650826 ความมีความไม่มี สิทธัตถะและสิริมหามายา พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1aLWEz2Ph2JLseo6vE0cgPz1GTC8rLUvBpQ9Vi8eRAHM/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Gf5jbmxX4wJRvQihH9qyvtBtqfmACx85/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/f8uv30na3q/
และ https://youtu.be/wRPRq3f2OyM
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก เดือนหน้าก็คงจะมีน้ำมาเยือนเรา เป็นธรรมชาติของ บ้านราชฯ
ที่ผ่านมา พวกที่เชียร์ลุงตู่ ค่อนข้างจะใจหายวาบ เมื่อศาลมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เป็นสิ่งที่คนไม่ค่อยจะคาดคิดกัน นักกฎหมายไม่ได้ เขียนอะไรไว้ชัดเจน เมื่อมีเหตุสงสัยก็ควรให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไปก่อน 5 ต่อ 4 เสียง คุณเปลวสีเงินว่า เป็นสถานการณ์ที่ win win ทุกฝ่าย คือ ศาลให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็เหมือนศาลคุ้มครองนายกฯ ทำให้ได้พักผ่อน มีเวลาตกผลึกความคิด ลุงป้อมก็ได้ขึ้น เป็นนายกฯ อยากเป็นหรือเปล่าไม่รู้ ถ้าอยากเป็นก็สมใจ พวกที่ไปชุมนุมก็ถูกใจว่าเขา ได้ชัยชนะแล้ว ฝ่ายค้านก็ดีใจ ว่าใกล้จะแลนด์สไลด์แล้ว
สรุปแล้วถ้ามองมุมดี ก็ดี แต่สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร และทำให้เห็นความเสื่อมทางคุณธรรม
พ่อครูว่า… พูดอย่างนั้นทีเดียวก็ไม่ถูก เหมือนกับเหมาว่าเมืองไทยเสื่อม ที่จริงแล้วเมืองไทยไม่ได้เสื่อมทางคุณธรรม แต่เศษเหลือของความเสื่อมมันกำลังดิ้น เป็นธุลีสุดท้าย เศษเหลือของความเสื่อมในประเทศไทย ไม่มีขาดหกตกหล่น ดิ้นรน ให้เห็นเป็นมวลสุดท้าย
สมณะเดินดิน… เราจะได้เห็นว่าคนที่ร่วมต่อสู้กันมาตั้งแต่เป็นพันธมิตร เป็น กปปส. เปลี่ยนแปลงกันไปเยอะ เศษแห่งความเสื่อมกำลังดิ้นรน ตกไปอยู่ในวงจรของความเสื่อม คิดว่า ผลงานความจริงที่พลเอกประยุทธ์ทำ การที่เขาไม่สามารถครอบงำคนไทยได้ เป็น เหตุปัจจัยที่ชี้ขาดว่า ใครจะแพ้ใครจะชนะกัน
สิทธัตถะคือผู้มีความอยากอันสำเร็จแล้ว
พ่อครูว่า… ขอวิจัยต่อเพื่อให้สิ้นกระแสความเกี่ยวกับนายกฯตู่ คือเมืองไทยนี้อาตมา เคยชี้ เคยพูด ว่าเป็นเมืองตัวอย่างของโลกยุคนี้ ถ้าใคร โดยเฉพาะชาวพุทธเราเชื่อว่า พระพุทธเจ้านี้เป็นมนุษย์ ชื่อว่ามนุษย์ คนเหมือนกันกับทุกๆคน เป็นมนุษย์ ที่เป็นมนุษย์ได้ เกิดตาย..ตายเกิด เพื่อศึกษาความเจริญสูงสุด ในความเป็นมนุษย์
ความเจริญสูงสุดในความเป็นมนุษย์มันคืออย่างไร นี่แหละ พระพุทธเจ้าเป็นผู้แสวงหาจุดนี้ ค้นคว้าเอาชีวิตเกิดตาย..ตายเกิด ซึ่งพวกเราก็เข้าใจแล้ว เชื่อแล้วว่าการหมุนเวียนตายเกิด..เกิดตายเป็นเรื่องสามัญ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เป็นอมตะบุคคล ผู้บรรลุอมตะบุคคลแล้วจะเกิดจะตายอีกเท่าไหร่ก็เกิดก็ตายไป แล้วก็กำหนดความตายของตัวเองเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลยได้ แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปได้ ก็อธิบายไปจนหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ที่รู้ความมีและความไม่มี สมบูรณ์แบบ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ตรัสเรื่องนี้ไว้ ความมีกับความไม่มีนี้ ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 ชัดเจนใช้ความมีกับความไม่มี เป็นธาตุรู้ที่ตัดสินสัจจะทุกอย่าง
ก็ฟังภาษาที่อาตมาพูด พยายามทำความเข้าใจกับสภาวะธรรม ว่ามันหมายถึงอะไร ดีๆ ศึกษาไปดีๆแล้วก็จะรู้ สัจธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านรู้ อาตมาก็เรียนรู้ตามพระพุทธเจ้า มาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 กำลังไต่ไปเหลื่อมเข้าไปหาระดับ 8 ก็พูดความจริงทั้งนั้น ไม่ได้มี ความมุข ไม่ได้มีความเพ้อเจ้ออะไรที่เอามาพูดหรอก มีแต่ความจริงเป็นสัจจะทั้งนั้น ไม่มีความหลอกลวงในขณะแสดงสัจธรรมนี้ อาตมาจะไม่มีความเหลาะแหละหลอกลวง มันมีแต่ความจริง จะมีบางวาระบางสำนวนโวหารสนุกๆบ้าง ทุกคนก็เข้าใจด้วยปฏิภาณ ว่าอันนี้หมายถึง ให้มันลดหย่อนความเคร่ง ความเข้ม ลงไปบ้างเท่านั้นเอง
ลองทวนดู ความมีกับความไม่มี ในพระไตรปิฎก
ความมีก็คือ มี ความไม่มีก็คือความจบความสูงไป ความเข้าใจ 2 อย่างนี้ สรุปเข้ามา 2 อันนี้มันตรงกันข้ามกันเลย ความมีกับความไม่มี มันเป็นสุดท้ายที่สุด ที่อาตมาก็เคย ยืนยัน พระไตรปิฎกด้วย เอาสภาวะธรรมมาอธิบายด้วย
ยืนยันอ้างอิง ว่ามันเป็นสภาพของ 2 สภาพ ที่ผู้ที่เป็นอภิภู หรือ อนุปคัมมะ แล้ว เป็นผู้ที่ถึงขั้นเจอความเป็นกลางแล้ว ระหว่าง 2 ความมีกับความไม่มี แล้วก็ไม่สงสัยในความมีกับความไม่มี จะเป็นอะไรก็เป็นได้จะเป็นไม่มีก็เป็นได้ จะเป็นมีก็เป็นได้ ควรอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ที่สุดอย่างไร ก็ทำที่สุดอย่างนั้น
ควร ก็คือยังมีอยู่ ที่สุดก็คือไม่มีแล้ว ตัดสินที่สุด ก็สุดไป ก็ทำได้ทุกอย่าง มันสุดยอดแห่งความเป็นคนที่จะทำทุกอย่าง ในความเป็นจิตนิยามของเรา
จิตนิยามของเราเป็นตัวธาตุรู้ของเราเอง เราจะจัดการกับจิตนิยามของเรา ให้มีหรือไม่มีให้อยู่ ให้ไม่อยู่ ให้ควรหรือให้ไม่ควร ยังไง ได้หมด
สุดท้ายก็ หมดไปเลย หมดจิตนิยามไปเลย แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย เรียกว่า ปรินิพพานเป็นปริโยสาน
ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าดีๆ ใครก็ตาม ในมหาเอกภพนี้ หรือในมหาจักรวาลนี้ ในกาละ ใน space and time of continuum นี้ ก็ตาม หรือใน Kamma and time of continuum
continuum ก็คือสันตติ ตัวที่เชื่อมต่อกันอยู่ จะให้มีก็ได้ จะให้ไม่มีก็ได้ สันตติ จะต่อหรือไม่ต่อก็ได้ ต่อก็เป็น อุปจยะ ถ้าไม่ต่อก็เป็น ชรตา เสื่อมไปถึงที่สุด จะสุดหรือไม่สุดท่านก็มีปลายเปิดที่ อนิจจัง ก็ไม่เที่ยงแล้วแต่จะตัดสิน กับ กาละ ปัจจุบันนั้นอีก
นี่เป็นความตรัสรู้ของลักขณะรูป 4 ในรูป 28 ที่อาตมาอธิบายลักษณะธรรมต่างๆเอาพยัญชนะพระพุทธเจ้ามายืนยัน ไม่ได้หมายความว่ามีแต่ความรู้ของตัวเอง แต่มีของพระพุทธเจ้าที่ตรัสเอาไว้ยืนยัน และคำอธิบายของอาตมามันไม่เหมือนกับผู้รู้ที่ท่านรู้มาแล้ว เอามาเปิดเผย เอามาเผยแพร่อยู่ทุกวันนี้ มันเป็นความรู้ที่เรียนรู้กันมากเป็นผู้รู้
แต่อาตมาโผล่ออกมาในปางนี้ยุคนี้สมัยนี้ ไม่ได้รู้ตามที่ท่านรู้กัน แล้วก็ขัดแย้งด้วย ตรงกันข้ามกับที่ท่านรู้อีก มันก็เลยต้องพิสูจน์กัน ยืนยันกัน ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
อาตมาก็เลยจะต้องยืนยาวอยู่กับ กาละ ให้มากที่สุด เพื่อ พิสูจน์ความจริง พิสูจน์สัจจะนี้ ก็เลยจำเป็นต้องพยายามลากสังขารไปให้ยืนยาวนาน ก็พยายาม ทำเพื่อความจริง ไม่ได้ทำเพื่อความอยาก อยากอะไรไม่อยากอะไร อาตมาว่า อาตมาคือ สิทธัตถะ ผู้หนึ่ง
สิทธัตถะ หมายความว่า ผู้มีความอยากอันสำเร็จแล้ว มันสำเร็จแล้วในเรื่องของความอยากทั้งหมด สิทธัตถะ ท่านแปลได้คมคายดีมากเลย อาตมาไม่ได้แปลเอง แต่มีท่านแปลไว้ในพจนานุกรมบาลี สิทธัตถะแปลว่า ผู้มีความอยากอันสำเร็จแล้ว อยากอะไรก็ได้หมดแล้ว จบทุกอย่าง ไม่เหลือแล้ว ชัดเจนดี เข้าใจง่าย
จะหมายความว่าผู้ไม่มีความอยากแล้วหมายความอย่างนั้นก็ได้ เพราะมันสำเร็จความอยากทุกอย่างแล้วสิทธัตถะ จบกิจแห่งความอยาก จบแล้ว หมด ความอยากมันจบกิจแล้ว ซึ่งพยัญชนะฟังได้เข้าใจ คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อว่า คนเรามีความอยากอันสำเร็จหมดแล้ว คือไม่มีความอยากแล้วหมดแล้ว คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่
แต่ผู้ที่ทำได้จริง อรหันต์ขึ้นไป อรหันต์คือโพธิสัตว์ระดับ 4 หรือพระอาริยะระดับ 4 ขึ้นไป จบเรื่องนี้จริง
สู่แดนธรรม.. แปลว่าพระองค์ไม่ต้องไปอยาก แต่เหตุปัจจัยมันจะเดินทางมาหาเอง
พ่อครูว่า… ถ้ายังอยู่เหตุปัจจัยมันก็จะเดินทางมากับกาละ
กาละ ของศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า กาละ ไม่ให้หนีไปอยู่เดี่ยวเหมือนเชน ไม่พบกับอะไร อยู่กับต้นหมากรากไม้ แม้แต่สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยก็ไม่เกี่ยวเลย ไม่ใช่ อันนั้นเชน มันแสนสุดโต่ง
แต่พระเจ้านั้นอยู่ให้อยู่สามัญ อยู่กับสัตว์กับคน คนที่อวดฉลาดนั่นแหละตัวดีด้วย คนที่เป็นเถื่อนคนป่าก็มีปัญหามากเพราะเขาไม่รู้มาพูดกันง่าย มีความเข้าใจแล้วก็แจกแจงให้คนพวกนี้รู้ได้ง่าย แต่เขาก็ไม่เจริญง่าย
สู่แดนธรรม.. ผมคิดว่าพ่อท่านพยายามทำตามพระพุทธเจ้า คือ ทำ สิทธัตถะโดยไม่มีความอยาก พ่อท่านเคยพูดว่าอาตมาเป็นคนไม่มีโครงการอันเดียวกันใช่ไหมครับ รอให้เหตุปัจจัยมาถึงแล้วทำสิ่งนั้นไป
พ่อครูว่า… ใช่ เป็นผู้ที่มีตัณหาอันเป็น วิภวะ แล้ว ตัณหาอันไม่มีภพชาติเกิดอีกแล้ว เป็นตัณหาที่ไม่มีภพ ก็เป็นซินโนนีม เป็นความหมายเดียวกันถ้าใครเข้าใจ
_ ขอกราบเคารพด้วยการบูชาสูงสุดค่ะ
พ่อครูว่า…คนมองมุมดี ก็จะรู้สึกว่า เขามองยิ่งอย่างไรจะได้ศึกษา ส่วนคนที่หมั่นไส้ก็ไม่เอาเราก็จะได้คัดเลือกออกไป บอกว่ายกย่องมากไปเวอร์ไป ก็คัดเลือกคนที่ไม่ทนทาน ไม่มีภูมิพอจะรู้ว่าอันนี้จริงหรือไม่จริง มันอะไรยังไงขนาดไหน เขาก็ไม่ทนจะอยู่ศึกษาต่อ เพราะเขามีภูมิเบาบาง ภูมิไม่ลึกไม่แหลมพอ จะรู้สิ่งที่รู้ได้ยาก คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) เขาจะไม่มีสิ่งลึกซึ้งพวกนี้เลยว่าเป็นธรรมชาติ
_ใบแพร นาวาบุญนิยม…ก่อนอื่นขอพูดถึง คุณยายจงกลสักนิด ไม่ได้สนิทกับคุณยายมากนัก รู้จักกันในฐานะเป็นชาวอโศก เห็นแกตั้งแต่อายุไม่มากนัก เมื่อสัมผัสรู้สึกว่าคนนี้มีความเป็นผู้ที่ปุริสภาวะ มาก เมื่อเห็นแกอายุมากขึ้น ก็รู้สึกว่าเป็นคนแก่ที่น่ารัก น่าเข้าใกล้ ติดตามดูงานฌาปนกิจของคุณยาย ก็ยังเป็นครู ให้ได้เรียนรู้สภาวะธรรม
เมื่อก่อนแม้จะปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปี แต่พอรู้ว่ามีการตาย ก็จะรู้สึกไม่สบายใจเลย มีการสังขารอีกว่า ก่อนสิ้นลมจะเป็นอย่างไร จะทรมานไหม ตอนอยู่บนเชิงตะกอนเห็นเปลวไฟยังโมหะอีกว่า ถูกเผาร้อน ถึงวันที่เราเป็นเช่นนี้บ้างมันจะร้อนไหม โมหะ หนักมาก
ณ วันนี้ วันที่ได้ดูงานฌาปนกิจคุณยายจงกล จับสภาวะ ทำไมเรารู้สึกสบาย ความตายไม่ได้น่ากลัว แต่รู้สึกเป็นความสบาย ตามดูสภาวะทำไมถึงรู้สึกสบาย พิจารณาหาเหตุและผล คำสอนจากผู้รู้ ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ความตายก็เป็นแค่เปลี่ยนร่าง จะไปกลัวทำไม
ยิ่งปัจจุบันเราทำแต่ดีๆๆทำแต่บุญ สร้างแต่กุศล ตายไปเกิดชาติใหม่เราก็ยิ่งดีกว่าเก่า รวยกว่าเก่า สวยหล่อกว่าเก่า ยิ่งไม่ต้องกลัวเลย ความตาย
เพราะในปัจจุบันนี้เราได้สั่งสม บุพเพกตปุญญตา เป็นทุน ที่จะเสริมหนุนให้เราสูงขึ้น เจริญขึ้นในสัมปรายภพ สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ทนทุรนทุราย อยู่ในเรื่องใหญ่เรื่องยาก ที่จะเอาออกจากจิตไม่ได้ คือความกลัว สารพัด แล้วแต่ตัณหาอุปาทานที่มีในตน
ความกลัวคือตัวโมหะ ที่เราไปหลงยึดเป็นอุปาทาน เมื่อเราล้างความกลัวออกจากจิตได้ เราก็พ้นโมหะ เกิดความกล้า กล้าคิดกล้าพูดกล้าทำ ทำในสิ่งที่ บุคคลอื่นทำได้ยาก
พ่อครูว่า… ถูกต้อง เขียนสภาวะของตัวเองออกมาก็ดี เข้าท่า เจริญ สรุปได้ว่าพัฒนาเจริญขึ้น ศึกษาไปแล้วเข้าใจ ทำได้ จนกระทั่งลดความกลัวในสิ่งที่ไม่น่ากลัว
SMS วันที่ 24-25 สิงหาคม 2565
_เกษม เพ็งกลาง · สุดยอด พ่อครูเสียงหนุ่มมาแล้ว
_คอยใคร · กราบเคารพพ่อครูครับผมฟังพ่อครูอ่านแมสเสทของท่านหนึ่ง ในเนื้อหาที่มีคำว่า ด้ามมีด กาวทาด้ามมีด น้ำยาล้างกาว ผมฟังแล้วก็ได้แต่อ้าปากหวอ ผมเลยอยากถามพ่อครูว่า คนที่จะเข้าใจคำเปรียบเปรยเหล่านี้ได้ต้องศึกษาธรรมะถึงขั้นไหนครับ ส่วนตัวผมยังแค่น้อยนิดและชอบมีคำถามโง่ๆ มาถามอยู่บ่อยๆครับ กราบขอพ่อครูอย่าเบื่อคำถามของผมเลยนะครับ กราบขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า… ไม่เบื่อหรอกคุณถามมาเถอะ คุณคอยใคร
คนที่มีความรู้และพูดถึง อธิบายมาในตัวและมาถามซ้อน เพื่อรับรองความเข้าใจ ความถูกต้องในเรื่องด้ามมีด กาวทาด้ามมีด มันมีด้ามมีดและกาวทาด้ามมีด และน้ำยาล้างกาว ในคำอธิบายจะมีฝักดาบ มันมีกาวติดอยู่อีกด้วย สุดท้ายถอดฝักดาบออกจากดาบได้หมด ล้างกาวออกไป ได้หมด
ผู้ที่จะเข้าใจได้ก็คือเข้าใจสภาวะธรรม ที่ถอดรูท ถอดอะไรของจิตวิญญาณออกไปได้หมด จิตวิญญาณมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นต้น หรือมีรายละเอียดที่ลึกละเอียดเข้าไปจนถึง เวทนา 108 เป็นต้น หรือแม้แต่สมมติเรื่องที่มันเป็นคู่ๆ
ดาบ มีด ด้ามมีด กาวกับด้ามมีด น้ำล้างด้ามกาว มันเป็นคู่ๆๆๆ มันจัดการกันได้หมด ผู้ที่เข้าใจอย่างนี้ สรุปให้ได้เถอะสภาวะจริงๆของจิตนิยาม สรุปแล้วเป็นอรหันต์ สรุปจบเกณฑ์ให้ได้เป็นอรหันต์ คนนี้เข้าเกณฑ์อรหันต์หมดแล้ว พวกเรานี้เข้าเกณฑ์อรหันต์เยอะ แต่สรุปไม่เป็น สรุปไม่ลง พูดไปหลายทีแล้วเรื่องนี้ แต่อย่าโมเมก็แล้วกัน พยายามดูให้จริง
สรุปไม่ลงเพราะมันรู้มากรู้เยอะ อาตมาสอนเยอะด้วย เพราะอาตมาเป็นพุทธิจริต เป็นสายปัญญา ก็เลยมาก สายศรัทธาเขาไม่มากหรอกสรุปจบง่ายสั้นเหมือนพระโมคคัลลา บรรลุอรหันต์เร็วกว่าพระสารีบุตร พระสารีบุตรเป็นอรหันต์ช้ากว่าพระโมคคัลลานะ 7 วัน พระโมคคัลลานะใช้เวลา 7 วันบรรลุ พระสารีบุตรใช้เวลาถึง 14 วันจึงบรรลุอรหันต์
ทำดีแล้วเป็นอัตตา จะละอัตตามานะได้อย่างไร
_มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ · น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง สุดเศียรสุดเกล้า ลูกมีคำถามดังนี้ “ทำไมคนเราพอเริ่มรู้อะไรต่ออะไร หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดสำเร็จ จึงเกิดอัตตามานะขึ้นได้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ก็ยังดีๆอยู่ เจ้าตัวอัตตามานะมีพัฒนาการอย่างไร และจะมีวิธีจัดการให้สิ้นเกลี้ยงได้อย่างไรเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… อัตตา ก็คือตัวตน มานะคือ ความหลงดี ยึดดี
พอเราทำอะไรก็แล้วแต่ เราได้สิ่งที่ดีเกิดขึ้น มีตัวดี ดีจริงๆ เราไม่ต้องไปพูดถึงมิจฉาทิฏฐิ นี่พูดถึงสายสัมมาทิฏฐิเลย เราได้ดีขึ้นมาแล้วเราก็เข้าใจว่ามันดีจริงๆ มันก็จะมีธรรมชาติ ดีนี้ เราจะต้องเอาไว้นะ จะต้องยึดไว้นะ จะต้องรักมันนะ จะต้องมีในตัวเรานานๆ นะ
แรกๆ อวิชชาก็จะดูดดึงเต็ม เพราะฉะนั้นจึงเกิด ยึดดี มานะ ยึดดี เป็นอัตตาซ้อน จบคำอธิบายไว้แค่นี้ ถ้าต่อแล้วจะยาว แต่นี่ถ้าเข้าใจก็จบนะ มานะ ก็ยิ่งเป็น อัตตา ถ้ามันดีแล้วก็ดีจริงด้วยไม่ผิด แต่ทุกอย่างอย่าไปยึดมั่นถือมั่น ยึดได้แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่น คุณยึดไว้ใช้นั้นถูกแล้ว อาศัย แต่อย่ายึดจนเป็นอนุสัย
สู่แดนธรรม… เขาถามว่าจะมีวิธีจัดการให้สิ้นเกลี้ยงอย่างไร
พ่อครูว่า… จบที่มานะ ดีแล้วอย่ายึดดี ใช้คำว่า อาศัย
อาศัย ไม่ใช่ นิสัย วิสัย อนุสัย เป็นแต่เพียงอาศัย อาศัยไม่ใช่อาลัย อาศัยคุณจบในเรื่องอาศัยแล้วคุณอย่ามีอาลัย อาลัยแปลว่ายังอยู่ อาศัยแปลว่าปัจจุบัน
พยัญชนะทุกตัวอาตมาเข้าใจพยัญชนะ ก ข ค ฆ ง ฯ มันหมายถึงสภาวะอย่างไร อาตมาเอามาแซ็งใช้ขยายความให้ฟังเป็นครั้งไป มันเป็นสภาวะกับการสื่อด้วยพยัญชนะ ที่มีสมมุติขึ้นมาเพื่อกำหนดรู้สภาวะธรรมนั้น มันเป็นสัจจะ 2 อย่าง
_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · พระโพธิสัตว์ที่พ่อครูเคยเขียนไว้ คือผู้ที่ละเลยแล้วซึ่งตนเอง หลงลืมแล้วซึ่งตนเอง ท่านถือเอากายของสัตว์โลกเป็นกำเนิดเพื่อร่วมทุกข์กับสรรพสัตว์ ท่านคือผู้ปลดปล่อยโลกให้รอดพ้นจากความมืดมิดชั่วร้าย ด้วยธรรมะส่องสว่างเหนือหมู่ชนพ้นความทุกข์ยาก พ่อครูเคยกล่าว ท่านคือผู้รับใช้มวลมนุษยชาติ สาธุ🙇
พ่อครูทำปชธต.ในชุมชนอโศกด้วยการทำธรรมะให้เป็นใหญ่ในการบ้านการเมืองโดยละทุตริตกรรมเว้นมิจฉาทิฏฐิฯ พูนสุจริตกรรมเพียรสัมมาทิฏฐิฯพาอาริยะชนพ้นชาติเก่าท่วมสักกายะอาสวะจมโลกียะ รักษ์มวลชน พรั่งพร้อมอริยมัคคสมังคิโน เจริญโลกุตระธ. นำสุขพอเพียงที่สุขสงบที่สุดในโลก
พ่อครูว่า… คุณชักจะเพลินไปกับพยัญชนะมากแล้วนะ ไม่อย่างนั้นมันจะหลงไปกับพยัญชนะมาก อย่างที่อาตมาเคยเตือนท่านเพาะพุทธ ท่านเจริญ ท่านก็เพราะพริ้งไปกับพยัญชนะเยอะ จนมาผูกเป็นกวีก็เยอะ เพราะฉะนั้นในคำสอนของท่านครั้งหนึ่งครั้งหนึ่งจะเต็มไปด้วยกวีที่ท่านแต่งไว้ ทวนแล้วทวนอีกก็ยาวเยอะอยู่เสมอ ก็ดีในคนจำนวนหนึ่ง ก็ฟังความไพเราะอาศัยความไพเราะเป็นสิ่งอาศัย ถ้าไม่มีความไพเราะมันกินไม่ลง มันไม่มีความอร่อยมันกินไม่ลง ก็คนจำนวนหนึ่ง อาศัยสิ่งที่มีรสชาติ จนกว่าคนจะเลิกรสชาติ ไม่ต้องติดในรสชาติ เข้าหาเนื้อหาสาระก็จะสั้นลง แต่ผู้ที่ยังติดรสชาติอยู่ก็จะยังยาวยืดอยู่เป็นธรรมดา พยายามตัดบ้าง
สิตธัตถะและสิริมหามายา ของโพธิสัตว์ที่เป็นไก่ตัวพี่ในยุคนี้
_จรรยา ประเสริฐ · ดิฉันเข้าใจตั้งแต่พ่ออธิบายเกี่ยวกับเรื่องโพธิสัตว์ ตั้งแต่สัตว์ที่สั่งสมใต้ต้นโพธิ์ พัฒนามาเป็นโพธิสัตว์โลกียะ พัฒนามาเป็นโพธิสัตว์โลกุตระ สั่งสมมาตั้งแต่โลกียะ มาเป็นโลกุตระ ดิฉันเข้าใจอย่างนี้ จึงเข้าใจ ตั้งแต่อ.สมเกียรติ ส.ศิวรักษ์ นายกตู่ คานธี ไอสไตล์ คุณชวน (ซึ่งพ่อบอกสายศรัทธา และโพธิสัตว์อีกมากมายที่พ่อบอกเอาไว้ เคยได้ยินว่าอ.สุรเดช (ไพรเมือง) และ เป็นไปได้ที่ใครหลาย ๆ คนในอโศก สั่งสมโพธิสัตว์ทั้งนั้น แต่แม่ชีเทริซ่า นักบวชศาสนาคริสต์ ที่ช่วยดูแลผู้ป่วย ดังทั่วโลกรู้จัก พ่อบอกไม่ใช่โพธิสัตว์ เป็นเพียงซึ่งดิฉันสรุปได้ว่าประมวลเข้าใจเองเปรียบเทียบให้เห็นว่า เหมือนนักสังคมสงเคราะห์ในสมัยนี้ ที่เสียสละแรงกายช่วยคนป่วย ผิดถูกอย่างไรก็ขออภัยด้วยค่ะ กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… ถูกต้องแล้วที่คุณเข้าใจ มันเป็นงานสังคมสงเคราะห์ งานช่วยมนุษย์โลกมันเหมือนโพธิสัตว์นะ โพธิสัตว์ช่วยมนุษย์โลก แต่นี่ก็ช่วยมนุษย์โลก แต่ช่วยทางสังขารร่างกาย ฟังประเด็นตรงนี้ให้ชัด ช่วยสังขารร่างกายที่ได้รับทุกข์ทรมานเจ็บป่วย โดยเฉพาะแม่ชีเทเรซ่า ช่วยคนเจ็บป่วย รักษาคนเจ็บป่วยอย่างไม่รังเกียจรังงอนเลย จนกระทั่งมันเห็นได้ง่ายชัด เป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่สูงส่งมีผลงานมาก จริง
สายเทวนิยมยังไม่เข้าใจเรื่อง จิตนิยาม ปรมัตถ์ เรื่องกิเลส ยังไม่เข้าใจ เขาก็รู้สิ่งนี้ ยกย่องสิ่งนี้ก็ถูกแล้ว เขายกเป็นนักบุญ ซึ่งจริงๆแล้วคำว่า นักบุญ คำว่า บุญ เป็นของศาสนาพุทธแต่ทางโน้นเขาเอาไปใช้ เขาเข้าใจยังไม่ถูก ยังไม่ได้เป็นบุญ ยังไม่ได้กำจัดกิเลส ยังไม่รู้จักปรมัตถ์ ยังรู้แต่เรื่องของความดีความงาม ความดีความเจริญ ความดีความชั่ว ยังไม่รู้จักความสุขความทุกข์ ยังไม่รู้จักโลกุตรธรรม
อาตมาพยายามวิจัยให้ฟังว่า โลกียะนั้นรู้แต่ดีชั่ว ส่วนโลกุตระนั้นรู้จักสุขทุกข์ รู้จักเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รู้จักจิตเจตสิกต่างๆ รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน แต่ทางเทวนิยมยังไม่รู้เรื่องนี้ ไม่ใช่ไปข่มทางสายเทวนิยม แต่มันเป็นสัจธรรม ที่อาตมาจำเป็นต้องอธิบายความจริงนี้สู่กันฟัง มันเป็นความจริงที่คุณต้องศึกษา
เทวนิยม เรื่องจิตเจตสิกเรื่องดีเรื่องชั่วนั้น โลกุตระรู้และทำได้แล้ว ผู้ทำได้แล้วจริง จึงรู้ความจริงว่า ดีชั่วเป็นเช่นนี้ โลกมีอันนี้ก่อน ละชั่ว ประพฤติดี ให้เที่ยงแท้มั่นคง ไม่ทำชั่วอีกเลยสัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลัสสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) เพราะว่าจิตปราศจากกิเลส ล้างกิเลสออกไป ที่เป็นตัวที่ทำให้โง่และอวิชชา มันก็หมดความโง่จริงๆและรู้ไปอีกโลกหนึ่งเรียกว่าโลกุตระ
คนโลกียะมีส่วนมาก เทวนิยมยังมีมาก ดำเนินมาจากเดรัจฉาน ดำเนินมาจากธาตุรู้ที่รู้พัฒนาขึ้นมา จึงมีจำนวนมาก จนกว่าจะมาเป็นโลกุตระ เป็นเวไนยสัตว์ เป็นสัตว์ที่สอนได้ไปสู่โลกุตระ ลกุตระ มีจำนวนน้อย เป็นยอดพีระมิด เป็นธรรมชาติไม่ได้หมายความว่ายกยอดพีระมิด ข่มฐานพีระมิด..ไม่ใช่ มันเป็น ธรรมชาติของความจริง
ศึกษาดีๆแล้วจะรู้ว่าเราไม่ได้มีการไปข่มคนนั้น ยกตนทำตนสูงกว่า..ไม่ใช่ แต่มันอธิบายสัจจะ ผู้ที่มีสัจธรรมพวกนี้มันก็เป็นจริง
ยิ่งเราได้แล้ว เป็นแล้ว มีแล้ว เอาสภาวธรรมของเรามาอธิบายนี้ มันสบาย มันง่าย ที่คนจะรู้เท่าทันได้ แต่มันง่ายสำหรับคนที่รู้แล้ว มีแล้ว เป็นแล้ว ง่ายทั้งพยัญชนะและสภาวะ เมื่อมีสภาวะที่เป็น 2 นี้แล้ว อธิบายได้ไปเรื่อยๆ คนต้องเจริญมาสู่จุดนี้
สู่จุดนี้ สูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า มนุษย์ทุกคนที่เป็นมนุษย์จริงๆเกิดมาได้ร่างมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องสมมุติลึกลับเป็นพระเจ้าที่ไม่ใช่มนุษย์ เป็นจินตนาการ เป็นความคิด แต่นี่เป็นจริงเป็นมนุษย์
เพราะมนุษย์พิสูจน์ความจริงทุกอย่างได้ถึงขั้นจิตวิญญาณ ทางพระเจ้าหรือเทวนิยมพิสูจน์จิตวิญญาณไม่ได้ ก็เลยไม่รู้ว่าวิญญาณจริงๆเป็นอย่างไร และก็ไปหลงเข้าใจว่า วิญญาณจริงๆนี้ เป็นพระเจ้านี่รู้สูงสุด กับพระพุทธเจ้า ก็รู้สูงสุด
พระพุทธเจ้ารู้จิตวิญญาณสูงสุด จนทำลายจิตวิญญาณตัวเองแหลกสลายไปเลย ไม่เป็นพระเจ้า ไม่เป็นเจ้าใคร มันคือธาตุหมุนเวียนของดินน้ำไฟลม กับธาตุจิตนิยามเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น ประเด็นนี้แหละ ตีให้แตก เข้าใจให้ได้ว่า มันต่างกันอย่างไรกับจิตนิยาม จิตที่อยู่นิรันดร กับจิตที่นิรันดรก็ทำได้ มี 2 อย่าง มีนิรันดรกับไม่มีนิรันดรก็ได้ เป็นอมตะบุคคล ถึงจุดวิมุติแล้ว ต่อจากวิมุติก็เป็นอมตบุคคล
จะอยู่ต่อก็อยู่ได้ จะแตกธาตุจิตนิยามตัวเองสลายเป็นดินน้ำไฟลมก็ได้ ได้ทั้งสองอย่าง
สู่แดนธรรม… อย่างอมตะ ถ้าอยู่นานไปจนกระทั่งเขาคิดว่าเป็นพระเจ้าก็ได้ไหมครับ
พ่อครูว่า… ได้ ก็คือ ความยึดว่ามี แต่ความยึดว่ามีโดยไม่รู้คือเทวนิยม ความยึดว่ามีหรือไม่มี ก็คือ อวโลกิเตศวรหรือกวนอิม อันนั้นหมายความว่ารู้แล้วว่าจะมีหรือไม่มีก็ได้เป็นอมตะ ส่วน เทวนิยมไม่ใช่อมตะ แต่หลงตัวเองว่าเป็นนิรันดร ว่าเป็นอมตะ
สู่แดนธรรม… เขายอมจำนนว่าเขาสลายไม่ได้
พ่อครูว่า… ใช่ เขาสลายไม่ได้ก็เลยยอมรับว่า ต้องเป็นอย่างนี้ เป็นอมตะ นิรันดร สลายไม่ได้
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
พ่อครูว่า… คนถามมา เลยไม่ได้เฉลยเลยว่าใครเป็นโพธิสัตว์
สมณะเดินดิน… วิญญาณของพวกเราก็ไม่ใช่ธรรมดา กว่าจะถือศีล 5ได้ หาคนอย่างพวกเราได้ไม่ใช่ง่ายๆ กินมังสวิรัติก็ไม่ใช่ง่าย มาทำงานฟรีไม่ง่าย ไม่เอาลาภแลกลาภได้ก็ไม่ง่าย ก็เป็นตัวอัตตาที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก แต่หลงอัตตาก็เป็นเทวนิยม หากไม่หลงก็มาเรียนรู้ลดอัตตามานะ ยึดดีถือดี จะรู้ได้อย่างไม่หลงอย่างไร ก็อยู่ในหมู่กัลยาณมิตร จะได้รับขุมทรัพย์ อยู่ในหมู่อเทวะด้วยกันจะช่วยกันบอกได้ว่า อันนี้เป็นอัตตามานะของเราอย่างไร แต่ถ้าอยู่ในหมู่พวกเทวนิยมด้วยกัน ทำอะไรยิ่งใหญ่ๆ ก็ทำกันไปเชียร์กันไป ก็ไม่ได้มีการขัดเกลากัน ก็เลยเป็นวิญญาณพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ แต่อยู่ในหมู่นี้แหละที่จะขัดเกลากันได้
สุดท้าย จะเลือกเป็นปราชญ์ในหมู่เปรต หรือจะเลือกเป็นเปรตในหมู่ปราชญ์ อันหลังจะได้เป็นปราชญ์แท้จริงได้
พ่อครูว่า… ใครจะว่าเราเป็นเปรตก็ไม่เป็นไร เรารู้ว่าเราเป็นอะไร อย่างอาตมานี่ พวกคุณบอกว่า โอ้โห.. ขอ เคารพบูชาสุดเศียรสุดเกล้า พูดอยู่ตลอดเวลา ถ้าอาตมามีอัตตามานะ อาตมาบ้าไปแล้วป่านนี้ นึกออกไหม ถ้าอาตมามีอัตตาหรือมานะ
แต่อาตมาก็เข้าใจอยู่ แล้วทำไมอาตมาไม่ห้ามว่า อย่าพูด ที่ไม่ห้ามว่า อย่าพูด เพราะว่ามันเป็นความจริง ถ้าอาตมาไปห้าม ก็เป็นคนที่ไปลบล้างความจริง ไม่ยอมสื่อความจริงเหมือนคนโกหก เหมือนคนหลอกลวง เหมือนคนปิดบังอะไรอยู่เหมือนกัน มันก็ไม่ดีมันก็ไม่ถูก
เพราะอาตมาไม่ได้พูดว่าอาตมานี้เป็นผู้ที่สูงส่งสุดเศียรสุดเกล้า อาตมาไม่ได้พูดอย่างนั้น ใช้สำนวนคนละอัน อาตมาใช้สำนวนของอาตมาว่า อาตมาเป็น ไก่ตัวพี่ สำนวนที่พระพุทธเจ้าท่านใช้ แต่ไม่เหมือนกับอาตมาที่ท่านสูงกว่าอาตมา ในยุคนั้นท่านสูงสุด ขออภัยในยุคนี้อาตมาสูงสุด อาตมาก็ใช้คำว่า ไก่ตัวพี่ เท่านั้นเอง ไม่ได้บอกว่าอาตมาใช้สำนวนว่าสูงสุดเศียรสุดเกล้า แต่พวกคุณมีความรู้สึกความเห็นความเข้าใจให้จริงๆ แล้วอาตมาก็พูดไปแล้วว่าไปลบล้างก็ไม่ถูก มันผิดความจริง ก็มันถูกความจริงก็ปล่อยไป
ก็อันเดียวกัน สูงสุดเศียรสุดเกล้า เท่ากับคุณได้เห็นว่าคนนี้แหละเป็น ไก่ตัวพี่ คนนี้ที่เราเคารพสูงสุดในยุคนี้ อันเดียวกัน เป็นเพียงพยัญชนะคนละตัว คนไปติดยึดพยัญชนะภาษาคำว่าไก่ตัวพี่ กับภาษาคำว่า สุดเศียรสุดเกล้า คุณให้ราคาภาษาต่างกัน คุณก็ยึดถือของคุณเอง แต่ถ้าคุณเข้าใจสภาวะแล้ว มันก็เลยเหมือนกัน the same or แปะเอี่ย มันก็อันเดียวกัน
พูดถึงตัวเองแล้วก็พอ ถ้าพูดกันจริงๆแล้วมันก็ควรจะเหนียมตัวเอง พูดถึงส่วนดีส่วนเด่นของตัวเอง แต่มันก็พูดความจริง อาตมาก็พูดไปแล้วว่าอาตมาจะไปปดความจริง จะไปหลอกความจริง ไปพรางความจริง ไปปิดบังความจริง มันไม่ควรใช่ไหม
สมณะเดินดิน… พ่อท่านจะตอบว่า ทำไมคนไหนไม่ได้เป็นโพธิสัตว์
พ่อครูว่า… ประเด็นนั้นก็พูดไปแล้ว เป็นพระโพธิสัตว์ ใช้สำนวนว่าเป็นโพธิสัตว์ที่เป็นปุถุชน เป็นสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ คือเป็นแค่พยัญชนะ เป็นแค่จิตของเราอยากเป็นโพธิสัตว์ สำหรับผู้ที่มีความรู้ในเรื่องโพธิสัตว์ โพธิสัตว์คือความตรัสรู้ ที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ ส่วนเทวนิยมเขาไม่รู้หรอกว่า โพธิสัตว์ สัตว์ที่มีโพธิ สัตว์ที่มีความตรัสรู้นั้นไม่ใช่สัตว์ใต้ต้นโพธิ์ ไม่ใช่สัตว์ที่ปรารถนาความเป็นโพธิสัตว์เพียงเท่านั้น แต่คือผู้ที่มีเนื้อหาของความเป็นโพธิสัตว์ มีความตรัสรู้โลกุตระ เริ่มตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป
ผู้ที่มีภูมิธรรมโสดาบันขึ้นไป จึงจะเป็นโพธิสัตว์ระดับที่ 1 ก็อธิบายกันมาจนหมดแล้ว มีภูมิธรรมถึงสกิทาคามีเป็นโพธิสัตว์ระดับ 2 อนาคามีโพธิสัตว์ ระดับ 3 อรหันต์โพธิสัตว์ระดับ 4
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สรุป ผู้ที่ยังไม่รู้จักสุขทุกข์ ผู้ที่ยังไม่รู้จักกิเลส ผู้ที่ยังไม่รู้จักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระธรรม ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวมาเป็น โพธิสัตว์
ผู้ที่ยังไม่เป็นโพธิสัตว์คือก้าวออกมาไม่ได้ ออกจากโลกโลกียะมาเป็นโลกโลกุตระไม่ได้ ยังวนอยู่ในโลกโลกียะดีชั่วอยู่ ออกมารู้จักสุขทุกข์ออกมารู้จักกิเลสออกมารู้จักคำสอนของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ โสดาบันรู้จักจิตเจตสิก พ้น สักกายทิฏฐิ อันดับแรก ยังอีกไกล
กว่าจะเข้าใจกาย กายคำแรกของ สังโยชน์ข้อที่ 1 เขายังมิจฉาทิฏฐิกันอยู่ทั้งนั้นในชาวพุทธ อาตมาก็มาแยกแยะกาย และไม่ได้แยกแยะตั้งแต่ต้นด้วย ตั้งแต่ต้นก็ไม่ได้แตกฉานคำว่ากายแต่ต้น มาอธิบายคำว่า กาย แตกฉานมา ในระยะ 10 ปีมานี้ ไม่กี่ปีมานี้ มันไม่ใช่เรื่องตื้อไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
และที่อาตมาอธิบายก็ไม่ได้เอาของใครมา เป็นของอาตมาของเก่า ที่รู้มาจากพระพุทธเจ้าเดิม กว่ามันจะขึ้นมาตั้งนาน หลาย 10 ปีมาสอนธรรมะอยู่แท้ๆ
จากนี้ไปอาตมามีความเป็นสัจธรรมพระพุทธเจ้าละเอียดเยอะขึ้นมา ติดตามดีๆเถอะจะได้ของดี ต่อๆไปนี้
เข้าใจให้ดีๆ ตอนแรกอาจจะถูกพลังงานโลกีย์ครอบงำอยู่ กว่าจะรู้ตัว มาเป็นโลกุตระเต็มๆ เขาอาจจะหาว่ากลับกลอก ที่จริงแล้วเมื่อก่อนมันก็ผิดอยู่ เดี๋ยวนี้มันถูกนะ รู้จักคนเจริญยิ่งๆขึ้นไหม ไม่ใช่เสื่อมลงนะ เจริญยิ่งๆขึ้น ติดตามดีๆแล้วจะรู้ความจริงอันนี้
สมณะเดินดิน… อันนี้จะเป็นปัญหาเหมือนกันกับ โพธิสัตว์ ทั้งคานธี ไอสไตน์ ข้อเขียนของเขาตอนแรกอีกอย่างนึง ตอนหลังก็เปลี่ยนไป มันเป็นภูมิธรรมที่เพิ่มขึ้น จึงไม่เหมือนเดิม
พ่อครูว่า… คนที่ฟังเข้าใจไหมล่ะ ถ้าฟังแล้วพัฒนาขึ้นก็เจริญ จะเป็นคานธีก็ดี (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ไอสไตล์ก็ดี คุณชวนก็ดี ก็คุณเข้าใจเพิ่มขึ้น สัจจะมันเพิ่มขึ้นสัจจะมันเจริญขึ้นจริงๆ เข้าใจสัจจะได้ถูกตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วมันก็มี 2 อันเท่านั้น ถูกหรือผิด อันนี้มันยังถูกต่อมาก็ผิด แล้วผิด ก็จะกลับมาถูก มันเป็น 2 ตัวนี้แหละ ผิดกับถูก กลับไปกลับมา เรียกว่าสิริมหามายา จนกระทั่งเป็นตัวถูกที่เที่ยงแท้ ยืนยาวยิ่งใหญ่ ทั้งดีที่สุด สิริ ดี มหาก็มาก ดีที่สุดมากขึ้นเรื่อยๆเป็น สิริมหามายา
มายา เหมือนความกลับกลอก เดี๋ยวก็มีเดี๋ยวก็ว่าไม่มีเหมือนคนเล่นกล คุณจะเข้าใจได้ อาตมาหยิบคำว่า มายา สิริมหามายา มาอธิบายว่า มนุษย์มันมีธาตุตัวนี้ จะเรียกว่าธาตุโกหกหรือธาตุรู้ตัวนี้สลับซับซ้อนกันอยู่นี้ จนกว่าคุณจะเป็นสิริมหามายา เพราะคุณได้กำเนิดจิตของคุณเป็นสิทธัตถะ
สิทธัตถะคือ แต่ก่อนก็ยังอยากเป็นอย่างโลก แต่เดี๋ยวนี้หมดอยากเป็นอย่างโลกแล้ว มีความอยากอันสำเร็จแล้ว อาจจะเป็นสำนวนธรรมะโลกุตระหน่อย มีความอยากอันสำเร็จแล้ว มันสำเร็จจริงๆเป็นสภาวะ ไม่ใช่พูดแค่พยัญชนะ ก็เลยเป็นสิทธัตถะจริง
คำว่าสิทธัตถะ ก็ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นตัวตนบุคคลเราเขา ที่เป็นเจ้าชายเกิดมาเป็นลูกพระเจ้าแผ่นดินและได้มาเป็นพระพุทธเจ้า มันไม่ได้หมายถึงตัวตนบุคคลเราเขา แต่มันหมายถึงธรรมะ เป็นใครก็ได้ ในตัวคุณเป็นสิริมหามายาก็ได้ เป็นสิทธัตถะก็ได้ อีกแหละ งงไหม …ไม่งง ทำไมเก่งจัง ลูกใครหว่า ทำไมเก่งจังเลย
โพธิสัตว์ตามประสาเจ้าสำนักต่างๆ
_เมตตา โพธิสุทธิ์ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชายิ่งค่ะ วันนี้โยมคุยกับเพื่อนเรื่องการปฏิบัติธรรมเพื่อนพูดถึงสำนักปฏิบัติธรรมแดนมหามงคลแดนสัปปายะ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ส่วนโยมพูดถึงอโศก เพื่อนไม่เปิดใจให้กับอโศก เหมือนโยมที่ไม่เปิดใจให้กับสำนักฯ ที่เพื่อนบอก โยมลองเข้าไปดูข้อมูลของสำนักนี้ ก็น่าสนใจดีค่ะ แต่อย่างไรโยมก็มั่นใจว่า อโศก คือทางเดียว ที่ดีที่สุดค่ะ แต่โยมก็ยังมีข้อสงสัยค่ะ โยมขอกราบเรียนถามพ่อครูค่ะว่า อุบาสิกาบงกช สิทธิผล คุณแม่ในแดนธรรม ประธานและผู้ก่อตั้งสำนักปฏิบัติธรรมแดนมหามงคล(เกาะมหามงคล)
เป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่คะ กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยความเคารพบูชายิ่งค่ะ
พ่อครูว่า… ตอบ เป็น แม่บงกชเขาก็เป็นโพธิสัตว์ตามประสาเขา เป็นสายศรัทธา เขาพยายามเกาะความรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วก็ทำความเข้าใจ เอาตามอัตโนมัติของตัวเอง ตามความรู้อัตโนมัติของตัวเอง ทำความเข้าใจ ก็ได้ ได้ความรู้ไปตามลำดับ ตามศรัทธาจริตที่คิดไปเองได้ แล้วก็สร้างเวียงวัง สร้างของตัวเอง
อาตมาก็สร้างนะ แต่อาตมาไม่ได้สร้างวิลิศมาหรา วิจิตรอะไรต่ออะไร เหมือนเจ้าแม่บงกชเขาสร้าง ของเขาหรูหราสวยงาม ของอาตมาสร้างธรรมชาติ นี่ก็กำลังสร้างภูเขาไม่รู้จะออกมาในรูปไหนเลย เอาดินกับหินมาก่อกันใหญ่ สุดท้ายแล้วมันจะปั้นเป็นรูปไหนกันก็ไม่รู้ยังไม่รู้ได้เลย เพราะว่ามันปั้นไม่ง่ายเหมือนดินเหนียวนะภูเขานี่ ก็ทำไป ได้เท่าไหร่มันก็ออกมาเป็นภูเขาของมันจนได้แหละ ออกมารูปไหนก็ช่างมัน ทำได้สุดฤทธิ์สุดเดชเท่าไหร่ก็ทำไป ก็จะสร้างภูเขา อาตมาก็สร้างแค่ภูเขา และไม่ได้มีกำหนดว่ามันจะออกมารูปแบบไหน ก็คร่าวๆ เท่านั้นเอง มันออกมายังไงก็ช่างเถอะ ภูเขามัน Abstract อยู่แล้วไม่มีใครกำหนดรูปร่างมันได้ ก็ทำไป
ตอนนี้มันเหลืองานที่ยังค้างอยู่ 3 งาน แล้วจะไม่เอาอะไรอีกแล้ว มันเมื่อยจริงๆ 1.ภูเขา 2. สะพานโค้งรุ้ง 3. เรือโคกใต้ดิน ยังไม่สำเร็จยังไม่เสร็จเรียบร้อย 3 อย่างนี้ เสร็จ 3 อย่างนี้อาตมาจะพัก จะเอาแต่เรื่องธรรมะพูดธรรมะ นอกนั้นใครจะทำใครจะคิดจะช่วยกันทำอะไรอีกก็ทำไป ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาอยู่กับสิ่งที่มันดำเนินไปตามธรรมชาติได้ทุกอย่างไม่มีปัญหา
พูดถึงอุบาสิกาบงกช ว่าในโลกนี้มีผู้บำเพ็ญเพียรมุ่งหมาย โดยอุบาสิกาบงกช เขาก็ยึดถือพระพุทธเจ้า แต่เป็นความรู้ของเขา เขาก็เชื่อมั่นในความรู้ของเขา เขาก็ดำเนินไปตามนั้น เขาไม่ได้ไปเอาความรู้ของเทวนิยม ของพระเจ้า ของศาสดาทางสายเทวนิยมมาเป็นหลัก เขาเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก แล้วเขาก็พากเพียรไปได้ตามภูมิตามบารมีของเขา เขาก็ได้
รายละเอียดของธรรมะพระพุทธเจ้านั้น พุทธคุณข้อที่ 1 ใน 9 เรียกว่า วิชชาจะระณะสัมปันโน เอาอันนี้เป็นเครื่องตัดสิน
-
มีศีล
-
มี อปัณณกปฏิปทา 3
-
มีสัทธรรม 7
-
มีฌานที่เป็นสัมมาทิฏฐิแบบพุทธ
-
มีวิชชา 8