650812 ปัญญาวิมุติเหนือกว่าอุภโตภาควิมุติอย่างไร พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1fg5LK-312yPuUUQ9glrFNrDA-scZjZlWCK2KFnjgU4Y/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1n2kHHMgU9GQq2xZWxtRxLgjqcUwCfN_d/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/RIfxl9WMcKs
และ
https://drive.google.com/file/d/1kDA9CyYqpdI_0-BpjHCxtEew8ZnrFvd1/view?usp=sharing
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระพันปีหลวง และเป็นวันพระใหญ่ขึ้น 15 ค่ำเดือน 9 เราก็เข้าพรรษามาได้ครบ 1 เดือนเหลืออีก 3 เดือน
ส่งข่าวไปถึงบวรต่างๆชาวอโศก พ่อครูฉันอยากจะรู้ว่า แต่ละที่แต่ละที่ มีเงินคงคลัง มีงบประมาณ แต่ละที่นี้เท่าไหร่ แต่ก่อนนี้ได้ให้แต่ละที่กำหนดดูพื้นที่ดิน ตอนนี้อยากจะรู้ยอดก็ประมาณอีก ก็ไม่รู้ว่าแต่ละที่จะสามารถรวบรวมข้อมูลได้หรือเปล่า ไปทำได้ก็อยากจะให้ลองส่งมาให้ดู แต่ละที่ มีเศรษฐกิจที่เลี้ยงดูตัวเองได้หรือไม่อย่างไร จะได้รู้ว่าเรามีต้นเค้ามีหน้าตักที่จะช่วยเหลือสังคมอย่างไร ส่งข่าวไปถึงที่ต่างๆที่ทำได้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ละบวรชุมชนมีงบประมาณทางเศรษฐกิจอย่างไร
พระอรหันต์สามารถสลายตัณหาอุปาทานได้สิ้นเกลี้ยง
พ่อครูว่า… ที่อาตมาอยากจะรู้เรื่องยอดเงินคงคลังก็ดีเงินหมุนเวียนก็ดี เพื่อที่จะรู้ความจริงที่แท้จริงเลยว่า อาตมาพามาเป็นลูกของพระพุทธเจ้าได้ขนาดนี้ และรวมกลุ่มเป็นชุมชนเป็นสังคมเหมือนชาวโลกเขา เป็นชุมชน หมู่บ้าน ตำบล จังหวัด แล้วก็รวมกันเป็นทรง ในภาพเอาทั้งประเทศ แล้วเขาก็มีชื่อเรียกกันไปต่างๆแต่ก็พอรู้ว่ามันมีชุมชนหมู่กลุ่มที่รวมกันเป็นวัฒนธรรม มีทางพฤติกรรม และมีองค์ประกอบต่างๆที่เป็นนัยยะแตกต่างกันบ้าง
แต่ก็คือเป็นมนุษย์รวมกันอยู่เป็นโขลงเป็นสัตว์โขลง ซึ่งคนนี้ฉลาดกว่าสัตว์ใดๆในโลกแล้ว สัตว์เดรัจฉานที่เป็นสัตว์โขลง เขาก็ยังสงบกันดีเหมือนกันนะ แต่เป็นคนแท้ๆกลับฆ่าแกงกันเปล่า เพราะฉะนั้น คนที่ฉลาด คนที่ประเสริฐแล้วจึงหยุดฆ่า หยุดทำร้ายคนอื่นๆแล้ว
เพราะเข้าใจความหมุนเวียนของรูปนาม ความหมุนเวียนของสภาพ 2 คือธาตุรู้กับธาตุที่ถูกรู้ ซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุด สรุปรวมและมนุษยชาติกลับมาเป็นจิตนิยาม ก็จะมีสภาพ 2 ที่เรียกโดยพยัญชนะว่า เทฺว
ศาสนาเทวนิยมรู้สูงสุดแค่ 1 แยกความเป็น 2 และก็รู้จักความแตกต่างกันต่างๆ ของความเป็นรูปเป็นนาม เริ่มตั้งแต่เป็นชีวะ ที่จริงยังไม่ใช่รูปนามแต่เป็นภาวะ +/ – เป็นภาวะ 2 ของวัตถุสสารพลังงาน ซึ่งทางวิทยาศาสตร์เขาก็รู้กันแล้ว ไบโอโลจี พยายามเรียนภาวะแตกต่างของความเป็นคู่ ก็เรียนรู้มาได้ขนาดนี้ พืชก็ตาม หรือ สัตว์โลกขั้นจิตนิยาม วิทยาศาสตร์ในโลกไม่สามารถรู้ได้ละเอียดลออเท่าพระพุทธเจ้า นักวิทยาศาสตร์ไหนๆ ก็พยายามเรียนรู้ พระพุทธเจ้าก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เรียนรู้ได้สมบูรณ์แบบที่สุด เหมือนที่นักวิทยาศาสตร์เขาอยากรู้นั่นแหละ แต่พระพุทธเจ้าเรียนรู้ ท่านก็มีความอยากรู้ จนท่านมีความรู้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ
จนกระทั่งรู้ว่าจิตวิญญาณมันเป็นอนัตตา มันไม่ใช่ตัวตนอะไร มันรวมซ้อนกันอยู่ในจิตเจตสิกมันเป็นอุปาทานยึดติดไว้ พอชัดเจนว่าอุปาทานคืออะไร จะไม่ให้อุปาทานไปยึดติดได้อย่างไร ท่านสามารถศึกษาจนรู้แจ้งจนแยกอุปาทาน เรียกว่ามันเป็นตัณหาเป็นอุปาทาน คู่สุดท้าย
อุปาทานเป็น Statics ตัณหาเป็น Dynamic คู่สุดท้ายก็เลยสามารถทำลายตัณหาทำลายอุปาทานได้ก็เลยจบได้ ก็รู้ได้ว่าจิตของมนุษย์หรือวิญญาณของมนุษย์ไม่ใช่ของพระเจ้า ไม่ใช่ของใครใคร แต่เป็นของเราเอง แล้วเราจัดการจะให้เป็นจิตวิญญาณอยู่ ในมหาจักรวาลในโลกนี้ต่อไป ยังไม่ยอมแยกทำลาย ให้หมดความเป็นพีชนิยาม ให้สลายเป็นอุตุนิยาม เป็นธาตุดินน้ำไฟลมไปเลยได้
และจะยังไม่สลายง่ายๆ มีปณิธานสูงสุดเหมือนพระอวโลกิเตศวรหรือเจ้าแม่กวนอิม จะไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสานง่ายๆ จะช่วยคนอื่นให้เป็นอรหันต์รู้พวกนี้เสียก่อน ให้คนอื่นไปนิพพานได้ทุกคน เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่ว่ากัน ก็ทำไป ก็เรียกว่าสภาพนิรันดรจริง มีปณิธานเป็นนิรันดร
ชนคนที่รู้ที่จบแล้วจะเป็นแค่พระอรหันต์ จบธาตุอยากรู้ของอัตตาตัวเองแล้วก็แยกอัตตาตัวเองเป็นดินน้ำไฟลมได้ ส่วนโพธิสัตว์นั้นอยากรู้อีกว่าและของคนอื่นๆมันมีนัยยะ มันมีประเด็นของการสังเคราะห์สารปรุงแต่งอะไรมาก มากมุมมากเหลี่ยม
จนกระทั่งศึกษาไป รู้หมดแล้วว่า เท่านี้เอง มีกาละเทศะฐานะที่เป็นไปได้จบ ก็รู้จบ ผู้ที่รู้ถ้วนโลกเลยว่า ชีวจิตนิยามยิ่งใหญ่ที่สุด กับดินน้ำไฟลม มีเท่านี้แหละ ปรุงแต่งอยู่ในมหาจักรวาลเอกภพนี้
เพราะฉะนั้น จึงเป็นสุดยอดแล้วที่จะเป็นความรู้ และจะรู้ให้อยู่อย่างดีที่สุด จนกระทั่งสลายหายไปจบได้
อาตมาก็เป็นโพธิสัตว์มาศึกษาตามมาจนถึงบัดนี้ก็พอเข้าใจถึงคำนี้พูดสู่ฟัง ไม่ใช่เรื่องตื้นเขินแล้ว เรียนรู้ให้ดีๆจะรู้ว่า ไม่ใช่เรื่องตื้น ผู้ที่ทำมาจะรู้สัจจะความจริงเพิ่มขึ้น บางคนยังไม่ถึงอรหันต์ก็รู้ได้แล้วว่า อันนี้ ยังมีที่ต่อ สอุตรังจิตตัง ยังมีจะให้ศึกษาอีกเยอะ แม้บรรลุเป็นอรหันต์แล้วยังมีโพธิสัตว์ต่อจากอรหันต์มาเป็นระดับที่ 5 ที่ 6 ถึงที่ 7 เหมือนอย่างอาตมา อาตมาก็พยายามเหลื่อมเข้าไปหา 8 ก็จะมีปณิธานไหวพริบที่จะรู้นำตามไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นใครอยากรู้ แล้วก็มีตัวสำคัญ ที่ใช้รองรับจิตก็คือ พ้นสุข พ้นทุกข์ ไม่ต้องสุขต้องทุกข์อะไรอยู่กับโลกอย่างไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว มันก็สบายแล้ว ซึ่งอันนี้ลึกซึ้งมาก
สังคมมนุษย์ที่อยู่กันอย่างยิ่งกว่าโลกเขาเป็นสุข คือ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็น อจินไตย
สายศรัทธา ก็อยากได้ความไม่สุขไม่ทุกข์นี้บ้าง แต่ ไม่มีสัมมาทิฏฐิ สายศรัทธาพยายามหาวิธี ทำผยองไม่มาฟังสายปัญญา
เดี๋ยวจะได้อธิบายเรื่องบุคคล 7 ซึ่งมีความละเอียดละออมาก
คนที่มีความรู้ความแตกต่างของทิศทางที่เป็นนัยยะละเอียดนี่แหละ ไปเห็นความแตกต่างแบบมีธรรมรส แบบหยาบๆอันนั้นยิ่งตื้น ศึกษาความเป็น 2 โดยพยัญชนะ แล้วก็จะมีความกลับไปกลับมาก็เท่านั้น หมุนสมองให้ทันสมัย
SMS วันที่ ๑๐-๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๕
_ยายทอง ตาเซียน · กระผมรู้จักศีลรู้จักมังสวิรัติก็ที่สันติอโศกเมื่อปี๒๕๒๕ ก็มีพ่อท่านสมณะสิกขมาตุพร้อมด้วยญาติธรรมทุกๆท่านที่คอยชี้แนะขัดเกลาบอกขุมทรัพย์ให้ แรกๆ ฟังธรรมของพ่อท่านบางครั้งมีความรู้สึกเหมือนถูกตบถูกแทง กระผมไม่โทษพ่อท่านหรอกครับกระผมเสียใจที่ตัวกระผมสั่งสมกิเลสอัตตามานะและสิ่งชั่วทั้งหลายมาไม่รู้กี่ภพกี่กัปกี่กัลป์ ทุกวันนี้สบายๆๆๆๆ จนกว่าจะถึงหลักชัยขอรับ
เข้าใจ กาย คือ กลัดกระดุมเม็ดแรกของการปฏิบัติธรรม
_แก้วตะวัน พวงบุบผา · กราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ..กราบขอบพระคุณท่านฟ้าไท ท่านด่วนดีและสิกขมาตุกล้าข้ามฝันที่ลงรายละเอียดทำให้เข้าใจชัดเจนขึ้นมาก …การทำดี และร่วมกิจกรรมกับหมู่กลุ่มให้ต่อเนื่อง ฝึกบ่อยๆอย่างมีเป้าหมายโดยไม่ยึด ทำให้เราเจริญขึ้น เกิดปัญญาในการปฏิบัติธรรม..ชาวอโศกมีแบบอย่างให้เห็นอย่างแสนชัด ตั้งแต่พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี และพระโสดาบันให้เดินตามรอย เหลือแต่การที่เราจะทำตามก็จะพบทางสว่างพ้นทุกข์กันทุกคน ..กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… พวกเราจะเข้าใจสมณะ 4 เข้าใจสภาวะของโสดาบัน สกิทาคามีก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้น รู้ว่าเราได้สกิทาฯแล้วนะ อนาคาฯก็ตาม จะมีตัวที่เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ รู้ได้ด้วยตน ตัดสินได้ด้วยตนเอง เปรียบเทียบเห็นความต่าง นัยยะต่าง เพื่อสรุปผลได้เลย
พวกเรายืนยันได้ เพราะปฏิบัติธรรมอย่างมีมรรคมีองค์ 8 มีโพธิปักขิยธรรมครบตามคำสอนพระพุทธเจ้า เรียนรู้กาย ตั้งแต่ สักกายทิฏฐิ ผู้ที่เข้าใจได้ก็จึงพัฒนามาเจริญได้จริง
โดยเฉพาะคำว่า กาย คำนี้ มันยิ่งใหญ่มากที่จะเป็นตัวแรกเลยที่จะต้องรู้ให้สัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่ได้เป็นอรหันต์ เหมือนว่ากลัดกระดุมเม็ดแรกไม่ถูก ก็ไม่พ้นสักกายทิฏฐิ ไม่พ้นอาสวะ 10
และรู้ว่าเมื่อแยกแล้ว อันนั้นเป็นสภาวะที่รู้องค์รวมคือ กาย แล้วทีนี้ จะมีสัมมาทิฏฐิที่แยกกายแยกจิตก็ต้องรู้อีก มันจะแยกขาดแล้วว่าเป็น อุตุอย่างไร พีชะอย่างไร จิตอย่างไร หรือด้วยกรรม และธรรมะ จะชัดเจนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งรู้ตัวจบแล้ว
เป็นโสดาบันเราสามารถดับโลกอบายเราได้จบ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… บริษัทเราก็มีครบพร้อม โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มีตัวอย่างให้เราได้เรียนรู้ครบหมด ถ้าเราไม่ยึดติดกับตัวเองเกินไป ที่พ่อครู พูดถึงสายศรัทธา ส่วนใหญ่ดิ่ง อยู่กับตัวเองไม่สามารถออกมารับรู้เห็นความเจริญก้าวหน้าของผู้อื่นได้ เราก็จะจมอยู่กับตัวเราเอง แม้จะอยู่กับหมู่ ก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร การพัฒนาก็จะไม่มีเกิดขึ้น เพราะไม่มีแสงอรุณทั้ง 7 อย่างที่คุณแก้วตะวันบอกมาว่า หมู่กลุ่มพวกเรามีองค์ประกอบอาริยบุคคลให้ศึกษากันครบพร้อม
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นเรื่องลึกซึ้งสุดยอดแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นเรื่อง ลึกซึ้งสุดยอดแล้ว ไม่มีใครอีกในเอกภพมหาจักรวาลนี้ที่จะรู้ได้ครบถ้วนอย่างนี้แล้ว ไม่ได้พูดข่มศาสดาของศาสนาอื่น ในศาสนาเทวนิยมก็จะเห็นต่างและแข่งกันตลอด จึงมีศาสดาเยอะ แต่ในศาสนาพุทธ ในยุคหนึ่ง พุทธกัปของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ บางองค์มีเป็นแสนเป็นล้านปี บางองค์มีแค่ 80,000 ศาสนาพระสมณโคดมมีแค่ 5,000 ปี
แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์รู้หมดจบเหมือนกันหมด ไม่มีอะไรที่จะไม่รู้ได้อีกแล้ว ในมหาจักรวาลที่เป็นชีวะในระดับจิตนิยาม เพราะฉะนั้นท่านก็เอามาประกาศเอามาบอกโลกเอาไว้ให้ศึกษา เพราะว่าความรู้ของพระพุทธเจ้านี้ มันสุดยอดเจริญของความเจริญของคน สุดยอดแห่งคนดีทำดีไม่มีชั่วเลย ก็สุดยอด สุดยอดรู้จักความสุขความทุกข์และความสุข
ความทุกข์และรู้เข้าใจจริงๆว่าจิตวิญญาณเป็นอนัตตาไม่ได้เป็นของพระเจ้าหรือของใครที่จะอยู่นิรันดร เป็นธาตุที่ไม่สูญสิ้น
ไม่สูญสิ้นก็คือมันไม่รู้จบ ไม่รู้จักตัวเองว่าเป็น 2 พระเจ้าไม่รู้ตัวเอง แม้แต่ตัวพระเจ้าเองก็ยังไม่มีใครรู้ พระศาสดาที่เป็นพระบุตร ก็ยังไม่รู้จักพระเจ้า
จริงๆแล้วศาสดาเทวนิยมนั้น ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะไม่รู้จักตัวเอง พระเจ้าก็คือจิตวิญญาณ คือพระจิต พระวิญญาณในตัวเองนี่แหละ แล้วตัวเองได้สั่งสม บารมีมา จนได้เป็นพระศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของเทวนิยม เป็นความรู้ของตัวเอง แต่ไม่รู้ของตัวเอง เขาไม่รู้ตัวเอง ว่าตัวเองเก่งขนาดนี้เราคิดเองได้อย่างไร มันจะต้องมีใครคนหนึ่งที่บันดาลให้เรา เพราะมันไม่มีระบบ มันไม่มีความรู้ที่ร้อยเรียงให้รู้ อ๋อ เราได้มา เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย มันไม่รู้
แต่ของพระพุทธเจ้านั้นรู้หมด จึงเอามาพูด เอามาสาธยายได้ และเป็นพระพุทธเจ้าจึงไม่แข่งกัน ผู้ที่เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าไม่มีคู่แข่ง ในยุคไหนๆพระพุทธเจ้าเกิดมาแต่ละองค์ๆก็ไม่มีคู่แข่ง มีองค์เดียวเป็นเลิศ
เมื่อถึงเวลาที่พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นทำเนียบแล้ว ท่านก็จบปรินิพพานเป็น ปริโยสานไป พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปที่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณก็เกิดขึ้นมาในโลกมนุษย์ เมื่อถึงเวลาที่จะมาอุบัติอย่างนี้เป็นต้น ศึกษาดีๆแล้วสุดยอดไม่มีอะไรเท่าเลย พูดไปแล้วเหมือนยกตัวอย่างตน แต่เป็นจริง ผู้ใดที่รู้สึกว่าอาตมายก ก็เป็นความรู้สึกของคนผู้นั้น อาตมาไม่ได้ยกมันก็มีความจริงตามความเป็นจริง จะสูงกว่าต่ำกว่ายังไงก็เป็นความจริง แล้วเราก็บอกด้วยภาษาว่าสูงกว่า ไม่ได้ยกว่าอันนี้สูงกว่าอันนี้ ความจริงอันนี้มันอยู่เนื้อมันสูงกว่าความจริงอีกด้านหนึ่งเท่านั้นเอง
ซึ่งคนเข้าใจได้ ไม่มีตัวมีตนก็เข้าใจ แต่เมื่อมีตัวมีตนเข้าไปรับก็จะไม่พอใจ ทำไมอันนั้นสูงกว่า ถ้ารู้ความจริงก็จะรู้ว่าอันไหนสูงกว่าอย่างไร อธิบายได้ ซึ่งถ้าไม่มีสภาวะความจริงจะไม่มีคำอธิบายให้รู้ ก็ต้องศึกษาดีๆ แล้วจะชัดเจน
_โกศล สุขเล็ก · กราบคารวะพ่อท่าน..ผู้ที่หลุดพ้นใด้ในชาตินี้ถือเป็นวาสนาอย่างที่สุด../..ผู้มีวิหารธรรมจะอยู่บ้านหรืออยู่วัดคงไม่ใช่ปัญหา..
มาอยู่วัดปัญหาชีวิตจะน้อยกว่าอยู่บ้าน
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง ขณะนี้กำลังรับชม และฟังอยู่ค่ะ มีคนถามว่าใครเป็นคนคิดค้น การค้าบุญนิยม สี่ระดับ พ่อท่านบอกว่า ให้บอกไปเลยว่าอาตมาเป็นคนคิดเรื่องพาณิชย์บุญนิยม สี่ระดับ
พ่อครูว่า… ก็จริงอยู่ แต่ผู้อยู่บ้านหรืออยู่วัด โดยเฉพาะวัดของชาวอโศก วัดเป็นที่รวมของบวร วัดบ้านโรงเรียนไม่ได้แยกกัน เพราะฉะนั้นจึงเป็นถิ่นที่น่าอยู่ที่สุดกว่าคนที่อยู่ทางบ้าน เพราะคุณจะไกลวัด คุณก็จะไม่มีโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนแบบสัมมาสิกขาา
ผู้ที่อยู่แต่บ้าน ก็ห่างจากบ้านวัดโรงเรียน ผู้มีปัญญาเรียบร้อย ก็จะเห็นว่าอยู่บ้าน หรืออยู่วัดก็ไม่มี ปัญหา ซึ่งที่จริงแล้วมันมีปัญหาแต่คุณไม่รู้ปัญหาเพราะคุณไม่มีปัญญา ถ้ามีปัญญาก็จะรู้ว่าปัญหามันมีมากกว่า
อยู่รวมเป็นหมู่กลุ่ม ปัญหามันน้อยลง จนกระทั่งไม่มีปัญหาได้ ถ้าอยู่บ้านก็มีผัสสะ มีอะไรต่างๆนานา จะปฏิบัติจนสูงขึ้นกระทั่งไม่ติดในผัสสะแล้วยาก แต่ถ้ามาอยู่รวมกับหมู่ กลุ่มก็จะปฏิบัติจนไม่ยึดในผัสสะ ปฏิบัติให้มันเสมอสมานกันได้ สิ่งสูงสุดที่เสมอสมาน กันได้อย่างเดียวก็คือเป็นพระอรหันต์
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง ขณะนี้กำลังรับชม และฟังอยู่ค่ะ มีคนถามว่าใครเป็นคนคิดค้น การค้าบุญนิยม 4 ระดับ ฟพ่อท่านบอกว่า ให้บอกไปเลยว่าอาตมาเป็นคนคิดเรื่องพาณิชย์บุญนิยม สี่ระดับ
พ่อครูว่า… ถูกต้องแล้ว จะยังไม่อธิบายเรื่องพาณิชย์นิยม 4 ระดับ ถ้าอยากรู้ก็ค่อยถามมา ตอนนี้ยังไม่ตอบ ตั้งใจจะอธิบาย
ปัญญาวิมุติเหนือกว่าอุภโตภาควิมุติอย่างไร
มาเข้าเรื่องบุคคล 7
บุคคล 9 ก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า 2 บุคคลนี้ยกไว้ยังไม่ต้องพูดถึง ศึกษาไปตั้งแต่ ขั้น อุภโตภาควิมุติ มาจนถึง สัทธานุสารี จำภาษาบาลีไว้บ้าง
อุภโตภาควิมุติ ปัญญาวิมุติ กายสักขี ทิฏฐิปัตตะ สัทธาวิมุติ ธัมมานุสารี ธัมมานุสารี (ไล่จากสูงลงมา)
ทีนี้มาไล่ 7 สองอันแรกยกไว้แล้ว คือไล่ตั้งแต่
สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุติ ทิฏฐิปัตตะ ปัญญาวิมุตติ อุภโตภาควิมุติ
อาตมาขอถามพวกคุณนิดนึง ปัญญาวิมุติ กับ อุภโตภาควิมุติ ใครสูงกว่ากัน … อุภโตภาควิมุติ
ที่จริงแล้ว อุภโตภาควิมุติ นั้น ต่ำกว่า ปัญญาวิมุตติ เห็นไหมว่า สิริมหามายา เป็นอย่างนั้น เพราะ อุภโตภาควิมุติ ยังไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้นจึงต้องไปอีกขั้นหนึ่งไป ถึงอุภโตภาควิมุติ ก็ได้ปัญญาเพราะเป็นสาย เจโตปริยญาณ 16
อุภโตภาควิมุติ คือ สายสัทธานุสารี แล้วจะต้องใช้การพัฒนาตัวเองจนถึงขั้น 7 จึงบรรลุ อาสวะสิ้น
ส่วน ปัญญาวิมุติ อาสวะ สิ้น ตั้งแต่ขั้นที่ 6 แล้ว
เป็นความลึกซึ้งซับซ้อน ฟังดีๆจะชัดเจน
เพราะฉะนั้น สายปัญญาจึงตรัสรู้เร็วกว่าสายศรัทธา พระพุทธเจ้าสายปัญญา เป็นต้น อาตมา สายพระพุทธเจ้า สายพระสารีบุตร ไม่ใช่สายพระโมคคัลลา นี่เป็นความซับซ้อน ลึกซึ้ง
มาไล่ให้ฟัง เอาตามพระไตรปิฎกเลย แล้วหยิบคำต่างๆมาเทียบให้ฟังเลย
[๔๖] บุคคลชื่อว่าสัทธานุสารี เป็นไฉนสัทธินทรีย์ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล มีประมาณยิ่ง อบรมอริยมรรคมีสัทธาเป็นเครื่องนำมา มีสัทธาเป็นประธานให้
เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า สัทธานุสารีบุคคล ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
ชื่อว่าสัทธานุสารี ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าสัทธาวิมุต
พ่อครูว่า… มีสัทธินทรีย์ แค่มีกำลังมีพลังงานโดยมีศรัทธานำ มีศรัทธาเป็นแกนที่พาไป ซึ่งตระกูลของศรัทธา
ศรัทธาจริต กับพุทธิจริต คือปัญญานี่แหละ เป็นสองตระกูลใหญ่ๆ เป็นธรรมดาธรรมชาติของ 2 สายนี้ จนกว่าจะถึงสุดท้ายคือ อุภโตภาควิมุติ จึงจะหมด
เพราะฉะนั้น สายศรัทธาจริงๆ กว่าจะถึง อุภโตภาควิมุติ ต้องมีถึง 7 ขั้นถึงจะบรรลุ ส่วนสายปัญญานั้นมีแค่ 6 ขั้น ก็บรรลุเป็นอรหันต์แล้ว สายศรัทธา ต้องถึงขั้นที่ 7 จึงบรรลุ แม้แค่กายสักขี ก็ทำได้อาสวะบางอย่างสิ้นไปเท่านั้น ไม่ทั้งหมด แต่ปัญญาวิมุติขั้นที่ 6 แล้วก็หมดสิ้นอาสวะแล้ว
ไล่ไปตั้งแต่ [๔๖] บุคคลชื่อว่าสัทธานุสารี เป็นไฉน สัทธินทรีย์ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล มีประมาณยิ่ง
พ่อครูว่า… เริ่มต้นยังไม่ได้เป็นอาริยะบุคคล กำลังทำให้แจ้งในโสดาปัตติผล ทำให้พ้น สังโยชน์ 3 สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กว่าจะพ้น เป็น โสดาบัน สกิทาคามี ก็ทำให้หมดกิเลสภายนอกจะเหลือแต่ภายในเป็นอนาคามี ก็ไล่เก็บกิเลสภายในจนเป็นอรหันต์
ย่อมอบรมอริยมรรคมีสัทธาเป็นเครื่องนำมา มีสัทธาเป็นประธานให้เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า สัทธานุสารีบุคคล ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าสัทธานุสารี ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าสัทธาวิมุต
[๔๕] บุคคลชื่อว่าธัมมานุสารี เป็นไฉน ปัญญินทรีย์ของบุคคลใด ผู้ปฏิบัติเพื่อ
ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลมีประมาณยิ่ง บุคคลนั้นย่อมอบรมซึ่งอริยมรรคอันมีปัญญาเป็นเครื่องนำมา มีปัญญาเป็นประธานให้เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า ธัมมานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าธัมมานุสารี บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ
พ่อครูว่า… จะมีคู่ของชื่อของตน ก็มี 3 คู่
สัทธานุสารี กับ ธัมมานุสารี
ทิฏฐิปัตตะ กับ กายสักขี
ปัญญาวิมุติ กับ อุภโตภาควิมุติ
เมื่อกี้นี้ไขแล้วนะ ปัญญาวิมุตติ กับ อุภโตภาควิมุติ ปัญญาวิมุตินั้นเจริญกว่า
เพราะ กว่าจะได้ อุภโตภาควิมุติ ต้องใช้เวลาพากเพียร ถึง 7 ขั้นตอน ช้าไปกว่า สายปัญญาตั้ง 1 ขั้นตอน สายปัญญาสบายๆแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แล้ว เป็นอรหันต์ได้แล้ว
กายสักขี ยังเรียก อรหันต์ไม่ได้ จะเป็นพระอรหันต์ได้ต้องระดับที่ 7 ระดับที่ 6 ก็ยังเป็นไม่ได้ ต้องไประดับที่ 7 จึงเป็นพระอรหันต์ได้ ในสายศรัทธา
ฟังดีๆ ธรรมะนี้เป็นสิริมหามายา ถ้าเข้าใจไม่ได้ก็เหมือนถูกเล่นกล อันนี้มีนกพิราบ อันนี้นกพิราบหายไป แต่มันเป็นมายากล แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นสิริมหามายาจะให้เกิด เป็น อะไรก็ได้อย่างไม่ได้เล่นกล เป็นความจริงด้วย อันนี้อันนี้ก็เป็นความจริง อีกอันหนึ่ง ก็เป็นความจริงอีกด้านหนึ่ง สลับไปสลับมา
สุดยอด คำว่า สิริมหามายา กับคำว่า สิทธัตถะ อาตมาก็พยายามขยายความอยู่ ซึ่งไม่ต้องไปเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ต้องไปเป็นแม่ของพระพุทธเจ้าที่เป็นตัวตน บุคคล เราเขา หรอก แม้แต่สภาวธรรมเดี๋ยวนี้เราก็เป็นสิริมหามายา แล้วเราก็ทำสิทธัตถะในตัวเราเอง สำเร็จอยู่เสมอๆ ที่คุณทำได้
สิทธัตถะ โดยภาษาแปลความว่า ผู้มีตัณหาอันสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ที่สำเร็จตัณหา ผู้ที่มีตัณหาก็ได้ ไม่มีตัณหาก็ได้ เป็นผู้ที่มีวิภวตัณหา ตัณหาที่ไม่มีภพแล้วหรือยังมีภพอยู่ก็ได้ นี่คือภาวะของ 2 สภาพ ที่จบในตัวมันเอง 2 ใน 1ใน 2 ซึ่งคนนี้จะไม่มีความงง ไม่มีความไม่รู้แต่รู้หมด ไม่งง คุณจะสลับอย่างไร ก็ไม่งง กว่าคุณจะมีภูมิรู้ความเร็วของการสลับกันนี้ หรือความละเอียดมีมาก มีละเอียดลงไป แล้วมากกับละเอียดนี้ อันเดียวกันเลย
มาก มันมีเล็กๆน้อยๆ นี่มันมาก ละเอียดนี้ แต่มีต่างกันไปเรื่อยๆ แต่กว่าคุณจะรู้คู่ของความละเอียดที่มันมีมากระดับ นี่แหละ ยาก กว่าจะเป็น อภิภู นี่กว่า อาตมาจะเข้าใจอภิภู นี้ไม่ใช่เรื่องเล่น อภิภู ระดับ 8 อาตมาถึงระดับ 7 แต่ก็พอมีภูมิรู้ จึงพอรู้ตัวเองบอกตัวเองได้ว่าตอนนี้อาตมาขึ้นระดับ 8 ไปตามลำดับ แต่ยังพูดไม่ได้ว่า เป็น อภิภูผู้ยิ่งใหญ่ พูดได้แต่ว่าขึ้นระดับ 8 แล้ว
ธัมมานุสารี กับ สัทธานุสารี เป็นคู่แรก เป็นผู้ตามหาโสดาปัตติผล ก่อนจะมีโสดาปัตติผลต้องมีโสดาปัตติมรรค ก่อนจะมีโสดาปัตติมรรค ต้องมีสัมมาทิฏฐิ
ก่อนจะปฏิบัติ มรรคมีองค์ 8 คือ ทางปฏิบัติ ก่อนจะปฏิบัติต้องรู้จักทางที่สัมมาก่อน ตัวไขทาง สัมมาทิฏฐิตัวแรก คือต้องมีสัมมาทิฏฐิตัวแรก
ทิฏฐิตัวแรกคือ สักกายทิฏฐิ ก่อนคนจะมี สักกายทิฏฐิ อย่างละเอียดพอ มีจำนวนถูกสัดส่วนที่จะดำเนินไปตามลำดับ อย่างพ้นวิจิกิจฉา อย่างพ้นความลังเลสงสัย ไม่เข้าใจ แม้แต่เบื้องต้นแล้วต่อไปก็ไม่สงสัย เบื้องปลายก็ไม่สงสัย ยิ่งจบเลย มีผลเลย ก็ยังหมดสงสัยเลย แต่ถ้าเผื่อว่ามันยังไม่ใช่ มันยังมีความแย้ง ความขัด คุณจะไม่พ้น วิจิกิจฉา ได้ง่ายๆ เลย ไม่ง่าย วิจิกิจฉา ก็จะเป็นสังโยชน์เป็นอนุสัยไปเรื่อยๆ
ลำดับ สัทธานุสารี จะไปได้วิมุติ ชื่อว่า สัทธาวิมุติ ซึ่งเป็นความเจริญไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเขาว่าเขาเจริญ เขาก็เจริญไปเป็น สัทธาวิมุติ ก็คือไปยึดถือว่าได้วิมุตินี้เจริญ คนที่ได้วิมุตินี้เจริญ เข้าใจกันถ้วนทั่วเลย แต่เขาไปเข้าใจวิมุติผิด
เพราะฉะนั้น สัทธานุสารี กว่าจะไปได้วิมุติ สัมมา ถูกต้อง ต้องพ้น มิจฉาทิฏฐิ
มิจฉาทิฏฐิตัวสำคัญก็คือ กาย ยังเข้าใจคำว่า กายไม่เพียงพอ ไม่บริบูรณ์พอ ยังไม่มากเพียงพอ กายนี้ เป็นตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งจบ เป็นอรหันต์นี้ตรวจด้วยกาย มีสัญญากำหนดรู้ความเป็นกาย
ตั้งแต่ ความเป็นกายที่มันต่างกัน กายต่างกัน สัญญาต่างกัน คุณรู้ มนุษย์ เทวดา มารพรหม ต่างกันไปหมด กายต่างกัน สัญญาต่างกัน ในวิญญาณฐีติ 7
พอสมมุติว่า ปฐมฌานคือ ไม่มีนิวรณ์ 5 ทำฌานได้
มิจฉาฌาน เป็นสายศรัทธา สายเดียรถีย์ ก็ไปเข้าใจว่า หลับตาแล้วดับไม่ให้จิตมีนิวรณ์ 5 คุณก็ไม่มีนิวรณ์ 5 ได้แต่คุณดับจิต
ต่างจาก ปัญญา ปัญญานั้นลืมตาก็ไม่มีนิวรณ์ 5 ตาหูจมูกลิ้นกาย เห็นอยู่แต่จิตไม่มีนิวรณ์ 5 ใน วิญญาณฐีติข้อที่ 2
[๔๕] บุคคลชื่อว่าธัมมานุสารี เป็นไฉน ปัญญินทรีย์ของบุคคลใด ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่ง โสดาปัตติผลมีประมาณยิ่ง บุคคลนั้นย่อมอบรมซึ่งอริยมรรค อันมีปัญญาเป็นเครื่องนำมา มีปัญญาเป็นประธานให้เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า ธัมมานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าธัมมานุสารี บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้ว ในผล ชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ
ทีนี้ ขึ้นไปสู่บุคคลที่ 3
สัทธาวิมุต
[๔๔] บุคคลชื่อว่าสัทธาวิมุต เป็นไฉน… บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อนึ่งธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้วด้วยปัญญา ดำเนินไปดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่ง อาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา แต่มิใช่เหมือนบุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ บุคคลนี้เรียกว่าสัทธาวิมุต
พ่อครูว่า… ปัญญาจะทำให้อาสวะสิ้น ศรัทธาทำให้อาสวะสิ้นไม่ได้
แล้วที่ว่าอะไรที่ไม่เหมือนบุคคลผู้ที่เป็น ทิฏฐิปัตตะ คือ สายศรัทธาคุณยากกว่า คุณช้ากว่า ไม่เหมือนตรงนี้ สัทธานุสารี ไปเป็นสัทธาวิมุตจะช้าจะยากกว่า
อันที่เป็นปัญญาตามลำดับ อาสวะบางอย่างเบื้องต้นทำได้สิ แต่สิ่งที่ละเอียดที่ยากนั้นจะทำได้ยากกว่า สายศรัทธา จะช้าและยากกว่าปัญญา ไม่เหมือนกันตรงที่ช้าและยากกว่ากัน
[๔๓] บุคคลชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ เป็นไฉน …บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้วด้วยปัญญา ดำเนินไปดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาบุคคลนี้เรียกว่า ทิฏฐิปัตตะ
พ่อครูว่า… สัทธาวิมุติ ไม่รู้จักความเป็นกายได้ง่ายๆนี่คือประเด็น ที่จริงแล้ว ปัญญาวิมุติ สายปัญญาพุทธิจริต ควรจะรู้ กาย ได้เร็วกว่า ศรัทธา ใช่ไหม ใช่
แต่ พวกที่ไม่รู้ กาย แม้เป็นสายปัญญาแท้ๆไม่รู้กายได้ง่ายๆ เพราะไม่ฟังสัตบุรุษ ไม่ได้ฟังจากพระโอษฏ์ของ พระพุทธเจ้า ไม่ฟังจากสัตบุรุษ ไม่เชื่อว่าเป็นสัตบุรุษจริง มีอัตตามานะในตัวเอง ดังที่คนในขณะนี้ที่อยู่ในเถรสมาคม เรียนรู้หมดที่อาตมาพูดมีรู้หมด แต่เพราะมีกิเลสอัตตามานะ จึงฟังไม่ขึ้นฟังไม่เข้าฟังไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไร
ไม่เข้าใจคำว่า กาย ยากไหม?
ถ้าผู้นี้เข้าใจคำว่า กายในตน เป็นสักกายะแล้ว จนพ้น วิจิกิจฉา แล้วมีศีลพรต มีข้อปฏิบัติที่สัมมาทิฏฐิไปตามลำดับได้แล้ว ผู้นี้จะเจริญขึ้นทันที
ลำดับที่จะปฏิบัติไปตามลำดับจริงคืออะไรก็คือจรณะ 15 วิชชา 8
มีศีล เป็นตัวสำคัญตัวหลัก ที่อาตมาขยายมาตั้งแต่ต้น เดี๋ยวนี้ก็ยังขยาย แล้วก็มีตัวต้นอยู่ที่ขยายก็คือ ศีล ตัวต้น แล้วศีลข้อแรกคือสัตว์ อย่าฆ่าสัตว์ อย่าทำร้ายสัตว์แล้วอาตมาบอกถึงขั้นว่า คุณจะเข้าใจกรรมวิบาก
คนที่มีปัญญาเข้าใจเรื่องกรรมวิบากจะไม่กินเนื้อสัตว์ เพราะเชื่อในกรรมวิบาก เพราะกรรมและวิบากนี้มันผูกพันกัน สัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้หรอกว่ามันเป็นตัวตนของมัน ใครกินมัน มันก็ยึดว่าเป็นของมันทั้งนั้นแหละ มันก็จองเวรกันทั้งนั้น แต่คนที่ไม่เชื่อกรรม วิบาก ฟังอาตมาไม่เข้าใจ ไม่เชื่อว่ากรรมวิบากจะผูกพันแบบนี้ เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็กินเนื้อ สัตว์ อยู่นั่นแหละ
ซึ่งอาตมาขยายความเอาชีวกสูตร 5 ข้อมาขยาย ก็ยังเข้าใจยากกันอยู่ นั่นแหละ
5 ข้อของชีวกสูตร มันหมายถึงบาปตั้งแต่ต้นและบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย แล้วบาปของ ชีวกสูตร เป็นบาปที่ละเอียดมากเลย
ชีวกสูตร
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60