641124_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาความเข้าใจเรื่องกายของอ.แปลง
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1cYLkgS673wQoI5SqvzDcJGHsSEpU7Ct_K17wenNgUPA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1d2-wFHoX-jhHHI4aL2N0yxM2fViCEEsx/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1560771574300992 และ https://youtu.be/R7o9xqJaVLI
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก เราผ่านงานมหาปวารณาไป งานต่อไปก็จะเป็นงานเพื่อฟ้าดิน คาบเกี่ยวปี 2564 กับปี 2565 จะมีการสอบ โดยใช้หนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่ม 3 ในการออกข้อสอบ
ข่าวสารบ้านเมืองทุกวันนี้มีข่าวความรุนแรงมาก ส่วนเรื่องการเมือง จะมีนักการเมืองที่ซื่อสัตย์รับใช้ ประชาชน จะมีไหม เห็นมีแต่พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้นที่ทำจริง
พ่อครูว่า… SMS วันที่ 22-23 พ.ย. 2564
โพธิสัตว์ต้องมีความเป็นอรหัตตผลมาก่อน
_ไพรลั่น : กราบนมัสการพ่อครูครับ ถ้าผมสามารถช่วยคน ทางร่างกายได้ ถึง 100,000 คน ผมจะได้เป็นโพธิสัตว์ไหมครับ?
พ่อครูว่า…คุณอยากเป็นก็เป็นเถอะ สภาวะธรรมความเป็นโพธิสัตว์ไม่ใช่พูดเล่นๆ ประเด็นสำคัญที่สุด คุณจะเป็นโพธิสัตว์คุณต้องมี อรหัตตผลก่อน
อรหัตตผล 1. คือโสดาบัน อรหัตตะ นะ ไม่ใช่ อรหันต์ หันต์คือสูงสุด
ไม่ลึกลับของพระโสดาบัน คือไม่ลึกลับในเรื่องกาย พ้น สักกายทิฏฐิ ข้อต้น พ้น สักกายทิฏฐิ ข้อต้นก็ยังไม่พอจะต้องมีความรู้ที่ 2
พ้น สักกายทิฏฐิ ต้องรู้ว่า กาย คืออะไร พ้น สักกายทิฏฐิ
-
คุณต้องรู้ กาย นี้คือจิต และกายนี้แยกเป็นกายเป็นจิตได้ กายแยกเป็น 2 ก็ได้ กาย เป็นหนึ่งก็ได้ แม้ที่สุด กาย เป็น 0 ก็ได้
เช่น ต้องแยกกายให้ได้ว่า จริงๆนะ กายกับจิตต้องเป็นอันเดียวกัน กายไม่มีจิตร่วมด้วยไม่ใช่กาย แต่กายนี่ เราสามารถทำให้เป็นพีชะ เป็นอุตุได้ โดยกรรม โดยธรรมะ ธรรมนิยาม 5 พระพุทธเจ้าถึงมีวินัย เมื่ออุปัชฌาย์จะบวชคนขึ้นมาเป็นภิกษุ ขึ้นมาใหม่จะต้องสอนกรรมฐาน 5
สภาวะของจิต สภาวะของสสาร สภาวะของพลังงาน สภาวะของรูปของนามให้เข้าใจว่า
จะอธิบายอะไรก็ได้ ผมขนเล็บฟันหนัง ซึ่ง เล็บนี่อธิบายง่ายที่สุด อย่างอื่นอธิบายได้ยากกว่า ผมก็ยาวไป ขนก็สั้น เล็ก ฟันนี่ก็เอามาอธิบายยาก แต่เล็บนี้ง่ายที่สุด
อธิบายอีก โดยเฉพาะมีคำถามของ อาจารย์แปลง สุวรรณกาญจน์ ซึ่งติดตามมานะ แต่น่าสงสาร พยายามหามุมแย้งๆๆ แต่คุณจะไม่มี ปรโตโฆษะ หากมี ปรโตโฆษะ แล้วรู้จักกาย คุณจะทำ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตได้
สายนั่งหลับตาก็ทำจิตแต่ไม่ถ่องแท้ แยบคาย ไม่โยนิโส ไม่ถึงที่เกิด มันก็ไปตื้ออยู่ไม่ถึงจิต แล้วจิตที่ว่า คือ วิญญาณที่มีที่ตั้ง กระทบตา หู จมูก ลิ้น กายลืมตาอยู่
เพราะฉะนั้นอาจารย์แปลง สุวรรณกาญจน์ หากเอาแต่แย้งจะไม่มีทางจบ แต่สัจจะมี 1 เดียวไม่มี 2 เป็น 1 ไม่ได้นี่คือนิมิตเหมือนกันเป็นสื่อให้เห็นว่ามี 2 ทอง
คุณ ไพรลั่น ศึกษาดีๆไปเถอะ ให้พ้นสังโยชน์ 3 รู้กายในกายจนพ้นวิจิกิจฉาในเรื่องกาย พออธิบายกับใครๆได้ว่า กายคืออะไร สามารถปฏิบัติที่ปฏิบัติธรรมแยกกายแยกจิตได้พอสมควรจริงๆ อย่างพ้น วิจิกิจฉา แล้วทำตามหลักให้พ้น สีลัพพตปรามาส ไม่ใช่พ้นแค่ สีลพตุปาทาน
สีลพตุปาทาน คือถือศีลพรต ตามจารีตประเพณี ซึ่งถือกันมาอย่างผิดๆเอาของเดียรถีย์มาถือ แล้วปฏิบัติศีลแค่นั้น ยกตัวอย่างง่ายๆของอาจารย์ก็สอนปฏิบัติศีล ศีลจะควบคุมแค่กายกับวาจา ไม่ถึงจิต
แม้แต่ ท่านขยายความของอานิสงส์ของศีล 10 ข้อก็ไม่เกี่ยวกับกาย แต่ไปเกี่ยวกับชีวิตหมดเลย
ตั้งแต่ อวิปฏิสาร…ไปจนถึงวิมุติ เขาก็ไม่พยายามเข้าใจหรืออย่างไร ซึ่งก็คงจะยากจริงๆ ต้องพยายามให้เข้าใจ แต่คุณจะแย้งแล้วก็ชนะอย่างไรก็ไม่จบ
พ่อครูผู้มาเปิดยุคบุญนิยม
พ่อครูว่า… อาตมาเข้ามาเป็นผู้ เปิดยุคบุญนิยม
ทำไมต้องใช้คำนี้ เพราะคำนี้คนไม่เข้าใจไม่รู้เรื่อง เป็นคำลึกลับมานาน ไม่มีใครรู้ศาสนาพุทธเสื่อมมานานไม่มีโลกุตรธรรมมา 2,500 ปี ทำบุญได้ผิดเพี้ยนแต่เป็นกุศล ซึ่งที่จริงและบุญเป็น one way Traffic เดินตรงอย่างเดียวไม่มีโค้งงอไม่มีองศา หายไปเลย เป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน ตรงออกไปไม่มีโค้งงอกลับมาเลย ถ้าเป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่นมันจะมารวมตัวกัน
อาตมาเกิดมาในยุคนี้มาประกาศเปิดตัวยืนยันนำโลกุตรธรรม ที่มีคำว่าบุญ คำว่า ฌานฌาน คำว่า กาย คำว่า ศีล เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่เขาได้ผิดเพี้ยนไป เอามาเปิดเผยให้ตรงกับความหมายของพระพุทธเจ้า ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เอามาประกาศตั้งแต่อาตมาทำงานมา 51 ปี ก็มีคนเข้าใจรับได้ จนกระทั่งเอาตัวเองมาปฏิบัติกลายเป็นคนมี กายวาจาใจ บรรลุธรรมเป็นคนวรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 จิตมีพุทธพจน์ 7 ได้จริง ยืนยันตามหลักพระพุทธเจ้า
มีสาธารณโภคี ยืนยันว่าเป็นอย่างนี้ เกิดในยุคนี้ เกิดในยุคพระพุทธเจ้าก็ขยายไม่ออกเพราะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคทาส นายทาส ลูกทาส ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน สิทธิอะไรในตัวเองไม่รู้จัก ทุกวันนี้คิดที่มันเกินเฟ้อ กระทบคนอื่นทำร้ายคนอื่น เบียดเบียนคนอื่นก็ไม่รู้เรื่องกันทุกวันนี้ เป็นสิทธิอันธพาล จะไปล้มล้างเขา ก็สิทธิของสังคมก็ให้เขาทำไปสิ เขาจะนับถือกษัตริย์ก็เป็นสิทธิของเขา แล้วเป็นสิทธิคนจำนวนมากนับถือ คุณเองแม้จำนวนพวกคุณก็มีน้อย
อย่างพวกเราชาวอโศกเป็นจำนวนน้อย เราก็เห็นคนจำนวนมากเขานับถืออย่างนั้นไปเราก็ว่าเท่านั้นเอง เพราะสูงสุดหลักธรรมพระพุทธเจ้า ถ้าถือว่าเป็นพวกเดียวกัน ด่ากันได้
แต่ถ้าไม่เป็นพวกเดียวกันอย่าไปแตะเขา อย่าไปด่าเขา ด่าเขาเดี๋ยวเขาโกรธ ดีไม่ดียกทัพเอาระเบิดเอาปืนมาเลย ไม่ได้ แต่ถ้าพวกเดียวกันจริงๆนี้ ได้ และต้องมีประมาณ
แม้แต่พวกเดียวกันด่าเท่านี้ได้ ถ้าด่าเกินกว่านี้ เดี๋ยวก็ถูกอาวุธหรือไม้หน้า 3 ปืนมายิงตายเหมือนกัน ถูกระเบิดตายเหมือนกัน จะทิฏฐาวิกัมม์หรือ ปฏิกโกสนาก็ได้ อาตมาทำการปฏิกโกสนา คือคัดค้านว่าอย่างแรงได้ แต่หาก ทิฏฐาวิกัมม์คือ แสดงความเห็นต่อหมู่ แต่อย่าให้อักโกสะ คือหยาบจนเขาทนไม่ได้ ด่าเขาจะอักโกสะ เขาทนไม่ได้ แต่เอาแค่ ปฏิกโกสนา ถ้าอักโกสะ คือเขากระอักเลย ไม่ได้ แต่เพียงให้สะท้อนกลับปฏิกโกสนา
คำว่า บุญได้หายไป ในความหมายของมันเป็นสัจธรรม อาตมาต้องกลับมาในยุคนี้ซึ่งมันได้เสื่อมไปแล้ว ซึ่งมันได้เข้าใจเป็นกุศลไปแล้วเท่านั้นเอง ซึ่งมันไม่ใช่
กุศลกับบุญต่างกันมาก กุศลเป็นสมบัติ บุญเป็นวิบัติ บุญเป็นศูนย์ กุศลมีหาประมาณมิได้ แม้แต่ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่สันโดษในกุศล จะมีเท่าไหร่ก็มีไปเถอะ อย่าว่าแต่โพธิสัตว์เลย แต่บุญนี้มี 0 จบ 0 แล้วมันก็ไม่ไปไหนมาไหนอีกแล้ว ซึ่งมันคนละขั้วเลย 0 กับหาประมาณมิได้ มันคนละขั้ว เข้าใจคนละฟากฝั่งมาเป็นอันเดียวกัน ซึ่งอันเดียวกันโดยอนุโลมก็พูดได้
แต่ผู้ที่มีที่เป็นได้แล้ว เป็น 0 หรือเป็นเท่าไหร่ก็ได้ แต่เราไม่เป็นทั้งสองอย่าง เป็นอนุปคัมมะ เราเป็น 0 ก็ได้จะเป็นเท่าไหร่ก็ได้
อย่างพระอวโลกิเตศวรท่านจะไม่ยอมจบง่ายๆ ปณิธานของท่านจะรื้อขนสัตว์โลกให้หลุดพ้นหมด ท่านจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย เป็นปณิธานที่สุดยอดจริงๆ จะมีตัวตนคนจริงๆหรือไม่ก็เป็นแบบเทวนิยม เป็นแบบมหายาน แต่ปณิธานที่ดีที่สุดซึ่งไม่ใช่ปณิธานไม่ดี สุดยอด แย้งไม่ได้เถียงไม่ได้ แต่มันจะทำได้หรือไม่ล่ะ ถ้าทำได้มันดีแน่เลย แต่มันจะเป็นไปได้ไหม
เมื่อคำว่าบุญมันเพี้ยนมันผิดในยุคนี้ อาตมาก็เอากลับมาให้เกิด นิยม นิยมชมชอบจนให้เป็นนิยมะหรือนิยตะเที่ยงตั้งมั่นลงไป เพราะอาตมาเป็นผู้รับผิดชอบ พูดเปิดเผยความจริงไป เปรี้ยงเดียว คนก็ฟังเข้าใจนะ อาตมาว่า แต่เขาไม่เชื่อ เขาก็หาว่าอาตมามีเล่ห์เหลี่ยมตลบตะแลงซ้อนเชิง แต่อาตมาว่าอาตมาไม่มี แต่อาตมามีความรักกว้างโอบอ้อมเกื้อกูลทั่ว นี่เป็น สิริมหามายา
คุณจะพูดอย่างมีหรือไม่มีจะปฏิเสธหรือยอมรับอย่างไร ซึ่งมันมีสภาพ 2 อยู่ตลอดกาล เราก็รู้ทั้งสองอย่าง แต่เราไม่เป็นทั้งสองอย่าง แต่เราจะอนุโลม ถ้าสิ่งที่ควรลงท้ายใช้ภาษาว่า ควรหรือไม่ควร อะไรมันควร เป็นองค์ประกอบที่เป็นปัจจุบันธรรม พระพุทธเจ้าตรัสถึงมีอะไรที่ห้ามหรืออนุญาต ตรัสไว้หมด
จนกระทั่งในคำตรัสทั้งหลาย ไม่อนุญาตไม่ได้ห้ามไว้เลย ต้องอาศัยของจริงที่เป็นสภาวะตอนนี้ตัดสินพิจารณาว่า อย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้าม อาศัยคำสอนพระพุทธเจ้ามาประกอบ องค์ประกอบอย่างนี้ควรจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรก็ทำตามควร สิ่งที่ไม่ควรเราก็จะไปทำทำไม ก็พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสไว้เลย ทั้งอนุญาตและไม่อนุญาตก็ไม่ได้ตรัสไว้ในมหาปเทส 4
-
สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
-
สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย
-
สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
-
สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.