650831 สภาพ 2 ของ กฎหลักเกณฑ์กับพฤติกรรมจริง พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1EVl1EYOmY6-3OovnGhpAj6hGMf3xakzrt_PxqRL2sj4/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1bOa10PIb3cJ-mGzFC6lWpqUzYXrr6UqV/view?usp=sharing ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/CTeTftkToIg และ https://fb.watch/ff4vuNgNfx/ สมณะฟ้าไท… วันนี้วันพุธที่ 31 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก พวกเราเป็น นักปฏิบัติธรรมมืออาชีพ พวกสายหลับตาเขาก็ถือว่าปฏิบัติธรรม เป็นอาชีพ เหมือนกัน แต่พวกสายหลับตาจะไม่รู้ความจริง เช่น เรื่องน้ำท่วมเขาก็จะ ไม่เข้าไปรู้ เรื่องรู้ราวด้วย ถ้าพวกเราปฏิบัติธรรมแบบมีผัสสะลืมตา อ่านเวทนา ให้มีนิพพานอย่าง จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เห็นกิเลสให้ชัดเจนเข้าใจ ให้ชัดเจนเห็นโทษภัย ให้ชัดเจน เห็นความ หลอกลวงให้ชัดเจน ปัญญาเราจึงชัดแจ้ง หากมะลำมะเลืองก็ไม่มีทาง หรือหลับตาปฏิบัติ เวลาเจอจริงๆก็แพ้ เราก็มาเรียนรู้ สัมมาทิฏฐิ จากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ พ่อครูว่า… SMS วันที่ 29 สิงหาคม 2565 _สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ ปีนี้วิกฤติราคาปุ๋ย ญาติที่ใช้ปุ๋ยเคมีบ่นว่าแพงมาก ญาติเขาชมว่า ข้าวในนาของลูกงามมาก ใช้ปุ๋ยอะไร ลูกบอกว่า ใช้ปุ๋ยงอกงาม ของบ้านราช ทั้งราคาก็ถูกช่วยเหลือคนจนด้วย ญาติๆบอกว่าปีหน้าจะใช้ปุ๋ยงอกงามตามลูกค่ะ กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูว่า…เราก็ทำตามประสาเรา สามอาชีพกู้ชาติมีเรื่องปุ๋ยสะอาดเรื่องนึงในสามอาชีพกู้ชาติ สามอาชีพกู้ชาติมี กสิกรรมธรรมชาติ ปุ๋ยสะอาด ขยะวิทยา อโศกเรา ยังไม่เจริญเท่าไรนะเรื่องขยะ คุณสมไทย ไปไกลเลย ขยะเขา เขาร่ำรวยเพราะขยะ มีสาขาอยู่ทั่วโลก 200 แห่ง ทำเป็นเล่นไป คนไม่เข้าใจง่ายๆ อย่างสมไทยทำ คนโลกๆรังเกียจ เห็นเป็นของต่ำ เห็นว่าเป็นของไร้ค่า ที่ไหนได้ไม่ใช่ของไร้ค่า แต่ค่ามันมาก สมไทยร่ำรวยไปไม่รู้เท่าไหร่ เราไม่คิดที่จะไปร่ำรวย ตั้งใจทำขยะให้มันดี ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปร่ำรวย ก็เหมือนกับการทำ พืชพันธุ์ธัญญาหาร กสิกรรมธรรมชาติ ทำปุ๋ย ก็ไม่ได้คิดจะเอาไปร่ำรวยอะไรหรอก ชาวอโศก ก็ทำไปตามความเป็นจริง คนจน ไม่ได้ปรารถนารวย _คอยใคร · กราบขอบพระคุณพ่อครูครับที่ตอบแมสเสทผมเรื่องด้ามมีดเมื่อวันศุกร์ที่แล้วครับ แต่ผมมาฝังย้อนหลังเอาครับเพราะวันศุกร์ที่ผ่านมาผมต้องไปงานของคนโลกๆครับเพราะ ถ้าไม่ไปคนที่บ้านอาจจะเคืองได้ครับ เนื่องจากเป็นงานจัดให้ผู้ใหญ่ของคนที่บ้านครับแล้วเสียงของคนที่บ้านต้องเป็นใหญ่ครับ เท่าที่ผมฟังพ่อครูตอบว่าต้องถึงขั้นไหนถึงฟังรู้เรื่องผมก็เข้าใจแล้วครับว่าชาตินี้ผมก็คงยัง ฟังไม่รู้เรื่องครับ แต่ผมก็จะตั้งใจฟังพ่อครูเทศน์ให้มากที่สุดครับทั้งฟังสดทั้งฟังย้อนและจะพยายามเข้าใจให้มากที่สุดครับ สุดท้ายนี้เดี๋ยวฟังพ่อครูเทศน์จบผมก็ต้องไปทำงานให้คนที่บ้านต่อครับ กราบขอบพระคุณครับ อมตะบุคคลจะต้องเป็นนักบวชหรือไม่ และจะชดใช้วิบากหมดหรือไม่ _Tapanee Burakrai (ฐาปนีย์ บุรไกร) · กราบพ่อท่านด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ ลูกขอน้อมกราบถาม 1)การเป็น อมตะ บุคคลจะต้องเป็นนักบวชเสียก่อน หรือเปล่าคะ 2)เราต้องชดใช้วิบากทั้งหมดก่อน จึงจะสู่อมตะบุคคลได้ 3) หากชาตินี้จบจิตเป็นอุตุสู่ อมตะบุคคล ได้ คือจบแล้วจบเลยชาติปัจจุบันได้เลยไหมคะ? กราบแทบเท้า ขอบพระคุณพ่อท่านด้วยความเคารพ เจ้าค่ะ พ่อครูว่า…ประเด็นแรกที่ถามว่า บุคคลต้องเป็นนักบวชเสียก่อนหรือเปล่า 2. ต้องชดใช้กรรมวิบากทั้งหมดก่อนหรือเปล่า และ 3. ชาตินี้จบจิตเป็นอุตุ เป็นอมตะ จบแล้วจบเลยชาติปัจจุบันได้หรือไม่ ตอบข้อ 3 ก่อน หากสามารถทำจิตให้เป็นอุตุ สู่อมตะบุคคลได้ จบแล้วจบเลยในชาติปัจจุบันได้ไหมตอบว่า ได้ ผู้ที่ทำจิตตนเองให้เป็นอรหันต์ รู้จักสลายธาตุจิตของตัวเองให้เป็นอุตุได้เลย เป็นดินน้ำไฟลมได้เลย ถ้าจะตายอย่าง สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ก็จบเลย ข้อที่ 2 บอกว่าต้องชดใช้วิบากกรรมทั้งหมดก่อนจึงจะสู่อมตะบุคคลนั้น ไม่ต้อง ไม่ต้องใช้วิบากหมด คนมันหมดวิบากไม่ได้ง่ายๆหรอก พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้หมดวิบาก แต่วิบากร้ายวิบากเลว ท่านหนีได้ ท่านหยุดสร้างวิบากเลว วิ่งนำหน้าวิบากเลวไปไกล มากเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ วิบากบาปวิบากเลวมันไล่ เหมือนหมาไล่เนื้อวิ่งตามเรา ทีนี้สร้างกุศลสร้างวิบากดีได้เร็วได้มากได้ไกล ทั้งมีอัตราความเร็วและมีจำนวนปริมาณมาก มันวิ่งไล่เราไม่ทันในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน อย่างไรมันก็ ไล่ไม่ทัน แล้วเราก็ตายไปก่อน ก็หมดจบ ไม่รู้จะไปไล่อย่างไรเพราะเราสูญไปแล้ว อย่างนี้เป็นต้น มันก็จบตรงนั้นเอง ประเด็นสำคัญฟังดีๆ ไม่ได้หมายความว่า เราจะหมดวิบาก วิบากมันไม่หมด วนเวียน ที่นี่ ข้อ 1 การเป็นอมตะบุคคลจะต้องเป็นนักบวชเสียก่อนหรือเปล่า ก็ไม่ต้อง _Wanawut Sirisakorn (วนวุฒิ ศิริสาคร) · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงสุดจริงแท้ กระผมเห็น”สื่อ” อย่าง “สน…” ที่เป็นศิษย์ของ”พ่อแม่ครูอาจารย์” ตามที่ท่าน สน… ชอบกล่าวถึง (ขออนุญาตใช้นามย่อ) เอาคำพูด “พยัญชนะ” ที่นายกพูดหรือให้สัมภาษณ์ แล้ววิพากษ์ โดยไม่ มอง ฟัง สัมผัสสภาวะที่ปรากฏขึ้นจริงจึงเกิดแต่ “อคติ” เข้าใจผิดเพี้ยนไปจากความจริงตามความเป็นจริง หากพิจารณาตามความเป็นจริง ผ่านการสัมผัสทาง หู ตา ตามผัสสะที่สัมผัสได้จริงแล้วใช้”ปัญญา” ที่ “สัมมาทิฏฐิ” พิจารณา ก็จะเข้าใจความจริงตามความเป็นจริง สรุปปฏิบัติแบบหลับตา หรือ จะเข้าถึงความเป็นจริงผ่านการปฏิบัติแบบลืมตา อย่างนี้กระผมเข้าใจถูกและเป็นสัมมาทิฏฐิหรือเปล่าครับ 🙏 พ่อครูว่า…คุณเข้าใจถูกเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว และที่คุณหยิบตัวอย่างมาอ้างอิงพูดพาดพิงไปนั้น เป็นประเด็นที่อาตมาเตรียมไว้ที่จะพูด ในวันนี้ด้วย เป็นประเด็นสำคัญ เพราะฉะนั้นค่อยๆอธิบายประเด็นสำคัญนี้ เป็นประเด็น สำคัญที่คนยังเข้าใจได้ยากมาก ประเด็นสำคัญคือสภาวะ 2 คุณที่พูดมานี้คือสภาวะจริงกับพยัญชนะ หรือพยัญชนะกับสภาวะจริง ทีนี้ Play moreฟอาตมาจะเอาเป็นภาษา 2 ภาษาว่า กฎหลักเกณฑ์กับพฤติกรรมจริง พยัญชนะกับสภาวะจริง กฎหลักเกณฑ์ กับพฤติกรรมจริงง ที่อาตมาจะใช้พยัญชนะอันนี้พูด แต่ไม่ได้ห่างไกลจากพยัญชนะกับสภาวะจริง ก็จะไม่ต่างกันอะไรเท่าไหร่ เดี๋ยวค่อยย้อน กลับไปสาธยายอันนั้น _ช่อทิพ หนูทอง · ติดตามประจำชอบรายการตะลุ่ม มาก พ่อครูว่า…ตะลุ่มก็คือภาชนะชนิดหนึ่ง ที่เป็นเครื่องสาน บางทีก็ยาชัน เป็นลูกกลมๆ สู่แดนธรรม… ตะลุ่ม ภาษาอีสาน หมายถึงใต้ถุนบ้าน พ่อครูว่า… ตาลุ้ม ต้องออกเสียงภาษาอีสานถึงจะไปวัดใต้ถุนบ้าน ตะลุ่มตุ้มม้ง เสียงฆ้อง โพธิสัตว์เหนือกว่าอรหันต์อย่างไร _คำถาม จากเฟสบุ๊ค · คลิป โพธิสัตว์สูงกว่าอรหันต์ https://fb.watch/fdXar06l2r/ _คุณ ชวลิต อะโรคา…”พ่อครับผมไม่เข้าใจ.อรหันต์แล้วก็น่าจะเข้าใจกิเลสหมด.แต่ทำไหมยังมีโง่หรือ อัตตาสูง.ผมแค่สงสัย.น้อมกราบพ่อท่านครับ” พ่อครูว่า…อรหันต์แล้วก็น่าจะเข้าใจกิเลส จริง อรหันต์นี้ต้องเข้าใจกิเลสของตนเองหมด หมดอาสวะ แล้วก็ดับอาสวะกิเลส กิเลสละเอียดไปถึงปลายสุดเรียกว่า อาสวะ หมดแล้วก็ดับได้หมด ก็จบ เป็นอรหันต์ คำว่าโง่ก็คือ มันรู้แต่ของกิเลสตัวเองที่มันฉลาด ฉลาดในกิเลสตัวเองและจบ แต่ไม่ได้รู้ว่า คนอื่นเขามีกิเลสอย่างอื่น แตกต่างจากเรา หรือคล้ายกับเราก็มี อย่างนี้เป็นต้น โดยเฉพาะมันแตกต่างจากเรา มีเยอะแยะมหาศาลที่แตกต่างจากเรา เพราะฉะนั้นที่ยังไม่รู้อันอื่นก็คือยังโง่อยู่ เพราะฉะนั้นพระโพธิสัตว์นั้นรู้ทั้งของตนเองหมด แล้วก็รู้ทั้งของคนอื่น จึงเหนือชั้นกว่าอรหันต์ ชัดเจนแล้วนะ อรหันต์นั้นคือเป็นผู้ที่เอากิเลสตนเองคนเดียว โดยนิยามจำกัดความเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น อย่างเถรวาทเมืองไทยเอาแต่อรหันต์ มุ่งแต่อรหันต์ไม่ศึกษาโพธิสัตว์ แล้วสุดโต่งเลยเถิด กลายเป็นตัวตนที่ลึกลับอยู่ในเพราะมันสุดโต่ง เป็นตัวตนที่อยู่ในภพ อาตมาก็พยายามดึงฟื้นขึ้นมาให้กลับเข้ามาหาความสมบูรณ์แบบ ของความรู้ที่จะรู้สภาวะสัจธรรมครบ ซึ่งมันก็ยังยากอยู่ ประเด็นที่หนักหนาก็คือไปหลับตาปฏิบัติและไม่รู้ความจริงที่ครบ ตาหูจมูกลิ้นกาย มันก็ไม่มีวันที่คุณจะบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ได้ เพราะคุณไปรู้อยู่หนึ่งเดียว อีก 5 ทวาร อีก 5 สัจจะคุณไม่รู้เลย คุณไม่รู้ คุณไม่ได้ศึกษา คุณไม่ยอมศึกษาด้วย แล้วคุณก็ตกเป็นทาส ของตา หูจมูก ลิ้น กายอยู่ตลอดกาล เรียกว่า กามคุณ 5 แต่คุณไม่รู้ ไม่รู้จริงๆไม่ได้ศึกษา แต่นึกว่าตัวเองรู้เผินๆ มันเสพ แอบเสพหรือเสพให้แก่ตัวเอง ซับซ้อนโดยกลบเกลื่อน เขาไม่รู้ตัวหรอก สายหลับตานี่ ความต่ำความสูงของบัญญัติกับสภาวะจริง _คุณ เดชา อำพร · “(ข้อติง).. สรุปว่าเรื่อง”โพธิสัตว์9ระดับ”(เหมือนว่าก็ฟังดูดีนะ)นั้น.. ผู้นำอโศกบัญญัติขึ้นเอง.. คิดขึ้นเอง,จัดสรรขึ้นมาเอง..ไม่มีข้อมูลในพตปฎ.ที่รับรองไว้.. ถือเป็นการ”บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ”..ได้หรือไม่?.. ปล….ถ้าจะมองว่าเป็น”เจตนาดี”ที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมเกิดการแข่งขัน,ถีบตัวเองขึ้นไป,หรือไต่เต้าสู่ระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ..ก็อาจจะได้..(เพราะผู้นำอโศกมีจริตชอบการ”แข่งขัน,ประชันภูมิธรรมและภูมิรู้อื่นๆ”อยู่แล้ว).. แต่ถ้ามองอีกมุม.. บางคนอาจมองว่า.. ผู้นำอโศกมีลักษณะของคนที่ติดในค่านิยม”ชนชั้น,ชั้นชน” .. เช่นเดียวกับ”ทัศนะ,รสนิยมของพระพุทธเจ้า”ที่ให้เกียรติยกย่อง”วรรณะกษัตริย์”ว่าเหนือกว่า”วรรณะพราหมณ์”(นักบวช)เสียอีก..(และผู้นำอโศกก็มักอวยพระพุทธเจ้าจนเกิ๊นนน..).. ทั้งๆที่พระพุทธองค์ท่านก็ที่สุดเลือก”ใช้ชีวิตนักบวช”.. แต่ก็กลับมีเชิง”ยกย่องวรรณะกษัตริย์”ว่าเหนือกว่า”วรรณะพราหมณ์”.. เช่นนี้จะเป็นการ”ย้อนแย้งกันเอง”หรือไม่?.. ดังนั้น.. ผู้นำอโศกจึงมักอ้างว่า.. ระลึกอดีตชาติได้.. ซึ่งส่วนมากมักหยิบเอาเรื่องการเป็น”อดีตชาติที่เป็นชั้นราชากษัตริย์ในอดีต”มายกกล่าวอ้างถึงทั้งนั้น..เท่านั้น.. แสดงว่า..ผู้นำอโศกยังมีลักษณะที่ติด”เสียงสรรเสริญ”และมี”ทิฐิพระ,มานะกษัตริย์”อยู่มาก.. เพราะยังต้องการให้คนอื่นชมว่า..ตนเองมี”อดีตชาติ”ที่ล้วนแต่เป็น”บุคคลชั้นเอกอุระดับกษัตรามหาราช”มาแล้วทั้งนั้น.. แม้การจัดสรรเรื่อง”โพธิสัตว์ 9 ระดับ”นั้น.. ก็มีนัยยะที่เป็นเพียงเป็นไปเพื่อบริบทของ”การจัดวางตัวเอง”ให้อยู่ใน”ระดับที่เกินครึ่ง,ค่อนไปทางปลายยอด”คือ”ระดับที่7”.. และทำท่าส่งสัญญาณจะประกาศตนว่าเป็น”ระดับที่ 8”อยู่มะรอมมะร่ออยู่แล้ว.. นั่นไงล่ะ.. ด้วยความเคารพครับ..” พ่อครูว่า…ตอบว่า ได้ ว่า อาตมาบัญญัติ สิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติได้ คำว่าบัญญัติคำนี้เป็นภาษาที่หมายความว่า กำหนดหมาย อธิบาย กำหนดหมาย ตั้งคำกำหนดหมายกับอธิบายความขึ้นมา สภาวะอันหนึ่งตั้งชื่อกำหนดหมายขึ้นมา แล้วก็ขยายความขึ้น ทีนี้ ตั้งชื่อก็ดี กำหนดหมายขยายความอันนั้นให้คนเข้าใจก็ดี ด้วยภาษาตัวเอง ที่ยุคนี้ ต้องใช้ภาษานี้ อธิบาย อันนี้แหละพระพุทธเจ้าอนุญาตแล้ว คุณเดชา อัมพร ไม่มีความรู้อันนี้ ยุคนี้ไม่ใช่คำพูดของพระพุทธเจ้า ยุคนี้เอาภาษาพระพุทธเจ้ามาพูดไม่รู้เรื่องกันหรอก โดยเฉพาะไทยต้องแปลจากภาษาที่ง่ายๆ ก็คือมาจากบาลี เป็นต้น เอามาเป็นไทย กระนั้นก็ยังรู้ยากเลย อาตมาก็ต้องมาขยาย กำหนดเป็นภาษาไทย ขยายความเป็นสำนวน ไทย เนื้อหาไทย ให้พวกคุณได้รู้ อาตมาทำตามคำสอนพระพุทธเจ้าที่อนุญาต 100% เต็ม คุณเดชา อัมพร ไม่ใช่คุณอย่าตู่ อย่าเอาบัญญัติมาขู่อาตมาเลย อาตมาเป็นผู้เรียบเรียงโพธิสัตว์ 9 ระดับขึ้นมา ซึ่งมันเป็นสภาวะที่เป็นสัจจะจริง ที่มีขึ้นมาแล้ว คุณก็พูดถูก อาตมาจะแข่งขันเพื่อไปชิงเอารางวัลอะไรก็แล้วแต่ อาตมาก็คือต้องทำนำหน้าไปให้คนได้รับรู้ความรู้ที่มากขึ้น ความเจริญที่เจริญขึ้น ไปสู่ที่สุดที่สูงให้ได้ สัมโพธิปรายนะ อาตมาทำไม่ได้ผิดคำสอนพระพุทธเจ้าหรอก อาตมาต้องทำ มันยังมีที่สุดที่สูงให้ไปสู่ความจริง แต่คุณจะไปตัดทั้งความจริงที่สูงนั่นแล้วไม่ต่อ ก็เรื่องของคุณ แต่อาตมาต้องต่อให้สุดให้สูง ขนาดอาตมาก็ยังไม่สุดไม่สูงและยังมีที่สุดที่สูงที่อาตมารู้ แล้วเป็นสัจจะด้วย อาตมานำมาจึงไปอยู่เรื่อย คุณตามความสูงความสุดนี้ไม่ได้ แล้วคุณตามไม่ได้ และคุณคิดจะต้านอาตมาก็ไม่เป็นไร จะเอาอะไรมาหักล้างก็ว่ากันไป คุณเสนอมา คุณเดชา อัมพร มีต่ออีก…เป็นการยอมหรือยกให้อย่างที่คุณว่า การเป็นกษัตริย์ที่ใน อัมพัฏฐสูตร ว่า กษัตริย์กับพราหมณ์นักบวชกับกษัตริย์ อัมพัฏฐะบอกว่า กษัตริย์เป็นแค่คฤหัสถ์ เขาใช้หลักเกณฑ์นี้ เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ต้องไหว้พราหมณ์ เพราะว่าพราหมณ์เป็นนักบวช พราหมณ์ต้องสูงกว่า อัมพัฏฐะเขายืนยันอย่างนั้น ถกกันไปถกกันมา สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็บอกว่า ตกลงพราหมณ์สูงกว่ากษัตริย์ กษัตริย์ต้องไหว้พราหมณ์ ตกลง จบพระพุทธเจ้าก็ยอมเป็นผู้แพ้ยกย่อง แต่มันก็ยังมีประเด็นต่างๆที่พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ แต่อัมพัฏฐะไม่ยอม อัมพัฏฐะเข้าใจไม่ได้ ไม่ยอมให้กษัตริย์เหนือกว่าพราหมณ์ สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็ต้องยอมตกลง คุณจะว่า พราหมณ์ ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นแล้ว คฤหัสถ์แม้แต่กษัตริย์ต้องไหว้พระ พระอยู่ในเครื่องแบบ เมืองไทยก็เป็นอยู่ ไม่มีปัญหา มันก็จบ เหมือนกับอาตมายอมเป็นผู้แพ้ ก็จบ ไม่มีปัญหา สู่แดนธรรม… คุณเดชาเพ่งมองพ่อท่านว่า ชอบที่จะยกตนเป็นวรรณะ เป็นชนชั้น พ่อครูว่า… ก็ตอบว่า ความเป็นจริงแล้ว ขั้นชั้นหรือชั้นชน มันมี แต่มันไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น มันเป็นความจริงตามความจริงของชั้นชนหรือขั้นชั้น ไม่ต้องเอาคำว่าตนไปใส่ในขั้นชั้นก็ได้ ในความเป็น วรรณะ 9 มันก็มีขั้นชั้นตามจริง ทุพรรณะ สุพรรณะ ก็ต่ำ สูง มันเป็นตามความจริงของความเป็นจริง ถ้าคุณเห็นว่าทุกอย่างไม่มีสูงมีต่ำมันเสมอกันหมดเลย คุณก็คิดเอาเองเถอะ คุณเดชา คุณก็วนเวียนอยู่ในความงงๆงวยๆ ของคุณ ว่ามันเสมอภาค มันไม่สูงมันไม่มีต่ำ แล้วมันมีต่ำมีสูงด้วยเหรอ คุณก็วนไปของคุณเรื่อย ไม่เป็นไร (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะฟ้าไท… สิ่งที่พ่อครูได้ระลึก มันเป็นความจริงด้วย แต่คนยึดถือว่าไม่ได้ แต่พ่อครูเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์มาสอนมากกว่า พ่อครูว่า… ที่ว่า ยังติดสรรเสริญ มี ทิฏฐิพระ มานะกษัตริย์นั้น ถ้าอาตมาต้องการเอาอดีตชาติที่เคยเป็นกษัตริย์ เป็นอะไรใหญ่ๆมาก่อนมาพูดแล้ว ทำไมจะต้องพูดชมหรือโชว์ตัวเองบ่อยๆ อาตมาก็ไม่ได้เจตนาจะทำ ไม่ค่อยได้ทำ แต่ก็มีอ้างอิงบ้าง บางครั้งบางคราว เพื่อประกอบการศึกษาว่า ทุกอย่างมันเป็นเรื่องที่จะต้องเป็นเรื่องที่จะเป็นจริง อาตมาจะไม่พูดความไม่จริง อาตมาจะพูดความจริงเท่านั้น ไม่ต้องการที่จะมาครอบงำทางความคิด หรือว่าใช้พยัญชนะ ใช้ภาษา พูดย้ำซ้ำซากเพื่อจะให้เชื่อ ใครจะเชื่อว่า อาตมาเคยเกิดเป็นกษัตริย์ อันนั้นอันนี้ที่เคยยกอ้างเป็นผู้ที่สำคัญที่ผ่านมาในอดีต ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ อาตมาว่าเป็นองค์ประกอบ คุณเอาปัจจุบันนี้สิ อาตมามีความจริง อาตมามีความรู้ คุณต้องเพ่งเข้าไปที่ความจริงและความรู้นี่แหละ เป็นเรื่องของพฤติกรรม เป็นเรื่องของพฤติกรรมจริงๆ มากกว่าหลักเกณฑ์. กฎหลักเกณฑ์ พฤติกรรมจริงๆมากกว่า จริงกว่าหลักเกณฑ์หรือพยัญชนะ เอาสภาวะจริง พฤติกรรมจริงนี่สิ คุณอย่าสับสนสิ คุณยังสับสน 2 ภาษา และก็ 2 สภาวะนี่แหละ กฎหลักเกณฑ์กับ พฤติกรรมจริง หรือพยัญชนะกับสภาวธรรม นี่แหละ คู่นี้เป็นคู่เอกของมหาจักรวาล ของเอกภพ ก็ขอบคุณที่เคารพ ไม่วิจารณ์วิจัยต่อ ดี คุณศึกษาก็ดีแล้ว แต่พยายามสรุปลงที่สภาวะพฤติกรรมจริงให้ได้ อย่าไปวนเวียนอยู่แต่ในหลักเกณฑ์ อย่าไปวนเวียนอยู่ในเหตุผล ในพยัญชนะอะไรมากนัก มันเป็นของขยายความ จริงๆจะบอกว่ามันไม่มีความเป็นประโยชน์ก็ไม่ได้ เพราะมันมีประโยชน์มาก สู่แดนธรรม… คนที่พยายามจะถามแบบคุณเดชา ผู้ฟังหลายคนก็พิจารณาคำถามไป เหมือนอ่านเจตนาเขาว่า เป็นคำพูดรุกรานสมณะ แบบนี้เขาจะมีวิบากไหมครับ พ่อครู… มีแน่นอน แต่เราไม่อยากไปพูดหรอก ไม่อยากขยายความ กรรมเป็นอันทำ กรรมนิด กรรมน้อย แม้แต่คิด ยิ่งพูดมีเจตนาอย่างจริงจัง สู่แดนธรรม… คนที่วิจารณ์แบบสัมมาพอควรกับแบบก้าวล่วงพระอาริยะ พวกเราจะได้สังวรณ์ กันไว้ครับ พ่อครูว่า… ดี ต่อไปจะเอาสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์จริงอยู่ในสังคมนี้ ‘แรมโบ้’ ลั่น ‘บิ๊กตู่’ เคารพกม.ไม่จำเป็นต้องลี้ภัย สวนเจ็บ ‘ทักษิณ’ เก็บบ้านที่ดูไบไว้เผื่อ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ต้องใช้! (31 สิงหาคม 2565 … นสพ.ไทยโพสต์ออนไลน์) ‘แรมโบ้’ ฟาดหนัก ‘ทักษิณ’ เก็บบ้านเช่าไว้ให้คนตระกูลชินวัตรจะดีกว่าเผื่อลูกสาวอุ๊งอิ๊งอาจจำเป็นต้องใช้ ตามไปอยู่ด้วย ส่วนนายกฯประยุทธ์ไม่จำเป็นต้องลี้ภัย เพราะอยู่ภายใต้กฏหมาย เคารพกฎหมาย ไม่คิดทำผิดอะไร 31 ส.ค.2565 – นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง เฟซบุ๊กแฟนเพจ CARE คิด เคลื่อน ไทย เผยแพร่คำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวในรายการ CARE Talk ถ้าประยุทธ์ต้องลี้ภัย ก็มาเช่าบ้านผมอยู่ได้ แล้วผมจะกลับไปเมืองไทยแทน ว่าขณะนี้นายทักษิณคงอยากกลับประเทศไทยมาก จึงทำให้ความคิดความอ่านผิดเพี้ยนไปหมด นายเสกสกลยืนยันว่านายกฯประยุทธ์ ไม่จำเป็นต้องลี้ภัยไปไหน เพราะไม่ได้ทำอะไรที่ผิดจนต้องหนีออกไปอยู่ต่างประเทศ เช่นเดียวกับนายทักษิณและน้องสาว โดยขออย่าเอาตัวเองและครอบครัวมาเป็นบรรทัดฐานว่าคนอื่นต้องเป็นแบบตัวเอง “เรื่องแบบนี้ก็เห็นแต่คนในตระกูลชินวัตรที่ทำได้ ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิดตามกฎหมายและยังออกมาโทษกฎหมายหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งนายกฯประยุทธ์ไม่มีพฤติกรรมเช่นนั้น เพราะยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่ทำผิดกฎหมาย ดังนั้นตนเองขอแนะนำว่าบ้านของนายทักษิณไม่ต้องปล่อยให้คนอื่นเช่าหรอกเก็บไว้ให้คนในตระกูลจะดีกว่าเผื่อมีเหตุการณ์ที่ใครต้องลี้ภัยอีก พ่อครูว่า…ไม่มีใครห้ามให้กลับมา แต่คุณเป็นนักโทษหนีคุก กลับมาต้องเข้าคุกก่อน จะกล้าไหมทักษิณ กล้าๆหน่อยสิ แต่เขาไม่มีความกล้าเลยสักนิดสำหรับคุณทักษิณ มีแต่สำนวนชาวโลกเรียกว่ามีแต่ความเกรียน ไม่มีความกล้าเลย มีแต่ความเกรียน ส่วนที่นายทักษิณบอกว่าจะกลับไทยนั้นตนเองขอย้ำว่าไม่มีใครห้ามสามารถกลับมาได้ทุกเวลา แต่ต้องมารับโทษไม่ใช่มาอย่างสง่างาม พร้อมขอให้นายทักษิณเลิกฝันกลางวันได้แล้วว่าลูกสมุนพรรคเพื่อไทยจะช่วยให้กลับประเทศได้” นายเสกสกล กล่าว นายเสกสกล กล่าวอีกว่าส่วนเรื่องบ้านเช่า ตนว่าช่วยเก็บบ้านเช่าไว้ให้ลูกสาวอุ๊งอิ๊งจะดีกว่าไหม เพราะอนาคตตอนหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศตามคุณพ่อคุณอาไปอยู่ดูไบเดี๋ยวจะไม่มีบ้านอยู่ ด้วยกัน เพราะคนอย่างพลเอกประยุทธ์เป็นคนดีไม่มีวันตายอยู่ภายใต้กฎหมายไม่คิดทำผิดกฎหมายจึงไม่ต้องมีคดีหนีไปที่ไหน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปอยู่บ้านเช่าดูไบของคนหนีคดีโกงเหมือนนายทักษิณและนางสาวยิ่งลักษณ์ “ย้ำอีกครั้งหนึ่งบ้านเช่าเก็บช่วยเก็บให้ลูกสาวอุ๊งอิ๊งไว้อยู่ในอนาคตจะดีกว่า เพราะอนาคตไม่มีอะไรแน่นอน ลูกสาวอาจจะได้ตามคุณพ่อคุณอาไปอยู่ด้วยกัน ได้สัญชาติใหม่ด้วยกัน ถือพาสปอร์ตต่างประเทศด้วยกัน มองภาพแล้วชีวิตครอบครัวชินวัตรคงจะมีความสุขที่สุด อยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่นในต่างแดน น่าจะดีกว่าไหม” นายเสกสกล กล่าว นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะฟ้าไท… คุณทักษิณก็มักออกมาดราม่าให้คนวิพากษ์ คนด่า แต่เขาก็ทนได้ดีนะ _ทันควัน! ทิพานันสวน ‘แม้ว’ สุดแสบบอก ‘บิ๊กตู่’ ไม่ต้องลี้ภัยเพราะไม่ได้โกง ไม่ได้ไร้จริยธรรม 31 สิงหาคม 2565 ‘ทิพานัน’ ย้ำ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ บริหารประเทศเพื่อประโยชน์ประชาชน ไม่ต้องหนีคุกลี้ภัย ซัดทักษิณบิดเบือนข่าวค่าจ้างแรงงาน ย้ำยุติหรือไม่ยุตินายกฯ เป็นวาระตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่วาระสุดท้ายแบบใครบางคน 31 ส.ค.2565 – น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเฟซบุ๊ก CARE คิด เคลื่อน ไทย เผยแพร่ข้อความที่นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ วู้ดซัม กล่าวพาดพิงด้วยข้อมูลที่คลาดเคลื่อนว่า ไม่ทราบว่านายทักษิณได้อ่านข่าวด้วยตนเองหรือไม่ ทำให้ออกมาวิจารณ์กันไปคนละเรื่องเช่นนี้ จนเกือบเข้าใจว่าเป็นปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารดิสเครดิตของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ที่มักนำข้อมูลหรือคำให้สัมภาษณ์ของตนเองไปบิดเบือน แต่เมื่อตรวจสอบดูปรากฏว่าเป็นนายทักษิณที่ออกมาให้ความเห็นจริงๆ ก็ทำให้รู้สึกเห็นใจนายทักษิณที่หลบหนีโทษจำคุกอยู่ไกลในต่างแดน ต้องขออภัยที่ข่าวสารจริงไม่ถึงท่าน หรือมีผู้นำไปถ่ายทอดให้ฟังแบบผิดๆ ถูกๆ หรืออาจสะเทือนใจกับคำว่านายกฯ เถื่อน ที่เป็นวาทกรรมของพรรคเพื่อไทยเอง ทำให้เข้าใจไขว้เขว แล้วรีบออกมาให้ความเห็น ซึ่งอาจทำให้ประชาชนสับสน จึงอยากชี้แจงความจริงให้พี่น้องประชาชนทราบดังนี้ 1.การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ขึ้นแค่บางจังหวัด ความจริงคือ ถ้าผ่าน ครม. ก็จะขึ้นทั้งหมด 77 จังหวัดทั่วประเทศ แต่แบ่งเป็น 9 อัตราตามกลุ่มจังหวัดที่แตกต่างกัน เพราะมีสภาพเศรษฐกิจ สังคม ขนาดอุตสาหกรรมและความจำเป็นที่ต่างกัน ตามข้อสรุปการประชุม 3 ฝ่าย 2.ไม่เคยชี้แจงว่า ที่ขึ้นค่าแรงไม่ได้เพราะต้องเอาเงินไปจ่ายหนี้จำนำข้าว ความจริงคือได้ชี้แจงประชาชนไปว่า รัฐบาลพยายามหาแนวทางดำเนินการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำมาตลอด แต่เมื่อเจอวิกฤติโควิดจนกระทบธุรกิจของสถานประกอบการในทุกภาคส่วน การขึ้นค่าจ้างในเวลาดังกล่าวจึงไม่เหมาะสม แต่ก็จะทำให้เร็วที่สุดเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โดยคำนึงผลกระทบทั้งของนายจ้าง-ลูกจ้าง ซึ่งแม้ไม่ใช่เงินของรัฐ เป็นเงินของเอกชนก็ตาม แต่การบริหารนโยบายที่มีหลายส่วนเกี่ยวข้องต้องรอบคอบระมัดระวัง กระทรวงแรงงานจึงมีการประชุมร่วมกันของคณะกรรมการค่าจ้าง 3 ฝ่าย คือ ลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล โดยหาสมดุลระหว่างค่าจ้าง-เงินเฟ้อ-ค่าครองชีพ ก่อนออกนโยบายเพื่อให้ทั้งนายจ้างอยู่ได้และลูกจ้างอยู่ดี จึงมีตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำออกมา “ขอบคุณที่ท่านชื่นชมเรื่องการเรียน เพราะแสดงความเห็นไปตามหลักของกฎหมายที่เรียนมา จึงอยากฝากให้ท่านอ่านข่าวอีกครั้ง เพราะไม่มีคำไหนที่เอ่ยถึงกรณีโกงจำนำข้าว แต่เข้าใจว่าเรื่องโกงจำนำข้าวคงติดอยู่ในจิตใต้สำนึกท่าน ขอบคุณที่ยังจำได้ว่ารัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โกงจำนำข้าวไปหลายแสนล้าน แล้วเอาภาษีประชาชนไปเสวยสุข จนทำให้คนไทยต้องชดใช้หนี้หลายปี “น.ส.ทิพานัน กล่าว น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่าในส่วนกรณีการกล่าวพาดพิงถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องลี้ภัย แล้วให้ไปเช่าบ้านนายทักษิณอยู่ได้ รวมถึงเป็นผู้นำต้องมองหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ คนเราต้องรู้จักพอ และเรื่องจริยธรรมเป็นเรื่องที่ผู้นำต้องแคร์นั้น ต้องขอชี้แจงว่า พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งใจทำประโยชน์ให้ประเทศชาติมาโดยตลอดด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่จำเป็นต้องลี้ภัยใดๆ และยังสามารถทำคุณประโยชน์ให้ชาติในทุกๆ ด้านได้ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นเพียงปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ใช่ปัญหาที่ผู้นำไม่เคารพกฎหมายหรือไม่มีจริยธรรม เอามาเปรียบเทียบกับการไร้จริยธรรมและการทุจริตคอร์รัปชันหนีคดีอย่างนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ และถึงแม้หาก พล.อ.ประยุทธ์ ต้องยุติหรือไม่ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ท่านยังดำเนินชีวิตตามปกติได้ เพราะเป็นเพียงการกำหนดวาระตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่วาระสุดท้ายแบบใครบางคน พ่อครูว่า… ชัดเจนยิ่งกว่าชัดเจน สภาพ 2 ของ กฎหลักเกณฑ์กับพฤติกรรมจริง(ท่อน1) มาเข้าถึงมุมที่อาตมาอยากจะพูดให้ฟังจริงๆก็คือมุมที่ว่า กฎหลักเกณฑ์ กับพฤติกรรมจริง คนที่ไม่รู้ คือมองไม่ออกหรือเข้าใจผิด ทั้งหลักเกณฑ์กฎหมายและพฤติกรรมของตนของคน ใครก็แล้วแต่ แม้แต่ของตัวเอง เป็นความไม่รู้เลยไม่มีความรู้เลยทั้งคู่ ทั้งหลักเกณฑ์ก็ไม่รู้หลักเกณฑ์ พฤติกรรมของตนก็ไม่รู้ นี่คือมันโง่ครบ โง่ครบสูตร โง่บริบูรณ์แบบ โง่สมบูรณ์แบบ ทั้งๆที่ตัวเองผิดไปทั้ง 2 เรื่อง 2 แบบ เรื่องความรู้หรือปัญญา และก็ความโง่ และเรื่องที่ตนมีพฤติกรรมที่ทำอยู่ ดำเนินอยู่ มีอยู่ เป็นอยู่ ตามที่ตนทำด้วยความรู้หรือความโง่ เขาจะนึกว่าเขาโง่หรือเขารู้ เขาก็จะนึกว่าเขารู้ เขาจะไม่นึกว่าเขาโง่ ก็มี 2 ภาวะทั้งนั้น หลักเกณฑ์กับพฤติกรรมก็สอง ความรู้กับความโง่ก็ 2 ทั้งนั้น ที่คนจะต้องมี ปัญญารู้จักรู้แจ้งความจริงของจิตให้ตรงให้ชัดให้แม่นทั้งสอง จับคู่กันมาทีละ 2 ทีละ 2 เพราะฉะนั้น ในความเป็นทีละ 2 นี้แหละ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุด ทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้อีก พยัญชนะบาลีเรียกว่า เทฺว อ่าน ทะเว หรือดะเว ก็แล้วแต่ แปลว่า 2 เรื่องยิ่งใหญ่ในมหาจักรวาลนี้คือเรื่องความเป็น 2 ทีนี้ คนที่ไม่เคยแยก 2 เลยหรือแยก 2 ไม่ออก 1.แยกไม่ออก 2.แม้แยกออกก็ไม่แยก สรุปแล้วก็คือ แยกไม่ออกก็คือ 1, 2. รู้แต่แยกไม่ออก ก็คือ 1 เพราะฉะนั้นคนที่ดันทุรังเป็น 1 ไม่มี 2 เป็นคนมองเป็นคนโง่ตลอดนิรันดร ในความเป็นจริงของความเป็นคน คนจะต้องมีรูปกับนาม คนจะต้องมีจิตกับอีกสิ่งหนึ่งที่จะต้องรู้ด้วยกันเป็น 2 เกิดเป็นคนมี 1 ไม่ได้ Dynamic vs Static ใน นิยาม 5 อุตุนิยาม วัตถุ มันไม่มีธาตุรู้ มันมีแต่พลังงานของมัน พลังงานของมันมี 2 เหมือนกันแต่มันเป็นบวกลบ มันไม่เป็นชีวะ สิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่มีธาตุรู้ พอเริ่มมี ธาตุรู้ในตัวเองขึ้นมาก็เรียกว่า พีชะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่นำมาอธิบาย วิทยาศาสตร์ทั่วไปในโลกนี้ของไอน์สไตน์เป็นต้น ก็เป็นความรู้ยอดของภาวะ 2 ของสภาวะอุตุนิยาม ก็ไม่ได้เน้น พีชะเท่าไหร่ มีความรู้บ้าง เริ่มขึ้นมาทางชีวะเขาเรียกว่า Biology แต่ก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ไม่เก่ง ก็เลยไม่ค่อยจะเน้นกันแม้แต่ไอน์สไตน์ก็ไม่เน้น เป็นเรื่องวัตถุ แล้วก็ใช้ทางวัตถุตลอด ใช้พลังงานที่แตกต่างกันของวัตถุ มาทำประโยชน์ ส่วนของ พีชะ ก็เริ่มรู้ขึ้นไปบ้างก็พยายามพัฒนารู้ภาวะของพืชที่จะต้องมีธาตุอะไรขึ้นมา ก็เลยพัฒนาขึ้น ส่วน จิตนิยาม ทางโลกเขาไม่มีความรู้กันเลย ทางวิทยาศาสตร์ของโลก เขาไม่มีความรู้เรื่องนี้กันเลย เพราะฉะนั้นในมนุษย์นี้มีตัวสำคัญ มีจิตเป็นประธานหรือจิตนิยาม มนุษย์ทุกคนเป็นสัตว์โลก ในระดับ ชั้นจิตนิยามไม่ใช่พืช ต่างกันแล้วนะ 1. อุตุนิยาม 2.พีชะ 3.จิต พีชะ มีความรู้ในตัวของมันเองเท่านั้น มี ISH ตัว I คือ ประธาน แล้วมี S คือเพศหญิง H คือเพศชาย แต่มันรู้ตัวมันเองเท่านั้น พีชนิยาม มีความรู้อยู่ในกรอบของตัวเองพัฒนาตัวเองขึ้นไป จนกว่าจะพัฒนาขึ้นไปเป็นจิตนิยาม ซึ่งอันนี้อาตมาอธิบายไม่ไหว มันจะพัฒนาจากพืชแต่เป็นสัตว์น้ำและสัตว์บก พัฒนาตนเองตลอดเวลา เกินความรู้ที่อาตมาจะขยายตรงนี้ ก็ขอผ่าน ทีนี้เมื่อรู้แล้ว แยกได้ว่า อุตุนั้นกรอบหนึ่ง พีชะอีกกรอบหนึ่ง จิตนิยามอีกกรอบหนึ่ง ความรู้ พีชนิยาม ไม่มีบาปบุญคุณโทษ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความพยาบาทจองเวร ยังไม่มีวิบากถ่ายทอดวิบากไม่ได้ เพราะฉะนั้นความรู้ในระดับพืชจึงเป็นความรู้ที่ปลอดภัยในเรื่องของกรรมวิบาก ที่นี่จิตนิยามสามารถฉลาดในระดับโลกุตระ ระดับปัญญา รู้เรื่องกรรม เรื่องธรรมะ รู้พฤติกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม รู้การทรงไว้เรียกว่าธรรมะ เป็นกรรมนิยาม ธรรมนิยาม ใน อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม เอากรรมนิยาม สองตัวนี้มาธรรมนิยามเป็นกระแสธรรมนิยามกรรมเป็นแรงเคลื่อนธรรมะเป็นกระแสธรรมะเป็นสแตติค กรรมะเป็นไดนามิคผู้ที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับใช้กันอยู่ ธรรมนิยาม มาใช้เพื่อให้เกิดสภาพ 2 กรรมนิยามเป็นสภาพ Dynamic ธรรมนิยามเป็นสภาพ Static กรรมนิยาม เป็นแรงเคลื่อน ธรรมนิยามเป็นกระแส ธรรมนิยาม เป็น Static กรรมนิยามเป็น Dynamic เป็นคู่ที่ยิ่งใหญ่ นักวิทยาศาสตร์เขาก็ใช้งานกันอยู่แล้ว ก็เอามาใช้งานว่า เมื่อทำแค่พีชะ พลังงานบวกลบนี่แหละทำแค่พีชะ มันไม่มีภัยไม่มีโทษไม่มีวิบาก ไม่มีบาปไม่มีบุญปลอดภัย ฐาน พลังงานระดับนี้ จิตนิยามรู้และทำได้ ถึงอาศัยกรรมกิริยา โดยกำหนดกรรมกิริยาของตนว่าทำประมาณ พีชะ อย่าไปก่อ ให้เกิดกับใครอีก คนผู้นี้จึงไม่สร้างวิบากที่ไประรานใคร เบียดเบียนใคร ทำโทษทำภัยกับใคร จิตนิยามที่ได้รับการฝึกฝนอบรมดีมาอยู่ในฐานของ พีชะดีแล้ว จึงเป็นคนลดภัยลดโทษหรือปลอดภัย ไม่มีภัยต่อใคร เพราะฉะนั้นพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่มีภัยต่อใคร มีแต่ประโยชน์ให้แก่ทั้งสัตว์ ทั้งแผ่นดิน เป็นปุ๋ยให้แผ่นดินเองด้วยนะ ทั้งสัตว์ คน มนุษย์ เป็นแต่ประโยชน์อย่างเดียวเลย พืชนี่ ยิ่งใหญ่มากเลยเป็นประโยชน์ในโลก เป็นเครื่องอาศัยที่พระพุทธเจ้ายกย่องว่าเป็นหนึ่งใ
You are here:
- Home
- ศาสนา
- 65083…