar Zeman (อรัญญา ซีแมน) : น้อมกราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอย่างสูงค่ะ เพลงไตเติ้ลเข้ารายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ทำนองไพเราะดีค่ะ
พ่อครูว่า…ไปชมเชยคุณโอ๋ฆราวาส ที่เป็นคนทำดนตรีอันนี้ ทั้งทำนองทั้งบรรเลง เขาเล่นเองทั้งวงคนเดียวสมัยนี้ ก็เป็นทาเล้นท์ของแต่ละคน
_แก้วตะวัน พวงบุบผา : น้อมกราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ..เรื่องกายฟังหลายครั้งยังไม่ค่อยเข้าใจ ก็ต้องฟังพ่อครูต่อไปอาจเข้าใจได้สักวัน แต่ตอนนี้ก็ถือว่าดีกว่าเมื่อก่อนค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาก็ยังอธิบายไม่จุใจ กายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ตั้งใจฟังไปอาตมาจะพยายาม
_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ : กราบขออนุญาตสมณะสิกขมาตุ ขอแสดงความยินดีกับสปิริตชน แกนนำแนวร่วมกู้ชาติรักษ์กฎนิติรัฐหลักนิติธรรม อ.ไชยวัฒน์ฯ อ.อมรฯ ได้รับการปล่อยตัว กลับสู่บ้านวิถีใหม่ปลอดภัยสาธุ
_เจิน วดี : กินพืชเว้นเนื้อสัตว์ เราไม่เบียดเบียนใคร อยากทำอยู่ค่ะ สบายใจไม่ต้องเอาชีวิตใคร
อสุรกายคือจิตอ่อนแอ ที่แม้แต่หมากก็ยังติด
_Thammanoon Nuhong (ธรรมนูญ นุหงส์) : กินหมาก สูบบุหรี่ ไม่ได้บัญญัติไว้
ในพระธรรมวินัย ไม่เคยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
พ่อครูว่า…อยากก็ทำซิ ไม่มีใครห้ามเลย จะเป็นอรหันต์กินหมาก สูบบุหรี่ ก็เอาเลย
ถ้าคุณยังกินหมาก สูบบุหรี่ ก็อยู่กับมหาบัวต่อไป ยาอี ยาบ้าก็ไม่เห็นได้บัญญัติในพระไตรปิฎก แนวคิดที่พยายามไม่แต่เรื่องนิดแค่นี้ ขออภัยเถอะอย่าหาว่าอาตมาได้ไปพูดข่ม มหาบัวมากเลย มหาบัวยังไม่มีภูมิธรรมมากเลยใจยังอ่อน ใจยังไม่แข็งยังอ่อนแอ
จริงๆไม่ใช่มหาบัวจะไม่เข้าใจไม่รู้ว่าหมากพลูเป็นสิ่งเสพติด เคยคิดเลิกแต่เลิกไม่ได้ก็เลยกลบเกลื่อนอย่างที่อาตมาเคยพูดมาหลายที่ ข้างในเขาจะรู้กันดีเรื่องนี้เพราะเป็นเหตุ
การณ์จริงๆในชีวิตมหาบัวเอง เสร็จแล้วก็หลอกชาวบ้าน ว่าตัวเองนี้เป็นพระอรหันต์
แค่สิ่งเสพติดแค่นี้ปฏิภาณขนาดเป็นมหานะ จะไม่รู้จริงๆ อาตมาว่าไม่จริงไม่เชื่อ จะมีนัยยะแห่งการโกหกซ้อนอยู่ในนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนที่โกหกทั้งๆที่ตัวเองรู้ว่าเป็นคำโกหก จะเป็นคนที่เขาจะโกหกสิ่งใดในโลกอีกได้ทุกอย่าง ไม่มีที่เขาจะโกหกไม่ได้ เป็นคนที่ยากที่จะคบ ขออภัยอาตมาไม่ได้ไปเบ่งไปข่มอะไรท่านมหาบัว พูดจริงใจนะว่าอาตมาก็สงสารท่าน ว่าท่านทำไมมีทิฏฐิอย่างนี้ มีทัศนคติอย่างนี้ แล้วก็ยังเสแสร้ง กลบเกลื่อนหลอกชาวบ้านต่อไปให้เขาหลงผิดกัน ซึ่งมันเป็นการทำลายทั้งสัจธรรม ทำลายทั้งธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วตัวเองก็ได้สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม พูดชัดๆก็คือได้ความผิดความชั่วไปให้กับตัวเองตลอด ปฏิภาณแค่นี้ทำไมไม่มี ปฏิภาณแค่นี้ไม่มีแล้วก็ไป ถือว่าไปเรียนโลกุตระไปเรียนโลกอรหันต์ มันไกลแสนไกล
เป็นคนที่อ่อนแอ แค่สิ่งเสพติดแค่นี้กก็ละไม่ได้ จึงเรียกภาษาบาลีว่า อสุรกาย เป็นคนไม่กล้า จิตอ่อนแอมาก แล้วกลบเกลื่อนหลอกผู้อื่นต่อ ถ้าพูดถึงตรงที่จิตอ่อนแอนี้ก็มีคนเอากวีที่อาตมาได้เขียนเอาไว้ลงในหน้าปก หนังสือ “เราคิดอะไร”
ตั้งแต่ พ.ศ. 2558 เดือนพฤษภาคม
อสุรกายคือใจที่ไม่กล้า
(๑) อสุรคือจิตแท้ ของคน
ใจไม่กล้าของตน นั่นแท้
ใจตนต่ำลงจน เลวชั่ว ใช่เลย
คือจิตคนผู้แพ้ บ่กล้าทำดี
(๒) แม้มีโอกาสให้ ตนทำ
แต่เพราะกิเลสจำ พ่ายแพ้
อ่อนแอจึ่งไม่สำ- เร็จกิจ นั้นนา
ลาภยศสรรเสริญแล้ ฤทธิ์ร้ายทำลายคน
(๓) ปุถุชนทั้งหมดล้วน คืออสูร
เล็กใหญ่ตามกายกูล แต่ละผู้
นามและรูปคือมูล ประชุมเกิด กายแฮ
อสุรกายนั้นรู้- จักได้ในตน
(๔) ทุกคนเรียนอ่านได้ จริงตาม จิตเฮย
องค์ประชุมรูปนาม เพ่งรู้
เห็นกายเกิดพ่ายกาม นั่นแหละ อสูรแล
จิตอ่อนแอไป่สู้ บ่กล้าทำดี
(๕) ทุกคนมีจิตนี้ ในตน
พึงฉลาดทำใจจน แกร่งกล้า
เอาชนะจิตตนชน อุปสรรค
โอกาสดีอย่าช้า จักพ้นจิตอบาย
(๖) อสุรกายจิตแท้ ตนทำ
จิตถูกกิเลสกำ- หนดไว้
จิตจึงอ่อนแอสำ- เร็จเสร็จ มารเลย
ต้องกำจัดกิเลสได้ จึ่งพ้นจิตอบาย
(๗) อสุรกายดับสิ้น จากจิต
บริสุทธิ์ให้สนิท จึ่งแท้
เผด็จศึกประเสริฐฤทธิ์ กันเถิด
จะชนะทุกสิ่งแล้ อย่าแพ้ภัยตัว.
สไมย์ จำปาแพง
๕ พ.ค. ๒๕๕๘
[นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ ๒๙๙ ประจำเดือน มิถุนายน ๒๕๕๘]
พ่อครูว่า…สไมย์ จำปาแพงเป็นคนแต่งชาวอโศกรู้ดี เป็นนามปากกาของอาตมาที่ใช้ได้เป็นชื่อเดิมของอาตมาตั้งแต่ใบเกิด เอามาใช้เป็นนามปากกานามแฝง
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… พ่อครูยกตัวอย่าง 50 ปีที่ทำงานมา เป็นระบบสาธารณโภคีทพิสูจน์ได้ พ่อครูพาทำ ระบบสาธารณโภคีที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ คนมาอยู่รวมกันหลายร้อยคน มีที่มาต่าง ถ้าไม่มีคุณธรรม ไม่เป็นมนุษย์วรรณะ 9 จะเป็นปัญหามากเลย เราดูจากคนที่มีปัญหาคือคนที่เป็นอสูรกาย มาอยู่กับพวกเราแล้วก็แอบสูบบุหรี่บ้าง เคี้ยวหมากบ้าง ไปเล่นหวยบ้าง มาอยู่สาธารณโภคีแทบจะวงแตกไปไม่ได้เลย ถ้าจิตเขามีอสุรกายมากอย่างนี้ เข้ามาอยู่ก็ทำให้ระบบของเราเดินหน้าไปไม่ได้
ทีนี้ พระจะมีปัญหาที่มีธงชัยพระอรหันต์มาหุ้มเอาไว้ คนก็ยกไว้ให้ทุกอย่างว่าเป็นผู้วิเศษอยู่ ที่จริงไม่รู้ว่ากิเลสอาจจะมากกว่าฆราวาส อย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กัน บวชกัน 20 30 ปีแล้วสึกออกไปหนักยิ่งกว่าฆราวาสอีก ตอนเป็นพระทำไมไม่เห็น เพราะว่ามีธงชัยพระอรหันต์หุ้มเอาไว้ คิดว่าจะไม่มีกิเลส …เป็นตัวชี้วัดว่าระบบสาธารณโภคี ถ้ามีคนมีอสุรกายมาอยู่เยอะๆก็จะทำให้ไปได้ยาก
หมู่บ้านราช มาอยู่ใหม่ๆทางจังหวัดจัดให้เป็นหมู่บ้านที่มีความยากจนอันดับ 5 ของจังหวัดอุบลราชธานี แต่ใครมาแล้วก็บอกไม่น่าเชื่อว่า เครื่องไม้เครื่องมืออาคารสถานที่ ไม่น่าจะเป็นของหมู่บ้านที่ยากจน มีความอุดมสมบูรณ์ครบพร้อม นี่เป็นความพิเศษของศาสนาปกติที่แต่ละคนมีความจนจึงทำให้ส่วนกลางมีความอุดมสมบูรณ์
ความมหัศจรรย์ 8 ประการในชาวอโศกบุญนิยม
พ่อครูว่า… เอ้า ที่นี่มาเข้าสู่เรื่องที่อาตมาอธิบายอยู่ตอนนี้คือ เรื่อง ความมหัศจรรย์ ของศาสนาพุทธ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ของโลกจริงๆ มหัศจรรย์ยิ่งใหญ่
ข้อที่ 1 เป็นความมหัศจรรย์ตรงที่ว่า เป็นศาสนาที่มีความเป็นลำดับ เพราะฉะนั้นความเป็นลำดับนี้ ถ้าเผื่อว่าคนที่ไปลัดสั้นตัดตอนของคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่เรียนไปตามลำดับแต่ละสูตรก็ดี แต่ละกระบวนธรรมก็ดี ไปตัดทิ้งเสีย เช่น กระบวนธรรมของพุทธคุณ ซึ่งมีจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นต้น ถ้าไปตัดซะ
เช่น จรณะ 15 ต้องขึ้นต้นด้วยศีล แล้ว อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 แล้ว ฌาน 4 อย่างนี้เป็นต้น หากไปตัดศีลทิ้ง ไม่เอา ไม่ต้องเกี่ยวข้อง อปัณณกปฏิปทา 3 จะไม่เกิดสัทธรรม 7 เลย ฌานที่ได้จึงไม่ใช่ฌานที่ไม่อยู่ในกระบวนธรรมของศาสนาพุทธเลย
เพราะฉะนั้นไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่ได้อยู่ในกระบวนธรรมที่มีเหตุมีปัจจัยแก่กันและกันเพราะมีศีลจึงมี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นเหตุเป็นปัจจัย
เช่น เราถือศีลข้อที่ 1 เราไม่ฆ่าสัตว์ เพราะฉะนั้นเราไม่ฆ่าสัตว์นี้ เราจะต้องสังวรสำรวม ใน อปัณณกปฏิปทา สังวรสำรวมตาหูจมูกลิ้นกายเมื่อเรากระทบสัมผัสกับสัตว์ เราจะต้องมีเมตตา เราจะต้องไม่ทำร้าย เราจะต้องไม่เบียดเบียน ไม่ต้องพูดถึงฆ่าเลย ปฏิบัติต่อกันอย่างมีเมตตากายกรรมเมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อยู่กันอย่างปรารถนา หรือ หวังประโยชน์เพื่อ โดยเฉพาะคนด้วยกัน หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เช่น อาตมาหวังประโยชน์เพื่อมหาบัว หวังประโยชน์เพื่อธัมมชโย อย่างนี้เป็นต้น หรือแม้แต่ผู้ใดผู้อื่นที่อาตมาตำหนิอยู่ มันเป็นการหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เป็นความเมตตาเกื้อกูลกันด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
คนไม่เข้าใจหาว่าอาตมาตำหนินั้น เป็นการอวดดี อวดใหญ่ เบ่งข่ม ซึ่งไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของธรรมะ อย่างมหาบัวนี้สิ้นชีพไปแล้ว แต่อาตมาก็ยังพูดอยู่เพราะอะไร เพราะลูกศิษย์มหาบัวยังดำเนินรอยตามมหาบัวอยู่อีกเยอะมาก ถ้าจะพูดไปแล้วก็ตั้งแต่อาจารย์มั่น แต่มหาบัวเป็นตัวเด่น อาจารย์มั่นก็ไม่ได้สอนมาพูดกับคนทั่วไป ไม่เป็นที่กว้างขวางเหมือนมหาบัว มหาบัวเป็นคนฉากหน้าที่คนรู้จักดี ก็เอามากล่าวเพื่อเรื่องราวนี้ เรื่องนี้จะได้เข้าใจกันได้ง่ายขึ้น รอไปเอาสิ่งที่มันเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่รู้กันทั่วไปในเรื่องนี้ประเด็นนี้มาใช้ แล้วมันก็เข้าใจได้ เป็นต้น
เพราะฉะนั้น เรื่องการตำหนิติเตียนนี้ จึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้าตรัสเลยว่าคำสรรเสริญนี้เป็นคำต่ำทราม ฟังให้ดีนะนี่อาตมาไม่ได้พูดเล่นพูดเองนะ คำสรรเสริญพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นคำต่ำทราม ไม่มีส่วนที่จะทำให้เกิดเรื่องละหน่ายคลายอะไรได้จากคำสรรเสริญ
แต่คำตำหนินี้ทำให้เกิดความละหน่ายคลายได้ นี่ก็เป็นความลึกซึ้งของความรู้อย่างพระพุทธเจ้าที่เอามาสอนมนุษย์ คิดเล่นๆ มันไม่ออกไม่ทัน ไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าตรัสนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่ข้อ 1 เป็นลำดับ อย่าไปเที่ยวได้ตัดลัดเล่น
แต่เพราะความเสื่อมที่เป็นจริงในยุค 2,500 กว่าปีนี้ ศาสนาพุทธ คนชาวพุทธเสื่อมไปจากศาสนาพระพุทธเจ้า อย่างเกือบจะไม่เหลือเชื้อเลย เกือบ ที่จริงอาตมาน่าจะบอกว่าไม่เหลือเชื้อเลย อาตมาเป็นผู้นำเอาโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงไปในยุคนี้ ที่จริงมันหมดสูญไปแล้วจริงๆ มันเป็นอย่างนั้นไม่ใช่อาตมาคุยใหญ่โตอะไรหรอก อาตมาพูดสัจจะ พูดความจริงสู่ฟังตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน อาณิสูตร
ว่ากลองอานกะ ยุคต่อมา โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจะสูญหายไป เขาจะไปเชื่อคำสอนของคนรุ่นใหม่ ซึ่งคนทุกวันนี้อาตมาพูดนี้เป็นโลกุตระแท้ คนเชื่อน้อย คนที่มีปฏิภาณปัญญา คนที่มีบารมีจริงๆจึงมาฟังธรรมะอาตมารู้เรื่อง คนไม่มีบารมีฟังธรรมะอาตมาไม่ซาบซึ้งหรอก
เพราะฉะนั้นในความเป็น ฌาน จึงเป็นฌาน เดียรถีย์ ไปนั่งหลับตาทำไม่ใช่เป็นฌาน ที่เกิดจากศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 จึงเกิดฌาน มีเหตุมีปัจจัยเช่นนั้น ที่เขาทำกันไม่ใช่ ฌานแบบพุทธเลย
นี่พูดตามหลักวิชาการอ้างอิงตามพระไตรปิฎกอ้างอิงความรู้ความจริงต่างๆ เพราะไม่มีวิชชา 8 เลย
ขออภัยที่อาตมาต้องลงลึกในเรื่องวิชชา 8
-
วิปัสสนาญาณ
-
มโนมยิทธิ
-
อิทธิวิธญาณ
-
โสตทิพย์
-
เจโตปริยญาณ
-
บุพเพนิวาสานุสติญาณ
-
จุตูปปาตญาณ
-
อาสวักขยญาณ