650817 ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 4-5-10 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1jsxJYAT6SnfGacg5w_dbbOfhbj-FX8TGUnQukiOhKak/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/178M4AFMnw7j_U6hItbMe1yth06QFgkq0/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/zK8wg7eBz3k
และ https://fb.watch/eYD4zkULdz/
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันพุธที่ 17 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก เรากำลังจะเปิดตลาดอาริยะ ปี 2566 ซึ่ง เป็นการช่วยบรรเทาความทุกข์ร้อนของเพื่อนร่วมชาติ เราอยู่ในยุคที่สังคมโลกกำลังเดือดร้อนโดยเฉพาะในเรื่องอาหาร
พ่อครูว่า… เราเป็นคนจนนะ อันนี้เป็นเรื่องพิสดาร เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องสุดวิเศษ เราคนจนแต่อยู่ดีกินดี อุดมสมบูรณ์
สมณะฟ้าไท… เพราะว่าพ่อครูพาเป็นคนวรรณะ 9 นักพัฒนา
พ่อครูว่า… ตามคำสอนพระพุทธเจ้ามาพิสูจน์ได้ในยุคนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่
สมณะฟ้าไท… พวกเราก็ได้พิสูจน์ พวกเรากินน้อยใช้น้อย เลี้ยงง่าย อยู่ง่าย บำรุงง่ายทำให้เจริญง่าย ขยันขันแข็ง ทำงานเพื่อมวลมนุษยชาติ ขยันสร้างสรร เราสร้างเยอะ แต่ใช้น้อย ก็เลยเหลือให้คนอื่นได้มาก เราก็สะพัดออก พ่อครูพาพวกเรามาเป็นคนจนคือส่วนตัวไม่เอามากมีเหลือก็เผื่อแผ่สังคม แจกจ่ายเพื่อมวลมนุษยชาติ สังคมอยู่ได้เพราะมีบุคคลอย่างนี้แหละที่ช่วยคนเอาไว้ แต่ถ้าขาดบุคคลเหล่านี้ไปโลกก็เกิดกลียุค เพราะว่าไม่มีใครช่วยใคร มีแต่คนแย่งกัน แต่การช่วยคนอื่นต้องประมาณตนเองให้เหมาะสม ไม่ให้ตัวเองเดือดร้อนจนทนไม่ไหว
พ่อครูว่า… SMS วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๕
_*สินพุทธ สุขพูล* : กราบนมัสการ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่เคารพอย่างสูงครับ กระผมเคยฟังพ่อครูฯ ตอบ SMS คุณเดชา อัมพร บ่อยๆ กระผมมีความประทับใจที่พ่อครูฯตอบคุณเดชาครับ พ่อครูตอบ มีเหตุผล ฟังแล้ว ผมคิดว่า ทุกคนเข้าใจได้ง่ายมาก แต่ช่วงหลังๆนี้ คุณเดชา อัมพร ไม่ทราบหายไปไหนซะแล้ว กระผมก็อยากจะฟัง พ่อครูฯตอบเขาอีก น่าเสียดาย ไม่รู้คุณเดชา อัมพร ไปไหนซะแล้วครับ ไม่ได้ยินชื่อเลย ช่วงหลังๆนี้ เขาไม่ส่ง SMS มาอีกเลยนะครับ กราบมนัสการพ่อครูฯ ครับ)
พ่อครูว่า..มีโน้ตมาว่า ..คุณเดชา อัมพร ยังติดตามรายการอยู่ครับ แต่ sms ที่ส่งมา บางครั้งก็ไม่ได้นำมาให้อ่านออกรายการทั้งหมด
_*สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ* : อยากให้เทปธรรมะพ่อครู ไม่ว่าสดฤารีรันมีอักษรคำพูดขึ้นจอประกอบภาพเสียงทุกรอบ เหมือนหนังภาพยนต์พากย์เสียงมีคำพูดขึ้นจอประ กอบกันด้วย ผู้น้อยเห็นเทปแพทย์วิถีธรรม อ.หมอเขียวทำได้ทุกเทปวิดิโอฯอนุโมทนาที่ให้โอกาสคนโลกเงียบ กลุ่มเปราะบางวิถีใหม่รักสถาบันฯได้เข้าถึงโลกุตระธ.พ่อครูสาธุ🙇
พ่อครูว่า… จริงนะ อาตมาก็อาศัยตัวหนังสือขึ้นจอเก็บรายละเอียด ฟังไม่ทันก็เก็บดูอีก ฟคือ เสียง ฟังแล้ว ตัวหนังสือมันขึ้นอยู่ก็ดูได้ เสียงมันผ่านไป แต่ดูหนังสือได้
จากสัทธาวิมุติจะเป็นทิฏฐิปัตตะได้อย่างไร
_*สว่างแสง ขวัญดาว* : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
เมื่อสัทธาวิมุตดับกิเลสอาสวะบางส่วนสิ้นด้วยปัญญาแล้ว ท่านผู้นี้จะได้ฐานะเป็นสัทธาวิมุต หรือจะได้เลื่อนฐานะเป็นทิฏฐิปัตตะคะ ลูกยังไม่เข้าใจค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ
พ่อครูว่า…จะได้ ขึ้นไปเป็น ทิฏฐิปัตตะ คนที่เป็นสัทธาวิมุติ
สัทธาวิมุติ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี
สัทธาวิมุตเขาจะติดอยู่ที่ภพชาติ หลับตา เป็นต้น เสร็จแล้วเขาจะได้วิมุติหลับตาจมอยู่ตรงนั้นนาน กว่าเขาจะได้ ทิฏฐิปัตตะ เข้าถึงสัมมาทิฐิที่จะออกมามีกายข้างนอก เขาจมอยู่ เขาไม่มีกาย เขานั่งหลับตาเขาก็ได้วิมุติ แต่เป็นวิมุติหลับตา เขาจะจมอยู่นานจนกว่าเขาจะเกิดปัญญาหรือเกิดความเห็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิใน สักกายทิฏฐิ รู้จักกาย เรียกว่า ทิฏฐิปัตตะ
ปัตตะคือบรรลุ บรรลุทิฏฐิที่เขายังไม่มีเก่า พอเริ่มมี เขาก็จะกลายเป็นผู้ที่มีทิฏฐิปัตตะ เขาจึงเริ่มออกจากสัทธาวิมุติที่ไปติดวิมุติที่มิจฉาวิมุตติ เมื่อเขาพ้นได้มา เขาก็จะเริ่มเห็นนี้ทุกข์ นี้สมุทัย นิโรธ มรรค ขึ้นมาเป็นตามลำดับ
การดูจิตเกิดดับเป็นดวงๆในศาสนาพุทธสัมมาทิฏฐิหรือไม่
_*วาส ทองจันทร์* : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งครับ ผมเห็นผู้สอนธรรมเขาบอกว่า ให้ตามดูตามเห็นจิตแต่ละดวงๆ นั้นว่า เกิดดับๆนั้นไวมากให้ได้อยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายต่อว่าอะไรเกิด อะไรมันดับ ส่วนผมเข้าใจว่า ที่ให้ตามดูอาการเกิดการดับ คือการตามดูอาการของจิตว่ามันมีกิเลสมีตัณหา มีอุปาทานอะไรที่เกิดดับ แลัวจัดการกับกิเลสที่เกิดในจิตอย่างไรตลอดเวลา อย่างนี้ผมเข้าใจถูกไหมครับ🙏🙏🙏
พ่อครูว่า… ไอ้ที่ไปพูดถึงขั้นว่าให้ตามดูจิตมันเกิดมันดับมันโอเวอร์ พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยสอน พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักอาการต่างๆที่มันแยกเป็นเจตสิก แล้วมันก็มีเหตุคือกิเลส มันก็เลยต้องเกิดอยู่ ทำเหตุคือกิเลสออกได้ มันก็ดับ นี่คือเห็นเกิดเห็นดับ
แต่นี่ดูมันเกิดมันดับเป็นดวงๆ จนท่านพุทธทาส เรียกว่าอภิธรรมเม็ดมะขามเป็นดวงๆมันเป็นไปไม่ได้ มันโอเวอร์ ซึ่งไม่รู้ว่าอาจารย์คนไหนสอนไว้ เลยยึดถือกันไว้ผิดๆ
ให้เรียนรู้ดีๆ ปัญญา 8 ข้อที่ 8 เอามาอ่านก็ได้
“8.อนึ่ง เธอพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ 5 ว่ารูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ เวทนาเป็นดังนี้ … สัญญาเป็นดังนี้ … สังขารทั้งหลายเป็นดังนี้ … วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 8 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ”
พ่อครูว่า… พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ไปดูจิตมันเกิดมันดับเป็นดวงอย่างนั้น จะเก่งอะไรกันนักหนาดูอะไรจิตเกิดดับ แล้วมันจะไปรู้อะไรในจิตเกิดดับ ก็เดากันทั้งนั้น มันไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย มันแสดงความเก่งเกินไปอาตมาว่า
ชาวอโศกควรจดทะเบียนคนจนเพื่อรับรัฐสวัสดิการเพิ่มไหม
_*อัมพร กุลศักดิ์ศิริ* : ถามพ่อครูจดทะเบียนคนจนดีใหมครับ?
พ่อครูถาม พวกเราตอบว่า..น่าจะหมายถึงโครงการภาครัฐที่มีให้ลงทะเบียนคนจน หรือกลุ่มมีสามารถใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พ่อครูว่า… เป็นสวัสดิการของรัฐสำหรับช่วยคน คนไหนเกิดเดือดร้อนลำบากก็เอามาเฉลี่ยกันใช้บ้าง เป็นการบริหารประเทศที่ดีแล้วจะเป็นอย่างนี้ ก็จะเฉลี่ยไป ดูความจริงว่าประชาชนผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ผู้ที่เกิดความจำเป็น ความพิการ ก็ช่วยกัน
สำหรับพวกเรานี้มันพิเศษ ไม่ต้องไปจดหรอก พวกเราไม่ต้องเบียดเบียนเงินกองกลางของสังคม ให้ท่านบริหารสบายๆเถอะ เพราะอะไร เพราะเราอยู่รอดแล้ว เราจน แล้วเราก็รักษาพฤติกรรมชีวิตของเรานี้ดีแล้ว เราไม่ไปโลภโมโทสัน ไปแย่งชิงอยากได้มาก เพราะเรามีวรรณะ 9 เราก็อยู่ด้วยสังคมสาธารณโภคี อยู่กับสังคมสาราณียธรรม 6 ซึ่งมันครบคำสอนพระพุทธเจ้าสมบูรณ์แล้ว มันจึงไม่เดือดร้อน ทุกข์ร้อนกับโลกที่เขาเดือดร้อน คนเขาเดือดร้อน โลกเขาเดือดร้อน รัฐก็บริการไป ส่วนเราไม่เดือดร้อนแล้วก็ไม่ต้องรบกวนรัฐ
เพราะเรามันพอ มันมีสันโดษ มีสันตุฏฐิ แล้วมันก็สบาย แม้ที่สุดถึงขั้น อปจยะ เราไม่สะสม เราไม่มีเลย มีชีวิตเป็น 0 จริงๆ คงคลังหรือเก็บหมกเม็ดไว้ก็ไม่มี ใครจะมีไว้บ้าง 10 บาท 20 บาท 100 บาท 1,000 , 2,000 บาทก็เป็นเรื่องของเขา ซึ่งเขาก็ไม่ได้กระดี๊กระด๊าหาทางออกดอกออกผลมากขึ้น มันไม่มีไว้ หนาวใจก็เลยมีไว้อุ่นใจหน่อย ใครหนาวมากก็มีไว้มากหน่อย ใครหนาวน้อยก็มีไว้น้อยหน่อยก็เท่านั้นเอง บางคนมีถึงเป็นแสนจึงอุ่นใจ บางคนมีเป็นล้านถึงจะอุ่นใจ
แต่ชาวอโศกที่เป็น 0 ไม่มีเลยก็อยู่อย่างสบายไม่เดือดร้อนบางคน 10 ปี 20 ปี 30 ปี ยิ่งพวกสมณะ สิกขมาตุ หรือฆราวาส ก็อยู่สบาย ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน
ก็ไม่ต้องไปจดทะเบียนคนจนหรอก เราไม่เป็นภาระให้กับคนที่ทั้งจัดทำทะเบียน เรามีจุดพอแล้ว ไม่ต้องไปรบกวนเขา
_*ผู้ไม่ประสงค์ออกนามคนเดิม* : ที่ได้รับผลกระทบจากผู้ที่บกพร่องในศีลข้อ4
ถ้าผู้บริหารเป็นคนขี้ลืมบ่อยๆ ไม่ว่าจะสั่งงานอะไรใครไว้ แล้วภายหลังก็มาสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งใหม่ หรือไม่ก็ไปดุ..ผู้ที่รับคำสั่ง เพื่อนำไปปฏิบัติก่อนหน้า ว่าทำไปได้อย่างไรใครสั่งให้ทำ ทั้งที่ตนเป็นคนสั่งแท้ๆ หรือไม่ก็ เมื่อรับปากจากใครเอาไว้แล้ว หลังจากที่รับปากแล้ว ไม่ได้ปฏิบัติตามที่รับปากบ่อยๆ จะทำอย่างไร
พ่อครูว่า… ถ้าเป็นคนอย่างที่คุณว่าก็ห่างไกลเขาหน่อย แต่ถ้าไม่เขาไม่เป็นอย่างนั้นเราก็ประมาณเอา
ถ้าเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาตมาว่าเขาบกพร่องนะ เป็นหมาหัวเน่าอยู่ในนี้แหละ ไม่ต้องกังวลหรอก เป็นกรรมวิบากของใครของมัน ไม่มีปัญหาอะไร
_จากโยมสะพานใหม่ กทม. : โยมมีพี่มีน้องหลายคนเป็นผู้ชายทั้งหมด มีผู้หญิงคนเดียวคือโยม พี่ๆต่างมีฐานะดีกันทุกคน ต่อมาน้องชาย 2 คนสุดท้อง ป่วย น้องคนโตพิการและมีอาการทางจิตเวชด้วยส่วนน้องคนเล็กพิการเช่นกัน ไม่มีพี่ๆคนไหนเอ่ยปากชวนน้องไปอยู่ด้วย โยมจึงรับน้องทั้งสองคนให้มาอยู่ที่บ้านด้วยกันร่วม 16,17 ปีมาแล้ว ยังดีที่พี่ชาย 2 คนรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายของน้องโดยส่งเงินให้ใช้คนละ 2,000 บาทต่อเดือน เมื่อรวมกับเงินคนพิการ-เงินคนจน-เงินผู้สูงอายุแล้ว น้องทั้งสองก็มีเงินจับจ่ายใช้สอยได้พอในแต่ละเดือน ตัวโยมเองมีลูกสาวอยู่สองคนออกเรือนไปแล้วทั้งคู่ เขารวมกันให้แม่ใช้เดือนละ 4,000 บาท บางทีโยมไปเจออาหารอะไรๆที่น้องๆชอบก็จะซื้อหามาฝากเขาด้วย (คนที่รู้จักโยมมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า โยมเป็นคนใจกว้างแต่ก็มีเศรษฐกิจพอเพียง)
หลายปีก่อนหมอตรวจพบว่าโยมเป็นมะเร็ง ได้ไปรักษาตัวที่ร.พ. ตามสิทธิ์ ทุกวันนี้ยังคงต้องไปพบหมอตามนัด เคยพูดกับลูกว่าถ้าแม่ไม่อยู่ให้น้าอยู่บ้านนี้(บ้านของโยม)นะ
ลูกสาวบอกโยมว่าหนูไม่รับผิดชอบญาติของแม่-แม่อย่าทิ้งภาระไว้ให้หนู (เวลาที่เขามาหาโยมเขาไม่เคยเดินไปดูน้าเลย) โยมจึงหาทางออกให้น้องด้วยการติดต่อ”สถานพัฒนาคนพิการ”(หน่วยงานของรัฐ)ให้มารับน้องไป ติดต่อไปได้ประมาณ 2 ปี เขาเพิ่งมารับน้องคนโตไปเมื่อวันที่ 3 ส.ค.นี้ ส่วนน้องคนเล็กแขนขาเริ่มอ่อนแรง ขณะนี้ยังอยู่กับโยม คิดว่าคงต้องรออีกประมาณ 2 ปีเช่นกัน
เมื่อน้องชายคนโตไปแล้วน้องคนเล็กเหงามากเพราะขาดเพื่อน โยมไปนั่งพูดคุยปลอบใจเขา เพราะเกรงว่าโรคจิตที่เขาเคยเป็นจะกำเริบขึ้นมาอีก สำหรับโยมเองรู้สึกเป็นทุกข์มาก ร้องไห้อยู่หลายวันทานอาหารไม่ลง
1.น้องคนนี้เป็นคนไม่ยอมใคร,ก้าวร้าว,อาฆาตพยาบาท จะไปเยี่ยมก็ไปไม่ถูก ถ้าเขาไม่ปฏิบัติตามกติกาของที่นั่น เขาจะถูกปรับโทษลงทัณฑ์อย่างไรบ้าง พอโยมโทรศัพท์ติดต่อไปเจ้าหน้าที่บอกว่ายังไม่อนุญาตให้มารับสายเพราะอยู่ช่วงโควิด
2.ตอนที่เจ้าหน้าที่ไปรับตัวที่บ้าน น้องบอกกับโยมว่าเขาเข้าใจ แต่ตาเขาขวางๆ โยมจะมีวิบากเกี่ยวกับเรื่องนี้มั้ย พอดีวันจันทร์ที่ 15 ส.ค.นี้ โยมฟังธรรมพ่อครูมีอยู่ 2 คำ คือ เราห่วงใยเขา เราไม่อยากให้เขาต้องไปได้รับอกุศลวิบาก ทำให้โยมเริ่มวางใจได้ คืนนั้นนอนหลับสบาย ตื่นมาก็ไม่รู้สึกทุกข์เหมือนเก่า
นิมนต์พ่อครูโปรดโยมด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งค่ะ
พ่อครูว่า… ที่โยมเขียนมา ก็ตอบเองได้อยู่แล้ว แต่คุณยังไม่ชัดก็เอาให้ชัด ก็เท่านี้เอง ก็เป็นไป ตามวิบากของแต่ละคนอย่างนี้แหละ ก็ดีนะเป็นคนที่รักพี่รักน้อง ทีนี้ คุณบอกว่าลูกไม่เอาถ่านน้าๆเลย อันนี้ก็เป็นธรรมชาติ พ่อแม่ลูกก็ใช่ เมื่อมาเป็นน้าอาก็ห่างไปหน่อยก็เป็นธรรมดา เขาก็ไปมีลูกมีเต้าของเขาไปต่อ น้า อา เขาก็จะห่างกันไปอีก มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ คุณไม่ต้องไปสงสัยอะไรหรอก เหมือนความรัก 10 มิติที่อาตมาอธิบายให้ฟัง ไปทำความเข้าใจให้ดีในความรัก 10 มิติ ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ มันก็ต้องให้ห่วงพ่อแม่ลูกก่อน แล้วถึงจะไปถึงญาติ ไปถึงสังคม
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท… เรื่องครอบครัวสมัยนี้ยิ่งน่าเห็นใจมาก ทุกวันนี้คนเป็นโรคเป็นภัยเยอะ
ชาติ 4 ชาติ 5 ชาติ 10 เป็นอย่างไร
พ่อครูว่า… อาตมาได้อธิบาย ปฏิจจสมุปบาท เรื่องของ ชาติ มาในครั้งก่อน และอธิบายไปแล้วว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็มีชาติ 4 บ้าง ชาติ 5 บ้าง
ชาติ 4 คือ โยนิ 4
๑. ชลาพุชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์)
๒. อัณฑชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ -ทิชาชาติ)
๓. สังเสทชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว)
๔. โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนภพทันที เกิดนิโรธ ไม่มีอะไรมาคั่น เกิดแทนสิ่งดับโดยไม่มีซาก)
(พตปฎ.เล่ม ๑๑ ข้อ ๒๖๓)
โอปปาติกโยนิ ถ้าหากจิตไม่มีการติดยึด ไม่มีอุปาทาน ถ้าตายก็ตายอย่างจิต สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ตายอย่างนิพพาน 3 ตายอย่างสูญ ตายแล้วสลายถ้าจิตเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย หมดกิเลส ตัณหาอุปาทานสูญไปเลย
เมื่อพระอรหันต์ตายด้วยนิพพาน 3 นี้ ก็จบ เป็นดินน้ำไฟลมแยกธาตุไป แต่ถ้าไม่ตายด้วยนิพพาน 3 นี้ สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน แต่มาตั้งจิตต่อ อย่างอาตมาตั้งจิตไม่ตายสูญ จะเกิดอีก มาสืบสานธรรมะพระพุทธเจ้าจนกว่าจะเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ อาตมาก็ตั้งจิตต่อ ตั้งนิมิตต่อตามลำดับ มันก็ไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็สอนต่างๆนาๆไว้แล้วทั้งนั้น
แม้แต่ความเกิดที่เป็นปัจจุบันกับความเกิดที่วนเวียน ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ ในชาติ 5 ก็พูดทวนแล้วทวนเล่า ย้ำแล้วย้ำอีก ถ้าคุณเข้าใจไม่ถูก สัญญาไม่ถูก แปลไม่ถูก เช่น ที่เขาแปลกันในพระไตรปิฎก แปลไม่รู้เรื่องกันเลย
นิพพัตติ เขาแปลว่า ความเกิด
อภินิพพัตติ เขาแปลว่า เกิดจำเพาะ
อ่านคำแปลแล้วมันก็เลยยาก ใช้ภาษาไทยมันไม่พอ แต่ถ้าคนเข้าใจสภาวะและเข้าใจภาษาบาลีก็จะเข้าใจได้เลย ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ
ชาติ คือ การเกิด กลางๆ
สัญชาติ ก็คือการเกิดที่มันจำ สัญญามันจำเป็นตัวเราเป็นอัตโนมัติมา มันก็เป็นไปตามสัญญาเก่าที่มันติด มันจะมาแต่เดิม เป็นสัญชาติเองเลยมันไม่ต้องไปทำอะไร
คนก็เหมือนกัน สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน มันเกิดมาหลายชาติแล้ว มันก็จำของมันได้ มันก็เป็นไปตามของมัน อาตมาเคยยกตัวอย่างจิงโจ้ ลูกจิงโจ้มันคลอดออกมามันก็เดินได้หากระเป๋า พอเจอกระเป๋าก็เข้าไปอยู่ในกระเป๋าจนโต อย่างนี้เป็นต้น แล้วใครไปว่ามัน
นกกระจาบมันจะสร้างรัง สัญชาตญาณของมันตั้งแต่เกิดเก่าก่อน มันเกิดเป็นนกกระจาบตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้แหละ แต่มันก็ได้รับถ่ายทอดจนมันทำเอง สานรังของมัน รังของมันพิเศษเหมือนกันนะ สร้างได้ยอดเยี่ยม มันก็ทำด้วยสัญชาตญาณของมัน
ส่วน โอกกันติ เป็นการเกิดในปัจจุบันธรรม มีอะไรเกิดมีอะไรสั่งสมลงในจิตเจตสิก สัญญา สังขาร วิญญาณ ของเรา เราก็ต้องเรียนรู้อันนี้แหละที่สำคัญ เรียนรู้จนกระทั่ง
ต้องเรียนรู้การเกิดอีกว่า นิพพัตติ เรียนรู้การเกิด แล้วก็เรียนรู้เหตุแห่งการเกิด แล้วอย่าให้มันเกิดเรียกว่า นิพพัตติ คือ อย่าให้มันเกิดยืดยาดต่อไป ลดเหตุ ที่มันจะเกิด ตั้งแต่มันปรุงแต่งทางโลกอย่างหยาบๆ เป็นอบายมุขก็เลิก
เลิกได้การเกิดก็สั้นลงๆ เป็น นิพพัตติ เลิกโลกกาม เลิกกามคุณ 5 เลิกมาได้อีกการเกิดก็สั้นลง นิพพัตติก็สั้นลง เลิก รูปภพ อรูปภพอีก ก็เลิกได้ จนหมดเลย ไม่มีภพชาติอีก ก็เป็น อภินิพพัตติ เป็นการไม่เกิดอีก ได้เป็นพระอรหันต์ถึงขั้นนั้น อย่างนี้เป็นต้น
อย่างนี้ฟังเข้าใจนะ แล้วปฏิบัติได้ให้ได้มันก็เป็น แล้วไม่ใช่เท่านั้น เหตุที่จะไปดับเหตุอย่างไร เรียนรู้ปฏิบัติเพื่อจะดับเหตุไม่ให้มันเกิด คุณก็เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทนี่แหละ
ภพ มันมี 3 ภพ กามภพ อบายมุขคือกาม ทางตาหูจมูกลิ้นกาย หยาบๆใหญ่ๆ สายหลับตาไม่ได้เรียนรู้ตาหูจมูกลิ้นกาย หยาบๆใหญ่ๆไม่เรียนรู้ แล้วจะไปหลับตาให้มันดับกิเลสไปเลยมันก็เป็นโมฆะ มันทำไม่ได้ หยาบๆ หยาบรู้จักไม่บริบูรณ์ คุณเลิกไม่ได้ เป็นขั้นตอนหยาบ กลาง ละเอียด คุณทำไม่ได้ คุณไม่ได้ทำ มันก็เป็นโมฆะอยู่ตลอด โมเมไปอยู่อย่างนั้น นึกว่ามันดับๆ
ทีนี้มันก็มีซ้อนว่า อาสวะบางอย่างของพวกสัทธาวิมุตนี้มีได้ ก็เพราะว่า เขาเคยทำได้ในชาติที่เขาเคยดับได้มาแล้วถึงขั้น อาสวะ พอมาชาตินี้ ก็เลยติดมาเป็นสัญชาติแล้วก็มาดับได้ในชาตินี้ เพราะรู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ในสัทธาวิมุติ อันที่ไม่รู้ก็ดับไม่ได้ อันที่ดับได้เพราะดับได้ตั้งแต่ในชาติก่อนมา พอชาตินี้ไม่ได้เปิดทวารทั้ง 5 ดับ แล้วจะไปดับอาสวะ ไม่ได้ อาสวะไม่มีภายนอก มันไม่สมบูรณ์มันไม่เป็น อาสวะจริง มันต้องมีหยาบ กลาง ละเอียด
คุณเองคุณไม่ปอกเปลือกทุเรียนก่อน แล้วคุณก็ค่อยๆเอาเปลือกออก หรือ คุณจะกินจาวมะพร้าว คุณก็ต้องปอกเปลือกนอกออกก่อน แล้วปอกเข้าไปจนถึงเปลือกใน เอากะลาออก เอาเนื้อออก คุณถึงจะได้กินจาวมะพร้าว
ถ้าคุณจะกินจาวมะพร้าว แต่คุณไม่ได้ปอกเปลือกเลย คุณจะทำอย่างไรจะได้กิน อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นอย่าไปทำอะไรมันเป็นโมฆะ เสียเวลาปฏิบัติ หลับตาปฏิบัตินั่นแหละ อาตมาก็พูดเยอะ ยกตัวอย่างและอธิบายให้เห็นต่างๆนานา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้แล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่เคยสอน แล้วไปเข้าใจอย่างไรว่าพระพุทธเจ้าสอนให้นั่งหลับตา
เดียรถีย์ เขาผิด พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาจะมีแต่เดียรถีย์ที่นั่งหลับตาเปล่า นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นเป็นของเดียรถีย์ทั้งนั้น แล้วเขาก็ยืนยันจะมาทำอย่างเดียรถีย์อย่างเก่า มันก็ไม่เสร็จ พระพุทธเจ้าสอนให้ฉลาดกลับไปโง่ไม่เสร็จ จนกระทั่ง ต้องทำอย่างนี้เชื่ออย่างนี้เลย อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คนพวกนี้ แทงด้วยปากหอกร้อยเล่ม หอกหัก กลางวันก็แทงอีกหัก เย็นก็ร้อยเล่มก็หัก เดี๋ยวขอทุนรอนไปซื้อหอกอีกหน่อย จะได้มาแทงพวกนี้อีกเพราะมันน่าสงสาร ทำไมมันจะเหนียวทนทานขนาดนั้น ไม่รู้จักสะดุ้งสะเทือนอะไรเลย
อาตมาจะเกริ่นอีกอันหนึ่ง ชาติ อาตมา เอามาประยุกต์กับยุคนี้ ชาติ 5 ของอาตมา ในหนังสือสรรค่าสร้างคน
-
การเกิดที่มีร่างกาย เป็นคน เป็นสัตว์ ถ้าตายก็หมดไปชาตินึง เป็นชาติของร่างกาย
-
การเกิดทางใจ โอปปาติกโยนิ ถ้าวิญญาณเป็นสัตว์ เป็นโอปปาติกโยนิ ความเป็นสัตว์ตายไปจากใจ ใจก็เกิดจิตดวงใหม่ เป็นจิตสะอาดจากกิเลสขึ้น นี่ นี้เป็นจุดสำคัญ การเกิดการตาย โอปปาติกโยนิ
-
การเกิดแบบลิงลมอมข้าวพอง (เป็นศัพท์ที่อาตมาใช้โดยตรง) มีชีวิตหลงเมาในโลกีย์ มันครอบงำเอา จะมีการเกิดอย่างนี้ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะเกิดมาก็ถูกกิเลสพ่อมอมเมาครอบงำ จะให้ติดอยู่ในโลกีย์ จะไม่ให้ไปเป็นนักบวช ไม่ให้เป็นพระพุทธเจ้า จะให้ไปเป็นเจ้าจักรพรรดิ มอมเมา ท่านก็ต้องติดไปกับโลกที่ครอบงำ
อาตมาอยู่กับโลกโลกีย์ที่มันครอบงำอยู่ 36 ปี อาตมาก็หลงไปล่า ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเกี่ยวกับโลกเขา อาตมาไม่ได้จัดจ้านอะไรมากเพราะมันมีบารมีเก่า แต่ก็ถูกโลกครอบงำเป็นลิงลมอมข้าวพอง ต้องเสียเวลาไป 36 ปีนี้เป็นต้น ซึ่ง มันไม่ละเว้นเหมือนกันนะ การเกิดลิงลมอมข้าวพอง แม้แต่พระพุทธเจ้า มันก็ไม่ละเว้น
-
การเกิดขึ้นเป็นประเทศชาติ หรือ ชาติรัฐ ประเทศไทยเกิดขึ้นมาเกือบ 1,000 ปีแล้ว การเกิดขึ้นก็มารวมตัวกัน โดยมี พ่อขุนรามคำแหง รวบรวมแผ่นดิน จนกระทั่งทุกวันนี้ถูกต่างชาติรุกราน แต่เราก็ไม่ถึงกับตกเป็นทาส เอาคืนมาบ้าง ถูกเขายึดบ้าง ถูกเขารังแกบ้าง เราถือว่าเรารอดตัว ประเทศไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นหรือเป็นทาสของประเทศไหน โดยจะต้องไปนั่งส่งส่วย เสียภาษี ไม่ต้อง
-
การเกิดแบบตรรกะ เกิดเอง เป็น นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย เกิดเป็นภพ เป็นชาติ ตามทิฏฐิ เป็นอัตตา เป็นตัวตน สร้างไว้เยอะ พระพุทธเจ้าประมวลไว้ถึง 44 ทิฏฐิ สำหรับอนาคต ฟุ้งซ่านไป ถ้าตามขันธ์อดีต ก็มี 18 อย่างนี้เป็นต้น
อันนี้เป็นชาติที่อาตมารวบรวม ให้ฟัง
ทีนี้ ชาติ อาตมาเก็บ ตามพระบาลี ตามบัญญัติที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก
ชาติในทีนี้ คือ การเกิดทางใจ โอปปาติกโยนิ ในสรรค่าสร้างคน หน้า 50
เมื่อวิญญาณความเป็นสัตว์คือโอปปาติกสัตว์ ตายจากใจ ย่อมเกิดจิตตัวใหม่ กิเลสคือสัตว์ที่มันตายจากใจ จิตสะอาดจากกิเลสขึ้นเป็นลำดับๆ อาตมาประมาณไว้ 10 ลำดับ
ชาติ 10 มิติ ในหน้า 50 ของหนังสือ สรรค่าสร้างคน
“ชาติ” ในที่นี้คือ การเกิดทางใจ(โอปปาติกโยน) เมื่อวิญญาณความเป็นสัตว์ (โอปปาติกสัตว์) ตายจากใจ ย่อมเกิดจิตตัวใหม่(จิตสะอาดจากกิเลส) ขึ้นเป็นลำดับ แบ่งเป็น 10 มิติ
-
ความเกิดแห่งตัวตน (ชาตัตตะ)
-
แดนเกิดแห่งชาติ (ชาติสัมภวะ)
-
ขอบเขตที่เกิด (ชาติเขตตะ)
-
ความแตกต่างแห่งชาติ (ชาติสัมเภทะ)
-
การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ชาติสังสาร)
-
ความดับสินแห่งการเกิด (ชาตินิโรธ)
-
ความสิ้นไปแห่งการเกิด (ชาติกขยะ)
-
ความดับการเกิดของกิเลสนั้นได้สำเร็จ (ชาติมยะ)
-
ความถึงพร้อมด้วยชาติอย่างสมบูรณ์ ชาติสัมปันนะ)
-
ความเป็นผู้ระลึกชาติได้ (ชาติสสระ)
เกิดแห่งตัวตนอธิบายอยู่ทุกวัน การเกิดแดนเกิดแห่งชาติก็คือ ภพหรือแดน จิตมันก็ไปเกิด เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นสัตว์นรก มันก็ไปอยู่ในแดนนั้น มันก็เป็นสิ่งที่อาศัยของจิตวิญญาณตนเอง ที่ไปตามองค์ประกอบของมัน องค์ประกอบของนรกก็เป็นทุกข์ องค์ประกอบเป็นสวรรค์ก็เป็นสุข หลอกทั้งนั้น มายาทั้งนั้น ให้อยู่กับปัจจุบันนี้ จะได้ไม่ถูกหลอก จะมีปัจจุบันเป็นแดนเกิดอันนี้จริง ไปอยู่ในภพนึกคิดเอาเองเป็นอดีตอนาคตมันไปแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก อดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังไม่ถึง แต่ปัจจุบันนี้แก้ไขได้เปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปเสียเวลาอยู่กับสิ่งที่เป็นการเปล่าประโยชน์ในอดีตกับอนาคตเลย
-
ขอบเขตที่เกิด ชาติกเขต ชาติ ขอบเขตแห่งการเกิด คุณเกิดอยู่ในกรอบใดขนาดใด มีเหตุปัจจัยขนาดใด คุณดับเหตุที่ไปสู่อบาย ไปสู่ทางต่ำ ทางไม่เจริญให้ได้ ส่วนความเกิดในทางเจริญแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่าเราไม่สันโดษในกุศล คุณจะเจริญในกุศลไม่มีขอบเขตหาที่สุดไม่ได้เลย แต่ทางที่เสื่อมต่ำ เลิกให้ได้ ตัดให้ได้ สั้นลง ให้น้อยลง จนหมด ไม่เกิดในทางต่ำเลย ขอบเขตแห่งการเกิด
ความแตกต่างแห่งชาติ ชาติสัมเภทะ การเกิดเป็นสัตว์นรกกับการเกิดเป็นสัตว์สวรรค์แตกต่างกันไหม แตกต่างกัน
การเกิดเป็นมนุษย์ที่มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน โอโห มันแปลก แตกต่างกันมหาศาลเลย ที่นั่งอยู่นี่ไม่เหมือนสักคนเลยที่นั่งอยู่นี่ไม่เหมือนสักคนเลย คิดนึกไปต่างๆเหมือนกันบ้างไม่เหมือนกันบ้างมีเยอะ เหมือนกันนี้มีไม่เท่าไหร่
เพราะฉะนั้นถ้าไม่เหมือนกันเยอะนี่อย่าไปติดใจมาก เพราะมันทั้งนั้นแหละ มันต้องไม่เหมือนกัน ปรมาณู 2 หน่วย มันก็ไม่เหมือนกันแล้ว ยิ่งมาเป็นคน ไม่รู้กี่ล้านปรมาณู เพราะฉะนั้นมันต้องแตกต่างกันแน่ เรารู้ว่ามันต้องมีแตกต่างกันแน่ เพราะฉะนั้นอย่าได้ไปกังวลในความแตกต่าง เรารู้ความจริง อย่างเขาก็เป็นอย่างนี้
ถ้าคนนี้เราไม่ไหวเข้าใกล้ไม่ได้ก็ห่างไป ก็รักษาตัวรอดเป็นยอดเดี่ยวบ้าง แต่ถ้าคบกันได้ดีคุณก็คบกันไป มันก็เป็นธรรมดา ธรรมชาติ
การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ชาติสังสาร อันนี้พวกศึกษาธรรมะรู้ดี ถ้ายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด แม้แต่เป็นโพธิสัตว์ก็เข้าใจแล้ว
การดับสิ้นแห่งการเกิด ชาตินิโรธ จริงๆก็หมายเอากิเลสดับสิ้น กิเลสไม่เกิดอีกเลย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ดับแล้ว ไม่เกิดอีกเลย เป็นอรหันต์ ดับสิ้นแห่งการเกิด
ตัวนี้แหละ คุณอยู่เป็นอมตะบุคคลแล้ว ดับกิเลสที่จะพาเกิด คุณดับเหตุที่พาเกิดได้แล้ว คุณจะเกิดอีกก็ได้ อมตะบุคคล เป็นโพธิสัตว์จนกระทั่งถึงที่สุดเป็นพระพุทธเจ้านั่นแหละ เป็นพระพุทธเจ้าสุดแห่งคนแล้ว ท่านไม่เอาสมัยสองหรอก พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ เป็นยอดคนแล้วจะรู้การเกิด การดับ การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ อะไรก็แล้วแต่ มันสุดยอด
พระอรหันต์ทำให้คนอื่นไม่ต้องเกิดเหมือนตนเองได้ เป็นโพธิสัตว์ต้องไปเกิดอีกหลายล้านแบบ ถึงจะเห็นว่าคนมันต่างกันอย่างนี้นี่เอง มันมีนัยยะที่ต่างกันละเอียดลออ มุมนั้นเหลี่ยมนี้ต่างๆ
ความสิ้นไปแห่งการเกิด ชาติกขยะ มันสิ้นเลย ก็ไม่มีอะไรแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ดับเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย
ความสิ้นไปแห่งการเกิด 7.ชาติกขยะ ก็คล้ายกันกับ ชาตินิโรธ
ความถึงพร้อมด้วยชาติ 9.ชาติสัมปันนะ อย่างสัมบูรณ์ พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความเป็นชาติสมบูรณ์ที่สุด จบ พระโพธิสัตว์ก็สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆรู้จักความเป็นชาติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นชาติที่ดี ไม่ติดใจในชาติ รู้การดับชาติ จนสุดท้ายดีที่สุดเป็นอย่างไร ถึงดีที่สุดเป็นโลกีย์ เป็นโลกุตระไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอย่างไร เกิดมาก็ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นเกณฑ์ของความจริง
-
ความดีความชั่ว เราต้องทำแต่ดี สัพพปาปส อกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) 2.กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) 3.สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)