641109_พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1eNf5h3-DPcNXAtvMQ_trX9ghtO27htQUpoUQOqbI3Kg/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/14kG2ANWnUCazK8bNbBc8zFa2LZpZkOjl/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/863869130992970 พ่อครูว่า… วันนี้เป็นวันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของวันมหาปวารณาแล้ว อาตมาก็ยังมีคิวเทศน์อยู่ คนจะมาริบของเราไป หาว่าเราแก่ เราก็บอกว่าเรายังไม่แก่ เราก็ต้องเทศน์ตามที่เขาให้อยู่แล้ว สร้างอาหารให้กับโลก อาจจะนอกบทบ้าง ก็เป็นวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลธรรมชาติธรรมดาที่นำไป ขอแถม 2 ข้อความของ SMS SMS วันที่ 7-8 พ.ย. 2564 ลำดับขั้นตอนการเป็นอรหันต์จนถึงโพธิสัตว์ _Emty เอมตี้ : (คำถามใต้คลิป พุทธศาสนาตามภูมิ พ.๓ พ.ย.๖๔) กราบนมัสการหลวงปู่ครับ ตอนหลวงปู่เป็นฆราวาส หลวงปู่มีสภาพเป็นอรหันต์รึยังครับ อีกคำถามครับ อาสวะ คืออะไรครับ เหมือนรึแตกต่างกับรูปภพอรูปภพ รึเปล่าครับ พอดีเป็นวัยรุ่นที่สนใจขวนขวายศึกษาธรรมมะ ภาษาก็ยังไม่ค่อยคล่องไม่เก่งครับ ฟังหลวงปู่บ่อยมากครับ รู้สึกเหมือนฟังมาหลายชาติ ไม่เข้าใจในบางอย่างบ้าง แต่ก็ไม่ใจร้อนครับ รู้ว่าธรรมะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จะพากเพียรศึกษาต่อไปครับ เป็น fc หลวงปู่นะครับ ขอให้หลวงปู่ สุขภาพแข็งแรงยาวนานนะครับ พ่อครูว่า… อันนี้เรื่องจริงนะ ฟังหลวงปู่เทศน์โลกุตระ ซึ่งเป็นธรรมดาเลยที่คนจะตามรู้ได้ยาก เพราะโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) ดีมากที่ไม่ใจร้อน ก็ขอบคุณ สาธุ เอาประเด็นที่คุณอยากทราบ ตอนเป็นฆราวาส หลวงปู่เป็นอรหันต์หรือยัง อันนี้เป็นอจินไตย อาตมาเป็นอรหันต์ข้ามชาติมาแล้ว เหมือนพระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์ข้ามชาติมาแล้ว ไม่ใช่เท่านั้น พระพุทธเจ้าสมเด็จสัมมาสัมโพธิญาณตรงแต่ชาติก่อนๆ ชาติที่ท่านอุบัติขึ้นมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านก็พร้อมเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะท่านไม่ได้ศึกษาจากใคร เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะไม่มีสำนักพุทธศาสนายังไม่มี ท่านจึงเป็นผู้ประกาศศาสนาพุทธ ตอนนั้นยังไม่มีศาสนาพุทธเกิด ศาสนาพุทธมาพร้อมกับพระพุทธเจ้า แต่ตอนแรกเป็นลิงลมอมข้าวพอง ยังถูกโลกครอบงำอยู่ ท่านก็ไปมีสมบัติพัสถาน ไปมีบัลลังก์ ไปมีภรรยา ไปมีลูก พอมีลูกขึ้นมา 1 คน ท่านก็สะดุดขึ้นมาเลย ไม่ไหวแล้ว ท่านก็อุทานขึ้นมา ราหุลัง(ห่วง) พันธนัง(ผูกมัด) ชาตัง(เกิด) แปลว่าห่วงเกิดมามัดคอแล้วนี่ ท่านก็เลยรู้สึกตัวออกไปกับนายฉันนะและม้ากัณฐกะเลย ออกป่า ทรงผนวชเองเลย ท่านอธิษฐานเอง เป็นพระพุทธเจ้าเองเลย ตัดพระเกศาให้สั้น จริงๆก็คือโกน แต่ตอนแรกจะโกนหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่พราหมณ์เขาไม่ตัดผมกันหรอก เขาไว้ผม แต่นี่ท่านตัดผมเลย เพราะพวกเป็นพราหมณ์ไว้ผมและเป็นมิจฉาทิฏฐิกันตอนนั้น ท่านก็ต้องทำอีกอย่างหนึ่ง ให้ต่าง คนไว้ผมก็คือคนลักษณะหนึ่ง ปล่อยให้ยาวเลยไว้ให้เต็มที่ อันนี้ก็ไม่มีเลยโกน ยาวแล้วก็โกน อย่างนี้เป็นต้น เป็นคนละลักษณะ หลวงปู่มีเชื้ออรหันต์ข้ามชาติมาแล้ว มีเชื้อโพธิสัตว์มาด้วย บำเพ็ญจนเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เมื่อเข้าใจอรหันต์ เข้าใจโพธิสัตว์ เข้าใจลำดับ ลำดับอรหันต์นับตั้งแต่โพธิสัตว์ระดับ 4 เรียกว่าอรหันต์เต็ม จากนั้นอรหันต์โพธิสัตว์ระดับ 4 โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลยจากอรหันต์ขึ้นไปก็เป็นอนุโพธิสัตว์ ก็เป็นโพธิสัตว์น้อยๆ อนิยตโพธิสัตว์ จะเป็นการบำเพ็ญช่วงที่ยาวนาน จนกว่าจะข้ามเขตจาก อนิยตโพธิสัตว์ ที่แปลว่ายังไม่เที่ยงที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า จนข้ามเขต อนิยตโพธิสัตว์ไปเป็นผู้เที่ยงที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าเรียกว่า นิยตโพธิสัตว์ ระดับเสียง อย่างเช่นอาตมาระดับ 7 สอบเข้าโรงเรียน เข้ามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าได้แล้ว ส่วนตัวเองจะรีไทร์หรือไม่ ทางมหาวิทยาลัยไม่มีสิทธิ์ไล่ออก แต่เราจะรีไทร์ของเราเอง เป็นปัจเจกพระพุทธเจ้าก็มีสิทธิ์ หรือยังไม่ถึงปัจเจกพระพุทธเจ้าเลย เราก็รีไทร์ออกก่อนจะเป็นปัจเจกพระพุทธเจ้า ซึ่งปัจเจกพระพุทธเจ้าหรือโพธิสัตว์ระดับ 9 ส่วนโพธิสัตว์ระดับ 8 ก็อยู่ในขั้นมหาโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ก็ไปเป็นมหาโพธิสัตว์ จากมหาโพธิสัตว์ก็บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็เท่ากับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นแตกต่างจากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งอยู่ ประเด็นตรงที่ว่า สู่แดนธรรม… เป็นศิลปินเดี่ยวกับศิลปินวง พ่อครูว่า… พระปัจเจกสมัครสัมพุทธเจ้านั้นเหมือนศิลปินเดี่ยว แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งนั้น มาประกาศศาสนาในโลก ก็เป็นศิลปินวง วงใหญ่วงเล็กก็แล้วแต่ อย่างวงของสมณโคดมเป็นวงไม่ใหญ่เป็นวงเล็ก สอนใบไม้กำมือเดียว ท่านสอนมามากจนเบื่อ เมื่อยแล้วเอาแค่นี้ แทนที่จะอายุ 100 ปีก็ไม่เอาแล้วอายุแค่ 80 ปีก็ไปแล้วไม่ไหว จนพระอานนท์ พ้อว่า ทำไมรีบตาย พระพุทธเจ้าบอกว่าอานนท์ เราจะอยู่ได้ถึง 1 กัปหรือเกินกว่ากัปก็ได้ แต่เราพอแล้ว เพราะท่านพอจริงๆท่านสอนมามากท่านสู้มามาก จนกระทั่งเข้าถึงใกล้กลียุค นี่เป็นยุคสุดท้ายแล้วนอกนั้นจะเป็นโพธิสัตว์รับหน้าที่ต่อจนหมดพุทธะกัปของสมณโคดม มีอาตมาเป็นต้น แล้วจะมีโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ซึ่งจะร่วมกัน มีอาตมามีพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีโพธิสัตว์เล็กโพธิสัตว์น้อยอีกเยอะ โพธิสัตว์ในประเทศไทยขนาดนี้มีไม่ใช่น้อยก็ช่วยกันทำไป รายละเอียดพวกนี้เป็นอจินไตยที่พูดเดาเอาไม่ได้มันเป็นบาป ถ้าไม่แน่ใจว่าถูกต้องไม่พูดออกมา อาตมาพูดนี้รับรองว่าถูกต้องควรพูด ที่ยังไม่แน่ใจอาตมาจะไม่พูด เพราะผิดแล้วกรรมเป็นอันทำ เราก็ซวยเราก็ได้รับกรรมวิบาก วิบากผิดใครจะไปทำทำไมอยู่ดีๆไปหาเรื่องใส่ตัว พูดแล้วก็ไม่ได้อะไรไม่ได้ประโยชน์อะไร พูดแล้วได้บาป เราไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทนด้วย เพราะคนก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ มีคนเข้าใจบ้างก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องเอาอะไรมาตอบแทนหรอกเข้าใจแล้วก็ดีแล้วก็จบ อาตมาเป็นอรหันต์มาแล้วตั้งแต่ชาติก่อน ชาตินี้ก็ต้องเป็นอรหันต์มาแล้ว ความเข้าใจอรหันต์ไม่ใช่เรื่องง่าย อรหัตตตผล จนไปถึงอรหันต์ สรุปแล้ว อาตมามีเชื้ออรหันต์มาแต่ชาติก่อนๆ เพราะฉะนั้นมาถึงชาตินี้ก็ถือว่าเป็นอรหันต์มาแต่ชาติก่อน ตอบเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน ทีนี้ถามว่า อาสวะคืออะไร ท่านเรียกว่ากิเลสหมักดองเหมือนน้ำหมักดองมีเชื้อยีสต์ ตัวพลังงานของความหมักดอง ถ้ามันมีสัตว์ก็เป็นตัวยีสต์ ถ้าเป็นนามธรรม มันก็เหมือนมีตัวเชื้อของมันอยู่ในนามธรรม แตกตัวอยู่ในนั้น เรียกว่าเชื้อ สังเสทชโยนิ แตกตัวเองอยู่ในโอปปาติกะ เชื้ออยู่ในจิตทั้งไร้สำนึกและใต้สำนึกทั้ง subconcious และ unconcious ถ้าคนที่ไม่มีบารมีควบคุมจิตไร้สำนึกไม่ได้ อาจจะควบคุมจิตใต้สำนึกได้ คนอินทรีย์พละอ่อนควบคุมจิตใต้สำนึกก็ไม่ได้ ควบคุมได้แต่จิตสำนึกว่า concious ธรรมดา คนที่อ่อนแอคนนั้นแม้แต่ concious ธรรมดา สำนึกสามัญธรรมดาเขาก็ควบคุมไม่ได้ กิเลสมันเหนือชั้นกว่า กิเลสมันก็ชนะควบคุมสำนึกของตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นอาสวะก็คือสิ่งที่มันเป็นตัวไม่ดี ตัวตนที่ไม่ดี กิเลสาสวะ เป็นอกุศลจิตสั่งสมลงไปเรียกว่าอาสวะ กิเลสที่สั่งสมหมักดองไปเรื่อยๆเรียกว่า อาสวะ เหมือนหรือแตกต่างจากรูปภพอรูปภพ อาสวะ เป็นตัวชาติ ส่วนรูปภพอรูปภพ เป็นตัวภพ อาสวะ เป็นตัวเกิดของจิตเจตสิกของตัวเราเองมาเกิด เกิดเป็นตัวอาสวะเจตสิก เมื่อเกิดแล้วภพกับชาติ มันเป็นคู่กัน ภพเป็นรูป ชาติเป็นนาม คู่กัน ก็จะไปด้วยกันแยกกันไม่ได้ ภพกับชาติแยกกันไม่ได้ มันเกิดไปด้วยกัน ภพกับชาติ เป็นสภาวะ 2 เป็นสภาวะคู่ เกิดด้วยกันไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นชาติหรือลักษณะเนื้อใน ภพคือ สิ่งที่ให้ชาติอาศัย รูปภพกับอรูปภพ คือ สิ่งที่ให้ รูปกิเลสกับอรูปกิเลส อาศัย ซึ่งต่างจากกามกิเลส ที่เกิดภายนอก ทางตาหูจมูกลิ้นกาย 5 ทวาร ดับกิเลสทั้ง 5 ทวารนี้ได้ก็เหลือกิเลสภายในด้วย รูปกิเลส ยังหยาบ ก็กำจัด รูปกิเลสหมดไปก็เหลือ อรูปกิเลส เป็นตัวสุดท้ายเป็นชั้นปลาย หมดไปเป็นขั้นๆตั้งแต่ กาม รูปก็หมด ก็เหลือสิ่งที่เหลือก็ทำให้หมด ส่วนคนนั่งหลับตาเข้าไปในรูปภพ อรูปภพ พวกนี้โมฆะไม่รู้ทิศทางปฏิบัติ นั่งหลับตาปฏิบัตินี้ใช้ไม่ได้ กิเลสที่หยาบก็ยังไม่รู้เรื่องเลย ยังไม่ได้ไปฆ่าเลย มันก็ยังมีฤทธิ์แรงเป็นกิเลสใหญ่กิเลสหยาบ แล้วจะข้ามขั้นไปล้างกิเลสเล็กกิเลสน้อย กิเลสเล็กกิเลสน้อยไปล้างมันก็ไม่ได้เพราะมันไม่ได้ถูกตัวมัน ไม่ใช่ กาละ เพราะกิเลสเกิดนั้นเกิดในกาละ ปัจจุบันชาติในขณะกระทบสัมผัสและเกิดของจริง ส่วนกิเลสที่ไม่ได้เกิดจากการสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย เรียกว่ากิเลสสัมภเวสี หรือเจตสิกสัมภเวสี เป็นเรื่องอยู่ในภพ ไม่ใช่เรื่องของความจริง แล้วใครไปทำอะไรมันก็ไม่ได้ เป็นของใครของมัน อันนี้ลึกซึ้งลึกล้ำ ยากจะเข้าใจ คนจะเข้าใจอันนี้ได้ยาก เข้าใจสัมภเวสีไปแตะต้องไม่ได้ อย่างคนตายจากร่างกายนี้แล้ว จิตไปเป็นสัมภเวสี ไม่ได้ศึกษาธรรมะอะไรเลย จิตเจตสิกที่ไปตกนรกขึ้นสวรรค์ เป็นของตัวเองทั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครเลย แต่คนไม่รู้ก็ไปเดาว่า ไปเจอกัน ไปคุยกัน ในแดนสวรรค์นรกอะไร เป็นการฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ ซึ่งมันไม่มี ถ้ามีในแดนนรกในแดนสวรรค์ มันก็ชิบหายวายป่วงหมดเลย มันตีกันรบกันบรรลัย อยู่กันไม่ได้ มันแท้จริงแล้วเป็นภพใครภพมัน จริงๆแล้วพวกที่ตายไปแล้ว จิต จะเรียกให้ถูกก็คือไปอยู่ดุสิต จิตจะไปอยู่ในภพความสงบ มีท้าวสันตุฏฐิ เป็นเจ้าของแดนดุสิต คือแดนสงบ สงบแปลว่าอะไร คือความหยุด ถ้าหยุดอย่างสัมมาทิฏฐิก็คือพระโพธิสัตว์ ถ้าเป็นการหยุดอย่างพวกโง่พวกอวิชชา อย่างอุทกดาบส อาฬารดาบส เอาแต่นิ่งหยุด จนกระทั่งพระพุทธเจ้าอุทานว่าชิบหาย ไม่มีใครไปเจอใครได้ เป็นชาติใครชาติมันภพใครภพมัน เป็นสัมภเวสี ถ้าลืมตาจึงมาสัมพันธ์กันได้รู้เรื่องกัน ทางตาหูจมูกลิ้นกายสื่อกันได้ แต่ไปอยู่ภพใน เอา เด็กคนนี้คิดแล้วเด็กคนนั้นจะไปรู้ความคิดของเด็กคนนี้ไหม คนนี้เขาคิดของเขาอยู่คนเดียวคนนั้นจะไปรู้เขาได้ไหม ไม่มีทางจะไปรู้ได้หรอก จะไปอวดเก่งทำเป็นรู้ การจะรู้คนอื่นได้ต้องประกอบด้วยตาหูจมูกลิ้นกาย เข้าไปหาตัวใจ ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายเป็นองค์ประกอบช่วย จะไปรู้ใจภายในเลยไม่ได้ง่ายๆหรอก ยกให้พระพุทธเจ้าองค์เดียวที่จะหยั่งรู้จิตคนโดยไม่จำเป็นต้องไปอาศัยตาหูจมูกลิ้นกายเป็นบันได เอาพรวดเข้าไปหาจิตเลย ยกให้พระพุทธเจ้าองค์เดียว นอกนั้นอย่ามาทำอวดดี แต่มีบ้าง มีคนที่มีความพิเศษ ชอบในการที่จะหยั่งรู้จิตคนอื่น มีอาเทสนาปาฏิหาริย์ ก็ได้ แต่มันก็จะต้องใช้ความฝึกฝน สร้างพลังงานที่สามารถไปทำอย่างโดดเดี่ยว แล้วมันไม่มีประโยชน์อะไร ไปรู้คนอื่นแต่ของตนเองไม่รู้ เลว ขาดทุน เสียท่า เพราะฉะนั้นเอาตัวเองดีกว่า เพราะฉะนั้นเมื่อหมด รูปกิเลส อรูปกิเลส ก็ล้างอรูปกิเลสไปเป็นขั้นสุดท้าย เป็นขั้นตอนลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ แต่คนที่ไม่รู้ก็ทำลัดขั้นตอนสับสนเลอะเทอะ ถึงยาก นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สู่แดนธรรม… อธิบาย ภพ ชาติ ให้เด็กๆฟัง พ่อครูว่า…ไปฟังคนอื่นที่มิจฉาชีพพูด ผีก็เกิด มาฟังหลวงปู่พูดการเป็นคนอาริยะก็เกิด _ใบฟ้า นาวาบุญนิยม : (ศ.5พย.64; 15.45น.) ดิฉันกราบขอพ่อครูได้กรุณาพูดถึงการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ให้ลูกลูกรับทราบโดยทั่วกันอีกสักครั้งค่ะ กราบขอบพระคุณกราบนมัสการด้วยเศียรเกล้าฯ พ่อครูว่า…ตอบ ตอบไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้ในเรื่องสเต็มเซลล์ อาตมาไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลย สเต็มเซลล์คืออะไรจริงๆก็ยังไม่มีความรู้ รักษาอย่างไร รักษาได้แค่ไหนอาตมาก็ไม่มีความรู้ เพราะฉะนั้นก็ตอบให้คุณใบฟ้าฟังไม่ได้ คุณใบฟ้าเป็นอาจารย์พยาบาลนะ จนกระทั่งลาออกมามาอยู่กับชาวอโศก ตอนนี้ก็อายุเลยปลดเกษียณไปแล้ว ก็ฝากไว้ก่อนโอฬาร พวกที่เขารู้จะมาขยายให้ฟัง อาตมาก็อยากจะรู้บ้างเหมือนกันว่ามันจะใช้ได้หรือใช้ไม่ได้สำหรับสเต็มเซลล์ เพราะว่าอาตมามีเรื่องของการเป็นกระเปาะอยู่ที่คอ อาตมาก็หวังอยู่ในใจ สเต็มเซลล์เป็นสิ่งเล็กละเอียดที่คนเอามาใช้งานได้ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้พอสมควร มันจะเอามาประยุกต์ทำให้สิ่งที่มันก็เป็นเซลล์เหมือนกันในกระเปาะนี้ ไปจัดการทำลายกระเปาะนี้ได้ไหม อาตมาก็ได้แต่คิดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้รู้จักวิทยาศาสตร์การแพทย์มากเท่าไหร่ ไม่ได้กังวลอะไร เป็นแต่เพียงว่าอาตมาเชื่อกรรมวิบาก ถ้าหากมีกรรมวิบาก ถึงเวลาวาระจะมีผู้ขวนขวายสามารถจริงมาถึงเอง ถ้ามันยังไม่มาถึงก็รับวิบากไปชลอไป ทำอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายภิกษุเป็นบาปอย่างมากมิใช่บุญเลย เข้าสู่เรื่อง ที่จะให้อาตมาอธิบายเรื่องของอาหาร อาหาร สร้างอาหารให้กับโลก ความหมายคือ เราเป็นคน เป็นมนุษย์ จะสร้าง อย่างที่มีผลไม้รากไม้ดอกไม้ เต็มหน้าโต๊ะอาตมา ซึ่งดอกไม้ก็กินได้ ใบไม้ลูกไม้เต็มโต๊ะ นี่แหละก็สร้างพวกนี้เป็นอาหาร เราเน้นสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร การกสิกรรม เราไม่เน้นปศุสัตว์ เราไม่เน้นการประมง เราไม่เน้นเรื่องสัตว์ ปูปลาเราก็ไม่เน้น ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ไปสร้าง ไม่ไปฆ่าหรือสัตว์ 2 ขา 4 ขาสัตว์บกเราก็ไม่ไปเกี่ยว เพราะสัตว์เหล่านั้นมันมีวิบาก เป็นวิบากตามไปตามมากับชีวิต เรารู้รายละเอียดพวกนี้ ไปอ่านในชีวกสูตร ที่ท่านตรัสไว้ ความละเอียด 5 ข้อนี้คนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ ข้อที่ 1 กล่าวถึงชื่อสัตว์ก็บาปแล้ว เพราะคนจะกล่าวชื่อสัตว์นี้ถ้ามีอกุศลเจตนาในจิตแล้ว กล่าวชื่อสัตว์ใดๆขึ้นมา ก็บาปทันที มีอกุศลเจตนาในจิตว่า จะไปจับมันมา เท่านั้นแหละ เจตนาจะให้ไปจับมันมา ถ้ากล่าวชื่อสัตว์ลอยๆ เช่น นก แล้วก็ปล่อยมันไป ไม่มีเจตนาที่จะให้ไปจับ มันก็จะไม่มีเจตนาข้อที่ 2 ก็คือ ข้อที่ 2 ให้ไปจับมาผูกมามัดมา ใส่เข่งใส่กรงขังมา ไปจับมัน มันก็หมดอิสระ ธรรมดามันก็อยู่ของมันอิสระ อันนี้เป็นบาปเป็นอันมากข้อที่ 2 เพราะสัตว์มันไม่ต้องการให้ใครจับมันมา นอกจากหลอกล่อให้มันมาหลงรัก หลงผูกพัน นั่นก็อีกเรื่องซับซ้อน จะไม่ขยายความ มีอกุศลเจตนาตั้งแต่ข้อ 1 ข้อที่ 2 จับมันมาก็ได้สัตว์นั้นมา ข้อที่ 3 สั่งฆ่าเลย ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้ ออกชื่อสัตว์ชนิดนี้ตัวนี้ เป็นบาปข้อที่ 3 แล้ว สั่งสมเข้าไปอีกหนักหนาสาหัส ข้อที่ 3 ก็เป็นบาปหนักเป็นอันมาก ชั้นที่ 3 ทับถม ข้อที่ 4 สัตว์นั้นกำลังถูกเขาฆ่า มันจะเสวยความทุกข์หรือเสวยสุข….ความทุกข์ เป็นบาปของคนสั่งฆ่า แม้ไม่ใช่คนฆ่าเองนะ แต่เป็นคนสั่งฆ่า ก็บาปเป็นอันมาก มหาศาล ฆ่าจนสัตว์เขาตาย ตายแล้วก็เอาไปทำอาหาร ทำกับข้าว ข้อที่ 5 ทำกับข้าวอย่างดี ทำอาหารอย่างประณีต ใช้เชฟ พ่อครัวแม่ครัวชั้น 1 เลย ปรุงมาอย่างดีให้อร่อยให้วิเศษเลิศเลออย่างไรยิ่งใหญ่ก็แล้วแต่ เพื่อที่จะเอาเครื่องปรุงตกแต่งแบบโลกีย์ที่คนนิยม เอามามอมเมา สาวกของพระพุทธเจ้า เอามามอมเมาพระพุทธเจ้าอีกที ให้ยินดี ให้หลงติดในอาหารเนื้อสัตว์นั้น ที่เขาใช้เนื้อสัตว์เป็นเหตุปัจจัย มาปรุงแต่งเป็นอาหารให้กิน ถ้าเอาพืชมาปรุงแต่งก็ไม่เป็นไร ติดอาหารที่เป็นพืช มันก็เป็นภาระ เป็นกิเลส ขนาดติดอาหารพืชก็เป็นกิเลส แต่นี่ไปติดอาหารเนื้อสัตว์เข้า เรียกว่าอภิมหาซวยเลย แล้วคนก็เอาไปถวายพระสงฆ์สาวกพระพุทธเจ้า เอาไปถวายพระพุทธเจ้า ไม่มีบาปอะไรข้อไหนที่จะยิ่งใหญ่ก็บาปข้อที่ 5 นี้อีกแล้ว คนได้ถวายอาหารเนื้อสัตว์แก่พระพุทธเจ้า หรือพระภิกษุทั้งหลายที่เป็นสาวกพระพุทธเจ้า คนเอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระสงฆ์ทั้งหลายก็ดี ไปถวายพระพุทธเจ้าด้วย ยิ่งบาปอีกไม่รู้กี่ชั้น แค่เอาเนื้อสัตว์ไปถวายพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่ง ก็บาปเป็นข้อที่ 5 แล้ว ฟังให้ดีๆเถอะ มันไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน แต่เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนมาก คนจะฟังรู้เรื่องเข้าใจแล้วสำนึก ก็จะ โอ้โห.. ปานฉะนี้เชียวหรือ ตายตายตายตาย เราถวายมานักแล้ว แล้วก็ปรุงแต่งให้ท่านชอบด้วย ปากก็บอกว่าโยม วันนี้ไม่ทำแกงไก่มาให้กินเหรอ วันนี้ไม่ทำพะแนงมาให้กินหรือ พระสงฆ์สาวกหน้าด้านก็จะขออย่างนี้ ขออภัยที่พูดเร็วพูดแข็งพูดชัดพูดตรง มันเป็นอย่างนั้นจริง รายละเอียดของพระพุทธเจ้า ศึกษาให้ดีๆ อาหารทางจิตวิญญาณสำคัญไฉน เข้าสู่เรื่องสร้างอาหาร อาหารที่จะสร้างให้แก่โลก คือ พืชพันธุ์ธัญญาหาร สรุปเข้าเป้า ไม่เป็นเรื่องปศุสัตว์ เรื่องประมง ก็พูดมานานหลายทีครบแล้ว แค่อาหารพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ มันเป็น พีชะ เป็นพืช ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ในขันธ์ 5 มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พืชมันมีแค่รูปกับสัญญากับสังขาร มันไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ เวทนาคือความรู้สึก วิญญาณคือความรู้สึกที่สะสม ในปัจจุบันนี้ กระทบสัมผัสแล้วก็เกิดเวทนา ไม่มีการกระทบสัมผัส มันก็คือวิญญาณของแต่ละสัตว์แต่ละตัว มันก็กองอยู่ตรงนี้เป็นวิญญาณเป็นธาตุรู้ และธาตุรูป วิญญาณรวมทั้งรูปและนาม 2อย่างกองกันอยู่ในวิญญาณเป็น 3 เส้า มีธาตุรู้เป็นประธาน แล้วก็มีพลังงานบวก ลบ พลังงานบวกลบที่เป็นชีวะระดับจิตก็มีวิบากบาป มีเวทนา มีวิญญาณก็ผูกพัน มีผลัก มีดูด มีชอบ มีชัง มีอาฆาตมาดร้าย มีรักดูดแรง ส่วนพืชมันไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ มันปรุงแต่งตัวของมันเองอย่างเดียว มีสัญญากำหนดรู้กับสังขารปรุงแต่ง มันก็ปรุงแต่งตัวมันเป็นรูป ดอกกุหลาบก็รูปนี้ ดอกเหลืองไม่หยุดก็รูปนี้ ดอกพุทธรักษา ก็เป็นดอกอย่างนั้น ลูกไม้ ลูกระกำ ลูกมะละกอ มันก็เป็นไปตามพลังงานสัญญากับสังขาร มันปรุงแต่งกันเป็นอย่างนี้ มันไม่มีความรู้สึก มันไม่จองเวรจองกรรม ไม่มี ฟังชัดๆ เพราะฉะนั้นศาสนาพระพุทธเจ้าจึงสอนให้คนทำจิตให้เป็นพืช ตอนคนเป็นๆนี่แหละพระอรหันต์ทำจิตให้เป็นพืชได้ ไม่ต้องไปผลักไปดูด ไม่ต้องไปสุขไปทุกข์ ไม่ต้องจองกรรมจองเวร ไม่ต้องไปรักไปชัง สำเร็จ จิตก็จบ ทั้งๆที่เป็นๆนี่แหละ ทำได้ มีวสวัตตีโก ผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจของตนเองได้ มีแต่ความรู้ความสามารถไม่มีกิเลส เรียกว่า อสังขาริกัง ไม่มีกิเลสเข้าไปปรุงแต่งร่วมด้วย แต่ทำอภิสังขารได้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีกิเลสเข้าไปปรุงด้วย จึงเรียกว่า อสังขาริกัง แต่คนที่ยังมีกิเลสร่วมปรุงแต่งด้วย ก็ยังเป็นสสังขาริกัง มีกิเลสเข้าไปแซม เข้าไปผสม เข้าไปยุ่ง เข้าไปวุ่นวาย เข้าไปเจ้ากี้เจ้าการ เข้าไปเป็นนายเลย เพราะฉะนั้นคนธรรมดาสามัญปุถุชนมีกิเลสเป็นนาย มีกิเลสเป็นเจ้า มีกิเลสเป็นพระเจ้าเลย เทวนิยมมีกิเลสเป็นพระเจ้า เพราะเขาไม่รู้จักเทวะ เขาไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักอำนาจของพระเจ้า จริงๆพระเจ้าคือกิเลส เขาไม่รู้จักอำนาจของพระเจ้า ไม่รู้จักอำนาจของกิเลส เพราะเขาแยกไม่ออกว่าอำนาจของกิเลสกับอำนาจของอาริยะ ของคนที่ไม่มีกิเลสนี้ อำนาจของอรหันต์ อรหันต์กับปุถุชน อรหันต์เป็นอำนาจที่ไม่มีกิเลสไปเรื่อยๆเลย ตั้งแต่ระดับที่ 4 แต่ปุถุชนมันมีกิเลส จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ฐานะบุคคล เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่ได้เรียนรู้กิเลสจริงๆ กิเลสหยาบ กลาง ละเอียด ไม่ได้เรียนรู้เลยเป็นพลังงานในพลังงานเป็นพลังงานในจิต ไม่รู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ไม่สามารถสร้างพลังงาน ฌาน และพลังงานปัญญา ซึ่งเป็นพลังงานที่เหนือชั้น ฌาน ไม่ใช่ไปนั่งหลับตานะแต่เป็น ฌาน ที่ประกอบด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 ลืมตาสร้างขึ้นมาแล้วก็ไปจัดการ จัดการทำลาย ทำลายพลังงาน ราคะ โทสะ โมหะ ได้ ผู้ที่สร้างพลังงาน ฌาน พลังฌาน พลังปัญญา อย่างสัมมาทิฏฐิแบบพุทธได้ เป็นของจริง กิเลสลดจริงๆ กิเลสตาย เพราะพลังงานนี้ ฆ่าเลย เป็น อุณหธาตุ เป็นไฟ เผาให้เป็นขี้ผงเป็นเถ้าถ่านเลย หมดชีวะ หมดชีวิตินทรีย์ ตามรูป 28 24 หมดพลังงานความเป็นชีวะ เฉพาะ พลังงานชีวของตัวกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด แม้แต่เหลือเศษละเอียด ก็ดับก็ถูกฆ่าหมดเกลี้ยง รู้จักอินทรีย์ของชีวิต รู้จักความเป็นชีวะ ชีวิต ฆ่า ให้ตายสนิท ถ้าเผื่อว่ามันยังเหลือ ชีวะเป็นพีชะอยู่ ถ้าให้อาหารมันอยู่ ให้อาหารแก่พืช พืชโตขึ้นได้ ถ้าเราไม่ให้อาหารมัน มันก็จะฝ่อ ชราเสื่อมลง เหี่ยวแห้งลง จนกระทั่งไม่ให้อาหารมันเลย พืชมันก็ตาย สัตว์ก็เหมือนกัน ไม่ได้รับอาหารอีกเลย ไม่มีธาตุที่จะเป็นอาหารเข้าไปเลี้ยงขันธ์ ขันธ์พืช เป็นองค์ประชุมเป็นชีวะระดับพืช มันไม่มีอาหารไม่มีธาตุจะไปเลี้ยง มะละกอก็ต้องการอาหารธาตุประเภทหนึ่ง จำนวนหนึ่ง อย่างหนึ่ง มะเขือก็ต้องการธาตุอาหารอีกอย่างหนึ่ง ระกำก็อีกอย่างหนึ่ง มะนาวก็อีกอย่างหนึ่ง กล้วยก็ต้องการธาตุอาหารต่างกัน ก็จะมีธาตุอาหารที่ไปปรุงกันให้ตรงมันก็หมด หมดความเป็น หมดความสร้างตัวมันได้ ตัวมันก็หายไปเพราะมันไม่มีธาตุที่จะไปสังเคราะห์สังขารตัวมัน ให้ปรุงแต่งตัวมันคือ มันก็เหี่ยวแห้งลงหมดลง หายไปสลายไปเป็นดินน้ำไฟลม พืชก็สลายเป็นดินน้ำไฟลม เป็นอุตุธาตุ พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิต สามารถทำจิตให้เป็นอุตุ เป็นธาตุดินน้ำไฟลมได้ ตั้งแต่ตอนเป็นๆ โดยลำลอง โลกขั้นต่ำ โลกขั้นหยาบ ที่เราไปเกี่ยวข้องเรียกว่าอบายภูมินรก โลกขั้นต่ำหมุนเวียนอยู่อย่างนั้นเรียกว่า โลก เราก็เรียนรู้ที่มันยังปรุงแต่งให้เราไปติดยึด ต้องให้อาหาร สร้างโลกนี้อยู่ อันนี้ก็เป็นโลกปรุงแต่งของอบาย เป็นโลกนรกนะ แต่นรกของเรา เราต้องมีนรกที่จะต้องไปชื่นใจ แล้วก็โง่ๆๆ สร้างนรกอยู่ไม่ยอมเลิก ปรุงแต่งนรกให้แก่ตนอยู่นั่นแหละ ชื่นใจชื่นใจ ก็คือนรก ความโง่ของคนนั้นซับซ้อนลึกซึ้งมาก เมื่อเกิดปัญญารู้ชัดว่า อ๋อ.. นี่เราสร้างนรกอยู่เราก็เลิกให้อาหารมัน เมื่อเลิกให้อาหารแก่สัตว์ คือ ตัวสัตว์นรกก็คือตัวเรา ที่ปรุงแต่งนรกอยู่ เราไม่อยากแก่ความเป็นสัตว์ ความเป็นกิเลสของเรา ไม่ให้มันมันก็ตาย มันก็ฝ่อลงตาย โลกอบาย สัตว์อบาย สัตว์นรกก็ตายจริงๆ สัตว์นรกตายแล้ว สัตว์ระดับตาหูจมูกลิ้นกาย เรียกว่ากามคุณ 5 ปรุงแต่งเป็นชีวิตชีวา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ทางตาหูจมูกลิ้นกาย มันมีชีวิตอยู่ เราก็ดับกิเลสระดับตาหูจมูกลิ้นกาย ระดับ กาม ฆ่าสัตว์ที่เป็นกามสัตว์ ชีวิตกามสัตว์ก็ตาม เมื่อไม่มี โลกกามแล้ว เราจะอยู่ในโลก กาม ผู้ที่มีจิตสะอาดแล้วมีพลังงานเหนือชั้นกว่ากาม เพราะฉะนั้นสัตว์ที่เป็น กามสัตว์ทั้งหลายทำอะไรพระอรหันต์ไม่ได้ พระอนาคามีก็ไม่มี กามสัตว์ อนาคามียังมีรูป เหลือกิเลสระดับรูป อรูป ก็ไปเรียนรู้กิเลสระดับรูป แล้วดับรูปภพ เหลืออรูปภพ ก็ดับอีก ก็เป็นอรหันต์ ไม่เหลือสักสัตว์ ก็เป็นอรหันต์ อย่างนี้เป็นต้น สภาพเหล่านี้เป็นของจริงปฏิบัติได้ อย่างอาตมาอย่างหลวงปู่ปฏิบัติได้ ถึงได้เอามาพูดได้ละเอียดลออชัดๆไม่ได้เอาของใครมาพูด เอาของเรา เราผ่านมาจริง มันเคยมี แล้วหลวงปู่นี่ก็ทำให้มันหมดไปได้แล้ว ก็เอาความไม่มีจากกิเลสเป็นความไม่มีกิเลส มาพูดสู่ฟัง แล้วในโลกคนก็มีกิเลสกับไม่มีกิเลส แม้ไม่เป็นพระอรหันต์ ความไม่มีกิเลสบางครั้งบางคราวมันก็มีในคนทั้งนั้น แต่ถ้าเรายังไม่ได้ล้างกิเลสจนกระทั่งหมดเชื้อ ตายสนิทหมด ชีวิตินทรีย์จริงๆ มันก็ยังเหลืออยู่ เพราะฉะนั้นในรูป 28 ชีวิตินทรีย์ อาหารรูป ปริเฉทรูป อย่างนี้เป็นต้น ผู้ที่จะเข้าใจเรื่องกิเลสในชีวิตรูปที่เป็นชีวิตอินทรีย์ได้ ก็รู้เรื่องอาหาร หากไม่ให้อาหารมัน มันก็ตาย ฉะนั้นผู้ใดทำให้มันตายได้ รู้จักชีวิต รู้จักอาหาร ไม่มีแล้ว ก็หมด ปริเฉทแปลว่า ว่าง รูปนั้นก็ว่างจากชีวิต รูปนั้นก็ว่างจากอาหาร อาหารอาจจะมีอยู่ในโลกเอามาใช้ก็ได้ แต่เรารู้แล้วว่าไม่ต้องให้อาหารมัน ก็รู้จักความว่าง ฉะนั้นปริเฉทรูปก็คืออากาศธาตุ รูปว่างๆ ปริเฉทรูป เพราะว่ารู้จักชีวิตรู้จักอาหารแล้ว เมื่อไม่มีชีวิต ไม่มีอาหาร นั่นเป็นเทวะคู่หนึ่ง เป็นรูปกับนามคู่หนึ่ง ภาวะ 2 คู่หนึ่ง ไม่มีแล้ว ดับเทวะ เหลือปริเฉทรูปว่างๆ จากนั้นไปก็ไป อากาสานัญจายตนะ ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็เป็นวิญญาณสะอาด เรียกว่า วิญญาณัญจายตนะ คนที่จิตสะอาดแล้ว เหลือธาตุ 2 คืออากาศกับวิญญาณ สะอาดทั้ง 2 อย่าง อากาศก็สะอาด วิญญาณก็สะอาด เราไม่อาศัยอากาศที่มีเชื้อโรค คนที่ฉลาดแล้วไม่ไปอาศัยอากาศที่มีเชื้อโรค เหมือนตอนนี้มี covid เราก็อยู่ในบ้านราชฯ ที่ยังไม่มีโควิด อย่าเอาเข้ามานะ ใครเอาเข้ามาก็บาปหนัก ถ้ารู้ตัวว่าตัวเองติด covid ก็รีบหนีไปที่อื่น อย่าเอาเข้ามาในนี้นะ อาตมาไม่อยากคบเชื้อ covid เพราะพูดกับมันไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นเมื่อถึงปริเฉทรูปแล้ว จิตว่าง เป็น อากาสานัญจายตนะ อากาสานัญจายตนะ วิญญญานัญจายตนะ อากิญจัญยายตนะ เป็นสามเส้า ทำจิตสามเเส้านี้ให้แข็งแรง จิตที่เป็นอากาศธาตุต้องอาศัย 2 วิญญาณต้องอาศัยอากาศธาตุ อากาศก็สะอาด วิญญาณก็สะอาดอยู่ ให้อาศัย มันมีกิเลสหรือไม่มีกิเลสคือ อากิญจัญยายตนะ ไม่มี อากิญ แปลว่านิดนึงน้อยหนึ่งก็ไม่มี ทั้ง 3 สภาพ อากาศก็แข็งแรง วิญญาณก็แข็งแรง อากิญจัญยายตนะ ที่มีอายตนะรับรู้ อายตะ แปลว่ามีสะพานเชื่อมต่อกัน จิตวิญญาณมีอยู่ เชื่อมกับอากาศ จิตวิญญาณมีอยู่ เชื่อมกับกิเลสของโลก จิตของเราเป็นจิตที่ไม่มี กิเลสเข้าไม่ได้ กิเลสไม่รอหน้า กิเลสมาใกล้มันกระเด็นหนีหมดเลย นี่เป็นฤทธิ์เป็นอำนาจของ อากิญจัญยายตนะ อายตนะแปลว่า มันมีสภาพเชื่อมต่อกันนะ แม้จะเชื่อมต่ออยู่กับกิเลส ในโลกมันมีกิเลสว่อนอยู่เต็มไปหมด เราไม่ไปหามัน มันก็มาหาเรา แต่มันมาหาเราแล้ว กิเลสอย่าว่าแต่จะเข้าไปในเนื้อหนัง จิตใจของพระอรหันต์เลย ใกล้ก็ไม่ได้ มันรอหน้าก็ไม่ได้ มันมาถึงรัศมีรังสีระยะหนึ่ง ถูกกระเด็นกระดอนออกไปแล้ว พลังงานลูกน้อง พลังงานไม่ใช่ตัวจริงข้างใน มันมีบรรยากาศข้างนอก บรรยากาศที่เป็นพลังงานของอรหันต์ ขจัดไปเลย กิเลสมาทำอะไรเราไม่ได้ ภาษาที่อธิบายสภาวะสู่ฟัง อธิบายได้ประมาณนี้ นี่เป็นการบรรลุธรรมของความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่รู้จักพลังงานจิตเจตสิกต่างๆ เก่งขนาดนี้ เพราะฉะนั้น จึงได้สร้างอาหารให้แก่จิตวิญญาณ อาหารเป็น 1 ในโลก จิตวิญญาณนั้นลึกแล้ว ที่นี่มาสร้างอาหารให้กับโลก กลับขั้ว จากลึกละเอียดทางนามธรรม มาเป็นรูปธรรม อาหารที่เป็นรูปธรรม คือ กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าว เอาใส่ปากเคี้ยวกลืน หรือคนที่กินไม่ได้แล้ว อยู่ในห้อง ICU เขาก็ใส่ท่อ ไม่ต้อง ICU บางทีอยู่ข้างนอกกินไม่ได้เขาก็เอาใส่ท่อ เข้าจมูกไป ให้อาหารเป็นน้ำละเอียด ย่อยบดให้ละเอียดใส่เข้าไป เข้าไปสู่ลำไส้ไหลไปตามความสามารถของพลังงานในอาการ 32 ของร่างกาย มันก็เอาไปย่อย ไปปรุงแต่ง ไปเลี้ยงขันธ์ เพื่อไปเลี้ยงร่างกาย ตามความสามารถของอาการ 32 ของคน ของสัตว์ สัตว์บางอย่างไม่ถึง 32 อาการ ไม่ต้องพูดถึง พูดถึงคนมีอาการ 32 มันก็จะทำงานไปตามอัตโนมัติของมัน ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้ง ชีวะของมนุษยชาติ ทีนี้คนต้องกินอาหารที่เรียกว่า กวฬิงการาหาร หรืออาหารพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่เน้นปศุสัตว์ ไม่เน้นประมง เน้นแต่พืช เพราะฉะนั้นเราสร้างพืช ธัญญาหาร สร้างแต่พืชพันธุ์ธัญญาหาร อันนี้แหละเราสร้างขึ้นมา มนุษย์ขั้วโลกเหนือก็กินพืชอยู่รอด มนุษย์โลกใต้ อยู่ในทวีปไหนก็ต้องกินพืชได้ทั้งนั้น เขาจะกินปลากินเนื้อสัตว์ มันเกินมันเฟ้อ มันไม่ใช่อาหารของคน อันนี้ก็ไม่ขอพูดยาวแล้ว อาหารของคนจริงๆนั้นคือพืชเท่านั้น ไม่ใช่เนื้อสัตว์ ไม่ใช่เนื้อปลา ไม่ใช่เนื้อหมีเนื้อหมาอะไร ไม่ใช่ กินแต่พืชนี่มีอายุยืนยาว เป็นอาหารของมนุษยชาติ เราก็สร้างพืชนี่แหละ มาสร้างให้ล้นโลก มาสร้างให้ท่วมโลกเลย นี่เป็นภาษาใหญ่ Bigword ภาษาโม้ สร้างให้ท่วมโลก สร้างให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ซึ่งเป็นพืชที่จำเป็นที่จะใช้เป็นอาหาร ข้าว เป็นต้น ซึ่งมีวิตามิน มีธาตุอาหารที่สำคัญรวมอยู่ในข้าว เยอะมากเท่าที่พิจารณากันอย่างดีทั่วโลกแล้ว คนก็รู้แล้ว นักโภชนาการ นักอาหาร รู้แล้วก็เอา แยก แบ่ง เอามา เราขาดอะไรก็เอาอันนั้น วิทยาศาสตร์ ทางสรีระ ทางการแพทย์ รู้แล้วว่าคนต้องการอะไร อาจจะต่างกันโดยสรีระของแต่ละคน ธาตุอาหารที่ไปเลี้ยงขันธ์ปรุงแต่ง มันไม่เหมือนกัน มันไม่เท่ากันเป๊ะทีเดียวสักคนหรอก ต่างกันมากน้อยมันละเอียดเกินจะพูด อย่างหลวงปู่ธาตุอาหารที่ปรุงแต่งแล้ว รวมแล้ว อย่างพอเหมาะพอดี ไม่มีใครสามารถรู้ได้อย่างละเอียดชัดเจนเต็มที่หรอก หลวงปู่เองก็ยังไม่มีความรู้ แต่ก็พอจะรู้คร่าวๆ แต่ก็ห้ามความปรารถนาดีที่เขาไปยึดถือในความรู้ของเขาไม่ได้ เขาก็ให้มา เอามาใส่เข้าไป บางทีเราไม่ได้ไปหาเอง เราจำเป็นก็ตามใจเขา อะไรควรเราก็ว่ากันไป อะไรไม่ควรเราก็ไม่เอา เข้าสู่ชื่อเรื่องที่เราตั้งไว้ชัดๆ “คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” ตอนนี้ถือแฮมเมอร์ ถือค้อน จะตอกหัวพวกสร้างอาวุธแล้ว เมื่อกี้พูดแต่สร้างอาหารสำหรับทนชีวะ ตอนนี้ก็ขอพูดถึงเรื่องอาหารที่ตรงกันข้ามกับอาวุธ มันสร้างอาวุธมาประหาร มาทำร้ายทำร้าย ส่วนอาหารเป็นเครื่องอาศัย อาหาระ เป็นเครื่องอาศัย อาวุธะ เป็นเครื่องประหาร เครื่องฆ่า โดยเฉพาะฆ่าสัตว์ ฆ่าชีวะ นี่เขากำลังสร้างอาวุธที่เป็นจุลินทรีย์ กำลังคิดค้นอาวุธระดับจุลินทรีย์ มนุษย์จะตัวใหญ่ขนาดไหนเดี๋ยวนี้อาวุธมันฆ่าได้ทุกคน ต่อให้ไปเรียนไสยศาสตร์เก่งแค่ไหนก็สู้อาวุธไม่ได้ เพราะไสยศาสตร์มันไม่เที่ยง วาระใดวาระหนึ่งยิงเข้าเลย หรือยิ่งบางที่ บางที่ของนักไสยศาสตร์ถูกยิงเข้านะ บริเวณอื่นอาจจะเหนียวแต่ตรงนี้ยิงเข้านะ เป็นต้น สรุปแล้วคนชั่วช้าสามานย์ที่โง่ได้ที่ โง่ได้ระดับ ก็ไปมัวแต่สร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ป้องกันตัวอยู่ จริงที่ว่าในโลกนี้มีคนร้ายๆแรงๆสร้างอาวุธมาทำร้ายกัน เขาก็สร้างอาวุธมาป้องกันดูบ้าง แต่ถ้าเผื่อว่าเราเป็นคนเชื่อในคุณธรรม คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ คุณธรรมนี่แหละสามารถที่จะไปรบกับอาวุธ คุณธรรมสามารถที่จะไปสู้กับอาวุธ อาวุธจะเกิดประสิทธิภาพ อาวุธจะมีฤทธิ์ได้ ก็เพราะคนเป็นคนกำกับ กำหนด เป็นคนใช้อาวุธ อาวุธบางอย่าง อาจจะตั้งเวลา ใช้จริงๆมันก็อาจจะไม่แม่น ไม่ตรง ไม่สมบูรณ์ได้เท่ากับคน เพราะฉะนั้นประสิทธิภาพของธาตุที่ไม่ใช่ชีวะ มันสู้ธาตุชีวะไม่ได้หรอก ชีวะป้องกันได้ แต่ธาตุที่ไม่ใช่ชีวะมันป้องกันตัวเองสู้ธาตุที่มีชีวะไม่ได้ โดยเฉพาะคน มีไหวพริบ มีความรู้ทัน รู้ทันในสิ่งนั้นสิ่งนี้ ป้องกันตัวหรือหลีกหนีได้ พวกนักสันติจะไม่ไปทำร้ายใคร มีแต่หลีกเว้น เพราะฉะนั้นการหลีกเว้นที่สูงสุดก็คือใช้ปัญญา รู้จักภูมิธรรม อยู่กับหมู่ชนที่เป็นหมู่ชนอาริยะ หมู่ชนที่เจริญ ปัจจุบันส่วนรวมอย่างประเทศไทย คนไทยเป็นอาริยบุคคล เทียบกับต่างประเทศแล้วคนไทยเป็นอาริยบุคคล ทั้งปริมาณและปัญญา มวล แม้จะมีแค่ 70 ล้านคน ก็มีอาริยะบุคคลเป็นมวล เฉลี่ยแล้วหลายสิบล้านคน ในมวลคนประชาชนที่ไม่รู้ตัวก็ตาม ในอจินไตยที่ลึกซึ้ง คนจะได้เกิดมาเป็นคนไทยนี้ ไทย นี้แปลว่าจิตอิสระ เพราะฉะนั้นจิตของคนไทยเป็นจิตอิสระ ที่โดย อจินไตย แล้วจิตอิสระที่มีคุณธรรมจริง เข้ารอบโลกุตรจิต เข้าขั้นอริยะ จึงจะมาเกิดในภพในแดน สัมภวะ ที่เป็นแดน ชมพูทวีป คือ ประเทศไทย ชมพูทวีป คือทวีป หรือแดนเกิด แดนแผ่นดินที่จะมีคนอาริยะ คนโลกุตระ อยู่จำนวนมาก สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส นี่แหละ ถิ่นนี้แหละ เป็นภูมิประเทศที่คนมีสติ มี สุรภาโว มีสติสมบูรณ์แบบ มีความรู้เรื่องความเป็นสติ จะยังไม่ขยายความเรื่องสติ คือมีธาตุรู้ทางกายวาจาจิตตื่นรู้รับรู้อะไรได้ละเอียดมากมาย รอบถ้วน กว่าคนที่ไม่มีสติ ส่วนคนไม่มีสติกับคนมีสตินั้น มันรู้เนื้อรู้ความอะไรกว่ากัน คนไม่มีสติจะไปรู้อะไร คนมีสติก็จะรู้ดีกว่า เพราะฉะนั้นมีสติเต็ม สตินี้แปลว่า 100 มาจากคำว่า สตะ ฉะนั้นคนที่ควบคุมพลังงาน 100 ของตัวเองได้ดี แล้วสตินี้เป็นอำนาจ เป็นพลังแรง เป็นฤทธิ์ เป็นอำนาจ ควบคุมได้ วสวัตตีโก จึงสามารถควบคุมตัวเองกับสิ่งที่แวดล้อมในโลกได้ อย่างลอยตัวหรืออย่างเหนือ อุตระ สรุปเข้ามาหาในประเทศไทย ประเทศไทยมีคนที่เป็นอาริยบุคคล โลกุตระบุคคล จำนวน แม้จะใน 60 ล้าน 70 ล้าน เฉลี่ยแล้ว เป็นอาริยะมากกว่าทุกประเทศในโลก ทำไมอาตมากล้าพูดอย่างนี้ ประเทศอื่นเขาก็มีพุทธศาสนา พุทธศาสนาต้องเรียนรู้โลกุตระ แต่ประเทศอื่นเรียนรู้โลกุตระสู้ประเทศไทยไม่ได้ ไม่มีตัวเด่นยืนยันขึ้นมาหรอก ตัวเด่นยืนยันในปัจจุบันนี้เลย ในขณะนี้ ปัจจุบันชาติ วินาทีนี้ ที่มีชีวิตอยู่ มีลมหายใจ มีชีวิตอยู่ มีตัวตนบุคคล ในประเทศที่มีพุทธศาสนา ในศรีลังกา พม่า จีน ญวนมีใครเป็นตัวเด่น สู่แดนธรรม… มีภิกษุติช นัทฮันห์ ยังอยู่ พ่อครูว่า… ยังไม่เสียนะ นอนเป็นมนุษย์พืชอยู่ ก็ไม่มีบทบาทอะไรแล้วนี่ ติช นัทฮันห์ ยังเป็นมหายานอยู่ ยานโตงเตง คือยังไม่เข้าลึกถึงจิตวิญญาณ ยังอยู่แต่เรื่องสบายๆ ชีวิตสบายๆ คนก็ชอบ ก็ได้บริวาร อยู่สบายไม่ต้องอะไรมาก ทำอยู่ทำกินนิดๆหน่อยๆ มันก็คุ้มแล้ว ตัวบีเวอร์มันยังทำงานสร้างเขื่อนให้คนอื่นได้อาศัย แต่นี่คนอื่นไม่ได้อาศัยอะไรนักหรอก ขออภัยพูดชัดๆ กลุ่มของติช นัทฮันห์ ไม่ได้สร้างอาหารอะไรมาก ไม่ได้สร้างอุตสาหกรรมอะไรมาก อาหารก็ยังไม่ได้สร้างเผื่อแผ่ใครเลย กลุ่มติชนัทฮันห์ ต้องอาศัยผู้อื่นอยู่ อาศัยคนศรัทธาบริจาคมาให้กินให้อยู่ คุณงามความดีของคนนี้มีราคา คนเห็นว่าคนมีคุณงามความดีก็ช่วยเหลือแล้วมนุษย์ ให้แล้ว ทานแล้ว บริจาคแล้ว อาศัยเท่านี้ ติช นัทฮันห์ ก็อยู่ได้ ยิ่งคนทำดีไม่เบียดเบียนใคร ติช นัทฮันห์ ไม่เบียดเบียนใคร คนก็นับถือแล้วพอแล้วกินอยู่พอแล้ว ตัวเองก็บำเรอขนาดของตน ยังมีการเล่นกีต้าร์ยังร้องยังเล่นรำอะไรบันเทิงเริงรมย์ สบายอะไรอีกเยอะ เทียบเคียงกับชาวอโศกได้ (มีคนแจ้งมาว่า ติช นัทฮันห์ ตายแล้ว ) ถึงแม้ยังอยู่บริวารก็ขนาดนั้น ขนาดอาจารย์ก็ขนาดนั้นบริวารก็ขนาดนั้น พูดไปเดี๋ยวจะไปข่ม ติช นัทฮันห์ ผู้นับถือเขาก็มีอีกเยอะ อาตมาก็เกรงใจอยู่บ้าง แต่ก็เกรงใจไม่มากเท่าไหร่หรอก สู่แดนธรรม… มีคนบอกว่าหมู่บ้านพลัมของ ติช นัทฮันห์ ยังไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ไม่สามารถสร้างอาหารเลี้ยงตัวเองได้ แสดงว่าลักษณะโลกุตระธรรมอย่างหนึ่งสามารถพิสูจน์ที่ได้ดี พ่อครูว่า… อันนี้พิสูจน์ได้ดี สรุปเลย เข้าเป้า ผู้ที่สร้างอาหารพืชพันธุ์ธัญญาหารให้มากจนกระทั่ง เหลือกินเหลือใช้ ของชาวไทย เอาไปไล่แจกข้างนอกเลย เอาทิ้งไว้มันก็เน่าเสียของ ต้องรีบไล่แจกต่างประเทศเอาไปให้ ส่งฑูต ไปอยู่ต่างประเทศเลย เมืองไหนต้องการอะไรบ้าง ฑูตของโลกุตระจะไปอยู่หมู่บ้านนั้น หมู่บ้านนี้ ประเทศไหนขาดแคลนอะไรบอกมา เรามีอะไรเหลือ เกิน ก็ส่งไปแจกจ่าย ให้เหมาะสม จึงเป็นคนเผื่อแผ่เกื้อกูล เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างได้อย่างเป็นสัดส่วน เป็นประโยชน์ให้โลกได้อาศัย ไม่ต้องเรื่องมากหรอกเรื่องอาหารการกิน กวฬิงการาหาร คำข้าวที่ต้องกินเข้าไปในร่างกาย ต้องกินทุกคน ไม่มีละเว้นเลย พระพุทธเจ้าก็ไม่ละเว้น นักเหาะเหินเดินอากาศได้ขนาดไหนก็ต้องกินอาหารอันนี้ นักโหดร้ายเลวร้ายขนาดไหนที่เป็นคน ก็ต้องกินอาหาร อาหารอันนี้ อาหารนี้จึงเป็นหนึ่งเดียวของโลก เป็นหนึ่งในโลก สร้างขึ้นมามันยังไม่ล้นโลก ยังไม่ท่วมโลก ยังไม่ทั่วโลกได้ ประเทศที่ยังขาดแคลนอาหารยังมีอยู่อีกเยอะ สู่แดนธรรม… ตอนนี้กำลัง insert ภาพกระท่อมแบ่งปัน พ่อครูว่า… ฑูต คือกระท่อมแบ่งปัน (สม.กล้าฯว่า… เปลี่ยนชื่อเป็นกระท่อมปันสุขแล้ว) พ่อครูว่า… ปันสุข จะไปซ้อนกับคำว่าสุขอีก เอาแบ่งปันนั้นดีแล้ว กวฬิงการาหาร พืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละ สร้างเถอะ สรุปแล้วสร้างให้มาก คมนาคม ทุกวันนี้ก็ส่งได้ดีมากส่งได้เร็วไวไม่เสียไม่ทันเน่า ไม่ทันเสียอะไรเลย การจัดถนอมอาหารก็เก่งพอสมควรแล้วด้วย ไม่ทันเสียทันเน่า ทันแหง ไม่เสียคุณภาพอะไรหรอกยังสดอยู่ อาจจะลดคุณภาพบ้างเล็กน้อยแต่ทันการ ไม่ยืดยาดเกินไป สรุปว่า มาระดมสร้างอาหาร อย่าไปเอาพลังงานแม้แต่เล็กน้อย ไปเป็นพลังงานชั่วช้าสามานย์ ไปสร้างอาวุธเลย ปืน 1 กระบอก ก็ไม่ควรมีอยู่ในโลก เพราะปืนเอาไว้ใช้ยิงสัตว์ ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน จนถึงเอาไปยิงคน เพราะฉะนั้นไม่จำเป็น ปืนไม่จำเป็นเลย พืชพันธุ์ธัญญาหารใช้มีดพร้ากะท้าขวานก็เหลือแหล่ที่จัดการ เป็นเครื่องมือใช้ประกอบการ พอแล้ว ไม่ต้องเอาปืนเอาลูกระเบิด ไม่ต้องทำเลย ปืนก็ดี ลูกระเบิดก็ดี ไม่ต้องทำ จนกระทั่งไปถึงอาวุธนิวเคลียร์ อาวุธเลวร้ายละเอียด อะไรก็แล้วแต่ ที่คิดกันยิ่งใหญ่ อย่างเช่น คิม จองอึนคิด อเมริกาก็คิด รัสเซียก็คิด จีนก็คิด แล้วก็สร้างเอาไว้ซุกซ่อนไว้ เรียกว่าระเบิดปรมาณู เรียกรวมๆ เดี๋ยวนี้มันยิ่งกว่าปรมาณูแล้ว มันเกือบจะถึงระเบิด สุญญาณูแล้ว ยิ่งทำให้เล็กละเอียด ยิ่งมีฤทธิ์แรงมาก มันคือความหมายสำคัญ มันก็พยายามทำ เพื่อเอาไปฆ่าสัตว์โดยเฉพาะไปฆ่าคน ฟังให้ดีเถอะความคิดเช่นนี้มันเลวร้ายจริงๆเลยคน คนที่ฟังอาตมาพูดแล้วไม่รู้สึกรู้สาอาตมาก็ว่าปล่อยให้เขาอยู่ในนรกไป ถ้าฟังอาตมาแล้วไม่รู้สึกรู้สา ไม่สำนึก ไม่หยุด ก็ต้องปล่อยเขาลงนรก เพราะมันเกินกว่าที่จะพูดกันได้แล้ว มันเป็นสัตว์นรกที่พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว ถ้าเป็นคนเป็นผู้ประเสริฐ ฟังแล้วก็ต้องรู้แล้วว่า โอ้โห.. นี่เราจะมาเป็นผู้สร้าง เป็นตัวการสร้างอาวุธขึ้นมาฆ่าคน ความหมายแค่ว่า คนเราสร้างอาวุธขึ้นมาฆ่าคน มันก็เป็นความหมายชี้ชัดอยู่ว่า เป็นบาป เป็นความเลว แค่นี้เข้าใจบ้างไหม ใครเป็นคนบ้าง หรือจะเป็นสัตว์นรก ต้องมาเป็นคนสิ ซึ่งผู้ที่รู้ดีแล้ว ไม่ต้องคิดชั่ว ไม่ต้องสร้างสิ่งที่เลวร้าย มาเอาความคิด ความสามารถเอามาสร้างสิ่งที่ต้องอาศัยกินใช้ เรื่องของใช้ก็เรื่องหนึ่ง เครื่องใช้เอาไปเป็นระเบิดเขาก็บอกว่าสำคัญ ซึ่งเราไม่เอาเลย เพราะเราเข้าใจเรื่องเกิด เรื่องตาย เรื่องวิบาก อันนี้ลึกซึ้งที่สุดเลย กรรมวิบากเป็นอจินไตย เข้าใจเรื่องชีวะ เรื่องวิบาก ชีวะของสัตว์โลก ที่เกิดเป็นโอปปาติกสัตว์ เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่สัตว์แค่ระดับพืชเท่านั้น เป็นสัตว์ระดับจิตวิญญาณ มันจองเวรจองกรรม มันมีวิบากแก่กันและกัน เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้อย่างพระพุทธเจ้าจึงได้ตัด ชักสะพานเสีย ตัดขาด ไม่ให้เรื่องของวิบากมายุ่งเกี่ยวกับเราอีกเลย จึงทำจิตให้เป็นพืช ไม่มีเชื่อมต่อกับวิบาก วิบากบาปกับสัตว์ตัวไหนอีก เราก็ไม่ทำ กับคนยิ่งไม่ทำใหญ่ เพราะคนนี้แหละมีความจองเวรจองกรรมได้หนักยิ่งกว่าสัตว์ แม้แต่อาหาร กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าวพืชพันธุ์ธัญญาหาร เป็นเครื่องอาศัย มันไม่ใช่เป็นเรื่องการทำลาย สิ่งที่ว่าอาหารที่มันเฟ้อ พืชพันธุ์ธัญญาหารที่มีสารพิษอยู่ในนั้นก็ยังมี แต่เราทำให้เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารที่สะอาด ปราศจากสารพิษ นอกจากปราศจากสารที่เป็นพิษภัยแล้ว ยังมีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์แก่สรีระ อาการ 32 ของมนุษยชาติ เราเป็นนักโภชนาการที่จะรู้ว่า มนุษย์เหมือนกันนี้มันจะคล้ายกัน มันต้องใช้อาหารชนิดนี้แหละ ที่จะเรียกด้วยภาษาเคมี อะไรอีกเยอะแยะ อาตมาไม่เก่งเคมี เพราะเรียนมาได้คะแนน 10 ส่วน 100 รองศาสตราจารย์ทองสุข พงศทัต อาตมาก็เรียนจากอาจารย์สตางค์อาจารย์ทองสุข นี่แหละ ท่านก็ไปสวรรค์หมดแล้ว เรียนวิทยาศาสตร์จากอาจารย์ระดับประเทศไทย คนเก่าแก่รุ่นอาตมา เรียนมาตั้งแต่อายุ 14 15 จนกระทั่งม.7 ม.8 นี่แหละอาจารย์เคมีของอาตมาก็มี 2 คนนี่แหละ อาจารย์สตางค์กับอาจารย์ทองสุข อาตมาก็เรียนได้คะแนน 10 ส่วน 100 ก็เลยไม่เอาดีทางวิทยาศาสตร์ มา เอาดีทางอักษรศาสตร์ แต่ดันไปเรียนเตรียมวิทยาศาสตร์ เสียเวลาเรียนเตรียมวิทยาศาสตร์ อยู่ตั้ง 3 ปี ทิ้งเปล่าๆเลย แต่ก็ได้ความรู้มานะ ได้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทางโน้นมาพอสมควร ไปเรียนก็ไม่เสียหลายหรอก แต่ว่าไปแล้ว ชำนาญทางอักษรศาสตร์มากกว่า ทุกวันนี้ก็ใช้อักษรศาสตร์ ใช้วรรณกรรม ใช้วรรณคดี ใช้ภาษา ใช้อักษร สื่อ ทำงานอยู่ทุกวันนี้ คนไทยขอให้เข้าใจตัวเอง สิ่งแวดล้อมอากาศแสงแดดต่างๆมันสมบูรณ์มันบริบูรณ์ มันคือเกณฑ์ของแดนสร้างพืช ประเทศไทยมีอาณาเขตประมาณนี้ ซึ่งมันสร้างได้แม้แต่ที่สุด อาตมาแนะนำ หากไม่มีพื้นดินสร้าง ก็สร้างกระถางผักคอนโด ห้อยลงมา 10 กระถาง 20 กระถาง ราดน้ำกระถางบนก็ไหลลงมาถึงกระถางล่าง ต้นจะไม่ตาย มันจะดูดเอาไว้ตามพลังงานของมัน ก็รดมัน หากมากก็รดบ่อย น้อยก็ไม่บ่อย หรือจะเอาแต่พอดีก็แล้วแต่มีรายละเอียดดีซึ่งคนฉลาดพอ อาตมาแนะนำนิดหน่อย พวกเราก็ฉลาดยิ่งกว่าอาตมาได้ ในการสร้างสิ่งเหล่านี้ สรุปก็คือ สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร ให้เป็นหนึ่งในโลก พระพุทธเจ้าท่านสรุป ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง เพราะข้าวเปลือก ข้าวสาร หรือข้าว มันเป็นพืชชนิดที่มีธาตุอาหารอยู่ในนี้ สำหรับอาการ 32 ของมนุษย์ มากที่สุดในข้าว เพราะหลายคนก็ไปรังเกียจข้าว ว่ามีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่คนกินแต่ข้าวนี้จะอยู่ได้ พืชผักอื่นๆ ก็เป็นธาตุเฉลี่ยออกไป ซึ่งรู้กันทั่วโลกอยู่แล้วว่า พืชข้าว ข้าวเปลือก พูดให้ครบเพราะข้าวเปลือกมันถนอมอาหารเพราะยังมีเปลือกหุ้มไว้ แต่ข้าวสารเสียง่ายกว่า ดีไม่ดีข้าวเปลือกเอาไปปลูกงอกได้อีก ข้าวสารที่เสียสภาพแล้วเอาไปปลูกไม่งอกแล้ว ถ้ามนุษย์เข้าใจอย่างที่อาตมาพูด ช่วยกันสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารให้เหลือเฟือ ไม่ใช่แค่พอกินเท่านั้น พอกินก็เพียงเลี้ยงตัวเรา แต่ทำให้เหลือเฟือ ให้เหลือมาก ให้เหลือเกินๆ แล้วมีน้ำใจเผื่อแผ่แบ่งจ่าย ไม่ใช่ว่าเรามีอาหารข้าวพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันเป็นของจำเป็นของมนุษย์ก็เอาอันนี้ไปโก่งราคา แล้วเอาเปรียบเอารัดเขามา มันเป็นบาปกินหัว อาตมาถึงไม่พาชาวอโศกไปเอาเปรียบเอารัดใคร แม้ว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดอย่างเช่นพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่เราจะผลิต ควรจะผลิตให้มากให้เกิน เรายังกระจายไปสำหรับคนขาดแคลนอาหาร ที่ยังมีอยู่ในโลกทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นเราสร้างอันนี้เถอะ เป็นความจำเป็น ซึ่งยังไม่เหลือเฟือ อย่าไปเอาพลังงานไปสร้างอาวุธ สร้างของเฟ้อๆ เทคโนโลยีต่างๆเฟ้อ พอแล้ว เกินแล้ว ขณะนี้เกินแล้ว เทคโนโลยีทุกวันนี้ มันมีบางชนิดเท่านั้นที่จะต้องอาศัย ที่จะเป็นพาหนะนำพาให้เร็ว ให้ได้มากๆ หรือรักษาถนอมคุณภาพ ถนอมอาหาร อย่าให้มันเสียง่าย ส่งไปให้แก่กันและกัน เกื้อกูลกัน ถ้ามีน้ำใจ จิตวิญญาณนี้เกื้อกูล เผื่อแผ่เอื้อเฟื้อเจือจาน ช่วยเหลือผู้อื่น เท่านี้แหละ ยิ่งใหญ่ที่สุด จิตใจที่เอื้อเฟื้อเจือจาน ยิ่งมีความฉลาด รู้เป้าหมาย รู้ความจำเป็นความต้องการของถิ่นที่มนุษยชาติ กลุ่มไหนเขาต้องการอะไร มนุษยชาติจำเป็นอันนี้ ยิ่งรู้ละเอียดเหมาะพอ ก็ยิ่งได้ประโยชน์ตรง ถูกประโยชน์ ถูกสภาพของมัน ไม่สูญเปล่า ก็ยิ่งดี ไม่มีอะไรสูญเปล่า ไม่มีอะไรบกพร่อง Errorหาย หกตกหล่น ก็ยิ่งดีเลย สรุปอีกที โศลกที่ว่า “คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” ชัดเจน คนไม่โง่เกินก็เข้าใจ ถ้าเข้าใจแล้วทำตามนี้แค่นี้ เปลี่ยนจากคนโง่คนชั่วช้าสามานย์ เอาพลังงาน เอาความรู้ความสามารถมาสร้างอาหาร แทนที่จะไปสร้างอาวุธ เท่านี้ก็เป็นผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่แล้ว สำหรับโพธิรักษ์ สำหรับวันนี้ ตะลุ่มตุ้มม้ง เจริญธรรม สู่แดนธรรม… สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin9 พฤศจิกายน 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:641108_พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 สร้างอาหารให้กับโลกNextNext post:641112_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนาRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024