641220 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 21 ตอบปัญหาให้พ้นความสุขคือความโง่
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1oR6rb-diy0fdWS0cc7uOWkIgvN5OJRx9_3Tw45MaAIc/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1jiwVFeZ2LvmGX_Wf5CFyMtScf6vqta_1/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/a0bxrcSlZ6/
และ https://youtu.be/aaWm-nvxLpc
สู่แดนธรรม…วันนี้วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีเด็กนร.มานั่งฟังด้วย มาฟัง สัมมาทิฏฐิ เพื่อให้เป็นกำลังแยกแยะอะไรเป็นมิจฉาอะไรเป็นสัมมา เป็นการศึกษา มรรคมีองค์ 8 มีผลผลิตการงานที่ดี เช่นที่บนโต๊ะรายการพ่อท่าน
พลังงานบุญที่สัมมาทิฏฐิเป็นเช่นไร
พ่อครูว่า… อาตมาก็ไม่รู้ว่าอะไร เขาก็บอกว่า มันพร้าว มันจาวมะพร้าว มีสารพัดที่เราจะรู้จัก พืชพันธุ์ธัญญาหาร ซึ่งเราได้สร้างมาอาศัยให้แก่ตนยังชีพไป อุดมสมบูรณ์ไม่ขาดแคลนไม่กลัวจน เพราะว่า ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญก็ต้องศึกษาดีๆถึงจะเข้าใจเรื่องบุญได้อย่างสำคัญถูกต้องสัมมาทิฏฐิ
เพราะว่าบุญเป็นภาษาของโลกุตระธรรม ไม่ใช่ภาษาโลกียะเท่านั้น ซึ่งทุกวันนี้ศาสนาพุทธมันเสื่อมมาก เข้าใจคำว่าบุญผิดไปไกลลิบ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่สามารถพัฒนาจิตวิญญาณให้เกิดฌานเกิดบุญ แล้วก็หมดบุญ เพราะว่าเมื่อกิเลสหมด บุญก็หมดไปด้วย บุญมีหน้าที่ชำระกิเลสเท่านั้น ชำระกิเลสหมดบาปหมดอกุศล บุญก็หมด พระบาลีมีเกณฑ์ยืนยันไว้ว่า ปุญญปาปปริกขีโณ แปลว่าหมดบุญหมดบาป
พระอรหันต์ทุกคนเป็นคนไม่มีบุญได้มีกุศล แล้วไม่สันโดษในกุศลด้วย แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสชัดเจนว่า ท่านไม่สันโดษในกุศล แต่ท่านก็ตรัสว่าท่านเป็นคนไม่มีบุญไม่มีบาปแล้ว มียืนยันเลย ในพระไตรปิฎกก็มีคำตรัสยืนยัน ในพระสูตรอะไรที่ท่านเล่าประวัติของท่าน เล่ม 32 ข้อ 392 ท่านก็ตรัสยืนยันว่า บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ผู้หมดอาสวะแล้ว เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาปทั้งนั้น
เป็นความรู้ที่คนสมัยนี้เข้าใจไม่ได้ เข้าใจกร่อน ผิดเพี้ยนไป อยากได้บุญ ซึ่งบุญไม่ใช่สิ่งที่น่าอยากได้เลย มันเป็นอาวุธสำหรับประหารกิเลส เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังอยากได้บุญอยู่ก็คือผู้ยังมีกิเลส จะไปอยากได้มาทำไม ก็ทำให้บุญหมดไป ใช้บุญให้เป็น ศึกษาจิตวิญญาณ ให้จิตวิญญาณสร้างฌาน สร้างบุญให้ถูกต้อง เมื่อฌานมีบุญถูกต้อง พลังงานฌานคือพลังงานไฟ เรียกด้วยภาษาไทยว่าไฟเป็น อุณหธาตุ ที่จะมีพลังงานไฟที่มีอำนาจ มีฤทธิ์แรงกว่าไฟราคะ โทสะ โมหะ
ราคะ โทสะ โมหะ ก็เป็นพลังงานในจิต ซึ่งพลังงานบุญหรือพลังงานฌาน ก็เป็นพลังงานที่มีฤทธิ์เหนือกว่าไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ นี่ก็เป็นสัจจะที่ เดี๋ยวนี้ก็ผิดเพี้ยนไปเข้าใจบุญว่าเป็นกุศล ศาสนาพุทธก็เลยไม่มีมรรคผลอะไร เข้าใจบุญไม่ได้ ทำแต่กุศลเป็นโลกียะ บุญที่เป็นพลังงานของปรมัตถ์หรือเป็น ฌานที่เป็นปรมัตถ์ ฌานโลกุตระ เป็นฌาน ของศาสนาพุทธเขาก็ไม่รู้ ซึ่งฌานวิสัย เป็น อจินไตย ที่ชาวเดียรถีย์ ชาวเทวนิยมเข้าใจไม่ได้ว่า ฌานจริงๆแล้วเป็นอย่างไร ฌาน ก็ไปนั่งหลับตาเอาเป็นต้น ซึ่งมันไม่มีทางเลย ฌานก็นั่งหลับตาเอาแล้วจะเกิด ฌาน เด็กๆฟังหลวงปู่บอกอันนี้เอาไว้ ศาสนาพุทธ เข้าใจผิดก็นั่งหลับตาแล้วจะเกิดฌาน เกิดสมาธิ สมาธิก็เกิดอย่างเดียรถีย์ เป็นฌานแบบคนนอกพุทธ ไม่ใช่คนพุทธ ศึกษาให้ดีๆถ้าไม่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ มันก็จะไปเป็นทิศทางที่ผิดได้มรรคผลที่ผิด ก็ผิดไปไกลลิบเลย 2,500 กว่าปีแล้ว หลวงปู่มา กอบกู้เอาโลกุตรธรรมคืนมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
SMS วันที่ 17-19 ธ.ค. 2564
ผู้จะประกาศตนเป็นพระอรหันต์มีข้อระวังอย่างไร
_สติพล จนพัฒนา : **ผมคนหนึ่งเชื่อว่าอาจารย์หมอเขียวเป็นพระอรหันต์แล้ว
เพราะท่านเคยพูดว่าท่านเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์ระดับที่ 5 คืออนุโพธิสัตว์.
พ่อครูว่า…คนที่พูดว่าตัวเองเป็นอรหันต์ เป็นคนที่ถ้าเผื่อว่าตัวเองไม่เป็นจริงนี้ ซวย ที่บอกออกไปว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ เพราะตนเองต้องระมัดระวังตนเองอย่างหนักเลย จะต้องรู้ว่าพระอรหันต์มันไม่ใช่คนธรรมดา เป็นคนไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นจะไปปล่อยไก่ ทำให้กิเลสทะเร่อทะร่าออกมา ไม่ว่ากาม ไม่ว่าพยาบาท ไม่ว่ากิเลสระดับไหนก็แล้วแต่ ขายขี้หน้าตัวเองอย่างสำคัญ
เพราะฉะนั้นคนที่จะประกาศว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ เป็นอาริยะระดับสูงๆ จนกระทั่งถึงอรหันต์ โอ้โห ผู้ประกาศนั้น ต้องเห็นว่าประกาศแล้วตนเองก็ไม่หน้าแตก ไม่ขายขี้หน้า ตนเองก็จะรักษา ความเป็นอรหันต์ ความเป็นคนไม่มีกิเลสในจิตจริงๆ ราคะ โทสะ โมหะ มันไม่มี ไม่แสดงตัว ไม่ออกอาการให้คนอื่นเขาเห็นเขาจับอาการได้
ถ้าเกิดว่าเราไม่จริง มันก็ ออกโผล่ออกมา หรือดีไม่ดี อัดอั้นเอาไว้มากๆก็ระเบิดตูม หน้าแตก หมอไม่รับเย็บเลย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีหรอก คนที่จะประกาศตัวเอง เป็นพระอรหันต์เป็นพระอริยะ ไม่ใช่เรื่องน่าประกาศอะไรง่ายๆ
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะประกาศต้องเข้าใจและเชื่อมั่น ว่า ประกาศออกไปแล้วมีประโยชน์ ไม่ใช่ประกาศด้วยจิตอยากโอ่อยากอวด พระอรหันต์จะไม่มีจิตอวดโอ่อยากอวด ผู้ที่จะประกาศตนเองว่าเป็นพระอรหันต์ จะต้องเชื่อมั่นว่าตัวเอง ต้องไม่แคดแลด(โผล่) กาม มีปฏิฆะแคดแลดออกมา (ทะเล็ดรอดออกมา) เหมือนคนภาคใต้ ภาคกลาง พยายามพูดภาคอีสาน พูดภาคกลางไปๆมาๆ เดี๋ยวสำเนียงภาษาอีสานแคดแลดออกมา ประเดี๋ยวสำเนียงภาษาใต้แคดแลดออกมา จะเป็นอีสานโผล่มามันจะชัดเลย
สู่แดนธรรม… ถ้าเกิดว่ามันจำเป็น ถ้าจะปรับการรับรองตนเองกลางๆ รับว่าเป็นโพธิสัตว์พ่อท่านจะให้ทัศนคติว่าอย่างไรครับ
พ่อครูว่า… คือคำว่าโพธิสัตว์ คำว่าอรหันต์ ในประเทศไทย ผู้รู้ในประเทศไทย ยังเข้าใจไม่ได้ เข้าใจแต่ว่าโพธิสัตว์คือผู้ที่ไม่ใช่อาริยะ โพธิสัตว์คือผู้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ตั้งจิตตั้งปณิธานว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่ยังไม่เป็นอาริยะขั้นโสดาบัน สกิทาคามี อะไรเลย ถือว่าเป็นสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ ซึ่งเขาเข้าใจผิด
พระโพธิสัตว์นั้นคือผู้ที่มีภูมิพระโพธิสัตว์จึงจะเป็นโพธิสัตว์ สัตว์ใต้ต้นโพธิ์จะเป็นโพธิสัตว์ได้อย่างไร ทีนี้ภาษาพยัญชนะก็แปล โพธิสัตว์ว่าคือผู้ที่มีภูมิตรัสรู้ ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป เป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 อย่างหมอเขียวบอกว่า เป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 ก็เท่ากับเป็นโพธิสัตว์ระดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ที่จะพากเพียรเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปก็เป็นระดับที่ 5 ระดับที่ 6 อนิยตโพธิสัตว์ ระดับที่ 7 นิยตโพธิสัตว์ เที่ยงแท้ที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้า จากนั้นก็ขึ้นไปมหาโพธิสัตว์ ระดับที่ 8 ระดับที่ 9 ก็เป็นพระพุทธเจ้า
ก็มีลำดับอยู่อย่างนี้อธิบายมา ตลอดเวลา ซึ่งไม่มีใครอธิบายอย่างที่อาตมาอธิบายเพราะเขาไม่มีภูมิระดับนั้น โดยเฉพาะประเทศไทยเป็นเถรวาท จริงๆแล้วก็ไม่ใช่เถรวาทแท้หรอก เข้าใจคำว่า เถรวาทก็ไม่ค่อยถูก
จริงๆแล้วคำว่าเถรวาทะ คือ ในพระไตรปิฎกมีเถรวาทะ มีคำพูดของพระเถระในรุ่นเดียวกันที่เกิดในยุคพระพุทธเจ้าพูดไว้ มีวาทะ มีคำพูดคำกล่าว เช่น พระสารีบุตร พระกัสสปะพระอานนท์ พระโมคคัลลานะ เป็นต้น พูดแล้วบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกเอาไว้ คำต่างๆเป็นคำของเถระ ไม่ใช่คำของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำของพระเถระรุ่นเดียวกันกับที่ได้รับมาจากพระโอษฐ์จากพระพุทธเจ้าในรุ่นเดียวกันมา แล้วก็มาพูดไว้บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก นั่นคือ เถรวาทะ
ทีนี้ เมืองไทยถือว่าเป็นเถรวาทะ เรียนรู้ตามคำสอนของพระเถระในรุ่นของพระพุทธเจ้า ที่พูดไว้บันทึกไว้มา ซึ่งก็คือในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี่แหละ ไม่ได้มีคำพูดของ ผู้ที่เป็นอรรถกถาจารย์ อาจาริยวาท รุ่นหลังจากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ ในพระไตรปิฎกเป็นพระ เถรวาทะ กับ คำสอนจากพระโอษฐ์จริงๆที่รวบรวมเอาไว้
ทีนี้มีบางคนชักมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่เอาคำสอนของพระเถระอยู่ในพระไตรปิฏก คัดออกหมด เอาแต่พุทธวจน มีผู้ที่มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างนั้น ก็เอาเถรวาทะให้มันได้ก่อนเถอะ พระเถระ ที่ขยายความให้ได้เข้าใจยิ่งขึ้นกว่าก็ลบหลู่พระเถระอีก ก็ยิ่งใหญ่ไป จะเป็นผู้ที่มีภูมิสูงจะเอาแต่ของพระพุทธเจ้าก็แล้วแต่
นัยยะต่างๆนี้ อย่างอาตมา มาประกาศตนเองว่าเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 ซึ่งอาตมาไม่ได้พูดพล่อย พูดเล่นๆ พูดอย่างมีความรู้และก็มีความจริง ที่เป็นจริงออกมาเป็นคำจริงทั้งนั้นที่พูดออกมา พูดไม่จริงมันก็บาปแล้ว อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 จะพูดจา ไม่รู้จักบาปไม่รู้จักบุญก็แย่แล้ว
อาตมาเป็นคนหมดบุญแล้วด้วยไม่มีบุญ อาตมาเป็นคนบาปก็ไม่มีแล้ว อกุศลไม่มีแล้ว แต่คนไม่เข้าใจเป็นนัยยะที่ละเอียดลึกซึ้ง มีแต่กุศล
พระอรหันต์จะเป็นผู้ที่มี สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) ตามที่พระพุทธเจ้าสอนพระอรหันต์รุ่นแรกไว้ ว่าพวกคุณทั้งหลายเป็นผู้ที่ไม่ทำแล้วในเรื่องที่เป็นบาป กรรมที่เกิดขึ้นจึงมีแต่กุศล เพราะว่าได้ทำจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่ต้องมีบุญมีบาปอีกแล้ว ซึ่งเขาก็เข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ไปแปล สัพพปาปัสสอกรณังว่า ไม่ทำชั่ว แล้วทำแต่ดี ทำจิตให้สะอาดผ่องใส ซึ่งมันไม่ใช่
โอวาทปาติโมกข์ 3 เป็นเรื่องของพระอรหันต์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ความเข้าใจที่แยกไม่ออกว่า ผู้หมดบุญหมดบาป หมดดีหมดชั่ว เป็นผู้ที่ไม่ทำชั่วอย่างเด็ดขาดเลย ทำแต่ดี มีแต่กรรมที่ดีถ่ายเดียว ไม่มีอกุศลเจตนาที่จะเป็นบาป ไม่มีในพระอรหันต์ขึ้นไป เป็นต้น
พูดถึงคนบอกว่าประกาศว่าหมอเขียวประกาศอรหันต์ ก็ดีสิ หมอเขียว จะได้ระมัดระวัง ไม่งั้นตัวเองจะหน้าแตกเอง ก็มันไม่ใช่เรื่องสามัญ ยิ่ง อาตมาประกาศตนเองเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เกินกว่าพระอรหันต์ไปมากแล้ว ประกาศไปนั้นมันดีที่ไหนกัน มันต้องระมัดระวังจะตายจะเป็น ทำเป็นเล่นไปเถอะ ไม่อย่างนั้นก็ยิ่งเน่าใหญ่เลย คนที่รู้เขามี นึกว่าคนอื่นเขาไม่มีปัญญาหรือ คนอื่นเขามีปฏิภาณปัญญาไหวพริบ นึกว่าคนอื่นเขาโง่เง่ากว่าทั้งนั้นจะหลอกเขาได้หลอกเขาดี แล้วจะหลอกคนไปทำไม พูดความจริงสิ เอาความจริง จะเอาความหลอกมาให้เป็นกรรมเป็นวิบากบาปทำไปทำไม ผู้ที่รู้แล้วนั้นไม่ทำหรอก
อาตมาไม่ทำ แม้บางที คนไม่เข้าใจ อาตมา มีภาษาไปตำหนิ ไปว่าอันโน้นอันนี้ไปวิจารณ์อย่างนั้นอย่างนี้ ก็หาว่าอาตมาพูดเป็นอุปวาโท เป็นภาษาที่ไปทำร้ายทำลายคนอื่น มันไม่ใช่ อาตมามีแต่ อนูปวาโท มีแต่คำพูดที่ไม่มีหวังร้าย ไม่ได้มีความร้ายความเลวอะไร มีแต่ความปรารถนาดีที่จะวิพากษ์วิจารณ์ จะตำหนิติเตียน ถึงขั้นจะใช้คำว่าบริภาษ หรือ คำด่า อยากจะแปลคำพูดของอาตมาเป็นคำด่าก็แล้วแต่ ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้ใช้คำหยาบคาย ซึ่งคำด่านั้นจะต้องเป็นคำหยาบคาย คำไม่ถูกต้อง ซึ่งเรียกว่าคำด่า คำด่าคือคำไม่ถูกต้อง เป็นคำที่เกิดจากอกุศลจิต โกรธบ้าง ราคะหรือโลภแรงบ้าง เป็นคำที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงนี่คือคำด่า
อาตมาไม่เคยด่าใคร แต่ตำหนิแน่นอน ตำหนิเก่งด้วย ตำหนิแรงด้วย แต่ไม่ได้บริภาษไม่ได้ด่า นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ ควรข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง ไม่ได้พูดแก้ตัวนะ ต้องฟังธรรมให้เป็น แล้วจะเข้าใจ
ในสังคมโลกนี้ใครจะประกาศตนเองว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ประกาศให้ดี ระวังให้ดี ไม่งั้นขายขี้หน้า อย่างเช่น มหาบัวอย่างนี้ ประกาศว่า ซึ่งไม่กล้าประกาศว่าตนเองเป็นพระอรหันต์แต่ประกาศว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เลี่ยงไปโน่น ไม่กล้าพูดตรงๆว่าอรหันต์ แต่ให้คนเข้าใจเป็นคำที่ฟังแล้วเป็นไวพจน์ ให้คนเข้าใจว่ามันก็เป็นอรหันต์นั่นแหละ โดยที่ตนเอง ขายขี้หน้าอยู่ แม้แต่คำว่าเสพติด เสพติด ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเท่านั้น กินหมากพลู เสพในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็ไม่รู้ก็เสพติดจนตาย แค่นี้ก็ไม่รู้ มันเป็นสิ่งเสพติดที่หยาบขั้นต้น ขั้นอบายมุขแท้ๆ ก็ยังไม่ได้
ที่อาตมา ต้องพูดเพื่อให้เกิดการศึกษาให้รู้ว่าสิ่งเสพติดคืออะไร ศีลข้อที่ 1 เรื่องของสัตว์ ผู้ที่รู้เรื่องสัตว์แล้วจะรู้จักวิบาก หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ แล้วจะเข้าใจว่าสัตว์คือเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกัน ในวิถีของการดำเนินชีวิตใดๆ แม้ที่สุดเราจะยังชีวิต เราก็ไม่ไปเกี่ยวข้องกับสัตว์เอามาเป็นอาหารให้ตนเองกิน คนมีปัญญาจะรู้เรื่องสัตว์ อย่างนั้น
มันเป็นทุจริตกรรม มันเป็นวิบากกรรม ถึงขั้นอย่าว่าแต่ไปฆ่าเอามากินเลย มันจะมีปัญญา ที่รู้เลย รู้ว่าวิบากบาปคืออะไร ที่อาตมายกใน ชีวกสูตร 5้ข้อ เป็นวิบากบาป ไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย 5 ข้อ อธิบายกันเท่าไหร่ คนก็ยังรู้ความสุขุม ประณีต ละเอียด ของคำสอนพระพุทธเจ้าอันนี้ไม่ได้ ก็ชอบอ้างกันนะว่าพระพุทธเจ้าให้บริสุทธิ์โดยส่วน 3 และบริสุทธิ์โดยส่วน 3 นั้นลึกซึ้งแค่ไหน ซึ่งเขาไปแปลเพี้ยนไปว่า เขาฆ่าเฉพาะผู้นั้น ชื่อนั้น เท่านั้นกินไม่ได้
ที่จริงไม่ได้หมายความถึงอย่างนั้น แต่หมายความถึงว่า สัตว์ใดหรือตัวใดที่ตายด้วยคนเจตนาฆ่า เจตนาพระพุทธเจ้าแยกรายละเอียดถึง 5 ชั้น
เจตนาข้อที่ 1 แม้แต่เริ่มต้น มีชื่อ กล่าวชื่อสัตว์ตัวใดตัวหนึ่ง ไก่ หมู ไปเอามา บางทีหมาเขาก็กิน พอเจตนาที่จะไปจับสัตว์มา กล่าวชื่อนั้นสัตว์นั้นให้ไปจับมา คนที่มีปฏิภาณรู้ว่าไก่ตัวนี้ ปลาตัวนี้ ไม่ต่อไปว่า น่าเอามาต้ม น่าเอามาย่าง น่าเอามาปิ้ง ไม่พูดต่อ แต่กล่าวชื่อสัตว์เท่านั้น เจาะจง อุทิสสะ หรือเจตนามุ่งหมาย นำชื่อสัตว์ตัวนั้นมากล่าวแค่นี้ก็เป็นบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย
ยิ่งมีเจตนามากขึ้นสูงขึ้นเป็นข้อที่ 2 ให้เขาไปจับมันมา ผูกคอมา ลากมันมา สัตว์มันก็มีทุกขเวทนา มันก็บาปหนักมากยิ่งขึ้นอีก เป็นบาปของผู้ทำ ไม่พอ
ขั้นที่ 3 จงฆ่ามันเลย สัตว์ตัวนี้ ตรงนี้ก็ปฏิเสธไม่ออกแล้วทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมครบเลย ฆ่า
ขั้นที่ 4 สัตว์นั้นแม้กำลังถูกฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส ขณะที่สัตว์มันถูกฆ่าอยู่นั้นมันเป็นทุกข์ มันก็เกิดทุกข์เท่าไหร่บาปก็เกิดเท่านั้นให้แก่ผู้ที่ไปสั่งฆ่าและผู้กำลังฆ่า ร่วมกันทำบาปด้วยกัน ทั้งผู้สั่งฆ่า ทั้งผู้ลงมือฆ่า บาป เป็นอย่างที่ 4 หนักขึ้นไปอีก
อย่างที่ 5 ยิ่งหนักใหญ่ หนักกว่าขั้น 1 2 3 4 คือ ผู้ที่มีเจตนา มีความมุ่งหมายจะเอาเนื้อสัตว์ที่ตนเองฆ่าแล้วก็ทำเป็น ขาทณียโภชนา หมายความว่า ทำเป็นอาหาร อย่างประณีตเลย มาต้มยำ มาแกง อย่างดีเป็นผัดอย่างดี ปิ้งอย่างดี ย่างอย่างดีก็แล้วแต่ ทำอย่างชนิดใช้เชฟชั้น 1 เลย
ทำเสร็จแล้วก็เอาไปถวายทั้งภิกษุที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า หรือเอาไปถวายพระพุทธเจ้า เพื่อจะให้ยินดีด้วยเนื้อสัตว์นั้น ซึ่งเป็นการไม่สมควรจะเอาเนื้อสัตว์ไปยั่ว ไปยัดเยียดให้แก่ภิกษุ เอาล่ะพระพุทธเจ้าไม่อยู่ไม่มี ก็เอาไปยั่วแหย่สาวก ให้ท่านยินดี ย่อมประสบบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย เพราะเป็นสิ่งที่ อกัปปิยะ เป็นการไม่สมควรที่จะทำอย่างนี้อย่างยิ่งเลย เป็น อกัปปิยะ
แค่คำว่า อกัปปิยะ มันก็เป็นเรื่องไม่สมควรที่จะเอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายสาวกพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้า มันไม่สมควร เป็นการไม่สมควรใจอย่างยิ่ง อกัปปิยะ
อย่าว่าแต่ฆ่าสัตว์เลย เนื้อสัตว์ ที่คุณเอาไปปรุงแต่งเป็นอาหารเนื้อสัตว์ชั้นดี เอามาถวายสงฆ์ภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้าก็ไม่สมควรแล้ว อกัปปิยะ แล้วยังจะไปกินเข้าไปอีก ยังไกลไม่รู้กี่โยชน์ เห็นไหม นี่คือรายละเอียดที่อาตมาพยายามอธิบายสู่ฟัง ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ก็ไปกันใหญ่
เพราะเรื่องของวิบากกรรมของมนุษยชาติกับสัตว์ทั้งหลายแหล่ มันเป็นวิบากที่เนื่องกันมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ซึ่งไม่สมควรที่จะต้องไปทำวิบากพวกนี้
เพราะ สัตว์คนไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ สัตว์คนเป็นสัตว์กินพืช คนนี้เป็นสัตว์กินพืช มีลำไส้ที่ยาว ซึ่งลำไส้ของสัตว์กินเนื้อมันสั้น เล็บก็เป็นเล็บแบบเล็บฉีกเหมือนกีบ เหมือนม้าเหมือนช้าง ไม่ใช่เล็บแบบเหยี่ยว เล็บหมา เล็บเสือ เล็บสิงห์ ไม่ใช่เป็น claw
แล้วสัตว์กินพืชจะกินน้ำแบบดูดน้ำกิน ส่วนสัตว์ที่เป็นสัตว์กินเนื้อสัตว์กินน้ำจะเลียเอา แต่สัตว์ที่กินพืชกินน้ำจะกินแบบดูดน้ำกินเอา มีอีกหลายมุม เช่น น้ำย่อยในลำไส้ของสัตว์
แต่ที่สำคัญพระพุทธเจ้าท่านมุ่งหมายถึงวิบาก ซึ่งมันโอ้โห เฉพาะคนด้วยกัน
เรื่องสัตว์ที่มันเกิดมาทุกตัว มันเป็นวิบากของมัน ปล่อยให้มันอยู่ไปตามยถากรรมของมัน คุณไม่ต้องไปเกาะเกี่ยวกับมัน ไปเอามันมารักมาชัง ไปเอามันมาฆ่าแกง หรือไปรักมันอย่างดูดดื่ม จนต้องประคบประหงมเป็นลูกเต้า เลี้ยงดูอุ้มชูมันยิ่งกว่าลูกจริงๆอะไรอย่างนี้ มันเกินไป มันเป็นการสร้างวิบากให้แก่ตนเอง ซึ่งเขาไม่เข้าใจในเรื่องกรรมวิบากนี้ ก็เลยน่าสงสาร
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม… ธรรมชาติสร้างสัตว์มา สัตว์ที่แข็งแรงกว่าก็จะอยู่ได้อยู่รอดกว่าสัตว์ที่อ่อนแอกว่า เขาว่ากันแบบนี้ เอาทฤษฎีของชาร์ลดาร์วินมา เพื่อให้ตนเองไม่ต้องนับถือศาสนาอะไร จนกระทั่งทุกวันนี้ลัทธิไม่อยากเชื่อคุณงามความดีก็จะอ้างความเท่าเทียมกัน
พ่อครูว่า… เรื่องอรหันต์เรื่องโพธิสัตว์เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ความรู้สามัญที่จะรู้กันได้ง่ายๆ อาตมาพูดไปนี้คงจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องคู่กัน อรหันต์กับโพธิสัตว์
เกิดนิกายหินยานกับมหายาน หินยานจะเรียนเฉพาะอรหันต์ ส่วนมหายานเด่นโพธิสัตว์มากกว่าอรหันต์ เถรวาทก็นับถืออรหันต์ โพธิสัตว์ไม่รู้เรื่อง อยู่ในวงแคบแต่อรหันต์เท่านั้น
ที่จริงแล้วความรู้ทั้งสองอย่างเป็นธรรมชาติ อรหันต์กับโพธิสัตว์ก็คือ เทวะชนิดหนึ่งเป็นภาวะ 2 ที่จะต้องรู้คู่เคียงกันไป โลกียะกับโลกุตระก็ดี อรหันต์กับโพธิสัตว์ก็ดี
ซึ่งคำว่าเทวะ ภาวะ 2 เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก สรุปว่า ภาวะ 2 คือ ภาวะที่ต้องเอามาเปรียบเทียบกัน อะไรถูกต้อง อะไรดี อะไรควร เออ เอาอันนั้น
อะไรที่ไม่ควรก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นนั้น หรืออย่าไปเป็นอย่างนั้นเลย เอาอันที่ดีเลือกอันที่ดีอันเดียวไว้ การเปรียบเทียบ 2 ในทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้จึงเป็นที่รู้ตั้งแต่เบื้องต้น จนกระทั่งจบสุดเลย
เช่น 2 คำว่า มีกับไม่มี เป็นที่สุดแล้ว สุดท้าย มีกับไม่มี เทวนิยม ไม่รู้จักความไม่มี สุดท้ายเขาก็ไปยืนอยู่ที่ด้านความมี นิรันดร ส่วนพระพุทธเจ้านั้นสุดท้ายมาอยู่ที่ความไม่มี ท่านก็เลยตกลงทำให้เกิดความไม่มีได้ เป็นนิรันดร
จึงเลิกได้แม้แต่อัตภาพหรืออัตตา ก็สามารถสลายไม่ให้มีได้เลย เทวนิยมสลายไม่ได้ ก็ยังมีอยู่นิรันดร แล้วจะมีอยู่อย่างไรก็ไม่รู้รายละเอียดของวิบาก ก็เหมาไปให้ผู้ยิ่งใหญ่คือเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ไปอยู่กับพระเจ้านั่นแหละ พระเจ้าสั่งการทั้งหมด แล้วพระเจ้าอยู่ที่ไหนอยู่อย่างไร ก็บอกว่า ก็พระเจ้านั่นแหละ เป็นสิ่งลึกลับ เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เป็นสิ่งที่ไม่รู้ตัวตน
พระพุทธเจ้าเรียนตัวตน เรียนอัตภาพ เรียนปรมาตมัน หรืออาตมัน จนกระทั่งรู้แจ้งรู้จิต จนเลิกปรมาตมันหรืออาตมันของตนเอง เทวะหรือ 2 ภาวะ รูปนามของตนเอง สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ตายแล้วไม่ต้องไปอยู่กับพระเจ้า อย่างที่ลัทธิที่เขาไม่รู้ว่า อัตตา เป็นของตนรู้แต่ว่า อัตตา สุดท้ายจะไปอยู่ไหนจัดการอย่างไรก็มีพระเจ้าเป็นผู้จัดการ ตายแล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้า ก็เลยเลอะกันไปใหญ่ แล้วก็ไม่รู้จนกระทั่งทุกวันนี้ ก็อยู่อย่างไม่รู้
แต่ของพระพุทธเจ้านั้นรู้ สิ่งที่มีรู้ สิ่งที่ไม่มีแล้วก็รู้สิ่งที่ไม่มี จึงทำความมีให้ไม่มี สูญเลยจบ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่มีที่จบ จะไม่จบก็ได้เป็นโพธิสัตว์ อย่างทุกวันนี้ พระอวโลกิเตศวร มีพระปณิธานที่ยิ่งใหญ่ จะช่วยสอนคน รื้นขนสัตว์ จะช่วยสอนคนให้บรรลุพระอรหันต์ไปปรินิพพานเป็นปริโยสานหมดไป จนหมดคนสุดท้ายท่านจึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นคนสุดท้าย ก็เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ จะว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นไอเดียเป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ใครจะมีปณิธานนั้นก็เอาสิ อาตมาก็เอาแค่ที่อาตมาเข้าใจ เป็นขนาดพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่สูงสุดแล้วก็พอแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว อาตมาไม่ต่อแล้วไม่เอา 2 สมัยด้วย เป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัยก็ไม่เอา แล้วอาตมาเชื่อมันด้วย ถึงขั้นนี้แล้ว เชื่อมั่นว่าไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดที่จะเป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัย ไม่มี สมัยเดียวก็เหลือกินแล้ว
อันนี้เป็นเรื่องที่ อาตมารู้ความจริงพวกนี้ ก็พูดสู่กันฟัง ใครฟังก็ได้รับความรู้เพิ่มเติมเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างก็ไม่เป็นไร ดีไม่ดีนอกจากไม่เข้าใจแล้วหาว่าพูดไม่ได้เรื่อง ไม่เข้าเรื่อง ก็ไม่มีปัญหาอีก เพราะว่า อาตมาเป็นคนไม่มีปัญหาอยู่แล้ว มีแต่ปัญญาอย่างเดียว ใครที่มีปัญหาก็เป็นเรื่องของผู้ที่มีปัญหา
เพราะฉะนั้นใครประกาศอรหันต์ระวังให้ดีเถอะ ไม่ใช่เรื่องสนุกอะไรหรอก ทำเป็นอวดทำเป็นเล่นไป เป็นอรหันต์แล้ว เขาก็บอกว่าเป็นอรหันต์แล้ว ระวังนะ เดี๋ยวหน้าแตก
_ณะ ชะอำ : นมัสการพ่อครูด้วยความเคารพครับ พ่อครูมีความเห็นอย่างไรใน
กรณีที่โรงเรียนสัมมาสิกขาปฐมอโศกได้เชิญไลฟ์โค้ชมาบรรยายในการดำเนินชีวิต และก็เข้าไปดูในเฟสของเขาซึ่งมีแนวคิดในเรื่องของสิทธิเท่าเทียมคนเท่ากันเหมือนกับพวกกลุ่มสามนิ้ว ผมในฐานะผู้ปกครองนักเรียนสัมมาสิกขาปฐมอโศก ผมเป็นห่วงนักเรียนครับ กราบขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า… ก็รับรู้ความเห็นของคนอื่นบ้าง ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่น เขามีความคิดเห็นอย่างไรก็ไม่ต้องดูถูกกัน มีโอกาสให้แสดงให้รู้กัน ก็เกิดความรอบรู้กว้างขวางขึ้น มันก็ไม่แคบก็ไม่เป็นไรนี่นา แต่ถ้าคุณต้องการเท่าที่คุณรู้ อันอื่นคุณไม่เอาคุณไม่รู้หรอกก็แล้วไป ลางเนื้อขอบลางยา ไม่เป็นปัญหาอะไร
_เกษม เพ็งกลาง :ผมมั่นใจและศรัทธาอาจารย์?แป้งครับ
พ่อครูว่า… ก็ลางเนื้อชอบลางยาอีกแหละ คนที่จะรู้จะเข้าใจก็รู้ได้ เพราะแป้ง ก็ไม่ใช่คนที่เพิ่งจะมาเรียนรู้ธรรมะ ก็เป็นผู้ที่มีภูมิในระดับโพธิสัตว์คนหนึ่งเหมือนกัน เป็นผู้ที่ใฝ่ศึกษา ไม่อย่างนั้นจะไม่มีภูมิปัญญาอย่างที่แสดงออก คนที่ไม่มีภูมิปัญญารับรู้อย่างที่ สู่แดนธรรม แสดงออกมา ที่จริง ช่วยอาตมาได้มาก บางทีประเด็นบางอย่างอาตมายังไม่มีไหวพริบพอ เขาก็มีไหวพริบถึงแล้ว ยิ่งพระบาลี ก็ไม่ได้เรียนมา อาตมาแม้ไปบวชก็ไม่ได้สอน เขาก็ได้รู้อย่างที่อาจารย์สอนมา ก็เป็นองค์ประกอบ เราก็ได้เทียบเคียงของผู้รู้อื่นกับผู้ที่เรารู้ก็อธิบายเป็น 2 อย่าง พูดให้ฟังก็ฟัง อย่างไหน ที่มันควรจะเอา เราก็เลือกเอา เป็นธรรมดาที่ อย่างไหนที่เราไม่เห็นก็ไม่เข้าท่าก็เป็น อธรรมวาที เป็นต้น มันก็มี 2 อย่างให้เราเลือกทั้งนั้นในโลก ก็เห็นดีเห็นงามอย่างไรก็แล้วแต่
คนในโลกนี้จะมี 2 พวก พวกที่เป็นเทวนิยมก็เลือกเอาเทวนิยม แม้แต่ในชาวพุทธเอง อเทวนิยม อยากได้โลกุตระ แต่เอาไม่ได้หรอกก็ได้แต่โลกียะ ได้เทวนิยม ก็รีๆขวางๆ อยู่ในวงการศาสนาพุทธ อาตมาก็ต้องตำหนิ ต้องบริภาษ ต้องว่า เพราะว่ามารีๆขวางๆ มาทำอะไรเละเทะเกะกะอยู่ในศาสนาพุทธมันไม่เข้าท่า ก็ต้องวิจัยวิจารณ์ไปเป็นธรรมดา
พ่อครูคุยกับเทวดาเพื่อสอนคนให้พ้นสุขพ้นทุกข์อย่างไร
_เด็กบ้านราชฯถามมา..คำว่า หลวงปู่คุยกับเทวดาคืออะไรครับ
พ่อครูว่า… เอ้าดี อธิบายสู่ฟัง คำว่า คุยกับเทวดา ไม่ใช่ภาษาของอาตมาพูด ถ้าเป็นภาษาของพระพุทธเจ้าท่านตรัสของท่าน ซึ่งอาตมาก็มี อย่างเดียวกันกับของพระพุทธเจ้านั่นแหละ มันคือภูมิรู้ ภูมิรู้ของเราเอง พระพุทธเจ้าท่านศึกษามามีภูมิรู้ของท่านอยู่ในสัญญา อยู่ในธนาคารความจำ ที่ท่านมีมา เยอะ
ธนาคารความจำ โลกุตรธรรมก็ดี โลกียธรรมก็ดี เยอะ เพราะฉะนั้นเวลามาเปิดเผยมาสอนมาอธิบาย มันจะเอามาทั้งหมด โครม มาทั้งหมดเลยมันไม่ได้ มันก็ต้องค่อยๆทยอยออกมา เอาออกมา ดีไม่ดีมันมีมากก็ต้องเอามาจัดระเบียบ ลำดับ ก่อนหลัง อะไรต่างๆนานา
เพราะฉะนั้นคำว่า คุยกับเทวดา ก็เท่ากับว่า เราเอาความจำ ที่เป็นความรู้ความจริงสัจธรรมที่เรามี พระพุทธเจ้าท่านมีของท่านเท่าไหร่ ท่านเป็นเจ้าของ ท่านเป็นธรรมสามี อาตมาก็มีธรรมะของอาตมาเท่าที่มี ยิ่งเกิดมาในยุคนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีไก่ตัวพี่ ไม่มีสัตบุรุษที่เป็นพี่ ยิ่งกว่าอาตมา
อาตมาถึงผู้ที่ต้องเอาของตัวเองออกมาทั้งหมด ก็จึง ค่อยๆคุยกันกับเทวดา ค่อยๆคุยกันกับธรรมะของเรา อะไรควรจะออกมาก่อน อะไรควรจะออกมาทีหลัง ตอนนี้ถึงคราวที่ออกมาได้หรือยัง เอาออกมาพูดได้หรือยัง มีลำดับที่ควรหรือยัง ผู้ที่จะรับธรรมะในระดับนี้ขั้นนี้มันสมควรหรือยัง ก็คุยกันกับเทวดา คุยกันกับความรู้ของเรา ที่เรามี ก็เท่ากับเรามาตรวจสอบ มาเลือกเฟ้น
เหมือนสำนวนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าท่านใช้ว่า พอตื่นเช้า ท่านก็ระลึกถึงว่าวันนี้ควรจะไปโปรดใคร ก็เหมือนกับเทวดาไปสอนเขา ควรจะไปโปรดใครก็เรียงลำดับ ทำตามที่ควร อย่างนี้เป็นต้น
พระพุทธเจ้าท่านจะไปโปรดใคร ของท่านเป็นผู้ที่มีอนาคตังสญาณ มีญาณหยั่งรู้อะไรที่ลึกซึ้งมากมายว่า ถ้าไปโปรดผู้นี้ขณะนี้เหมาะสม แล้วจะเป็นประโยชน์ เป็นหัวหน้าหมู่ หัวหน้าคณะ หรือเป็นผู้ที่จะโปรดแล้วจะมีผลมีประโยชน์ ได้อะไรที่เป็นกอบเป็นกำ เหมาะสมเหมาะควร ไม่ใช่เป็นเบี้ยหัวแตกเลอะเทอะ ท่านมีภูมิธรรมละเอียดลออสูงส่งยิ่งกว่าอาตมา
อาตมาก็ได้แต่สอนกลางๆไป บางที เด็กๆก็รับไม่ค่อยไหว บางทีผู้ใหญ่ก็ดี ว่า เออ สูง ส่ง ผู้ที่มีภูมิปัญญาสูง แล้วอาตมาก็ต้องอธิบายธรรมะ ที่สูงและละเอียดไปเรื่อยๆ จึงบรรยายธรรมะมามากกว่า 50 ปีแล้ว ผู้ที่รับจากอาตมามาก็ช่วยบรรยายตามขั้นตอนมาอยู่แล้ว
อาตมาจึงต้องทำฐานที่มันสูงขึ้นไปที่ยังไม่มีใครพูดได้ ไม่มีใครเอามาอธิบาย ก็อธิบายเอาไว้ ยิ่งอายุมากใกล้จะตาย ก็รีบเอาออกมาสาธยาย ทำให้เข้าใจเอาไว้ ซึ่งมีอีกเยอะที่เขาอธิบายธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างผิดๆ
อาตมาจึงต้องเก็บเอามาแก้ เอามาบอกใหม่ให้มันชัดเจน ถ้าอย่างนั้นมันผิดนะ อย่างนี้ถูกเป็นอย่างนี้ ต้องเอามาแก้ เอามาย้ำ ยืนยัน ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่ออาตมาไม่มีสิทธิ์ที่จะบังคับคนหรอก แต่อาตมาจริงใจและมีสิทธิ์ที่จะพูดความจริง พูดในกาละที่สมควร ต้องทำ
เพราะในชีวิตสัตว์โลกไม่มีอะไรจะดีเท่ากับธรรมะ โดยเฉพาะธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นโลกุตระ สุดยอดแล้ว ถ้าได้ฟังแล้วก็จะทำให้ตนเองเป็นคนดี
-
อย่างที่เทวะโลกียะเขารู้ เป็นคนดีในโลกตามสมมติสัจจะ
-
อันนี้สิยิ่งใหญ่ จะต้องรู้โลกุตรธรรมหรือความรู้ของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า คุณจะต้องรู้ว่าเกิดมาจิตวิญญาณของคุณนี้
-
คุณต้องทำให้ดี ดีถาวรและไม่ทันช่วยเกิดตลอดกาล มีหลักประกันจะเกิดอีกกี่ชาติคุณก็ไม่ทำชั่ว สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปกำลังสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) จิตสะอาดบริสุทธิ์ถาวรแน่นอนเที่ยงแท้ ให้เป็นหลักประกันของศาสนาพุทธ ที่จะทำดียังไม่มีการทำชั่วอีก จะเกิดอีกกี่ชาติกี่ชาติต่อไปก็ไม่เป็นไร
เพราะฉะนั้นเป็นคนที่มีหลักประกันอยู่ในโลกนี้
-
รู้จักจิตนิยาม รู้จักอัตภาพ ความเป็นอนัตตา ว่ามันเป็นเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกันอยู่เท่านั้น จริงๆ มันเป็นอนัตตาไม่ใช่อัตตามันไม่ใช่ตัวจริง จริงๆหรอก มันก็อยู่ในภาวะที่คุณเข้าใจได้ ผู้ที่มีปัญญาเข้าใจได้เป็นพระอรหันต์แล้วเป็นโพธิสัตว์จะชัดเจนเลย อยู่ไปก็ได้ เป็นอมตะบุคคล ทำประโยชน์ต่อไป
-
ไม่ทำชั่วไม่ทำบาปแล้ว เด็ดขาด มีหลักประกันอยู่แล้ว
-
ก็สอนให้คนดีตามโลกียะเขาสอน ดีที่สุดด้วยรู้จักดีที่ชัดเจน แล้วดีได้โดยเที่ยงแท้ไม่มีตกต่ำอีกเป็นธรรมดา อวิปรินามธัมมัง นิยตะ เที่ยงแท้มีแต่จะไปสู่ที่สูงที่สุดเป็นต้น
-
สลายอัตภาพได้เลยเป็น 0 ไปเลย คุณยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยังไม่สลายอัตตา สูญเป็นดินน้ำไฟลม คุณก็ทำหน้าที่สืบทอดพระศาสนา หรือว่า สอน สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทุกพระองค์ สถาปนา เอาความรู้อันนี้ให้แก่มนุษย์เอาไว้ อย่าให้สูญสิ้นไป เพราะว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เกิดมาแล้วสุดท้าย ชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ศึกษาความรู้มาทุกอย่างในโลกรู้หมด เรียกว่า เป็น Doctor Post Doctor ทุกประเภท แต่แล้วไม่เอาสักอย่าง มาเอาธรรมะที่จะต้องรู้จักจิตนิยาม รู้จักบุคคล รู้จักอัตภาพ รู้จักอัตตา แล้วสอนให้หมด ทำอนัตตาให้แก่ตัวเองก็ได้นิพพานเป็นปริโยสานให้ได้
-
เพราะมีโลกุตระที่เป็นหลักประกัน เป็นคนดีไม่ทำชั่วอีกเลย มีหลักประกันไม่ทำชั่วอีกเลย เกิดกี่ชาติก็ไม่ทำชั่วอีกเลย มีแต่ทำดี
-
รู้จักสัจธรรมมีจิตนิยามสลายได้เป็นศูนย์ จะอยู่ก็อยู่ได้มีหลักประกันอย่างนี้ด้วย แล้วก็สอนให้พ้นทุกข์พ้นสุขด้วย