650803 จบรูป 28 สู่เรือนาวาบุญนิยมพาพ้นไฟโลกีย์ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1a29MdMNz8Bhy_pvzXxSxdScgbYlSEsL9FVAyfk9wlKE/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://terabox.com/s/12Qjs161UeufUDTqXhCUmpA
และดูวิดีโอได้ที่https://youtu.be/1ljFY9Yk19I
และ https://fb.watch/eG9-2YLKYU/
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ในยุคปัจจุบันสังคมเต็มไปด้วยการแย่งชิงฆ่าแข่งขัน แม้แต่ในระดับประเทศ บางทีได้เงินได้ทองมามากก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ก็มีแต่ทุกข์ในหัวใจอยู่ประจำเสมอๆ ชาวอโศกมาอยู่กับพ่อครู ที่ท่านได้มาจำแนกแจกแจงธรรมะให้พวกเราได้ปฏิบัติ เป็น เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย สั่งสมเป็นอริยบุคคล มาอยู่รวมกันเป็นชุมชน ซึ่งในยุคนี้ไม่มีใครจะทำได้อย่างนี้แล้ว
พ่อครูว่า… อาตมามีความรู้ทางอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาทต่อไปจนได้ มีคำอะไรขึ้นมาคำนึง ยิ่งภาษาบาลียิ่งแจ๋ว ภาษาไทยก็ได้ จากภาษาไทยเป็นภาษาบาลีแล้วก็จากนั้นก็ยาวได้เลย จนจบ เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นมา 0 นี้เท่ากับ Infinity เมื่อเรารู้เรื่อง 0 เราก็จบ เท่ากับเรารู้ตั้งแต่ 1 ถึง Infinity (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสเรื่องคนจน 1 หน้ากระดาษ พ่อครูขยายความไปได้เป็นหนังสือหลายเล่ม
พ่อครูว่า… อ่านของคุณใบแพรก่อน
1.พระพุทธเจ้าตรัสว่าร่างกายที่เรารักเราหลงที่สุด ก็ยังไม่ใช่ของเรา จะกล่าวไปไยกับเรื่องของเงินทองสมบัติวัตถุที่อยู่นอกตัวตนของเรา เราก็ยังหวงไว้ไม่ได้ ของที่เป็นของๆเรา เราก็ยังยึดยังหวงไว้ไม่ได้ แล้วเรายังจะไปยึดไปหวงกับของที่ไม่ใช่ของของเรา อย่างเช่น เราอยู่ในสาธารณโภคีกินใช้ร่วมกัน โดยสัจจะเราควรทำเพียงดูแลรักษา แต่ถ้าผู้ใดไปมีจิตยึดไปหวง กรรมของผู้นั้น จะยิ่งเพิ่มทวีทับทวีมากกว่าการหวงของๆตนใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า… ใช่ เพราะว่าเป็นของส่วนกลางไม่ใช่ของเราแล้ว ไปยึดเป็นของๆเรา เราดูแลรักษาแค่เพียงดูแลรักษา ช่วยกันถูกแล้วนะ
-
ผู้ที่ประพฤติตนเป็นคนขี้หวงขี้เหนียวขี้โลภ ทั้งๆที่ของสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ของของตน จึงเป็นผู้จัดอยู่ในประเภทเนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนอน แต่เอาบาปมาแขวนคอใช่ไหมคะ
-
บ้างก็ปฏิบัติตนเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ สอดส่องจับผิดบ้างถูกบ้าง เวลาเกิดปัญหาก็จะมีภาษาที่ฟังแล้วดูดี เพื่อกลบเกลื่อนกิเลสตัวเองว่า ที่ฉันทำฉันพูดนี้เพราะฉันรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมนะ แบบนี้จัดอยู่ในประเภท ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ไหมคะ
พ่อครูว่า… ใช่ หวงกันจัง เสร็จแล้วก็อยู่ตรงนั้นแหละ เหมือนกับพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระหวงจีวร เสร็จแล้วตายไปแล้วกลายเป็นเลนส์เกาะอยู่ที่จีวรไม่ไปไหน วนเวียน อยู่กับของๆกูอยู่นั่นน่ะ
-
เมื่อเรามุ่งเป้ามาเส้นทางสายนี้มาเดินตามรอยเท้าพ่อ ตั้งแต่สมเด็จพ่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อหลวงในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อท่านที่ยังมีชีวิตอยู่อบรมสอนเราเสมอไม่เคยได้ยินท่านสอนให้เราหอบหวงกอบโกย โลภมาก ได้ยินแต่ท่านสอนเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละแบ่งปัน และยังมีความละเอียดลึกซึ้งของผู้มีจิตวิญญาณที่สูงส่งว่า การให้ก็ต้องให้แต่สิ่งที่ดีๆ ของที่ดีๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าให้ เมื่อลูกไม่เอาเยี่ยงอย่างที่พ่อสอน จะนับเป็นลูกนอกคอกไหมคะ แต่โดยรวมในสายตาที่ลูกรู้จักยังเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่เสมอ การให้ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดคือ การให้กิเลสออกไปจากตัวเราให้มากให้หมด จากจิตวิญญาณ นี่คือการให้ที่ตรงที่สุดสูงสุดของผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม
พ่อครูว่า… ใช่ถูกแล้ว เข้าใจดีแล้วก็เผื่อแผ่บอกผู้อื่นต่อ Ok ดีมาก
ชาวโลกุตระจะรอดจากไฟท่วมโลกด้วยเรือนาวาบุญนิยม
มาต่อ เวทนา
ข้อ 1 อะไรคือเวทนา เวทนามันมีในคนทุกคน ทุกคนมีเวทนา เวทนาคืออะไร เวทนาคืออาการที่มันมีความรู้สึก เป็นความรู้สึก จิตของเรามันมีความรู้สึก มันเป็นอาการของใจ รู้สึก รู้ๆ แล้วก็รู้สึก สึกก็แปลว่ารู้อยู่นี่
ที่จริง คำว่า สึก นี้คือ การทำการรบ ถ้ายังไม่มีวิชชา ถ้ายังไม่มีปัญญาชัดเจนว่า อ้อ.. ถ้าเผื่อว่าเวทนาที่ยังมี 2 อยู่ตลอดเวลา แล้วเราไม่เข้าใจใน 2 มันก็จะทะเลาะกัน มันก็จะรบกัน มันก็จะฆ่ากันอยู่อย่างนี้ มันไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่สรุปผลง่ายๆ
เพราะฉะนั้นปฏิภาณปัญญาที่รู้ชัดเจนที่สุดใน 2 กับ 1, 1 กับ 2 นี่แหละ ทำให้ลงตัว ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วน 2 (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
คำว่า 1 ใน 2 หรือ 2 ใน 1 ผู้ที่ยังมีชีวิตเป็นมนุษย์ จะต้องมี 1 ใน 2 หรือ 2 ใน 1 จะเป็นผู้มีอยู่ตลอดเป็นสิริมหามายา ถ้าเข้าใจไม่ทันมันจะเป็นมายาหลอกคุณ ถ้าเข้าใจได้ทันมันจะเป็นสิริมหามายา มันจะเป็นสภาวะ 2 ที่จะเป็นผู้ให้กำเนิด สิริมหามายาคือแม่
ผู้ที่จะให้กำเนิดอกุศลจิต ให้กำเนิดอวิชชา มันจะให้กำเนิด ทุกข์ มันจะให้กำเนิดการทำกรรมบาปแก่ผู้อวิชชาตลอดกาล
เพราะฉะนั้นใครที่ทำความจบ ทำความเป็นปัญญาให้รู้ สภาพ 1 ใน 2 , 2 ใน 1 ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ล.10 ข.60
ทำให้ 2 เป็น 1 ให้สำเร็จเรียบร้อยให้ได้ให้เกิด 1 ในตัวเราจริงๆ แล้วเราก็รู้แล้วว่าเราทำสำเร็จก็จบ ตัวใดมาเราก็จัดการให้เป็น 1 ได้สำเร็จ อาศัย 1 อยู่ในขณะที่คุณยังไม่ตายเป็นปริโยสาน ยังไม่ตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณก็ยังมีชีวิตคุณก็ยังอยู่กับ 2 ตลอดกาล
เพราะฉะนั้นในอะไรก็แล้วแต่ คนที่ไม่รู้ความจริงอย่างสมบูรณ์แบบด้วยปัญญา 2 ใน1 แล้วทำ 1 ใน 2 ได้อย่างสิริมหามายาสมบูรณ์แบบ
คุณจะเอา 1 โดยเฉพาะ 1 ที่จะเป็นตัวกูของกู เหมือนอย่างเทวนิยมเขาไม่เข้าใจ ประชาธิปไตยของชาวเทวนิยมจึงไม่มีทางรู้ความละเอียดของความเป็นปัญญาธาตุรู้ ที่ 2 เป็น 1, 1 เป็น 2 นี้อย่างอนุโลมปฏิโลม ตามสิริมหามายา กับผู้ที่ยังยึดถืออยู่ ยึดมากยึดน้อย ยึดมากก็ไปๆๆห่างๆ ยึดน้อยลง ก็อยู่ด้วยกันได้เพราะอนุโลมปฏิโลมก็สอนกันได้ พวกที่ยึดถือมากก็สอนยาก ห่างไกล ถือว่าเป็นพาลชน ยังมีอยู่ในสังคมโลกที่เรียกตนเองว่า ประชาธิปไตยก็ตาม คอมมิวนิสต์ก็ตาม
คอมมิวนิสต์ ยึดในประชาธิปไตย ทำทีเป็น ยึดนอก แหมทำเป็นเก่งยึดนอก จะรวมกันเป็น 1 ให้สงบ อีกอันก็ยึดใน รวมกันเป็น 1 ให้สงบ พวกคอมมิวนิสต์ เสร็จแล้วก็ไม่รู้นอกรู้ในอะไรหรอก ไม่รู้โลกนอกหมดโลก ไม่รู้อัตตา เขาก็ไม่รู้ความเป็นโลก กับความเป็นอัตตา
ความเป็นโลกคือข้างนอกทั้งหมด ความเป็นนัยคือ อัตตา ภายในทั้งหมด เขาก็ไม่รู้ซึ่งต้องอาศัยกันและกันโลกและอัตตา ต้องอาศัยกันและกันอย่างได้สัดส่วน
เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยเพราะมีความรู้พื้นฐาน และตั้งแต่เริ่มต้นสร้างประเทศไทยคือพุทธศาสนา ที่มีแกน เป็นโลกุตระมาแล้ว ศาสนาพุทธใช้ภูมิธรรมโลกุตระมา ตั้งแต่สร้างประเทศ สร้างมาเรื่อยๆ ก็ใช้ได้ประมาณหนึ่ง เรียบร้อยประมาณหนึ่ง
ในยุคต้นๆ ประเทศไทยนั้น เริ่มตั้งแต่ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนรามคำแหงมา ก็ใช้โลกุตรธรรมสอนมา แล้วคนก็ยังไม่เลวร้าย ยังไม่โง่มาก ยังไม่มีกิเลสหนักหนาสาหัสอย่างทุกวันนี้ ก็สอนได้ ยังไม่พิสดารนัก พอเพิ่มขึ้นมาตามกาลเวลา เพิ่มขึ้นเรื่อยๆความเสื่อมของศาสนาพุทธก็เสื่อมลงมา จนมาถึง พ.ศ.2500 ขึ้นมา ยุคนี้ อาตมามาเกิด
เจ้าประคุณเอ๋ย โลกุตรธรรมมันหมดเกลี้ยงหายไปหมด อาตมาก็รู้อยู่หรอก มาเกิดก็เพื่อจะทำอันนี้ เพราะรับผิดชอบ มารับหน้าที่ต่อจากพระพุทธเจ้า รับงานมาจริงๆ ไม่ได้พูดเล่นหรอก พูดจริงๆ หากพูดไม่จริงก็บาป พูดผิดก็บาป แต่นี่ไม่ได้ผิดอะไร พิสูจน์ไปเถอะ
ก็จึงต้องมาทำกันต่อไปนี่ ก็มีในหลวงรัชกาลที่ 9 ช่วยอาตมาส่วนหนึ่งไปแล้ว นอกนั้นอาตมาก็รับเหมาเละเลย ทำไป เพราะในโลกยุคต่อไปนี้ใกล้กลียุค ผู้ที่จะรอดก็คือผู้ได้โลกุตรธรรม ในยุคที่มีไฟบรรลัยกัลป์ หรือ ทางศาสนาคริสต์บอกว่าน้ำท่วมโลก แต่ทางเอเชียศาสนาทางนี้จะบอกว่าไฟจะไหม้เป็นไฟบรรลัยกัลป์ เป็นสำนวน ก็คือมันฆ่ากันบรรลัยจักร ตายกันไปหมด ทางตะวันตกก็บอกว่าน้ำท่วมโลก คนก็ตายอย่างเย็น เขาทำทีว่าตายอย่างเย็น แต่แท้จริงมันจะตายอย่างร้อน ทางตะวันออกจะตายอย่างไฟประลัยกัลป์กันไหม้หมด นี่เป็นสำนวนตายอย่างร้อน มันเป็นเช่นนั้น
ไม่มีอะไรจะไปห้ามความจริงอันนี้ ไม่เกิดไม่ได้ มันต้องเกิด เพราะฉะนั้นพวกคุณจะรอดจากไฟประลัยกัลป์ จะรอดจากน้ำท่วมโลกได้ ขึ้นนาวา ขึ้นเรือโนอาห์ ขึ้นนาวาบุญนิยม..รอด มีจำนวนหนึ่งเท่านั้น เป็นผู้ลงบัญชีขึ้นเรือนาวา โนอาห์ หรือนาวาบุญนิยมให้ได้
ไม่ได้ขัดแย้งกันหรอกระหว่างเรือนาวาบุญนิยมกับเรือโนอาห์ นี่เป็นเรื่องจริง ซึ่งผู้ที่ยังไม่เข้าใจถึงเนื้อหาสาระที่แท้จริง ก็ขยายความ แล้วมันห้ามไม่อยู่หรอก มันจะต้องเป็น มันเป็นสัจจะที่ถึงยุคกาลที่จะต้องเป็นอย่างนี้ ทุกอย่างจะต้องหมุนเวียนมา น่าจะเป็นเช่นนี้ อยู่ในนิรันดร์กาล ช้าหรือเร็ว แล้วแต่องค์ประกอบสัดส่วนของกาละ เทศะ ฐานะ มันก็จะเป็นไปตามนั้น
ผู้ที่จะสามารถขึ้นเรือนาวาบุญนิยม เรือโนอาห์ได้สำเร็จ ก็ติดตามอาตมาที่จะให้ความรู้ความจริง ปฏิบัติเอาให้ได้ทัน ให้พอเพียงมากพอที่จะถูกคัดเลือก ให้เป็นสมาชิกขึ้นเรือนาวาบุญนิยมได้หรือขึนเรือโนอาห์ได้ โดยสุจริต โดยสัจธรรม
จำนวนจำกัดอยู่นะ ผู้ที่ไม่เคยได้ยินที่ฟังเลยก็หมดสิทธิ์ ขออภัยต้องพูดถึง เทวนิยมนี้หมดสิทธิ์ ตายหมด เหลือมาทางตะวันออก เหลือมาทางเอเชีย โดยเฉพาะเหลือมาที่ประเทศไทย มีเป็นสมาชิกได้ ใครแน่ใจว่าตัวเป็นสมาชิกได้ก็ดี แต่ยังไม่แน่ใจแล้วอย่าประมาท
อาตมาพยายามสร้างเรือโนอาห์ หรือสร้างเรือนาวาบุญนิยม สร้างอยู่นี่ จะทำใหญ่แบบตามสมมุติโลกก็ทำไม่ได้ ก็เลยสร้างเรือหลายลำรวมกัน แล้วแต่ละลำก็ต้องให้มันดูอลังการโดยการทำประดับประดา ให้มันอลังการด้วย อย่างเรือลำที่ไม่ได้ต้องทำต่ออีกแล้ว ก็คือลำแรก เรือเจิ้นเทิ่น ตกแต่งประดับประดาขนาดนั้น คุมด้วย พญาแร้งใหญ่ จากเจิ้นเทิ่นก็มาถึง เรือ รามจักร ซึ่งยังทำไม่เสร็จ
คนที่ทำงานทางประติมากรรมมาเห็นเข้าจะร้องว่าโอ้โห มันใหญ่ และทำเป็นโลหะด้วย และก็มีรายละเอียดของโลหะไม่ใช่แบบง่ายๆตื้นๆ แม้แต่เกล็ดแม้แต่ขนของพญาแร้งก็ทำละเอียด เราจะเห็นก็จะรู้ว่าลงทุนไปมากหลายล้าน ที่เราทำนี้ไม่ได้ไปจ่ายค่าช่างของช่างใหญ่ อาจจะมีช่างเล็กช่างน้อยที่จ้าง แต่ตัวผู้ที่นำทำจริงๆเลยคือคุณแสงศิลป์ ไม่ได้คิดราคาค่าตัวเลย คิดราคาก็ไม่ไหว ไม่มีเงินจ้างแน่ๆ
ต่อมาเป็นเรือรามจักร ที่สร้างกำลังจะเสร็จ มีรูปปั้นพระรามอยู่ที่หัวเรือ ส่วนอีกลำเป็นลำที่ 3 คือเรือโคกใต้ดิน จะมีหนุมานตัวใหญ่อยู่ที่หัวเรือ
ทำอันนี้ให้เสร็จก็ยังเหลือ ภูเฮา ขึ้นรูปแล้ว ยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อยเป็นรูปร่างอย่างไร เราก็ดูไปเราเป็นชาวดูไป ไม่ใช่ชาวดูไบ ลึกซึ้งนะ ดูไปกับดูไบ
มาสู่เวทนาต่อ…
เวทนาคืออะไร จุดนี้สำคัญมาก ถ้าไม่มีเวทนา คนที่ไม่เข้าใจเวทนาไม่มีเวทนาจบเห่ ก็จะไม่มีกรรมฐานที่จะปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรแรกคือพรหมชาลสูตร ท่านยืนยันไว้เลย ลงท้ายของแต่ละหมวดที่ท่านอธิบาย ตั้งแต่ข้อ 1 จนกระทั่งถึงข้อ 89 แล้วท่านก็สรุป ลงท้ายมาหลายข้อแล้ว ที่จะสรุปว่า
“[๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิ
ว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ ๔ ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.”
พ่อครูว่า… หมายความว่า คุณไม่มีผัสสะ แล้วคุณจะมีเวทนา ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ไม่มีฐานที่จะเกิด ไม่มีที่ตั้งของเวทนา ไม่มีแหล่งของเวทนาให้ปรากฎอยู่ให้คุณได้เห็นได้รู้ได้ศึกษา ได้จัดการปฏิบัติ ไม่มีอะไรทั้งนั้นให้คุณได้ปฏิบัติเลย ไม่มีฐานไม่มีที่ตั้ง
เพราะฉะนั้น เวทนาจึงเป็นที่ตั้งเป็นจุดสำคัญ เป็นแหล่งสำคัญ ที่คุณจะต้องมี เพื่อปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านสรุปรวมหมดแล้วว่า จะปฏิบัติธรรมนั้นเน้นตรงที่เวทนาเป็นตัวสำคัญ แล้วทำเวทนานี้ให้เป็น 1 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
สรุปไว้ครบครัน อาตมาถึงบอกว่านี่คือหัวใจของศาสนาพุทธอยู่ตรงนี้เล่ม 10 ข้อ 60 เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ตรงนี้ศึกษากันให้ดีๆ
ข้อที่ 2 เวทนานั้น ต่างจากสัญญา ต่างจากสังขาร ต่างจากวิญญาณ
ในขันธ์ 5 มีรูป แน่นอนต่างจากรูปแน่นอน ส่วนนามอีก 4 เวทนา ต่างจากสัญญา ต่างจากสังขาร ต่างจากวิญญาณ
ผู้ที่ศึกษาธรรมะแล้วไม่รู้จักธาตุต่างๆพวกนี้ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ วิญญาณธาตุ ไม่รู้ว่าธาตุเหล่านี้แตกต่างกันอย่างไร จบ คุณไม่รู้ความแตกต่างกันอย่างไรได้ คุณก็ต้องมาเรียนรู้เวทนา 2 มาเรียนรู้กับสัญญา มาเรียนรู้กับสังขาร มาเรียนรู้กับวิญญาณไม่ได้
เมื่อเอามาเทียบกันไม่ได้แล้วจะทำให้มันเป็น 1 ก็จะทำไม่ได้ เมื่อทำ 1 ไม่ได้แล้วคุณจะบรรลุธรรมได้อย่างไร พวกเราอาจจะพูดอย่างอาตมาไม่ได้ แต่พวกเราทำเป็นทำได้ จึงทำให้กิเลสลดได้ คุณทำให้กิเลสลดกันได้ทั้งนั้น เพราะคุณทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ แต่คุณยังไม่รู้รายละเอียดเพราะคุณยังไม่ถึงอภิภูอย่างอาตมา ยังไม่ถึง สยังอภิญญา อย่างอาตมา คุณก็ยังอธิบายไม่ออก อธิบายไม่ได้ อาตมานี้ไม่ได้เอามาจากครูบาอาจารย์ในชาตินี้ แต่แน่นอนอาตมาเอามาจากพระพุทธเจ้านั้นแน่นอน เอามาขยายความให้ฟัง
เวทนานั้นต่างจากสัญญา สังขาร วิญญาณ ต่างกันจริงๆ ต้องพยายามเข้าใจอาการของเวทนา อาการของสัญญา ต่างกันอย่างไร อาการ มันอยู่ที่จิตนั่นแหละเป็นอาการทางจิตของเรา ซึ่งมันมีหน้าที่ เวทนาก็มีหน้าที่ของมัน สัญญาก็มีหน้าที่ของมัน สังขารก็มีหน้าที่ของมันวิญญาณก็มีหน้าที่ของมัน
วิญญาณนั้นเป็นตัวรวม เวทนา สัญญา สังขาร เป็นเจตสิก เป็นตัวธาตุจิตวิญญาณที่แยกเอามาเรียนรู้อาการที่ละเอียดซ้อนทำงาน 3 หน้าที่ใหญ่
เพราะฉะนั้นข้อที่ 2 นี้ ต้องแยกความต่างของ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกต่างกันอย่างไร
ข้อที่ 3 เป็นภาวะมีอาการ ให้เรากำหนดรู้ ได้ ทุกภาวะ คือสิ่งที่ปรากฏ ให้เรารู้ เวทนาปรากฎให้เรารู้ เรากำหนดรู้ได้ด้วยสัญญาของเรา สัญญาจึงมีหน้าที่เป็นตัวกำหนดรู้ หรือเขาเรียกอีกสำนวนหนึ่ง เป็นภาษาวิชาการว่า สำคัญมั่นหมาย ซึ่งเข้าใจยากกว่าคำว่า กำหนดรู้ ทำความสำคัญมั่นหมายว่ามันหมายความอย่างไร ความสำคัญของอาการอย่างนี้หมายเอาอย่างไร คุณก็ต้องทำความสำคัญมั่นหมาย พูดภาษาไทยง่ายๆว่า กำหนดรู้
หน้าที่ของสัญญาเป็นตัวกำหนดรู้คุณก็ต้องกำหนดให้ถูกต้อง อาการ ลิงค นิมิต ของมันจับความหมายเครื่องหมายของอาการ มันต้องอย่างนี้แล้วมันทำได้ที่ของมัน สัญญากำหนดรู้เวทนา สัญญากำหนดรู้สังขาร สัญญากำหนดรู้วิญญาณ สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ทั้งหมด
ข้อที่ 4 เวทนาต่างกับวิญญาณอย่างไร เวทนาต่างกับสัญญาอย่างไร
ถ้าเข้าใจความแตกต่างกันระหว่างเวทนากับวิญญาณแตกต่างกันไม่ได้ก็ยากแล้ว คุณก็ยากแล้วที่จะปฏิบัติธรรมเพราะคุณผู้มีวิญญาณและคุณก็ต้องศึกษาให้รู้จักรู้ตัวสัญญานี่แหละที่เป็นตัวงานหน้าที่สำคัญมาก กับเวทนา มันทำงานคู่กันไปตลอด
เวทนาเป็นฐานให้เรียนสัญญาเป็นตัวกำหนดและรู้ กำหนดรูปวิญญาณได้ดี แยกวิญญาณเป็นเจตสิกต่างๆแยกเป็นเวทนาสัญญาสังขารเป็นเจตสิก 3
สังขารรู้ง่ายกว่าเวทนา เพราะว่าสังขารก็คืออาการ
ข้อที่ 5 เวทนาต่างจากสังขารอย่างไร เวทนาคือตัวแกนเป็น Static เป็นตัวตั้งมั่น ส่วนสังขารเป็นตัว Dynamic เป็นตัวเคลื่อนไหวเป็นตัวปรุงแต่ง เป็นแรงเคลื่อน ส่วนเวทนาเป็นตัวกระแสตัวหยุดในตัวของมัน
เวทนาต่างจากสังขาร
ข้อที่ 6 เวทนาต่างจากวิญญาณ เวทนาต่างจากสัญญา ทุกตัวนี้ มีรูป คือภาวะที่ถูกรู้ สัญญาเราจะกำหนดเข้าไปรู้เวทนา ขณะเวทนา มันเป็นตัวถูกสัญญากำหนดรู้ มันเป็นตัวถูกรู้เวทนาก็เป็นรูป สัญญาก็เป็นนาม
เพราะฉะนั้น อาการของเวทนา มันเคลื่อนไหวแล้ว พอมันเคลื่อนไหว มันเหมือนเป็นนามแล้วมันเป็นตัวรู้สึกด้วย ไม่ใช่เหมือนหรอกมันมาเป็นเลย มันมีอาการรู้สึก ตัวสัญญาก็เข้าไปกำหนดรู้ความรู้สึกนั้นของเวทนา
ฟังให้ดีนะตัวพยัญชนะก็มีความสำคัญ เพราะมันจะต้องเปรียบเทียบให้ลึกละเอียดจาก 2 เป็น 1 ไปเรื่อยๆ จาก 2 เป็น 1 เป็น 0 ทำ 2 ให้เป็น 1 ก็รู้ 1 ได้ ก็ต้องทำ 1 ให้เป็น 0 เมื่อสามารถทำ 1 ให้เป็น 0 ซึ่ง 1 กับ 0 มันก็เป็น 2 ตัว แต่เรารู้ 0 แล้วเราจบในตัว แต่คุณยังไม่ตายคุณก็ยังมี 1 ก็จบแล้วคุณก็มี 0 กับ 1 แล้วคุณก็อยู่กับ 2 , 2 ก็เป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 แล้วจะบวกจะคูณจะยกกำลัง อีกเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…
พ่อครูว่า… สรุปอีกที ใครมาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วไม่จับที่เวทนา แล้วก็ไม่เรียนรู้ความจริงของอาการทั้งหลาย
ทุกตัวจะมีรูปคืออาการ หรือนิมิตของมันในแต่ละอย่าง ทุกอาการของจิตเจตสิกต่างๆ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามก็ถูกรู้ได้ทั้งนั้น แล้วต้องถูกสภาวะ ถูกอาการ ที่ตรงความหมายกับความเป็นจริง
รูปที่ถูกรู้ คือ เวทนา สัญญา สังขาร นั้นคือ รูปจิตหรือ จิตชรูป รู้ได้ด้วย รูป 28 ต้องแจกแจง ต้องรู้ประมาณนึง แม้จะรู้ไม่ได้ครบละเอียดทั้งหมดก็ตาม
รูปแท้ๆเลยที่เป็นสสาร เรียกว่า มหาภูตรูป คือดินน้ำไฟลม 4 อย่าง เป็นมหาภูตรูป 4 ก็ต้องร่วมกัน มีรูปมีนาม เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจโดยสภาวะโดยปัญญาแท้แล้ว รูป 4 ที่เป็นมหาภูตรูปก็ร่วมกับรูปอีก 24 เป็น 28
28 ก็คือมีรูปแทรกอยู่ในนั้น กับนามธรรมอีก 24 อาการ สังขารกันอยู่ปรุงแต่งกันอยู่
มหาภูตรูป 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม
รูป จะถูกรู้โดยนาม นามที่ทำงาน โคจร ไปสัมผัสกับรูป ถ้านามไม่ทำงาน ดินน้ำไฟลม มันก็ไม่มีตัวรู้ เช่นเราสัมผัสกับสัตว์กับคน คนกับสัตว์เป็นรูปที่ให้นามมันถูกรู้ แล้วรูปที่เป็นคนหรือสัตว์ โดยเฉพาะคนที่เราอยู่ร่วมด้วย ส่วนเรื่องสัตว์นั้นให้มันไปตามยถากรรม ช่วยมันได้มีเมตตาก็ช่วยมันช่วยไม่ได้ก็ปล่อยไปตามยถากรรม แต่สำหรับคนนี้แหละเราต้องช่วยก่อน หรือต้องเรียนรู้ว่าเรายึดมั่นถือมั่นคนด้วยกันนี่แหละที่มีวิบากร่วมกัน นี่แหละจัดการตัวนี้
เพราะฉะนั้นเมื่อมีภาวะรูป คือ การปรากฏของรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วนามโคจรไปรับรู้ก็เกิด วิสยรูป
อุปาทายรูป 24
ก. ปสาทรูป 5
จักขุ (ตา)
โสตะ (หู)
ฆานะ (จมูก)
ชิวหา (ลิ้น)
กายา (กาย)
ข. โคจรรูป, วิสัยรูป 4
รูปะ (รูป)
สัททะ (เสียง)
คันธะ (กลิ่น)
รสะ (รส)
โผฏฐัพพะ (สัมผัส)
(กายกับโผฏฐัพพะ ถือว่าเป็นอันเดียวกัน)
คำว่าวิสัยนี้ลึกซึ้งมาก วิสัย มันมีอาศัยก่อน แล้วค่อยมีนิสัย แล้ว จึงเป็นวิสัย แล้วลึกสุดเป็น อนุสัย
อาศัย นิสัย วิสัย เป็น cyclic order ที่ยาก ที่จะต้องรู้ว่ามันมีลำดับ
อาศัย คือเริ่มต้น มีอยู่นิดหน่อยไม่มากมายอะไร แต่เมื่ออาศัยแล้วได้มากขึ้น มีคุณภาพ มีความเป็นตัวเป็นตนหรือเป็นสิ่งที่ได้ ที่เป็น ที่มี สย คือรูป มากขึ้น เป็นตัวกลางของ อาศัย นิสัย จนกระทั่งถึง วิสัย ก็เริ่มรู้ขึ้นไปเรื่อยๆ
ถ้าคุณไม่ได้เรียนคุณก็จะมีนิสัย แต่ก่อนคุณแค่อาศัย เสร็จแล้วอาศัยก็ไม่เท่าไหร่ แต่ ตัวจริงของคุณเป็นนิสัย แต่คุณไม่รู้จักนิสัย คนมาเรียนรู้การอาศัย แต่กลับกลายเป็น นิสัยของเรา เราใช้นิสัยโดยอวิชชา โดยไม่รู้ว่ามันมาจากไหน มันเป็นอย่างไร ขนาดไหน
ก็ต้องเรียนรู้ด้วยวิชชาให้ยิ่งก็รู้นิสัยเป็น วิสัย เกิด ฌานวิสัย เกิดญาณวิสัย รู้ความจริงเพิ่มขึ้น ๆๆ จนกระทั่งรู้ครบ รู้ละเอียด ในวิสัย หมด ว่ามันเป็นกิเลสออกจากจิตแท้ ทำให้กิเลสดับไปหมดเหลือแต่จิตที่สะอาด ก็รู้จบ มีจิตสะอาดแล้วจากกิเลสอาสวะหมดอาสวะสิ้นแล้ว
ก็แล้วแต่จะสะอาดที่ตกผลึกลงเป็น อนุสัย อันนี้เป็นตัวดีนะ
สยะ ตัวน้อย อนุ เหลือ สยะ เอาไว้ เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักอนุสัยต้องดับอาสวะสิ้น เกิดปัญญาแท้ๆเป็นวิมุตติญาณทัสสนะ จึงจะกำหนดตัว สย ตัวนี้จนหมด สว เป็นตัว สย
สว สย สก มีความแตกต่างกัน
สก หยาบสุด รู้สักกะแล้วมารู้ สวะ อาสวะ รู้ สวะ แล้วไปรู้ สยะ รู้ สยะ ก็จบ
เพราะฉะนั้น ทั้งพยัญชนะที่สื่อสภาวะพวกนี้ ขอยืนยันว่า อาตมาพูดนี่ ไม่ใช่เดา ไม่ใช่คาดคะเน ไม่ใช่พูดเพ้อเจ้อเล่นลิ้น แต่เป็นความจริงสัจธรรมที่จะไม่ได้ยินง่ายๆ นี่แหละคือโลกุตระธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง เช่นที่อาตมากำลังอธิบาย เรียนดีๆคุณรู้อย่างอาตมารู้ แล้วคุณจะมั่นใจ เมื่อคุณทำได้ด้วย คุณก็จบ คุณก็เป็นอรหันต์ อย่างน้อย
อยากรู้อย่างอาตมาคุณก็ต้องเพิ่มภูมิความรู้ที่จะรู้ละเอียดเพิ่มขึ้นเป็นโพธิสัตว์ระดับ 2 3 4 5 6 7 ไป เมื่อถึงระดับ 7 อย่างอาตมาก็จะอธิบายได้อย่างอาตมา อาตมาขึ้นระดับ 8 ก็เป็นเรื่องของอาตมา มันลอกเลียนกันไม่ได้หรอก มันก็จะไปตามจริงของมัน
เพราะฉะนั้น ในรูปที่ถูกรู้ ไม่ว่าจะเป็นเวทนา ไม่ว่าตัวเองตัวรู้จริงๆคือสัญญา ไม่ว่าจะเป็นสังขาร วิญญาณ ถูกรู้ ก็เป็นรูป เจตสิกเป็นรูปที่แยกได้ละเอียดลออขึ้นไปเรื่อยๆจนกระทั่ง ถึงรูปหรือตัวจิตเจตสิกที่ถูกรู้ ว่า
อ้อรูปตัวนี้ ว่างจากกิเลสได้สนิทแน่นอนเที่ยงแท้เป็นสมาหิโต เพราะได้กระทำ มีอภิสังขาร มีการปรับตัว ปรุงตัว จัดการตัว ตกแต่งตัว สร้างมันใหม่ ตั้งแต่
ปุญญาภิสังขาร คือ ฆ่า กิเลส ตัวเหตุร้ายนี้ออกจากจุดให้หมด หมดแล้ว บุญ ก็ไม่ต้องทำงานอีกเป็นอปุญญาภิสังขาร ไม่ใช่แปลวน อปุญญะว่าบาป ตามผู้ไม่รู้ความจริงมันก็ไม่จบ
เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึง อปุญญาภิสังขาร ปรุงแต่โดยไม่ต้องทำบุญอีกแล้ว เหลือแต่จิตที่สะอาดตกผลึกลงเป็น อเนญชาภิสังขาร
ฉะนั้นการเกิดกรรมเกิดการปรุงแต่งอภิสังขารอีก อภิสังขารตัวนี้ก็จะไม่มีกิเลสอีกเลยมันก็จะเหลือแต่จิตสะอาด หมดอาสวะ สรุป ตกลงไปเป็นอนุสัย แต่เป็นอนุสัยตัวดี ตัวที่ประเสริฐ ตัวที่สะอาด ไม่ใช่อนุสัยที่เป็นอวิชชา แต่เป็นอนุสัยที่เป็นวิชชา
สมาหิโต อาตมาก็ยืนยันว่า ไม่ใช่สมาธิของศาสนาใดและเทวนิยมไม่ใช่ของศาสนาอื่นเลยแต่เป็นของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ สมาหิตะหรือสมาหิตัง
เขาไม่เรียกว่า สมาหิตา ที่เป็นพหูพจน์ เพราะมันจะต้องเป็น 1 ไปตลอด มันสั่งสม ตัวเองเป็นความตั้งมั่นเป็นความเป็น 1 ของจิต จึงไม่เรียก สมาหิตา ไม่เรียกเป็นพหูพจน์ เรียกเป็นสมาหิโต สมาหิตังหรือสมาหิตะ
สมาหิโต ก็โอฬารที่สุดแล้ว แต่ก็เป็น 1 ไม่มี 2
เมื่อผ่าน โคจรรูป วิสยรูปแล้วก็มาเป็น
ค. ภาวรูป 2 เป็นความจริงที่มีความแตกต่างกัน จึงต้องเรียนความต่างนี่แหละจาก 2 ให้เป็น 1 เป็นหัวใจแท้ที่จะเรียนรู้ให้ได้
-
อิตถัตตภาวะ, อิตถินทรีย์ (ญ)
-
ปุริสสัตตภาวะ, ปุริสสินทรีย์ (ช)