650815 ตอบปัญหาผ่าปฏิจจสมุปบาท รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 50
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/11ZQlHc1DGHxUIbD3qtfvfLQaz1ksN1FFaTxbJjmBQDg/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Um9FlPYxLUMdDcD7fL0Ea10v7nP5bS_4/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/kymiRrZT0nY
และ https://fb.watch/eV_-l1Lj2j/
สายหลับตาหมดสิทธิ์เป็นพระอรหันต์
_สู่แดนธรรม… วันนี้วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
มีพระรูปหนึ่งถามคำถามมาว่า…ตอนนี้มีพระ ที่กำลังเป็นข่าวในสังคมคือครูบาบุญชุ่ม มีลูกศิษย์ลูกหายกย่องว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ญาติโยมก็เลยฝากถามมาว่า ขอให้พ่อท่านช่วยแสดงความเห็นว่าท่านครูบาบุญชุ่มในสายตาของพ่อท่านนั้น ได้เข้าเขตเป็นพระอรหันต์หรือยังครับ
พ่อครูว่า…อาตมาก็ขอพูดตามความจริงตรงๆเลยนะ ว่า สายสะกดจิตหรือสายหลับตา สายออกป่า มันผิดหมด มันมิจฉาทิฏฐิ จะเรียกว่าเข้าข่ายเป็นอรหันต์ไหม มันหมดสิทธิ์ที่เป็นอาริยบุคคลเลย โสดาบันก็ไม่ได้ เพราะมันไม่รู้เลย เริ่มตั้งแต่สังโยชน์ข้อที่ 1
สักกายะทิฎฐิ ยังไม่พ้นเลย กระดุมเม็ดแรกผิดไปเลย เพราะฉะนั้นมีแต่จะบานปลายออกไปใหญ่เลย เป็นปากกรวย ผิดซ้ำผิดซ้อนผิดมากไปเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องที่น่าสงสารมากสายหลับตา พากันหลงทางจนกระทั่งบอกว่าเป็นอรหันต์ มันเพ้อลมๆแล้งๆ กัน น่าสงสารมาก
อาตมาพูดด้วยความจริงใจ ในฐานะที่อาตมาเอง อาตมาทำงานจนถึงป่านนี้ ก็น่าจะฟังบ้าง 50 กว่าปีแล้ว อาตมาก็รักษาสถานะที่มีความรู้แนวนี้ สอนอย่างนี้จนกระทั่งเอาพระไตรปิฎกมายืนยัน
ที่อาตมาเอาพระไตรปิฎกมายืนยันอธิบาย ประกอบไปตลอดเวลา ยืนยันว่าสิ่งที่อาตมาพาทำนั้นเป็นการบรรลุตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ปฏิบัติศีล ปฏิบัติอปัณณกปฏิปทา 3 จึงเกิดสัทธรรม 7 เกิดฌาน 4 เป็นฌานวิสัยของพุทธ ไม่ใช่ฌานของ เดียรถีย์ ที่มิจฉาทิฏฐิกัน เป็นมิจฉาฌาน ที่เขาไปติดไปยึดกันว่าเป็นจริง
อาตมายกหลักฐาน จรณะ 15 วิชชา 8 ฌาน อย่างมีเหตุมีหลักฐาน มีที่มาที่ไป ที่จะเกิดความเป็น ฌาน …ที่ว่า ฌาน เกิดจากการหลับตาแล้วก็สะกดจิตเข้าไป แล้วเกิดฌาน โดยไปยึดติดคำว่า ฌาน คือ ภาวะที่ไม่มีนิวรณ์ 5 ดับสัญญา ดับเวทนา มันก็ไม่มีนิวรณ์ 5 ได้อยู่ในภพ แต่มันก็เป็นมิจฉา มันไม่ใช่ลืมตาเห็นอยู่อย่างนี้
กาม ก็ต้องมีเหตุมีปัจจัยว่า คุณก็ต้องสัมผัส กามคุณ 5 ตาคุณก็ต้องกระทบสัมผัสอยู่ หูก็ต้องกระทบสัมผัสอยู่ จมูกลิ้นกาย โผฏฐัพพะ ก็ต้องกระทบสัมผัสอยู่ มันจึงจะยืนยันว่า ขณะสัมผัสนี่แหละมันไม่มีอาการกามในเวทนาของเรา ในจิตของเรา เจโตปริยญาณ 16 มันไม่มีราคะ โทสะ โมหะ แล้วผู้ที่ทำฌานได้ ทำ นิวรณ์ 5 ดับไปได้ ลดไปได้ในขณะที่สัมผัสแตะต้อง ตาหูจมูกลิ้นกาย กามคุณ 5 มันก็ไม่มี ปฏิฆะไม่มี ยั่วยวนอย่างไรก็ไม่เกิด คือฌานวิสัย ที่ได้แล้วได้เลย ไม่ต้องไปปฏิบัติแล้วปฏิบัติอีก
มันจะเกิดไปตามลำดับความเป็น ฌาน จะเจริญไป มีมรรคมีผลไปเรื่อยๆ เกิดกำจัดกิเลสด้วยอภิสังขาร 3 เรียกว่า การจัดการ หรือการปรุงแต่งจิต กระทบสัมผัสแล้วก็จัดการกับจิต ปรุงแต่งจิต เอากิเลสออก แยกกิเลสออกมา ให้เห็นด้วยปัญญา แล้วพลังงานปัญญานี่แหละ คือพลังงานฌาน ฌาน 1 2 3 4 ซึ่งเป็นพลังงานที่จะเจริญ มีอธิปไตย มีพลัง มีแรง สามารถที่จะทำให้ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ หรือ พลังงานราคะ โทสะ โมหะ มันยอม มันสลายดับ มันสู้ไม่ได้
ซี่งฌาน จะมีปัญญาในตัว (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม… แนวทางสัมมาปฏิบัตินั้นคือ อย่าไปคิดว่าจะต้องไม่ให้มีกิเลสถูกกระทบกระเทือน
พ่อครูว่า… ไม่ต้องไปล่อไปหลอก มันกระทบสัมผัสเป็นสามัญอยู่แล้ว ก็รู้ให้ทัน ชาคริยานุโยคะ มีสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ฝึกให้มีความเพียรสัมผัสและมีสติรู้แล้วเข้าใจ เป็นโพชฌงค์ข้อ 1 2 3 วิจัยได้ทัน รู้กิเลส
ปัญญามีพลัง เมื่อรู้กิเลส กิเลสมันก็ฝ่อหายไป เมื่อรู้กิเลส กิเลสมันก็ลด กิเลสมันก็ฝ่อ มันก็มีปีติสัมโพชฌงค์ เราก็รู้ว่ามันมีปิติเพราะเราเห็นหลัดๆว่า กิเลสมันสงบ กิเลสมันตายมันก็สงบมีปัสสัทธิ จิตมันสงบ พอกิเลสมันตายมันเสื่อมลงไป ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ แล้วจิตที่สงบ อย่างแท้จริง ตกผลึกลงๆ สมาหิโต เป็นสมาธิสัมโพชฌงค์ จนกระทั่งสูงสุดเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ นี่คือลักษณะโพชฌงค์ 7
อาตมาได้อธิบายสภาวะสั้นๆให้ฟัง ถ้าคนพอมีภูมิฟังแล้วจะเห็นว่าชัดดี ยิ่งมีสภาวะรองรับแล้วจะรู้เลยว่า อย่างนี้ใช่เลย มันไม่ใช่มีแต่ภาษา มีแต่บัญญัติ ที่มาฟังแล้ว แล้วสภาวะจริงๆที่เรามีที่เราเกิดเป็นอย่างไร เวทนา สัญญา สังขาร เจตนา ผัสสะ มนสิการของเรา นามธรรม 5 มันฟังแล้วรู้เรื่องไหม
ท่านขยายไปถึงรูป 28 อุปาทายรูป ก็มีลีลาตางๆของมันถึง 24 อาตมาก็อธิบายได้ชัด ซึ่งอาตมาว่า อาตมาไม่ได้เดา สภาวะต่างๆ แม้แต่ อุปาทายรูป 24 ซึ่ง มหาภูตรูป 4 ก็ยกไว้เข้าใจง่ายเข้าใจกัน แต่รูปอีก 24 จะสามารถสัมผัสรู้ได้
เป็น โคจรรูป ปสาทรูป เกิดวิสยรูป แยกเป็นภาวะรูป 2 อย่าง ศึกษาอยู่ในตัวเรานี่แหละเป็น หทยรูป ก็มันไม่ได้มีสถานที่ ไม่ได้มีที่อยู่มีที่เกาะอะไร หทยรูป คุณมีสัมผัสตรงไหน
นิ้วมือสัมผัส หทย ก็เกิดตรงนี้แหละ ตาสัมผัสรูป หทยรูป ก็เกิดตรงที่ตาสัมผัสนี่แหละ จมูกสัมผัสกลิ่น กลิ่นตรงไหน กลิ่นอย่างไรที่คุณรับรู้สึกมันก็อยู่ตรงที่ หทยรูป ซึ่งคนไม่เข้าใจง่ายๆ หทยรูป อยู่ตรงไหนอย่างไรเขาไม่ได้อธิบายกันหรอก
อาตมาได้ยินมา หทยรูป เขาบอกว่าหัวใจจะแบ่งเป็น 4 ห้อง มันจะอยู่ห้อง 1 ใน 4 นี้แหละ มันเอาอะไรมาอธิบาย อาตมาฟังแล้วก็งงๆ เหมือนพวกที่นั่งสมาธิและบอกว่าจิตเหนือสะดือ 2 นิ้ว
ในพระไตรปิฎก หทยรูป ไปบอกหรือว่ามีหัวใจ 4 ห้องในห้องนั้นจะมีน้ำใสสีเงินอยู่ หัวใจอยู่ตรงนั้น ทำไมอธิบายเป็นรูปร่างตัวตนอย่างนั้น อาตมาฟังแล้ว ใครหนอช่างอธิบายอย่างนั้น ซึ่งที่จริงแล้วมันไม่มีรูปไม่มีร่าง ไม่มีอัตตาตัวตนอะไรมันเป็นนามธรรม แต่เรารู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อาตมาอธิบาย คืออุเทส ก็ไปจับอ่านอาการ อ่านนิมิต ที่มันไม่มีตัวตนนี้ให้ได้ก็จะรู้ได้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต
การรู้รูปนามด้วย อาการ ลิงค นิมิต ในปฏิจจสมุปบาท
_พ่อครูว่า… เรามาไล่ดู ปฏิจจสมุปบาท 11
อวิชชา สังขารวิญญาณนามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ ชรา มรณะ โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ
เด็กๆ ตั้งใจฟังดีๆนะ หลวงปู่จะอธิบายง่ายๆให้ฟัง
อวิชชา เป็นตัวไม่รู้เป็นตัวโง่ๆ อวิชชาคือความโง่ และมีปัจจัยโง่ๆตามมา เหตุปัจจัยมันมี 2 อย่างคือตัวหนึ่งกับอีกตัวหนึ่งทำงานร่วมกันเรียกว่าเหตุกับปัจจัย มันเนื่องกันต่อกัน เป็นเหตุเป็นปัจจัย ทำปฏิกิริยาต่อกันสัมพันธ์กันเกี่ยวเนื่องกัน
เพราะฉะนั้นคนเรานี้ อวิชชา คือ คนยังไม่รู้ ยังไม่เดียงสา ยังไม่มีความเข้าใจ ยังไม่ฉลาดพอ ไม่มีความรู้ มันไม่มีความรู้มาก่อนกันทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นที่ไม่ได้ศึกษากันอย่างถูกต้องอย่างจริงเลย มันไม่มีวันจะรู้หรอก รู้ก็เดาๆไป ตามที่ได้ยินได้ฟังมาต่างคนต่างเดาไปเยอะ เสร็จแล้วก็ได้เป็นครูเป็นอาจารย์ อธิบายตามที่ตัวเองรู้มันก็เลยเลอะเทอะมากที่สุด
เพราะฉะนั้น อวิชชา เป็นตัวต้นความไม่รู้เป็นต้น มาทำตัวนี้ให้ค่อยๆรู้ๆไปตามลำดับๆ
ตัวที่ 1 ไม่รู้ ไม่รู้อันแรกเลยที่ท่านให้ศึกษาคือ สังขาร
คำว่า สังขาร หมายความว่าสภาพที่มันมีตั้งแต่ 2 ตั้งแต่ธาตุ 2 ธาตุเป็นธรรมะ 2 ธรรมะ สิ่ง 2 สิ่ง และมันต้องเกี่ยวกับนามธรรม ปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่สิ่ง 2 สิ่งคือ ไฟฟ้า บวกกับลบ ไม่ใช่ มันต้องมีรูปกับนาม
สิ่งหนึ่งคือรูป หมายถึงสิ่งที่ถูกเราสัมผัสได้รู้ ตาเห็นก็คือ ถูกรู้ก็คือเห็นอันนั้น ตาเห็นหนังสืออันนี้ มันก็เป็นรูปให้เห็นเป็นหนังสือ ทางวิทยาศาสตร์ก็คือแสงตกกระทบวัตถุแล้วสะท้อนมาที่ม่านตา Retina ฉายภาพไปให้ประสาทรับรู้ รู้รูปนี้ที่ม่านตา ตัวรู้นั่นแหละคือนามธรรม คือธาตุรู้
ธาตุรู้นี้ก็แยกไปเยอะ ที่ท่านให้ไปศึกษาธาตุรู้ก็มี 5 อย่างคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
นี่คือนามธรรม 5 ที่ท่านให้ศึกษากับรูป 28 อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 พระสูตรแรกเลย ท่านตรัสถึงปฏิจจสมุปบาท ท่านก็แยก นามรูป
และเวลาเรียนแล้ว เวลาจะศึกษา เวลาจะเรียนแล้วถึงจะรู้ ข้อสำคัญที่ย้ำมากมาย คือรูปกับนามต้องมีสัมผัสกัน สัมผัส 1 สัมผัสภายนอก ตาสัมผัสภายนอก จมูกลิ้นกายเรียกว่า โผฏฐัพพะ สัมผัสภายนอกต้องสัมผัสจึงจะเกิดสิ่งจริงให้รู้
ไปหลับตาปิดทั้ง 5 ทวาร ไม่ได้ใช้งานตาหูจมูกลิ้นกายเลย ปิดหมด ไปรู้แต่ข้างใน คุณก็รู้อยู่แค่นั้น อยู่แต่ในการรู้จิตในจิตนิดเดียว ทั้งที่มันมีการรู้ตั้ง 6 ทวารรู้ คุณทิ้งไป 5 รู้ แล้วคุณก็คิดว่าคุณจะรู้หมดจะรู้จบ มันเป็นการเพ้อพกมันเป็นการสำคัญผิดแท้ๆ มันเป็นไปไม่ได้
การรู้ของพระพุทธเจ้านั้น 5 รู้ข้างนอก ตากระทบรูปแล้วก็เรียนรู้ทั้งทั้งที่ตาไม่ได้หลับเลยตลอดเวลา รู้แล้วก็เข้าใจแยกแยกกิเลสให้ได้แล้วก็ทำให้กิเลสมันลดลง ปฏิบัติจนมีพลัง วิมุตติญาณทัสสนะ ทำให้กิเลสมันดับไปเลย
กิเลสดับหรือกิเลสยังไม่ดับก็แล้วแต่ เมื่อใดก็ได้ปฏิบัติ ฌาน 1 ,2 ,3 ,<4 จนอเนญชา คุณพอลืมตาสัมผัสอยู่นั่นแหละคุณไม่ได้ไปหลับตา กิเลสมันหมดไปก็ลืมตา
สู่แดนธรรม… ผมเคยถูกสอนมา ถ้าไปลืมตาเห็นรูปจิตมันจะไม่สงบ
พ่อครูว่า… ก็ถูกแล้ว ถึงต้องพยายามเอากิเลสเหตุแห่งความไม่สงบออกไป อันนี้กิเลสจริง ไปหลับตามันไม่ได้กิเลสจริง หลับตาได้แล้วสงบไปเพราะเป็นของเก๊ของง่าย ของปลอมๆ ของง่ายๆมักง่าย เป็นมิจฉาฌาน มิจฉาสมาธิ มิจฉาวิมุตติ
อาตมาพูดแล้วก็สุดสงสารเห็นใจ ดุแรงแล้ว จนไม่แรงแล้ว ใครจะฟังก็ฟัง พูดแรงอย่างไรก็เหมือนหัวดื้อ แรกๆอาตมาก็พูดเร็วแต่ไม่แรง ต่อมาก็ค่อยๆแรงขึ้นๆ จนกระทั่งตอนนี้ก็พยายามจะเบาลงๆแล้ว ไม่ต้องไปปลุกเร้าอะไรมากมายแล้ว ไม่ต้องไปกระแทกกระทุ้งอะไรแล้ว คนไหนสนใจใส่ใจ ไม่ได้เต็มที่เหมือนฮาร์ดร็อคเรียกความสนใจ ก็อย่างนี้เรื่อยๆมาเรียงๆ ไม่ได้เรียกความสนใจด้วยเสียงดัง ลีลาอะไร ไม่ต้องแล้ว มันเมื่อยแล้ว อาตมาก็เมื่อย
อย่างไรๆ ก็แล้วแต่ชาตินี้อาตมาไม่ได้เสียผล เกิดมาแล้วก็ได้รับผลได้รับประโยชน์
SMS วันที่ 13 – 14 สิงหาคม 2565
การระลึกชาติแบบชาติ 5 ในปฏิจจสมุปบาท
_*แก้วตะวัน พวงบุบผา* : กราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ..การมองการทำงานของท่านนายกอย่างมีอคติ 4 ไม่ว่าจะเป็นด้วยความรัก ความโกรธ ความกลัว หรือความไม่รู้ ย่อมทำให้ผู้มอง มองอย่างคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ถ้ามองอย่างมีอคติแล้วนำไปขยาย ยิ่งไปกันใหญ่ โดยเฉพาะข่าวสำนักต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์โดยเฉพาะทางโซเชียล ทุกคนมีโทรศัพท์มือถือที่สามารถเผยแพร่ข้อมูลแบบมีอคติรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง ยิ่งเป็นอคติที่เกิดจากความโกรธเกลียด ความกลัวและความไม่รู้ นี่แหละอันตราย ทำให้คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พลอยเชื่อและพาลเกลียดนายกไปด้วย แต่นายกเป็นบุคคลที่มีความเข้มแข็งย่อมผ่านอุปสรรคไปได้ค่ะ
พ่อครูว่า… ก็ถูกต้อง นายกฯ ก็พิสูจน์ตัวเองมาพอสมควรแล้วแต่มันห้ามไม่ได้หรอก คนไม่ชอบกันนั่นก็หนึ่ง สองแย่งชิงอำนาจบาตรใหญ่นั่นก็อีกหนึ่ง
สองตัวสำคัญนี้ก็เหลือแหล่แล้วในการเกิดสงครามสังคม
เราเห็นอย่างนี้ชอบอย่างนี้เราก็เชียร์ มันก็ต้องการให้คนมาถูกตามก็เป็นแรง เพราะฉะนั้นในโลกที่จะมีคนผู้เข้าใจถูกต้อง แล้วก็มาช่วยคนให้เข้าใจถูกต้องก็ตาม มันก็ต้องมีความจริงอยู่ในยุคกาลที่ต้องมี
ในยุคที่ไม่มีคนถูกต้องเลย กลียุค มีแต่ฆ่าแกงกัน ถือตัวกิเลสหนา คนจะมาสอนสัจธรรมอย่างไรมันก็ไม่เอา เสียเวลาเปล่า แม้แต่สัตบุรุษเกิดในยุคนั้น เป็นยุคที่สอนกันไม่ได้พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็มีแต่ศึกษาตามสังคมที่มันเป็น สอนไม่ได้หรอก ไม่ต้องสอน สัตบุรุษก็ไม่สอนแล้ว ไม่อวดรู้แล้ว เพราะอวดรู้ มันก็ไม่ฟัง มันมีแต่ความบ้าของมันไป ห้ามมันก็ไม่ได้ สอนมันก็ไม่ฟัง ก็เลยต้อง เป็นไปตามยถากรรม มันก็เป็นยุคที่ โอ้โห..อาตมาก็ว่า เคยผ่านในยุคเหล่านี้มา เอามาพูดนี่ไม่ใช่ว่าตัวเองไม่เคยผ่านมา ซึ่งในตำรามีอธิบายหรือเปล่าก็ไม่รู้ อาตมาพูดนี้ไม่ได้อ่านเอาจากในตำรา พูดโดยที่เป็นความเห็น ความรู้ ความเข้าใจ ความจริงที่อาตมาผ่านมาเข้าใจได้ ระลึกชาติได้ก็เอามาใช้
ระลึกชาติ ไม่ได้หมายความว่าต้องระลึกรู้ถึงว่า เกิดเป็นลิงเผือก เป็นลิงขาว เป็นลิงดำ เหมือนอย่างฤาษีลิงดำ เกิดเป็นช้างเผือกช้างดำ ไม่ใช่อย่างนั้น
ระลึกชาติคือระลึกถึงความรู้ ระลึกถึงความจริงที่เราผ่านมา จำได้เอามาใช้กับชีวิต เอามาใช้กับมนุษยชาติ เอามาใช้กับสังคม เป็นประโยชน์ การไประลึกชาติอย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอก แล้วจะหลงตัวเองด้วยว่าฉันเก่งฉันระลึกชาติได้ มันก็ได้นะ แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรเสียเวลาเปล่า ไปงมงายกับมัน
แต่อย่างนี้นั้นมีประโยชน์แท้เลย สืบสานมาได้เรื่อยๆเป็นความรู้ความจริง ระลึกให้ได้
ชาตินี้ 5 ชาติ
-
ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ
ชาติ เป็นคำกลางๆต้นๆ คือการเกิด โดยเฉพาะง่ายๆก็คือการเกิดร่างกาย เกิดตัวตน เกิดเป็นคน สัตว์ต่างๆ ตัวตนเราเขา มีการสืบทอดชาติ ปู่ย่าตาทวด พ่อแม่ลูกหลานต่อไปเป็นเผ่าพันธุ์
-
สัญชาติ คือ การเกิดที่เป็นความจำ สัญญะ
เป็นความรู้ที่มันติดจิตวิญญาณ ติดตัวมา อย่างอัตโนมัติ เรียกโดยศัพท์ว่าสัญชาติญาณ ซึ่งไม่ต้องศึกษาหรอกมันจะเป็นสัญชาตญาณของเรา
สัญชาตญาณของจิงโจ้ ลูกมันเกิดออกมาก็ไต่ไปหากระเป๋า ไม่มีใครไปสอนมันหรอก หรือแม้แต่ สัตว์มีชีวิตอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็มีสัญชาตญาณ คนก็เหมือนกันก็มีสัญชาตญาณ คนนี่แย่กว่าสัตว์ด้วยซ้ำไป ในสัญชาตญาณของคน สัตว์มันก็เป็นไปตามสัญชาติญาณของมันโดยง่ายๆ แล้ว มันก็เป็นไปตามนั้นตั้งแต่ต้น จนมาเรียนรู้โลกใหม่ เกิดสัญชาตญาณปรุงแต่งกันใหม่ สั่งสมลงเป็นสัญชาตญาณ ก็ติดตัวไปอีก เกิดมาก็เอาสัญชาตญาณที่มีเพิ่มขึ้นปรุงแต่งมากเพิ่มขึ้นเอาไปใช้อีก
ส่วนคนนั้นมีมาก กระทั่งได้หน้าลืมหลัง สัญชาตญาณของคนนั้นมีน้อยกว่าสัญชาตญาณของสัตว์ เพราะสัตว์มันไม่เฟ้อ มันมีแล้วก็ค่อยๆเป็นของมัน ส่วนคนมันเฟ้อ ก็เลยเอามาใช้ได้น้อยในสัญชาตญาณของคน
-
โอกกันติ คือการเกิดในปัจจุบัน ที่คุณจะเกิดกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม เกิด
กิเลสหรือเกิดปัญญา ปัญญาหรือว่าเกิดความรู้
ถ้าโลกียะก็มีแต่ความรู้เฉโก โอกกันติ ถ้ามีความรู้ วนเวียนอยู่ในความดีความชั่ว ดีเป็น
อย่างนี้ไม่ดีเป็นอย่างนี้ก็วนแต่ดีกับไม่ดีไป ตามสมมุติโลก เกิดมายุคนี้ ประเทศนี้เขาสมมุติว่าอย่างนี้ดี ประเทศอื่นอาจจะถือว่าเสียด้วยซ้ำไป อย่างโน้นดีกว่า อะไรอย่างนี้ มันก็แล้วแต่จะยึดถือ มันไม่แน่มันไม่เที่ยง ไปยึดถือเป็นจริงเป็นจังไม่ได้ จะให้เป็นเหมือนกันในมนุษย์ทั่วโลกในทั่วจักรวาลไม่ได้ เพราะฉะนั้นการเกิด โอกกันติ คือการเกิดเป็นปัจจุบันอันใหม่ที่สั่งสมลงไป
โลกียะก็สั่งสมโลกียะ จนกระทั่งเข้ามาอีกฝั่งหนึ่ง มามี..
-
นิพพัตติ เป็นสิ่งที่เกิดใหม่เรียกว่าโลกุตระธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ โลกุตรธรรม
คือธรรมะที่จับตัวกิเลสได้ แล้วประหารกิเลสแล้วดับชาติไปได้เรื่อยๆ ทำให้ชาติมันน้อยลง ชาติที่จะเป็นหลง เลอะ เกิดแล้วเกิดอีกสั้นลงน้อยลง
-
อภินิพพัตติ จบ จบความเกิดความดับ รู้มาหมดตั้งแต่ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ