650704 ความเป็นโพธิสัตว์ในประชาธิปไตยไทย รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 44
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/13TKpTJzUG4proc7WVluv3ixEWm-XyGAPW6w3V01h7Iw/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1TI86UP073Te9vAOhWrzm9CTPBG6_bekc/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่
และhttps://www.facebook.com/300138787516163/videos/339656344858905
_สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
พ่อครูว่า… SMS วันที่ 1-3 ก.ค. 2565
ฝึกฆ่าผีสลึมสะลือ คือ ผีถีนมิทธะ
_*สว่างแสง ขวัญดาว* · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
แม้ยุคนี้สังขารพ่อครูจะมาถึงวัยชราแล้ว แม้พ่อครูจะไม่ได้ตีระฆังเป็นยามบอกเวลาให้พวกเรา แต่พ่อครูก็ปรับเปลี่ยนวิธีการ ในยามค่ำคืนขณะที่คนส่วนมากกำลังหลับสนิท พ่อครูก็คุยกับเทวดา ถามเทวดา เพื่อเตรียมข้อมูลมาสอนพวกเรา ชีวิตพ่อครูมีอยู่เพื่อช่วยคนให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริงค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…แต่ก่อนนี้อาตมาฝึกตัวเองด้วยและก็ให้สัญญาณคนอื่นด้วย อาตมาตื่นทุกชั่วโมงแล้วก็หลับ ตีกังสดาล บอกเวลา กี่ทุ่ม กี่โมง กี่ยาม ครบ 12 เวลา ทุกชม. ไม่ได้นอนครบ 12 ชม.หรอก ธรรมดานอน 3 ทุ่ม เดี๋ยวนี้เขาพยายามพากเพียรให้อาตมานอน 2 ทุ่ม เมื่อก่อนก็เคาะทุกคืน นานหลายปี เป็นสิบปี จนกระทั่งความตื่นของสติ ความตื่นกับความง่วงเหงาหาวนอน อาตมาจับตัวอาการนี้ได้เลย
ทุกคนที่ไปติดอาการของความง่วง ติดหลับติดนอน ต้องพยายามอ่านจิตตัวเอง มันง่วงก็พยายามอ่านจิตตัวเอง ไม่นอนนี่แหละมันง่วง ถ้านอนหลับไปเลยมันก็สบาย ไม่ง่วง ง่วงก็นอนหลับไปเลย สบาย แต่ความง่วงก็คือตอนยังไม่ได้นอนหลับนี่แหละ ง่วง
ให้พยายามตื่น ทำความตื่น ไปรู้ไอ้ที่มัน ถีนมิทธะ ทำความตื่นให้ละเอียด ปัญญาจะเกิด พยายามพิจารณาในจิตของเรา อันนี้ไม่ได้พิจารณาข้างนอกแต่พิจารณาจิตในจิต พิจารณาให้เห็นอาการของความติด ความสะลึมสะลือ อาตมาก็ไม่รู้จะเรียกมันว่าไง มันเป็นอาการเหมือนคนเมา คนติดความเมาเขาไม่รู้จักอาการความเมา จะไปติดมันทำไม เมามันมีสติไม่เต็ม สะลึมสะลือก็สติไม่เต็มเหมือนกัน แต่เมานี่มันเมาตื่นๆ คนเมาเหล้าเมาอะไรต่ออะไร มันตื่น เมากัญชาก็ตื่น สนุก
ส่วนอันนี้มันอร่อย ติดหลับ มันไม่ได้หลับจริง มันไปหลับ ถีนมิทธะ มันเป็นหลับแบบสะลึมสะลือ พวกเจโต พวกศรัทธาจริต ก็ไปกดจิตให้หลับ ดับ ไม่ได้มาอ่านความสะลึมสะลือนี้ พอเห็นหน้า ความสะลึมสะลือก็บอกว่า เอ็งเป็นตัวการ ไป อย่ามาวอแวกับข้า ไปเชียว เอ็ง เป็นตัวผีตัวมันหลอก เราจะกำหราบด้วยปัญญา เจอเมื่อไหร่ ปัญญามันจะกำหราบ
ปัญญาคือความเฉลียวฉลาด มันจะขึ้นมารู้จริงๆว่า ปัดโธ่เอ๋ย! มันเป็นกิเลส มันเป็นตัวมาร เป็นตัวผี มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นอาคันตุเก อาคันตุกะ มันเป็นตัวหลอก ปัญญาก็จะรู้ว่ามันเป็นตัวเก๊ตัวหลอกเรา เราก็จะไปโง่กับมันทำไม ปัญญามันถึงขีดก็จะรู้ว่า มันไม่ใช่เรามันมาแฝง กิเลสทุกตัวเหมือนกันหมด ถีนมิทธะ ก็เหมือนกัน มันเป็นตัวแฝง ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นอาคันตุกะ เป็นภาษาสิริมหามายายังไม่ถึงขั้นละตัวเรา มันอยู่ใน นิวรณ์ 5 แค่นั้นด้วยซ้ำยังไม่ได้ปฐมฌาน ระวังจะไม่ได้โสดาบันนะ
เพราะฉะนั้นจะต้องอ่านมันให้ออกเลยไอ้ตัวที่มันกรึ่มๆ อาตมา จับได้เพราะเพื่อนคนหนึ่งชื่อปรีชาทำงานอยู่ทีวีด้วยกัน เขาเคยเล่า
เขาเล่าว่า เขาปวดเยี่ยว นอนหลับ แล้วมันตื่นเพราะปวดเยี่ยว เขาก็เสียดายความหลับที่มันสบายดี เพราะมันหลับสนิทดี สบายดี ที่จริงเขาก็มีกิเลสติดตัวสะลึมสะลือนี่แหละ
เขาก็บอกว่าเขาพยายาม ปวดเยี่ยวก็ต้องลุกไปเยี่ยว มันไม่เหมือนเราที่ใส่กระบอกได้แต่นี่เขาต้องเดินไปห้องน้ำ ฉี่ใส่กระบอกก็สะลึมสะลือได้ นี่เขาต้องเดินไปเขาจึงต้องรักษาความสะลึมสะลือกลัวมันจะหลุดไป เพราะมันอร่อย รักษาความสะลึมสะลือไป จนไปเยี่ยวสุดแล้วเขาก็รักษาความสะลึมสะลือกลับมานอนต่อ
อาดมาก็จับได้ว่าโอ้โห! ผีมันคือตัวสะลึมสะลือนี่เอง ก็พยายามอ่านจนเจอความสะลึมสะลือของตน รู้ว่ามันเป็นอาการนี้เอง ไปเชียว ไปไหนก็ไป ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็ไป แต่เอ็ง คงเป็นพวกผีนรก เหมือนพระพุทธเจ้าท่านกำราบมารว่าเรารู้หน้ามารแล้ว เราหักเรือนยอดของมารแล้ว บ้านเอ็งพังหมดแล้ว สมัยโบราณ บ้านต้องมีจั่วงาม แต่บ้านแบบเพิงนี่บ้านคนจน
เราจะหลับก็หลับแล้วจะตื่นก็ตื่น ยิ่งสายเจโตหลับปึ๊ด ง่าย ท่านหนักแน่น ท่านลั่นผาก็หลับง่ายตื่นง่าย ไว สายเจโตนี่หลับง่ายตื่นง่ายกว่าปัญญา ปัญญานี้มันสายฟุ้งซ่าน เจโตสายสมถะ ตกผลึก ง่าย ก็นี่เรียกว่า สอย
ที่บอกว่าคุยกับเทวดา ก็อีกเรื่องหนึ่ง การหลับแล้วตื่นแล้วหลับกันนั่งตีระฆังนั้นมันเป็นความตื่นที่เต็มที่ดี ก็ลุกมาทุกชั่วโมง กะเวลาไม่ให้ผิดพลาด เรากำหนด ก่อนจะถึง เวลา 10 นาทีหรือเลยจากนั้นไป 10 นาที ไม่ให้เก่งขนาด บวกลบ 5 นาที กว่าจะถึงชม.นั้น บางทีมันก็เกินไปบ้าง บางทีมันก็ก่อนไปบ้างก็ตี ทำได้ มันไม่เป๊ะทีเดียว แต่มันก็เก่งขึ้นเรื่อยๆค่อนข้างจะเป๊ะขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้เป็นต้น
คุยกับเทวดานี่คือ เทวดาก็คือตัวเรา เทวดาคือ ภูมิธรรมของเราที่มี คุณไม่มีภูมิเทวดาของคุณ นอกจากจะมีคนที่มาเสริมเป็นไก่ตัวพี่ อย่างเช่นอาตมามีพระพุทธเจ้า มีพระโพธิสัตว์ที่เป็นรุ่นใหญ่กว่าเป็นรุ่นพี่ อาตมาก็ได้จากองค์พี่หรือได้จากพ่อ ก็ฝึกฝนได้เท่าไหร่มันก็เป็นของเรามาเกิด จะไปเอาที่ไม่ใช่ของเรามาไม่ได้ เราต้องเอาจากพี่หรือต้องเอาจากพ่อ
อย่างอาตมามาในชาตินี้ไม่มีพี่ อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ ขออภัย ธัมมิกราช 2 องค์ อาตมาก็เป็นไก่ตัวพี่ ต้องพูด เดี๋ยวจะหาว่าข่มไปลบหลู่ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อันนี้ กำลังสาธยายปรมัตถธรรมในระดับที่ลึกซึ้งให้ฟัง
อาตมาต้องมาทำงานโพธิสัตว์อย่างนี้ไป ก็ หนัก มันยาก จนกระทั่งจะหมดขันธ์ด้วย มันมีความซับซ้อน อาตมาจะต้องอายุน้อย ขันธ์ต้องไม่อยู่ได้มาก แต่มันต้องทำงานหนักเป็นความซับซ้อนที่ต้องฝึกต้องหัดต้องพากเพียรเอาชนะ แม้แต่เอาชนะอายุขัย อย่างที่ได้พากเพียรให้ดูอยู่นี้ ก็ดูไป ตอนนี้ลดจาก 151 มาเป็น 133 แล้ว ถ้าได้ 120 ก็ถึงหลักชัยแล้ว เอาเท่ากับหมอเฉก ตอนนี้ก็ใกล้ 100 แล้ว อาตมาก็ย่างเข้า 89 มาไม่กี่วัน นี่ก็เรื่องปกิณกะเรื่องหนึ่ง
ชัดอยู่นะเทวดาคือตัวเรา คุยกับเทวดาก็คือคุยกับตัวเรา พระพุทธเจ้าคุยกับเทวดาก็เป็นตัวท่านเอง ท่านก็ดึง ของเก่าของท่านขึ้นมาทั้งนั้น อาตมาก็ดึงของตัวเองมา นอกจากจะมีไก่ตัวพี่ก็ได้เทวดาจากไก่ตัวพี่ หรือได้เทวดาจากไก่ตัวพ่อ
เพราะฉะนั้นเทวดาอย่าไปเข้าใจว่าเป็นเทวดาล่องลอย หลับตาแล้วก็ไปตามวิมาน เหมือนกับสายอาจารย์มั่น ท่านมหาบัว อะไรอย่างนี้ โอ้โห! มีเล่านิยายเพ้อพกไป กลายเป็นเทวนิยม กลายเป็นสัญญาเก่า ไม่ใช่ปัญญา มันเป็นการรู้อย่างเทวนิยม อย่างเดียรถีย์รู้ ไม่ใช่รู้ของพุทธ ที่รู้จากพระพุทธเจ้า รู้จักเจตสิก รู้จักเวทนา 108 มันไม่ใช่ สายโน้นมาอธิบายเวทนา 108 อย่างอาตมาไม่ได้ หรืออธิบายธรรมะพระธรรมทุกหมวดนั่นแหละ ซึ่งมีอิทัปปัจจยตาขยายความซึ่งกันและกัน เป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน
เพราะฉะนั้นสายปัญญาจึงจะชัดเจนที่สุด สายอื่นที่ปฏิบัติผิดก็ได้เทวดาเก๊ ก็ขอย้ำว่าเลิกหลับตาได้แล้ว มาศึกษาทางอโศกนี่ จะพาปฏิบัติตาม จรณะ 15 วิชชา 8 จริงๆ อันนี้ก็พูดแล้วพูดอีก แหม ก็เห็นแค่จรณะ 15 วิชชา 8 มันต่างจากฌานที่ได้จากจรณะ 15 กับฌานที่ได้จากการนั่งหลับตา มันคนละโลกคนละเรื่องเลย มันไม่ยากเลยนะ แต่ทำไม หลับตากับลืมตาแค่นี้ก็แยกกันไม่ออก ไปจมอยู่กับการนั่งหลับตา เทวะ 2 หลับตาก็เป็น 2 ไปงมงายอยู่กับเทวะที่แยกไม่ออก เหมือนกับพวกชาวเทวนิยม อย่างเช่น สายคริสต์ สายอิสลาม ก็เป็นเทวะแยกไม่ออก
ความเนิ่นช้าของสายวิริยาธิกะ
_*เดชา อำพร* · พระพุทธเจ้าจำพรรษาที่”วัดเวฬุวัน”คือ”ป่าเวฬุ”บ้าง.. ที่”วัดเชตวัน”คือ”ป่าเชต”บ้าง.. เมื่อยังไม่บรรลุต้องบำเพ็ญใน”ป่าใกล้หมู่บ้าน” เพื่อ”ลดผัสสะที่ยั่วยวนใจ” และเพื่อลด”ความสะดุ้งกลัว”ใน”ป่าเขาไพร”เมื่อต้องบำเพ็ญอยู่ในความมืดอยู่ตามลำพัง..แต่ต้องเข้ามา”บิณฑบาตในหมู่บ้าน”เพื่อ”ทดสอบกับผัสสะบ้าง”ทุกวันๆ.. และเมื่อบรรลุอรหันต์แล้ว จึงกระจายกันออกไปเแพร่ใน”นิคมหมู่บ้าน,ชาวเมือง”(อย่างเต็มตัว).. ไม่ได้ให้มารวมกลุ่มอยู่กับที่เหมือน” วิธีของชาวอโศก”(ที่เต็มไปด้วย”เครื่องอำนวยความสะดวกตามยุคสมัย”รวมทั้ง”ไฟฟ้า,ประปา,โทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต”แต่อย่างใดครับ..
พ่อครูว่า…ก็ได้เห็นใจนะ อาตมาเข้าใจเขา เพราะคนมันมีจริตไปทางนั้น มันก็จะมองเห็นทางมุมดีของทางนั้น มองเห็นชัด ซึ่งมันช้า ศรัทธาธิกะมันช้า 2 เท่า ปัญญาธิกะ 1 เท่า ยิ่งวิริยาธิกะ เป็นพวกวิตักกะจริต ก็ยิ่งไปใหญ่เลย
วิริยาธิกะ 2 เท่าของศรัทธาธิกะ ปัญญาธิกะนั้น 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
ศรัทธา 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป วิริยาธิกะนั้น 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
เพราะฉะนั้นสายเจโตดิ่ง สายศรัทธาดิ่ง อาตมาก็อธิบายถ้าจะไปเมืองลาว ก็มองไปทางนี้เลยไม่ต้องไปแวะทางไหน มันก็จะสั้นไปถึงได้ในทันที แต่ถ้าไปแวะนู่นแวะนี่ก็จะเป็นวิริยาธิกะ หรือเป็นวิตักกะจริต
ส่วนสายปัญญานั้นมันรู้เลย ข้ามโขงไปก็ถึงแล้ว ปึ๊ดเดียว อย่างนี้เปรียบเทียบเป็นรูปธรรมให้ชัด
อย่างคุณเดชา อัมพร อาตมาก็ไม่แน่ใจ แต่ไปค่อนไปทาง วิริยาธิกะ จะมาศรัทธาทางเราก็ไม่เชิง แล้วพยายามเอาสายที่ยังช้า ศรัทธาธิกะ วิริยาธิกะ เอามาแย้งๆๆอยู่ แต่ก็ยังสนใจทางเรา นี่ก็ยังดี ก็เอาน่า เอาให้ สัมมาทิฏฐิ คุณจะไม่ได้เสียเวลาจะได้เต็มที่ อะไรต่ออะไรพวกนี้มันมีตัวอย่าง
เช่น ยกตัวอย่างว่า ผู้ที่ไปอยู่ป่านี้ต้องอยู่ให้ใกล้หมู่บ้าน เพื่อจะได้ไปบิณฑบาตไม่ไกล ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นต้น ก็ผู้เป็นอาจารย์สายโน้นเขาก็เอาความฉลาดมาว่า มันต้องอยู่ป่านะ จะบิณฑบาต 4 กิโลเมตร 5 กิโลเมตรก็ไม่ได้แคร์หรอก สายโน้นไม่มีปัญหา ก็ไปอยู่ป่าเพราะติดป่า ไม่ใช่อะไรหรอก แล้วเข้าใจผิดว่าศาสนาพุทธต้องอยู่ป่าแล้วก็ต้องไปหลับตา อยู่ป่ากับหลับตาก็ไปมาด้วยกันเลือดสุพรรณ ถ้าลืมตามาอยู่อย่างสัมมาทิฎฐิแบบนี้ ก็ไม่ต้องหลับตา การหลับตาเป็นอุปการะ ใช้เตวิชโช ใช้อุปการะ ใช้เป็นการพักผ่อน ใช้ศึกษาจิต ใช้เป็นก็อุปการะมาก ใช้ไม่เป็นก็เละอีก ไปหลงก็ไปกันใหญ่เลย
พระพุทธเจ้าบอกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ได้จากการนั่งหลับตา เพราะรวมพลังจิตได้เอาไปใช้ทำ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าเราเบื่อหน่าย
พวกฤาษีมัลลิกา ฤาษีคันธารี พวกนี้เขาก็ทำเขาก็ติดยึด เป็นจริตพวกนี้ อาตมาเห็นว่าคุณเดชา ค่อนไปทางวิริยาธิกะ ตั้งใจฟังให้ดี สุสูงสังลภเตปัญญัง
การบำเพ็ญก็บอกว่าไปบำเพ็ญในป่า อันนี้ เขา เข้าใจว่าจรณะ 15 วิชชา 8 อยู่ในป่าตาม อัมพัฏฐสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัส กับ อัมพัฏฐมานพ คนมีจิตเห็นว่า ผู้ที่มีจรณะ 15 วิชชา 8 อยู่กับอาจารย์ที่อยู่ในป่า ก็ไปตามหาอาจารย์อยู่ในป่า ในภาษาของพระไตรปิฎกช่วงนี้ยังไม่ค่อยกระจ่างเพราะผู้รวบรวมภาษาเป็นพวกติดป่า คือ ท่านมหากัสสปะกับคณะ ก็รวบรวมเป็นพระไตรปิฎกเล่มนี้มา ก็เอียงไปทางเจโต ทางศรัทธา ติดยึดป่า
อาตมาเป็นสายปัญญา 100% จึงเห็นเหตุปัจจัยต่างๆนาๆ ที่สายนี้ช้า หรือผิดทาง ศรัทธาธิกะมี 40 หรือวิริยาธิกะ 80 ก็อยากให้เร็วกว่านั้นจะได้มาเป็นปัญญา จะได้สั้นลง
ทั้งๆที่ตระกูลจริงๆเป็น สัทธาธิกะ เพราะว่าคนมี 2 สาย พุทธิจริต กับ ศรัทธาจริต ส่วนโมหะจริต ต้องปรับมาเป็นศรัทธาหรือปัญญาจริต
ถ้าสายศรัทธา ไปคบกับปัญญาก็จะเร็วกว่า 40 ถ้าอย่างนั้นก็จะใช้เวลานานถึง 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป อสงไขยนี้คือไม่ต้องนับ มันนับไม่ไหวหรอก เกิดชาติหนึ่งกี่ปีล่ะ ต่อให้ 200 ปี 500 ปีก็เถอะ จนกระทั่งถึงกลียุค กลายเป็นไม่ถึงร้อยปีตาย มันจะได้เรื่องอะไร วนอยู่นั่นแหละไม่รู้กี่รอบๆ โลกหมุนไป คุณก็ผ่านกลียุคมาไม่รู้จะกี่รอบต่อกี่รอบ มันยาวนานจริงๆเลยมิจฉาทิฏฐิจึงน่าสงสาร อาตมาก็ช่วยกันไป มันทำไงได้ ไม่ช่วยก็ไม่รู้จะทำไง ช่วยพวกคุณมาได้บ้าง ก็ไปช่วยกันต่อ
คุณเดชาเอามาแย้งว่า แม้แต่ได้พระอรหันต์ ก็กระจายออกไปเผยแพร่ในนิคมหมู่บ้าน อย่างเต็มตัว ไม่ได้หันมารวมกลุ่มอยู่กับที่เหมือนวิธีของชาวอโศก ที่เต็มไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกตามยุคสมัย รวมทั้งไฟฟ้า ประปา อินเตอร์เน็ต
ความฉลาดของคนที่ใช้ไฟฟ้าประปากับห้องเย็น ห้องแอร์ มันเป็นความฉลาดที่ไม่ได้ติดไม่ได้ยึด มีก็ได้ไม่มีก็ได้ แต่คุณเข้าใจมีก็ได้ไม่มีก็ได้ เป็น อนุปคัมมะ คุณไม่เข้าใจหรอก อนุปคัมมะ มีก็ได้ไม่มีก็ได้ คุณก็ยังเอียงอยู่ ค่อนข้างมีหรือไม่มี คุณเป็นคนมีแต่จะเอาไม่มีแล้วคุณก็สุดโต่งไปข้างไม่มี มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นคุณจะมองถึงสภาพของสังคมทั้งหมดไม่ออก
เราเอาสังคมอาริยกะ ก็มาอยู่เมือง ส่วนพวกมิลักขะ ก็ไปอยู่ป่า จะบอกว่าเอียงก็ช่าง จะเอียง ไปข้างเมือง อาริยะ คือ ฉลาดผู้เจริญ มิลักขะ คือผู้เป็นคนเถื่อน จะเอาความเถื่อนก็ได้แบบเถื่อน พวกที่มีสัมมาทิฏฐิมาอยู่ในเมืองก็เป็นคนเถื่อนในเมือง อย่างพวกเทวนิยม ก็เป็นอย่างไร ฆ่ากัน แย่งชิงกันเป็นเศรษฐีใหญ่ เป็นคนร่ำรวยใหญ่ อะไรต่างๆนานาอย่างนั้นไม่จบหรอก สร้างอาวุธมาฆ่ากันไป ไม่จบ แล้ว เขาไม่เห็นความสำคัญ
พวกเราเมืองไทยขอย้ำ ไม่ต้องสร้างอาวุธหรอก ก็บอกว่าสร้างอาวุธไม่เป็น คือเขาชมเรานะ นี่ล่ะยอดแล้ว ถึงทำเป็นก็ไม่เอา มาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารดีกว่า เราจะพยายามส่งเสริมให้สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร จนกระทั่งอาตมาออก โศลกว่า คนฉลาดสร้างอาหารคนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ แค่นี้ก็ต้องเข้าใจให้ได้
เพราะฉะนั้นคนที่ฉลาดจริง ประเสริฐจริง ไม่ไปสร้างอาวุธฆ่าคนหรอก ฉลาดจริงๆ ต้องสร้างอาหารให้คนกิน คนจะได้อยู่ได้ สร้างอาวุธก็มีแต่ฆ่ากันตาย แล้วฆ่ากันไปทำไม มันเป็นวิบากเป็นความโหดร้าย ก็อยู่ด้วยกันเป็นเพื่อนทุกข์ ส่งเสริมกันให้ไปสู่นิพพาน
เขายังไกลนิพพานมาก พวกเทวนิยมคือพวกที่ไกลนิพพานมาก ขนาดมาเป็นชาวพุทธแล้วก็เสื่อมไปอย่างเช่น ชาวเถรสมาคม ยังไกลนิพพานมากเลย ดีไม่ดีอยู่ในเมืองแท้ๆดีๆก็หนีไปออกป่าเหมือนกับ อัมพัฏฐะ แต่เขาก็ไม่ได้ออกป่านะ เข้าใจว่าอาจารย์อยู่ในป่านะ ชอบป่านะ แต่ตัวเองทนไม่ได้ไปอยู่ป่า ก็ต้องเสพกาม เสพ ราคะ โทสะ โมหะ อยู่ในเมือง เป็นพราหมณ์มหาศาโล ผู้ร่ำรวย ผู้มีสถานที่ ผู้มีอำนาจในทางศาสนา หนักเข้า ก็เป็นมิจฉาทิฎฐิ กลายเป็นพวกเสื่อม เป็นพราหมณ์มหาศาโล เหมือนกับเดี๋ยวนี้พระทางเถรสมาคมก็เป็นพระมหาศาโล เป็นผู้ร่ำรวยลาภยศตำแหน่งสรรเสริญ ผู้ร่ำรวยทางโลกีย์ ร่ำรวยทางโลกธรรม 8 ได้ลาภเสื่อมลาภ ได้สรรเสริญเสื่อมสรรเสริญ ได้ยศเสื่อมยศ ได้สุขเสื่อมสุขเป็นทุกข์ วนอยู่นั่นแหละ ไม่ออกมาสู่อัญธาตุ
มันซับซ้อนหลายชั้น คุณเดชาให้ตั้งใจดีๆ ดีแล้วล่ะ ยังไงยังไงก็คบหากันนะ ฟังธรรมะอาตมาไปเรื่อยๆ สุสูงสัง พยายามตั้งใจฟังด้วยดี อย่าพยายาม เพ่งโทษมากนัก
ภูเราหรือภูเฮาของชาวบ้านราชฯ
_*วันทนา บุดดีเหมือน* · เป็นกำลังใจให้ทีมงานทำภูเขาตะนาวศีลทุกคนค่ะ
พ่อครูว่า… ตอนนี้เราไม่เรียกภูเขาแล้ว เรียก ภูเรา หรือ ภูเฮา ไม่ต้องเรียก ตะนาวศีลหรอก เพราะโมเดลที่เอามาโชว์ มันไม่เป็นทิว แต่อันนี้มันตั้ง มันจะไม่เหมือนกัน ไม่เป็นตะนาวศีล ที่อาตมาแผลงมาจากตะนาวศรีหรอก ก็เป็นภูเขาแบบพวกเรา อย่างที่ไม้ร่มออกแบบ ทำขึ้นมาสำเร็จก็เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง ในที่แคบ ถ้าตะนาวศรี มันจะยาวกินพื้นที่มาก เราไม่มีที่ เราก็ได้พื้นที่จำกัด ก็สร้างสูงบ้างต่ำบ้าง จะให้มีถ้ำก็ทำไป เหมือนผาแหงนเราก็ทำ มีถ้ำอะไรก็ทำไป ทำได้ สร้างได้
สร้างโดยการใช้อุปกรณ์ของปูนเก่า ด้วยได้ เอาหินมาประกอบด้วย เอาดินมาประกอบด้วย ได้ ได้ทั้ง 2 อย่างผสมกัน ทั้งคนและธรรมชาติช่วยกันเป็น 2 คู่หู ธรรมชาติจริงกับคนจริงที่เป็นคนประเสริฐ คนรู้ธรรม ไม่ได้แบ่งแยก ทำขึ้นมา มันเป็นการพิสูจน์ธรรมชนิดหนึ่งให้เห็นว่าโลกนั้นไม่ขาดธรรมชาติ มันไม่ขาดปราสาท
อาตมาเกิดมาชาตินี้ไม่ได้สร้างปราสาท เหมือนอย่างปราสาทหินพิมาย ปราสาทนครวัดนครธม เราไม่สร้าง ทุกวันนี้เขาสร้างปราสาทวิมานกัน ยิ่งใหญ่กันตั้งแต่ทัชมาฮาล เพราะฉะนั้นเราไม่สร้างแบบนั้น เราสร้างบ้านช่องเรือนชานของเราอยู่กันอย่างสบาย ดีไม่ดีเอาเรือมาทำเป็นบ้านเรือเราอยู่สบาย แค่นี้ก็เหลือแหล่แล้ว อย่างเรือโคกใต้ดิน ขนาดเท่ากับตึกที่เขาทำร้านค้า 2 คูหา ซึ่งไม่เล็กนะ ยาวตั้ง 28-29 เมตร กว้าง 9 เมตร นี่ก็เป็นเรื่องซับซ้อนที่อาตมาพาทำ ไม่ได้ประหลาดใจอะไร แต่ทำเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัยนี้ ซึ่งก็เป็นตัวอย่างเป็นความแย้งของสังคมไปในตัว
ทำให้เห็นกลมกลืนและแย้งอยู่ในตัวว่าเอียงมาทางนี้สมยุคสมัย ที่เขาจะเปลี่ยนผ่านเป็นทุนนิยมขี้โลภลาภยศสรรเสริญสุข ซึ่งไม่ได้เป็นความละเอียดลออ
_*Channarong Jindatham ชาญณรงค์ จินดาธรรม* · ความขัดแย้งที่พอเหมาะ คือความงดงามของพี่น้องชาวอโศกครับ
พ่อครูว่า… ถูกต้องแล้ว สามัคคีคือความขัดแย้งอย่างพอเหมาะ ถ้าไม่มีความขัดแย้งเลย คือพวกน้ำเน่า ไม่มีอะไรขัดแย้งคือพวกน้ำเน่า มีแต่วันจะแห้งลง หรือว่าจมเน่า จะสลายไป อย่างนี้ ถึงจะมีความสด พวกตื่นพวกไม่จมนี้มีความสด
คุณจะ
_**ผมเห็นคุณสติพล จนพัฒนา ประกาศตั้งตบะธรรมในการเข้าพรรษาครั้งนี้ 10 ประการคือ..1 จะปฏิวัติศีลที่เป็นสมมุติและปรมัตถ์ให้ชัดเจน 2 จะมีปกติเป็นผู้ที่มีศีลและธรรมประจำตนเสมอ 3 จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวบุคคลแม้ท่านมีความดีสูงสุด 4 จะไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้ในความดีสูงสุด 5 จะพยายามเจริญปัญญาและพัฒนาสติของตนให้ยิ่งๆขึ้นไป 6 จะรู้ความจริงตามความเป็นจริงให้มากที่สุด(อยู่กับปัจจุบัน)7 จะเรียนรู้ปุคคลาธิษฐานสู่ธรรมาธิษฐานให้มากที่สุด 8 จะไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้ในความไม่ยึดมั่นถือมั่น 9 ไม่สำคัญมั่นหมายตนจนเกินไปให้สนิทเนียนได้ให้ได้ และ10 ไม่อยากได้ไม่อยากมีและไม่อยากเป็นอะไรทั้งสิ้นและดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาทให้ได้ใน”ทุกขณะจิต” ดังนี้ เป็นการเหมาะควรหรือไม่ขอรับ.
พ่อครูว่า… เห็นไหมว่าชักฟุ้งซ่าน คุณอาจจะพูดคำว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นนี้ถูก แต่คำว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นนี้ เป็นของผู้ที่บรรลุสูงสุดแล้ว แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่ยึดเป็นสมาทาน อาทาน แปลว่ายึด สมาทานแปลว่ายึดอย่างมีสมะ ส่วนอุปาทานยึดอย่างติด ยึดอย่างไม่มีปัญญา ไม่มีวิชชา เป็นอวิชชา สมทานกับอุปาทาน
ตอนแรกคุณต้องยึดมั่นก่อน ในธรรมะในสัจจะ คุณไม่ยึดอย่างแรงกล้า ยาก ต้องยึดอย่างแรงกล้าในผู้ที่นำธรรมแท้ๆ แล้วหัดฝึก ไม่ยึดมั่นถือมั่น จากสิ่งที่คุณค่อยๆละล้างมา
เพราะฉะนั้นอย่าไปทำผิดลำดับ นี่เป็นลำดับที่น่าอัศจรรย์ ซึ่งไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆ
คุณไปแยกภาษาคำว่า ศีลและธรรม มันก็เป็นสมมุติและปรมัตถ์แล้ว จะต้องมีศีล และธรรมนั่นแหละมาปฏิบัติ
คุณก็ได้ระดับรองของคุณไปตามลำดับ จะเอาสิ่งสูงมาเลยก็ไม่ได้
เข้าใจปัญญาให้ถูก อย่าเป็นเฉโก ซึ่งต่างกันกับปัญญา เป็นคนละโลกเลย เทวนิยมกับปัญญานิยม ถ้าไปหลงผิดก็เป็นปัญญานิยมเป็นปัญญาเที่ยง อย่างที่คุณพูดสุดท้ายจะไม่ยึดแม้แต่ปัญญา เห็นใจผู้ที่มีศรัทธาเหมือนกัน คุณจับประเด็นปัจจุบันเป็นหลักก็ดีแล้ว
คือได้ภาษาเก่ง แต่เข้าสู่สภาวะให้ได้ตามลำดับก็แล้วกัน
ที่เขาเขียนมาก็มีทั้งเหมาะควรและไม่เหมาะควร ก็วิจัยไปพลาง
_จากญาติธรรม…พ่อท่านบอกว่า พล.อ ประยุทธ์ เป็นโพธิสัตว์ นั้นเป็นจริงหรือไม่อย่างไรบ้าง …กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง
พ่อครูว่า…เอ๊ สงสัย คนต่อจากหลังนี้จะไม่ได้แล้ว
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม… พ่อครูได้ย้อนเรื่อง นอนแล้วตื่นมาตีระฆัง ทุกชั่วโมง ผมก็มาจับอาการ ความหรี่หลับนี้ เรารู้ได้ไม่ง่ายเลย
ความเป็นโพธิสัตว์ในประชาธิปไตยไทย
_ธุลีดิน รักบ้านเมือง / ได้ดูรายการของช่อง Top News คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ได้นำเรื่องโพลของนิด้า ที่คุณอุ๊งอิ๊งได้เป็นนายก โพล โดยมีคะแนนทิ้งห่างจากลุงตู่อย่างมาก แม้แต่คุณพิธาซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคที่ยังไม่มีผลงานอะไร ก็ยังได้รับความนิยมเหนือกว่าลุงตู่ คุณสนธิญาณออกมาเตือนผู้ที่รักบ้านเมืองว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลุงตู่คะแนนตกต่ำ ผลโพลของนิด้า(ที่ถือว่ามีมาตรฐานทางวิชาการ)ที่ผ่านมา 3-4 ครั้งพรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนนำมาตลอด ส่วนพรรคพลังประชารัฐแทบจะคะแนนต่ำสุด
และเมื่อเจาะลงไปในรายละเอียดแต่ละกลุ่มของประชากร ก็จะมีเพียงกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้นที่ลุงตู่มีคะแนนนำ นอกนั้นคุณอุ๊งอิ๊ง คุณพิธา มีคะแนนนำอยู่ทุกกลุ่มทุกอาชีพ ยิ่งพวกที่มีความรู้ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป ทั้งคุณอุ๊งอิ๊ง คุณพิธา ต่างมีคะแนนนำอย่างขาดลอย แม้แต่กลุ่มคนจนก็ยังนิยมคุณอุ๊งอิ๊ง คุณสนธิญาณ นำเสนอให้เห็นถึงอนาคตอันมืดมนของสังคมไทย ที่จะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในปี 2566 หลังเดือนมีนาคม คุณสนธิญาณนำเสนอทางออกว่า ลุงตู่จะต้องออกมาเป็นหัวหน้าพรรคเอง ให้ลุงป้อมเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค มิฉะนั้นลุงตู่ก็จะเป็นนายกฯ ที่ขาลอย โดยไม่มีสส.ของตัวเองคอยค้ำบัลลังก์อำนาจให้ ขอเรียนถามปัญหากับพ่อครูดังต่อไปนี้
-
ในยุคที่กระแสโซเชียลและสื่อ ต่างมีอิทธิพลต่อการชี้นำสังคมเช่นนี้ จนทำให้ได้ผู้ว่าโซเชียลแบบแลนสไลด์ ที่ฟิลิปปินส์ลูกของมาร์กอสก็ได้ขึ้นเป็นผู้นำด้วยอิทธิพลของโซเชียลด้วยคะแนนอย่างถล่มทลาย อยากทราบว่า การสร้างกระแส กับการสร้างความจริงที่ลุงตู่เดินหน้าทำอย่างทุกวันนี้ สุดท้ายแล้วอย่างไหนจะชนะครับ
-
FC ของลุงตู่ พยายามเรียกร้องให้ลุงตู่ลงมาเป็นหัวหน้าพรรคเอง เพื่อแก้ปัญหาเรื่องขาลอย พ่อครูมองว่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือไม่?
3.ใครๆก็มองว่า ลุงตู่ติดยึดอำนาจ เป็นนายกมา 8 ปี น่าจะพอแล้ว ประเทศไทยที่มีประชาธิปไตยอย่างล้าหลัง เป็นเพราะสาเหตุใหญ่มาจากการยึดอำนาจของลุงตู่ แต่น่าคิดว่าทั้งฟิลิปปินส์หรือแม้แต่อเมริกามีการเลือกตั้งกันมาตลอด ประชาชนคนของเขาดูจะท้อแท้สิ้นหวังยิ่งกว่าเมืองไทย พ่อครูมองว่าจะเอาหลักอะไรมาใช้ตัดสินความเป็นประชาธิปไตยกันครับ
พ่อครูว่า… คำว่ามืดมน เป็นความมืดมนเพราะว่า เปลี่ยนจากพลเอกประยุทธ์มาเป็น
อุ๊งอิ๊ง
ตอบข้อสุดท้ายนี้ก่อน เอาหลักความจริงมาเป็นเครื่องตัดสิน ความจริงคืออะไร
ความจริงคือ สิ่งที่แยกไม่ได้แล้ว เป็น 2 เพราะฉะนั้นการเลือกตั้ง มันยังเป็น 2 อยู่
กษัตริย์นี้เป็น 1 ในยุคไหนก็ตามกษัตริย์ก็เป็น 1 เสมอ การเลือกตั้งนี้คือ เขาใช้ ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น 2 อย่างนี้มันเป็นสภาวะ 2 ที่สลับสับเปลี่ยน สลับไปสลับมา
ในยุคนี้เป็นยุคที่จะต้องกลับเข้ามาหาความเป็น 1 ไม่ใช่ว่าไปหลงความเป็น 2 ประชาธิปไตยของเทวนิยมเขาติดในความเป็น 1 เขาพยายามหาทางออกเป็น 2 แล้วเขาก็เลยมาหลง 2 กับการเลือกตั้ง ไม่ยึดมั่นถือมั่นใคร โดยมีประธานาธิบดีกับประชาชน เป็น 2 แต่เลือกได้ประธานาธิบดีขึ้นไปเมื่อไหร่ก็เป็นเผด็จการทั้งนั้น ไม่ใช่ประชาธิปไตย
เพราะเขาไม่มีความรู้ในเรื่องโลก ไม่มีความรู้ในเรื่องอัตตาและธรรมะ อธิปไตยของโลกอธิปไตยของอัตตา อธิปไตยของธรรมะ อธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ ธรรมาธิปไตย หากเข้าใจแล้วเป็นหนึ่งแล้ว ก็จะปฏิบัติกับโลกได้อย่างมีสัดส่วนพอ ปโหติ คำนี้ก็ยากมากที่จะจัดสัดส่วนให้พอเหมาะได้
คนที่ไม่มีอธิปไตย 3 ไม่มีทางที่จะรู้จริง รู้ละเอียด เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ เป็นมีโลกุตระ
พลเอกประยุทธ์ เป็นโพธิสัตว์ จึงสามารถนำพา การบริหารที่ดีมาได้ กำลังจะเต็ม 8 ปี แต่คนที่เบื่อบอกว่ามันยาวนานเกินไป ให้พักเถอะ ให้คนใหม่เข้ามาบ้าง อาตมาก็มองกลับกันกับคนที่เห็นว่าควรจะเปลี่ยน อาตมายังมองไม่เห็นคนที่มีภูมิธรรมพอ เท่าที่อาตมาจะมีภูมิปัญญาพอจะรู้ว่าสังคมไทยมีใครบ้างที่จะมาเป็นนายก แทนพลเอกประยุทธ์ อาตมายังไม่เห็น ยังไม่เห็นตัว ยังไม่เห็นใครที่เสนอหน้ามา ยิ่งอุ๊งอิ๊งแล้ว รับรองว่าชิบหายเลย ถ้าให้มาเป็นนายก ขออภัย เรือหายเลย ถ้าให้อุ๊งอิ๋งมาเป็นนายกนี่เรือหายเลย จะต้องมาพึ่ง บ้านราชเมืองเรือ เพราะบ้านราชมีเรือเยอะ ถ้าเอาอุ๊งอิ๊งมาเรือหายแน่ๆ เพราะเขาไม่เข้าใจ
จะเป็นเพราะว่าเบื่อคนเก่าอยากได้คนใหม่ตามประสาคนโลกๆ โดยไม่รู้จักสัจจะความจริง ลึกเข้าไปไม่รู้จักสัจจะความจริงตรงที่ว่า คนผู้นี้เป็นโพธิสัตว์ พิสูจน์มาแล้ว 8 ปี นิยมชมชื่น
เรื่องโพล โพลของใครก็ตาม มันเป็นเรื่องสถิติ เป็นเรื่องประมาณ คนในโลกขณะนี้จุดสำคัญก็คือ ในหลวง ร.9 เอา ประชาธิปไตยโลกุตระมาประกาศแบบรูปธรรม พลเอกประยุทธ์เป็นโพธิสัตว์มองออก ก็นำมาทำ ความยอมรับนับถือกษัตริย์กับนายกนี้ ไม่ใช่คนอย่างยิ่งเป็นชาวพุทธ ย่อมนับถือกษัตริย์เป็นหนึ่งมาแต่ไหนแต่ไร เพราะฉะนั้นนายกประยุทธ์ไม่เท่าหรอก และไม่ควรจะไปตีตัวเสมอด้วย ท่านก็ไม่ได้ตีตัวเสมอ อันนี้ก็เป็นคุณธรรมของพลเอกประยุทธ์อยู่เต็มที่ ก็ถูกแล้ว แต่ก็มีพวก Social เก่งๆ มันกด นี่แหละ อำนาจของ Social
พวกคุณนี้ศรัทธาพลเอกประยุทธ์ คุณกดบ้างหรือเปล่า ไม่กดหรอก ไอ้พวกกดนี่ มันมีความมุ่งหมายว่าจะต้องกระหน่ำ เขาบอกว่าโซเชียลอย่างชัชชาติ นั่นแหละพวกฉาบ เปลือก สร้างกระแส ไม่ใช่ความจริง พยายามสร้างกระแสไม่ได้เข้าไปสู่ความจริง ความจริงที่เป็น Axiom เป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว เป็นความจริงถาวรยั่งยืนตลอดกาล ไม่เปลี่ยนแปลงอีกแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว
เพราะฉะนั้นในขณะนี้กระแสของโซเชียลมันเก่ง ทำให้วูบวาบ อย่าไปหลงนะ มีตัวอย่างอยู่ในเมืองไทย คุณชัชชาติ นี้มาได้เพราะกระแส สร้างมาตลอด เดี๋ยวนี้ก็ยังทำกระแสอันนั้นอยู่ พยายามจะมาเป็นคนจริงทำจริง ก็พยายามไต่เต้าไป แต่ยังไม่เป็นตัวจริงหรอก คุณชัชชาติ ฉลาด พยายามออกจากเพื่อไทย แต่ฉลาดอย่างเทวนิยม ฉลาดเฉโก ยังไม่ใช่ฉลาดอย่างปัญญา
เพราะฉะนั้นอาตมายังเชียร์ ยังส่งเสริมพลเอกประยุทธ์อยู่ ก็เห็นว่ายังแข็งแรง ยังไม่ได้เสื่อมทรุดอะไร ยังไปได้ อีก 10 ปีนะอาตมาว่าได้สบาย 20 ปีก็ยังได้ ถ้าหากพลเอกประยุทธ์พยายามไปอีก 10 ปี อาตมาว่าเมืองไทยมั่นคง ถ้ายิ่งเลย 10 ปีไปอีก หรือมีตัวแทนมีผู้แทนที่ทำแทนได้ขึ้นมาอีก ก็เอา ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาจะช่วยขยายทางสัจธรรม เพราะอาตมาไม่ไปเอาทางโลกโลกีย์ ทางที่จะเป็นกษัตริย์เป็นนายก ไม่เอา อาตมามาเอาธรรมะขยายธรรมะอย่างเดียว
ปางนี้ จะเป็นกษัตริย์ก็ไม่เอาแล้ว จะเป็นนายกก็ไม่เอาแล้ว ยิ่ง ลัทธิประธานาธิบดีนั้นยิ่งไม่เอาใหญ่เลย เป็นลัทธิที่ไม่ใช่คน เป็นพวกขาหัก เป็นพวกพิการ เป็นคนก็เป็นคนพิการ เป็นคนไม่เต็ม คนขาเดียว ประชาธิปไตยขาเดียว
มาเข้าประเด็นการเลือกตั้ง อันนี้เชียร์ พลเอกประยุทธ์ต้องเข้าพรรค ไปเป็นหัวหน้าพรรค จะได้นำพาให้พรรคไปเลือกตั้งชนะ นี่ก็คือยังไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าเป็นประชาธิปไตย ผู้ที่เป็นหนึ่งจะต้องอิสรเสรี ไม่มีพรรคที่ไปตั้งพรรคโดยกฎหมาย โดยบังคับ แล้วก็มีกฎเกณฑ์หลักเกณฑ์อีกเยอะ ไม่ต้อง อิสระ ไม่ให้อยู่ในกฎเกณฑ์อะไร
แต่ตอนนี้ต้องประมาณกฎเกณฑ์ให้ดี อย่างพลเอกประยุทธ์ต้องเอาตามกฎหมาย แต่ไม่ได้ยึดถือกฎหมายอย่างยึดมั่นถือมั่นอย่างที่คุณว่า ในกฎหมาย เพราะกฎหมายนั้นก็คือพวกที่เอาชนะคะคานอยู่ในประเภทหาเสียง ดีไม่ดีก็แจกกล้วย อะไรกันแล้วแต่ว่าไป ซึ่งมันดูแล้วเละเทะเลอะเทอะ
พลเอกประยุทธ์นี้เป็นประชาธิปไตยโดยรูปธรรม โดยสัจจะที่จัดแจง สัจจะจัดแจงเองเลย พลเอกประยุทธ์ก็รู้และรักษาอันนี้ได้อยู่ คือยังไม่ยอมเข้าพรรค ยังไม่ยอมเป็นสมาชิกพรรค ไม่ต้องไปเป็นหัวหน้าแค่พรรค ไปเป็นพรรคต้องมีวิป มีอะไรต่ออะไรอีก มันตีกรอบไว้หมดไม่มีอิสระ เพราะฉะนั้นเป็นนายกก็เป็นอิสรเสรีอย่างนี้แหละ โดยสัจธรรม
พลเอกประยุทธ์นั้นเขาก็หาว่ามาจากปฏิวัติ แล้วก็หาว่ามาเผด็จการ อาตมาก็อธิบายแล้วประเทศไทยไม่ใช่ ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ การปฏิวัติหรือรัฐประหารโดยประชาชน 4 รัฐบาลมาเลย เป็นการปฏิวัติโดยประชาชนที่ไม่ใช้อาวุธ ใช้ความสงบสยบความรุนแรง
พวกนักรัฐศาสตร์ซึ่งไปเรียนมาจากตะวันตก จากอเมริกา จากอินเดีย ไม่เรียนประชาธิปไตยในเมืองไทย ก็อย่างว่า เมืองไทยเพิ่งจะเริ่มก่อรูปแต่ก็ลึกซึ้ง และเป็นประชาธิปไตยที่ Axiom แท้จริงที่สุด Absolute Ultimate บริบูรณ์เลย
เพราะฉะนั้นตอนนี้ อาตมาก็ให้ความเห็น ฝากลมฝากแล้งไป ว่า มองพลเอกประยุทธ์ให้ลึก สิ่งที่ลึกที่สุดก็คือ ประชาธิปไตยที่แท้
-
ไม่มีตัวตน 2. ซื่อสัตย์ 3. รับใช้ประชาชนจริง แถมอีก1คือ 4. มีสมรรถนะ มี
ความรู้ความสามารถ แล้วทำงานเต็มที่ตามความเป็นจริงของเรา
พลเอกประยุทธ์รักษาได้ คนอาจจะมองยากตรงที่ไม่มีตัวตน การไม่ยอมเข้าพรรคไม่เป็นสมาชิกพรรค นี่ก็คือไม่มีตัวตน ถ้าไปอยู่ในพรรคก็จะมีความเป็นตัวเป็นตนเป็นพรรคของกู เป็นพวก เป็นประชาธิปไตยแบบพรรค แบบคอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตยมีกฎหมายออกบังคับพรรค แล้วมีข้อบังคับในความเป็นพรรคการเมืองอีกเยอะแยะ แต่นี้ไม่มีกฎหมาย ไม่มีอะไรบังคับ อิสระ ใช้ปัญญาของตัวเองเต็มที่ ตัดสินได้เอง ทำเอง จึงเรียกว่าของเพียวๆ สะอาดบริสุทธิ์
ทำมาได้ 8 ปีก็มีคนถล่ม แล้วก็ใช้กระแสโซเชียล อย่าไปหลงกระแส มีตัวอย่างคู่เทียบเช่น นายชัชชาตินี่แหละ เป็นตัวแทนของผู้ว่ากระแส ไม่ใช่ผู้ว่าความจริง ดูตัวอย่าง อย่าไปดำเนินการตามชัชชาติ เป็นต้นว่า พอแล้วที่จะไปนั่งกินข้าวกับพวกข้างถนน ไม่ต้อง มันเลยแล้ว ประเทศไทยเลยจากยุคนั้นแล้ว เกินกว่ายุคนั้นแล้ว แต่ชัชชาติยังทำอยู่ พลเอกประยุทธ์ไปไหนไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย มีแต่การปฏิสันถาร ความอบอุ่นไป ไม่ต้องถึงขนาดลงไปสร้างภาพอย่างนั้น จนได้รับว่า ค่อนข้างจะตัด ไม่ปฏิสันถาร สำหรับพลเอกประยุทธ์ ค่อนข้างจะตัด เป็นลักษณะบุรุษ เป็นสุภาพบุรุษไม่ใช่เป็นสตรีที่สุภาพ สตรีที่สุภาพเป็นการสร้างภาพ แต่สุภาพบุรุษเป็นเอกบุรุษ เป็น 1 จริง ไม่ใช่เป็นสตรีสร้างภาพ นี่คือนัยยะละเอียดของสภาพ 2 ที่อาตมาอธิบายสัจธรรมของทั้งความเป็นธรรมะและความเป็นโลก ให้ฟังให้เข้าใจ
เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์จริงๆ เป็นโพธิสัตว์ยิ่งกว่าประยุทธ์ ด้วยความจริงไม่ได้ยกตนข่มท่าน เพราะฉะนั้นก็ แนะนำหรือช่วยเหลือ
เพราะตอนนี้นี่ ประชาธิปไตยทั่วโลก แม้ ประชาธิปไตย 2 ขา มีกษัตริย์ของประเทศต่างๆ ก็ตาม กษัตริย์ของบางประเทศเขาก็จัดการให้กษัตริย์เป็นป้าย เป็นสัญลักษณ์ของประเทศเท่านั้น โดยมีกฎหมายด้วยว่าอย่ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง อย่ามาเกี่ยวข้องกับประชาชน แต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านข้ามพ้นสิ่งเหล่านั้น ท่านนั้นมายุ่งกับประชาชนตลอด จัดการสั่งการประชาชน ทำหน้าที่เป็นนายกในที หนัก งานเยอะ แล้วท่านทำสำเร็จแล้วด้วยจนได้รับการยอมรับทั่วโลก
เพราะกษัตริย์แต่ละประเทศนั้น เป็นกษัตริย์ที่บางประเทศเป็นแค่สัญลักษณ์ บางประเทศเป็นแค่ป้าย บอกว่าเป็นกษัตริย์ เหมือนกับที่ปิยบุตรและพวกกำลังพยายาม ออกกฎหมายมาบังคับให้พระเจ้าแผ่นดินเป็นป้าย ให้เป็นแค่สัญลักษณ์อย่างนั้นจริงๆ ไม่มีอำนาจไม่มีอะไรเลย เขาจะใช้วิธีนี้มัดมือไม้ในหลวง นี่แหละพฤติกรรมของปิยบุตร กับธนาธร
ปิยบุตรตอนนี้ก็ไม่ค่อยจะเข้ามาในเมืองไทย เขามีคดีความ แต่ยังไม่ถึงกับติดคุก เขาเป็นนกรู้เป็นนักกฎหมาย หรือว่าอาจจะต้องเข้าคุกแน่ เขาก็ไม่ยอมมา นี่เป็นเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องอจินไตย จริงๆ ของประเทศไทย
ปิยบุตรแปลว่า ลูกที่รัก ที่จริงลูกที่รักกำลังกบฏ จะแย่งบัลลังก์ จะชิงบัลลังก์ กำลังกบฏ แต่เขาไม่รู้ตัวหรอก
สรุปแล้ว ก็อยากจะฝากความไปถึงสนธิญาณด้วย ว่าอย่าพลอยไปกับลมกับแล้งมากนัก สนธิญาณแปลว่า ญาณเชื่อมต่อ ความรู้เชื่อมต่อ เรียกว่า เพิ่มญาณมากกว่า สนธิ ตัวเดียว จริง ภาษาก็ชัดเจนก พฤติกรรมก็ชัดเจน พฤติกรรมที่เป็นอยู่ขณะนี้
สนธิญาณ นามสกุลชื่นฤทัยในธรรม จะว่าไปแล้วสนธิญาณเขาก็เป็นโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้นในความเป็นโพธิสัตว์ พาดพิงไปถึง สนธิญาณแล้ว
ประยุทธ์ก็เป็นโพธิสัตว์จนกระทั่งมารับหน้าที่ ส่วน สนธิญาณ เขาก็เป็นพวกสื่อสาร เป็นพวกที่มีฐานันดรที่ 4 เพื่อจะวิจารณ์มองทั้ง 3 สถาบัน รักษาสถาบัน เป็นตัวชี้เตือน สื่อสาร มีพลังมีอำนาจ ทุกวันนี้ยิ่งมีพลังมีอำนาจสำหรับเรื่องของการสื่อสาร Social Media
เพราะฉะนั้นคนรู้ทันจึงใช้ Social Media ใช้สื่อสาร พวกนี้ กระหน่ำทำก็ได้กระแสมา เพราะฉะนั้นกระแสก็เป็นตัวทดสอบความจริง ความจริงคือความตั้งมั่น กระแสคือ Dynamic ความจริงคือ Static ความจริงคือบวก กระแสคือลบ ลบคือ 1 บวกนี่คือ 2 ผนึกกันอย่างแน่นแล้ว ลบเป็นเพียง 1 ส่วนบวกนั้นมีทั้ง 2 อย่างอยู่ในตัว
เพราะฉะนั้นความจริงของประชาธิปไตยในโลกขณะนี้ ในโลกยุคนี้ คือ เมืองไทยเป็นไก่ตัวพี่ เป็นพี่ใหญ่ของโลก ที่เป็นประชาธิปไตย
ซึ่งในประชาธิปไตยของเมืองไทยนั้น เป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า เกิดแก่นแกน ของชาวอโศกขึ้นมาแล้ว มีสาธารณโภคี พฤติกรรมหรือพฤติการณ์ของสาธารณโภคีนั้น เป็นสุดยอดของสังคมมนุษยชาติ เป็นสุดยอดของลักษณะที่ใช้ในสังคมมนุษย์
เศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี รัฐศาสตร์สาธารณโภคี สังคมสาธารณโภคี ครบแล้ว ต้องขออนุญาตยกชาวอโศกให้ฟัง นี่พูดความจริงนะ ไม่ใช่ยกย่องเล่นๆ แต่เอาความจริงมาสาธยาย
อโศกนั้น เป็นตัวนำของประชาธิปไตยโลกุตระ เอามาจาก ของพระพุทธเจ้า สำเร็จสาธารณโภคี เหมือนอย่างยุคพระพุทธเจ้า ที่ทำสำเร็จได้แต่ในเพียงหมู่สงฆ์ ยังไม่สามารถออกไปถึงฆราวาสได้ เพราะมีข้อจำกัด เนื่องจากสมัยนั้นเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มนุษย์ไม่รู้จักความอิสรเสรีภาพบริบูรณ์ ยังอยู่ในยุคทาส
และ มนุษย์เองก็ยังไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชนของตนเอง อย่างเต็มรูป เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มีทางดิ้นออก
พระพุทธเจ้าท่านจึงมีตัวอย่างถึงหมู่ภิกษุที่ทำได้เพราะมีกฎหมายของท่าน ทำได้เพราะเป็นเรื่องจริงบอร์นทูบี พระพุทธเจ้านั้นใหญ่ที่สุดในยุคนั้น ใหญ่กว่าพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแคว้นมคธ แคว้นโกศล ยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งแคว้นโกศลกับแคว้นมคธ เป็นแคว้นใหญ่ 2 แคว้น เหมือนกับจีนกับอินเดียทุกวันนี้ มีพระเจ้าแผ่นดินใหญ่สององค์
แต่พระพุทธเจ้านั้นใหญ่กว่า 2 องค์นี้อีก 2 องค์นี้ยอมรับ ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทางธรรม ทั้งพระเจ้าปเสนทิโกศลและพระเจ้าพิมพิสาร ก็ล้วนแต่ยกย่องยอมรับพระพุทธเจ้า เป็นตำนานเรื่องยอมรับ เป็นสัจจะของโลกต้องเป็นเช่นนั้น แต่มันเป็นรูปธรรมที่ขยายยังไม่ออก
มาถึงในยุคนี้ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธแท้ กว่าที่ประเทศต่างๆในโลกขณะนี้ เป็นเมืองพุทธโลกุตระ มีเนื้อแท้สูงสุดแล้วคือ สาธารณโภคีกับสาราณียธรรม 6 นี่ก็เป็นคู่ของธรรมะ
สาธารณโภคีนั้นคือ ตัวตน คือ Static สาราณียธรรม 6 คือ Dynamics องค์ประกอบและพร้อม แสดงพฤติกรรมต่างๆ แล้วสาธารณโภคีเขาอยู่เป็นแกนกลางของสาราณียธรรม 6 1 ใน 6 เป็น 1 ใน 6 ของสาราณียธรรม
เพราะฉะนั้นใครรู้จักวรรณะ 9 แล้วคนที่มีคุณธรรมที่เป็นวรรณะ 9 จริง เป็นคนเลี้ยงง่ายเป็นคนบำรุงส่งเสริมให้พัฒนาง่าย วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
เป็นคนขัดเกลาให้พัฒนาได้ง่ายโดยใช้หลักธูตะ ใช้หลักศีลหลักธรรม เป็นเครื่องขัดเกลา ผู้บรรลุแล้วเป็นศีลเคร่งก็เป็นศีลธรรมดาปกติไม่ต้องเคร่ง แต่เป็นได้ตามศีลนั้นอย่างสบายเฉยๆ สบม ทมด ปกต หห จจ ปกต หห จจ มชยลล
คำว่าศีลนั้นต้องเข้าใจให้ได้ว่า หลักที่พระพุทธเจ้าบัญญัติมา ทำให้ได้ ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 2 3 4 5 ตามลำดับ หรือย่อเป็นหมวดเข้มข้นคือศีล 5
ถ้าเข้าใจศีล 5 แล้ว 3 ข้อแรกสมบูรณ์แบบ วันนี้จะไม่อธิบายมาก ข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ข้อ 2 เกี่ยวกับพืชกับของ ข้อที่ 3 เกี่ยวกับสัมผัส เกี่ยวกับกามคุณ 5
ผู้ปฏิบัติศีลแล้วมี อปัณณกปฏิปทา 3 ทำได้จริง ปฏิบัติตาม อปัณณกปฏิปทา 3
สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ จริงๆ อย่างเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ ก็บรรลุผล แทงตลอด
ผู้ที่สามารถปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ได้ จึงสามารถพัฒนาได้ เป็นโลกุตรธรรม เป็นพุทธศาสนา ผู้ที่ไปหลับตาหลงป่า โมฆะ แต่มันก็เป็นจริงอย่างช่วยไม่ได้ เพราะโลกมันต้องมีแบบนั้นด้วย เพื่อที่จะเป็นคู่ 2 ปัญญากับศรัทธา หรือปัญญากับวิริยาธิกะ
ปัญญานี้ต่อให้ศรัทธากับวิริยาธิกะ นั้น 2 เลย ปัญญาตัวเดียวนี้ คานสองส่วนนี้ได้ 1 ต่อ 2 ไม่ใช่ท้าชกกันนะ แต่น้ำหนักของความจริง 1 ชนะ 2
เพราะฉะนั้นคนที่หลง 1 จึงเป็นเทวนิยม ยึด 1 ไม่ให้ตีแตก ไม่ให้แยก ไม่ให้วิจัยวิจารณ์ ห้ามแตะต้อง ห้ามแยกออกเป็น 2 เลย
ที่ว่า มีคนสูงอายุ เลือกพลเอกประยุทธ์
ผู้สูงอายุ ที่ภาษาสำนวนไทยบอกว่า เป็นคนอาบน้ำร้อนมาก่อน คือผู้ที่ได้พบ ได้เห็น ได้สะสม ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์เป็นพระอริยะจริง คนไทยเป็นชาวพุทธจริง ก็สะสมภูมิธรรมที่เป็นอาริยะ เป็นพุทธขึ้นมา อาตมาอธิบายไว้แล้วว่าเมืองไทยตั้งแต่ตั้งประเทศไม่เคยขาดศาสนาพุทธ
แล้วศาสนาพุทธไม่เคยล้มเหลวในเมืองไทย ทุกวันนี้ก็มีชาวพุทธถึง 95% ศาสนาอื่นพยายามจะมาตีแตกพุทธ สารพัดที่จะตีแตก ซึ่งโดยสัจธรรม ยาก ไม่ได้ท้าทายหรอก แต่โดยสัจธรรมนั้นยาก ที่จริงศาสนาอื่นควรจะมาศึกษาศาสนาพุทธ
ฉะนั้นจะว่าจริงๆแล้ว พระพุทธเจ้าคือยอดมนุษย์ ที่ได้พากเพียรสั่งสมความรู้ ความจริง จนถึงที่สุดแห่งที่สุด ไกลเกินกว่าศาสดาทางเทวนิยมมากๆ เพราะกว่าที่ศาสนาเทวนิยมจะมารู้จักศาสนาพุทธ มารู้จักเริ่มต้นเป็นโสดาบัน. สกิทาคามี. อนาคามี อรหันต์ จากพระอรหันต์ยังเป็น อนุโพธิสัตว์ อนิยต โพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ ไม่รู้อีกกี่ชั้นต่อกี่ชั้น
เพราะฉะนั้น เทวนิยมจึงไกลมาก บางที ศาสนาพุทธได้เสื่อมไป เพี้ยนไป เพี้ยนน้อย หรือมาก แต่ตอนนี้เพี้ยนมาก ใกล้กลียุค ในศาสนาพุทธ จึงหาแก่นแกนได้น้อย ไม่ใช่เรื่องประหลาด ไม่ใช่เรื่องไม่จริง ในยุคนี้มีขนาดนี้ก็ดีแล้ว
พระพุทธเจ้าสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายของภัทรกัป หมดยุค พระพุทธเจ้าแล้วจะห่างไปนาน กว่าจะมีพระพุทธเจ้าศรีอริยเมตไตรยขึ้นมา เมื่อนั้นคนจะรับได้มากได้เยอะ เพราะมันจากกลียุคที่คนเกือบหมดโลก ไม่หมดทีเดียวก็เหลือแต่คนดี สมัยโบราณเรียกว่าคนมีบุญ ที่จริงคำว่ามีบุญคือผู้ที่มีกิเลสน้อย หรือตัดกิเลสไปแล้ว ก็เหลือแต่คนที่เป็นกุศลเยอะๆ
ก็จะมาสร้างมนุษย์มวลใหม่ ก็หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้กี่กัปป์กี่กัลป์ก็เป็นเช่นนี้ตลอด
เมื่อกี้พูดถึงคำว่าคนแก่ ก็เป็นคนแก่ของพุทธ ไม่ใช่แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน
แต่นี่แก่มะพร้าวแก่มันแก่ดี แก่หัวกะทิ ซึ่งมีจำนวนน้อย หัวกะทิมีจำนวนน้อยกว่าหางกะทิ หัวกะทิเปรียบเสมือนยอดพีระมิด อันนี้อยู่ในประเทศไทย ซึ่งอาตมาเคยสาธยายมาแล้วว่าตอนนี้ย้ายชมพูทวีปจากอินเดีย มาอยู่ประเทศไทยแล้ว อาตมาไม่ได้พูดเล่นแต่พูดความจริงทั้งนั้น แต่คนยังไม่เข้าถึงความจริง เขาก็หาว่าพูดเป็นเพียงพยัญชนะบัญญัติ ที่จริงแล้วมันมีตัวรองรับ มีความจริงยืนยันทั้งนั้น
แม้แต่คำว่า ประยุทธ์ คำนี้ก็เป็น อจินไตย เมืองไทยตอนนี้มีประยุทธ์อยู่ 2 ประยุทธ์งงทางธรรมและทางโลก คือยังรบอยู่ ประยุทธ์แปลว่า รบ
ยุทธะ จริงๆ ยุต หรือยุติ คือ หยุดนะ แต่มาเป็นผู้รบ มันจะกลับกัน
ท่านมหาปยุตท่านชื่อ ยุติหรือยุตะ แต่พลเอกประยุทธ์เป็น ยุทธ คือรบ สายทางธรรมคือความสงบ แต่ท่านมหาปยุตท่านไม่สงบจริง ท่านยังรบอยู่ โดยท่านใช้ สรณะเป็นที่พึ่ง สรณะแปลว่า ประกอบการรบ รณะ แปลว่า รบ สรณะคือ เกี่ยวกับการรบ
ภาษาที่สิริมหามายาต่างๆเหล่านี้ อจินไตย อย่างนี้ รู้ยาก แต่อาตมา หยิบมาขยายความให้เห็น โดยมีสภาวะมีบุคคลมีพฤติกรรมรองรับ ถ้าใครฟังออกจะเข้าใจ
คนที่ยังคะนองยังเป็นคนไม่มีราก แต่คนแก่ของชาวพุทธเป็นคนที่มีราก
-
มีฉันทะเป็นมูล 2. มีมนสิการเป็นแดนเกิด 3. ผัสสะเป็นปัจจัย 4. มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง 5. มีสมาธิเป็นประมุข 6. มีสติเป็นอธิปไตย 7. มีปัญญาเป็นอุตตระ 8. มีวิมุติเป็นสาระ 9. มีอมตะเป็นที่หยั่งลง จากอมตะเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน
บุคคล 9 ใน
-
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
-
พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า
-
อุภโตภาควิมุติ
-
ปัญญาวิมุติ
-
กายสักขี
-
ทิฏฐิปัตตะ
-
สัทธาวิมุติ
-
ธัมมานุสารี
-
สัทธานุสารี