650520 เรียนรู้สภาวะของรูป 28 สู่ความเป็นอรหันต์ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1K5OjlNq33kexZC-sGLJUWgzOXguId5RUEGp1Ql7VYJQ/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1nUQwjN8fPShncu2c37uroHZ-aYmy3x0W/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/d7hT7LkbAw/
และ https://youtu.be/eqMH0OwHoeo
พ่อครูว่า… วันนี้วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
SMS วันที่ 16-17 พ.ค. 2565
_1614 : กามอัตตาคือปัญหาชีวิต หลงรักเคารพครูบาอาจารย์ที่มิจฉาทิฏฐิจะพาเราหลงทิศหลงทางไปจากพุทธแท้ไปหลายภพชาติ เสียดายเวลาที่ใด้เกิดมาเจอศาสนาพุทธ ไม่ได้ประโยชน์อะใรเลย แถมได้ทุกข์ได้โทษอีก ส่วนตัวผมใครจะว่าครูบาอาจารย์เราเช่นไร ขอให้ครูบาอาจารย์ของเราทรงศีลทรงธรรมและไม่ผิดวินัยก็พอ แต่ถ้าไม่มีศีลมีวินัยเป็นหลัก ให้บอกว่าตัวเองวิเศษแค่ไหน บวชมาเท่าใหร่ ก็ไม่เคารพ ถ้าพระดีจริงท่านก็ไม่คบคนกับลูกศิษย์ที่ไม่เอาศีลเอาธรรมเอาวินัยเด็ดขาด ครับ
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกขออนุญาตแสดงความเห็นว่า ความจริง อัมพัฏฐมาณพ ก็ได้เรียนการดูมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ อันอาจารย์ยกย่องว่ามีความรู้เทียบเท่าอาจารย์มาแล้ว ครั้นเมื่อได้มาพบพระพุทธเจ้าอันดับแรกก็น่าจะได้เห็นมหาปุริสลักษณะของพระพุทธเจ้าอยู่มากหลายข้อ แม้ไม่ครบ32 ลูกเห็นว่า อัมพัฎฐมาณพ ไม่น่ากล่าวดูหมิ่น พระพุทธเจ้า ถึง 3 ครั้ง เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า พระพุทธเจ้ามีมหาปุริสลักษณะหลายประการ และโดยที่อัมพัฎฐมาณพยังไม่ได้แสดง มหาปุริสลักษณะ ที่เหนือกว่าพระพุทธเจ้า แม้แต่ข้อเดียวเลย
สำหรับในยุคนี้ ลูกขอกราบแสดงความเห็นว่า บุคคลผู้มีความเป็นพุทธะมากที่สุด คือพ่อครู โดยใช้วิชชา 8 และ จรณะ15 มาวัดโดยพ่อครูสามารถเปิดเผย จรณะ15 วิชชา 8 ให้คนบรรลุธรรมได้ น้อมกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ
หลับตาปฏิบัติไม่ใช้จรณะวิชชาของพุทธ
_พลังเพ็ญ คำด้วง : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพ อย่างสูงค่ะ ลูกหนึ่งคนที่ฟังธรรมไม่เบื่อได้แง่มุมใหม่ๆ ในการนำไปชำระกิเลสเมื่อกระทบผัสสะต่างๆในแต่ละวันที่เจอโดยเฉพาะเรื่องของจรณะ ๑๕ วิชชา ๘ พ่อครูเทศนาครั้งนี้ เข้าใจมากขึ้นกว่าเก่า กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…ตั้งข้อสังเกตอย่างนี้ก็ดี ก็ถูกต้อง
ดี จรณะ และวิชชา ได้หายไปจากศาสนาพุทธแล้ว ที่ได้กล่าวใน อัมพัฏฐสูตร ที่ อัมพัฏฐะก็ยืนยันว่าเขาก็มีจรณะและวิชชา แต่พระพุทธเจ้าข้อซักถามไล่เรียงแล้ว อัมพัฏฐะก็จำนน เพราะเขาไม่มีการปฏบัติ เขาท่องได้เป็นนกแก้วนกขุนทอง คล้ายกับในสมัยนี้ที่เรียนจบปริญญา ปริยัติเปรียญ แล้วไปเรียนจบดอกเตอร์จากมหาวิทยาลัยทางเทวนิยมตะวันตก แล้วนึกว่าตัวเองมีโลกุตระรู้จักโลกุตระ
โลกุตรธรรมคืออะไร โลกุตรธรรมคือผู้หยั่งรู้ มีญาณหยั่งรู้จิตตัวเอง สักกายทิฏฐิ หยั่งรู้จิตตัวเอง มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ รู้จักกิเลส สามารถจัดการกิเลส ด้วยการสร้างปัญญา สร้างฌาน ที่เป็นพลังงานทางจิตวิญญาณเป็นพลังงาน ฌาน เผาพลังงานราคะโทสะ โมหะลงไปได้ นั่นคือโลกุตรจิตจริงๆ
ซึ่งเรียนรู้ไม่ได้ง่ายๆพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตรัสรู้โลกุตรธรรม เทวนิยมทั่วโลก ไม่มีธาตุรู้ที่เรียกว่า ปัญญา ที่จะรู้โลกุตรจิต ที่จะรู้กิเลสจริงๆมีวิธีทำให้กิเลสลดลงไปได้ มันไม่มี
เพราะฉะนั้น วิชชาจรณสัมปัณโณหรือ จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจริงๆ เป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ที่ ชาวพุทธต้องเรียนรู้และต้องเข้าถึง วิชชาจรณะ เข้าถึงจรณะ 15 มีวิชชา 8 เป็นตัวช่วย ให้เกิดความกระจ่าง ความพัฒนาขึ้นมาเป็นพลังงานที่เรียกว่า ฌาน พลังงานทางจิต เป็นพลังงานมาเผาพลังงานราคะโทสะโมหะ
เป็นพลังงานที่เรียกเป็นภาษาไทยว่าพลังงานไฟ ซึ่งสามารถที่จะมีฤทธิ์ ฆ่ากิเลส นี่คือสัจจะมันเป็นเช่นนั้น
เพราะฉะนั้นจรณะ 15 วิชชา 8 จึงเป็นวิชชาของพระพุทธเจ้า เรียกว่าวิชชาจรณสมบัติ
อัมพัฏฐะมาถกกับ พระพุทธเจ้า ว่าเขาเองมี แต่พระพุทธเจ้าก็ไล่เรียงไปจนเขาจำนนว่าเขาไม่มี อัมพัฏฐะไม่รู้ มิจฉาทิฏฐิว่า วิชชาจรณะนั้นเขามีแต่ภาษา แต่การปฏิบัติธรรม เขาก็ยังสะกดจิต ฌานสมาธิ เป็นแบบสะกดจิต ฌานไม่ได้เกิดจากศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 ในจรณะ 15 แล้วค่อยเกิดฌาน 1 2 3 4 ฌานเขาไม่ได้เกิดจากศีลแต่ละข้อ แล้วเกิดการปฏิบัติ มีอปัณณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์ 6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ
ต้องสำรวมอินทรีย์ 6 มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ ตื่นรู้สัมผัสกับของกินของใช้ เกิดกิเลสเมื่อไหร่ก็เรียนรู้แล้วล้างก็กิเลส มีวิธีล้างกิเลส จึงจะเกิด ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา หนุนช่วย สังเคราะห์กันให้เกิด ฌาน 1 2 3 4 โดยมีวิชชาธาตุรู้ ปัญญาญาณ เข้าไปแทรกรู้
ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ต้องมีปัญญา ญาณ วิชชาร่วมรู้ สัทธรรม 7 ก็มี ปัญญา ญาณวิชชาร่วมรู้ แม้ที่สุดฌาน 1 2 3 4 ก็มี ปัญญา ญาณ วิชชาร่วมรู้ไปด้วย
เพราะฉะนั้นการไปหลับตาปฏิบัตินั้นมันตรงกันข้ามกันกับ จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นพวกโมฆะบุรุษ เป็นพวกเดียรถีย์ 100% พูดอย่างนี้แล้วชัดขึ้น แต่พวกหลับตางมงายเขาก็ฟังเด๋อ ฟัง คือ มันเหมือนกับชาล้นถ้วย เหมือนกับจะว่าไม่เข้าหูก็ไม่ใช่หูหนวก เข้าหูแต่ไม่เข้าใจไม่เข้าถึงจิต ไม่เข้าถึงความเข้าใจ ไม่เข้าถึงธาตุรู้ที่จะไปรู้อะไร ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่อย่างนั้นเท่านั้น ก็ไม่อยากให้เป็น ก็น่าสงสาร ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
_Fei Huang (เฟย ฮวง) : แสดงว่า อัมพัฎฐมาณพ เป็นจัณฑาลใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า… ก็ไม่ใช่นะ เป็นไม่ได้หรอก เขาเช็คกันอยู่ จะเป็นจัณฑาลแล้วไปเป็น พราหมณ์ ได้อย่างไร
ปฏิบัติเป็นลำดับให้บรรลุอย่างสั้น
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วย สุดเศียร สุดเกล้าผมขอสัมมาทิฏฐิ เรื่องการปฏิบัติธรรมพื้นฐานในเบื้องต้น ท่ามกลางและบั้นปลาย ว่าจะปฏิบัติอย่างไรให้บรรลุธรรมครับ ขอให้พ่อท่านมีอายุถึง ๑๕๑ ปีด้วยครับ กราบนมัสการขอบพระคุณอย่างสูงครับพ่อท่าน
พ่อครูว่า… อาตมามาถึงวันนี้แล้วไม่เอานะ 151 ปี สังขารเรามันคงแย่ เดินเหินไม่ไหวต้องนอนติดเตียง ต้องใช้วิลแชร์ก็ไม่เอา ตกลงใครจะมาอวยพรให้อายุ 151 ปีหน้าอาตมาไม่เอา ขอแค่ไปเรื่อยๆจะได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น
เอาอย่างย่อที่สุด คุณก็ต้องเอาศีลเป็นหลัก แล้วก็ต้องปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ให้ได้ ถ้าคุณไม่มีศีลเป็นหลัก หัวข้อใดหัวข้อนึง เรื่องนี้เรื่องสัตว์นะ เราก็ต้องกำหนดให้รู้ว่าเราทำศีลข้อที่ 1 เรื่องนี้เกี่ยวกับข้อที่ 2 เป็นของกินของใช้ คุณก็ต้องรู้ว่าอย่าไปทุจริต ไม่เอาของเขาไม่เอาของที่ไม่ใช่ของเรา เอาแต่ของที่เขาให้ ข้อที่ 3 เกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กำหนดรู้กิเลสเมื่อกระทบกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส คุณก็ต้องรู้ว่าศีลข้อไหนเป็นอย่างไร แล้วคุณก็ต้องปฏิบัติศีล มีอปัณณกปฏิปทา 3 แล้วคุณจะเกิดสภาวะธรรม หรือสัทธรรม 7 เพราะฉะนั้นก็ทำไปทีละข้อๆ ได้ผลก็จะลดไป จากกามภายนอก ได้ผลแล้ว ก็ไม่ต้องหลับตา เราอยู่เหนือกามไม่ต้องหลับตาหนีกายหนีกาม อยู่บนกายบนกามแล้วเหลือกิเลสรูป อรูป ก็ล้างรูป เป็นขั้นกลาง ล้างอรูปเป็นขั้นปลาย อธิบายจบแล้วอย่างสังเขป
ปฏิบัติอย่างไรก็ปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นตัวปฏิบัติที่แท้จริง หากขาด อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่ใช่ศาสนาพุทธ หลับตาไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ถึงไม่ใช่ศาสนา ไม่ได้ลงโทษแต่เป็นเรื่องจริง
-
SMS วันที่ 18-19 พ.ค. 2565
_1614 เซ่นพิษเงินเฟ้อ! ไบเดนร่อแร่ คะแนนนิยมดำดิ่งเหลือแค่ 39%
_Rujira Wongpalee รุจิรา วงศ์ปาลี· ศาสนาพุทธที่แท้พิสูจน์ได้โดยการสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ผู้ศึกษา แต่ถ้าศาสนาพุทธที่ไม่แท้ ไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมเดิม ฉะนั้นจึงไม่มีการบรรลุธรรม
พ่อครูว่า…จริง จริงที่สุด
_อาภรณ์ จองเจริญกุลชัย · น้อมกราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูง ได้ชัดเจนในธรรมพ่อครู ได้ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ยิ่งฟังก็ยิ่งเข้าใจ จะน้อมนำคำสอน ไปฝึกฝนพัฒนาตนเองให้เจริญปัญญา มีดวงตาเห็นธรรมยิ่งๆขึ้น น้อมกราบบูชาสาธุค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาก็สบายใจที่อธิบายธรรมะ โดยเฉพาะพุทธคุณคือวิชชาจรณะสัมปันโน มีผู้รับรู้ได้แล้วก็กลับมาเห็นจริงเห็นจัง เลิกสิ่งที่เป็นมิจฉาทิฐิสิ่งที่ผิด เช่นพวกหลับตา แล้วก็มาปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 อาตมาประสบผลสำเร็จแล้ว
พระอรหัตต์จะไม่เป็นบ้าไม่เป็นอัลไซเมอร์
_จากผู้มีข้อสงสัยเรื่องความเป็นอรหันต์ ฝากถามพ่อครูว่า
เป็นบ้า
๑. พระอรหันต์เป็นอัลไซเมอร์ได้ไหม?
๒. พระอรหันต์ มีสิทธิ์เป็นบ้าหรือเป็นโรคจิตเภทได้ไหม?
๓. หากว่า สติวินัยใช้กับพระอรหันต์ แล้ว อมูฬหวินัย ใช้กับพระอรหันต์ได้ไหม?
_หากว่า สติวินัยใช้กับพระอรหันต์ แล้ว อมูฬหวินัย ใช้กับพระอรหันต์ได้ไหม?
พ่อครูว่า… สติวินัยใช้กับพระอรหันต์หมายความว่า หมู่สงฆ์ ยกประกาศว่าท่านมีสติวินัยเพราะฉะนั้นท่านย่อมมีสติสมบูรณ์ คนมีสติสมบูรณ์จะเป็นอัลไซเมอร์ได้อย่างไร ถ้าเครื่องมือคือสมองมันไม่ดี สติ มันจะไปดีได้อย่างไร สมองมันพิการ เครื่องมือที่จะใช้มันบกพร่องมันก็จะใช้เต็มที่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น
-
พระอรหันต์ สมองก็จะต้องบริบูรณ์ โดยอจินไตย โดยกรรมวิบาก ผู้มีบารมีจะบรรลุอรหันต์ แน่นอน เครื่องมือจะใช้ก็ต้องสมบูรณ์ จิตวิญญาณที่ศึกษาฝึกฝนจึงจะสมบูรณ์ลงกันได้ เพราะฉะนั้นสรุปแล้ว อรหันต์ไม่เป็นอัลไซเมอร์ เป็นอัลไซเมอร์อยู่ยังไม่เป็นอรหันต์ไม่ว่าจะหลังหรือก่อน ยิ่งก่อน จะเป็นอรหันต์ อัลไซเมอร์แล้วจะไปเป็นอรหันต์ได้อย่างไร แม้เป็นพระอรหันต์แล้วจะเป็นอัลไซเมอร์ ไม่ได้หรอก โดยอจินไตยโดยกรรมวิบาก พุทธเจ้าพระอรหันต์ วาสนาที่จะอยู่ จะต้องเป็นเครื่องมือสมบูรณ์ เครื่องมือไม่สมบูรณ์มันไม่ได้ มันไม่ลงตัวกัน มันจะต้องสมพร้อมกัน
แล้ว อมูฬหวินัย ใช้กับพระอรหันต์ได้อย่างไร พระอรหันต์จะไป อมูฬหวินัยได้อย่างไร อมูฬหวินัย ใช้กับผู้ที่ไม่เต็มเต็งจริงๆคนสติไม่ดีคนฟั่นเฟือน คนเป็นบ้า เพราะฉะนั้นวินัยไปใช้กับพวกเป็นบ้า อรหันต์กับคนบ้าจะเป็นคนเดียวกันได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ อรหันต์กับคนบ้าจะเป็นคนเดียวกันไม่ได้
เพราะฉะนั้น โดยสัจจะไม่ใช่แค่ตรรกะ ถ้าท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านจะยังมีกายกรรมวจีกรรมไปล้วงไปควักอย่างนั้น ก็ พระอรหันต์กิเลสไม่มีแล้ว ท่านก็ต้องมีเจตนาที่สมบูรณ์แบบ เจตนาท่านก็รู้ว่า อย่างนี้แค่โลกวัชชะ โลก เขาก็รู้ว่ากายกรรมวจีกรรมแค่นี้ไม่ดี แล้วพระอรหันต์จะไม่มีปัญญารู้ โลกวัชชะให้โลกมาตำหนิ แล้วทำไมจะต้องไปวนเวียนเป็นพระอรหันต์โง่พระอรหันต์ฉลาด พระอรหันต์ฉลาดแล้วพระอรหันต์โง่กลับไปกลับมาได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้ก็พูดจาสับสนปนเป ฟังดีๆ อาตมาแยกให้ชัด
ผู้เป็นอรหันต์ จะเป็นอัลไซเมอร์ไม่ได้ ผู้เป็นพระอรหันต์แล้ว ยิ่งเป็นอัลไซเมอร์ไม่ได้
สรุปพระอรหันต์ไม่มีสิทธิ์เป็นบ้า หรือใช้อมูฬหวินัย
_ประกาศประชาสัมพันธ์ เดือนแห่งวิสาขบูชานี้ ขอเชิญทุกท่านมาร่วมกันปฏิบัติบูชา ..ตื่นรู้สู้มาร เบิกบานแบบพุทธ.. ในงานค่ายอุโบสถศีลชาวอโศก ออนไลน์ครั้งที่ 6 วันศุกร์ที่ 27 – อาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม 2565 สมัครได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพียงสแกน QR Code นี้จากหน้าจอ เพื่อเข้าร่วมกลุ่มโอเพ่นแชทค่ายชาวอโศกออนไลน์ และรับรายละเอียดกิจกรรมต่างๆจากผู้ดูแลกลุ่ม .สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ค เพจบุญนิยมทีวี เพจบันทึกโพธิรักษ์โพธิกิจ และกลุ่มค่ายอุโบสถศีลสันติอโศก..
อย่ารอช้า รีบสมัครเลย แล้วมาเจอกันที่ บวรออนไลน์ เรายกวัดมาไว้ที่บ้านของทุกท่านแล้วนะคะ เจริญธรรมสำนึกดีค่ะ
สภาพของโลกเทวดา มาร พรหม โลกนี้โลกหน้า
อัมพัฏฐสูตร
[163] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉนเล่า.
ดูกรอัมพัฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม
พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมาเขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วสำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.
พ่อครูว่า… อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้วพอรู้บ้างแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์แบบเท่าพระพุทธเจ้าเท่านั้น อาตมาทำให้โลกนี้ คือ โลกที่เราเกิดในปัจจุบันที่เราเป็นอยู่มีชีวิตมีร่างกาย มีจิตวิญญาณอยู่ในนี้ แล้วก็อยู่กับโลกที่มีแสงสว่าง เปิดจักษุ มีอาโลก แสงสว่างเปิดๆ แล้วก็ศึกษากันอย่างเรียนรู้ โลกเปิด ลืมตา ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา คำว่า จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก คนที่มีปฏิภาณปัญญาจะรู้ว่าการรู้แจ้งต้องลืมตาปฏิบัติไม่ใช่หลับตาปฏิบัติ หลับตาบรรลุไม่ได้เพราะต้องมี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก ผู้ที่มีปฏิภาณฟังแล้วจะรู้ว่าเราไปหลงหลับตาปฏิบัติมานาน แล้วจะเกิด หิริ อย่างแรงกล้าจะเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าจะเกิดความรักเคารพอย่างแรงกล้า
ทำไมต้องละอายเกรงกลัว รักเคารพอย่างแรงกล้า เพราะตัวเองเคยได้หลงงมงายนั่งหลับตา แล้วได้เคยเถียงแย้งกับผู้ที่ลืมตาที่มีสัมมาทิฏฐิ เมื่อมารู้ก็จะเกิดความละอายที่เคยไปว่าไปละลาบละล้วงท่านไว้ ผู้ที่มีสำนึกจริงจะละอาย แต่ผู้ที่ไม่สำนึก จ้างให้ก็ไม่สำนึกมันก็เป็นสัจจะของมันอย่างนั้น ไม่สำนึกเพราะเขาไม่รู้ เพราะเขามีอัตตามานะถือดี ไม่แจ้งไม่โล่งไม่โปร่ง ยึดมั่นกับสิ่งที่ผิดของตัวเอง
ผู้ที่ศึกษาปริยัติศึกษาบัญญัติเป็นเปรียญ 9 เป็นด็อกเตอร์ แต่ยังเชื่อยังศรัทธายังเข้าใจอยู่ว่า ถ้าปฏิบัติ ฌาน สมาธิ หรือ ปฏิบัติให้เกิดปรมัตถธรรมทางจิตวิญญาณต้องหลับตาปฏิบัติจึงจะเกิด ฌาน ก็สมาธิ หรือเกิดวิมุติ
ถ้าใครยังเชื่ออยู่อย่างนั้นก็ยังมิจฉาทิฏฐิ คุณจะเรียนเปรียญ 9 จะเรียน ดร.ปริยัติ อย่างไร ศึกษาของพระพุทธเจ้าของอาจาริยวาทมากมายเท่าไรก็ตาม แต่คุณก็ยังเชื่อว่าการปฏิบัติที่จะบรรลุ ฌานสมาธิวิมุติ ต้องหลับตา คนนี้ก็ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ เพราะฉะนั้นยกทิ้งไปได้เลยการนั่งหลับตาสมาธิ แต่หลับตาสมาธิมีอุปการะมาก
หลับตามีอุปการะ ซึ่งไม่ใช่ตัวปฏิบัติเนื้อแท้ อุปการะเป็นตัวช่วยได้บ้าง ช่วยให้ได้พักผ่อน ช่วยให้เตวิชโช ช่วยให้ Concentrate ในการไล่เรียงในการดู หลับตา ไม่มีอะไรรบกวนดี ก็จับอะไรมาไล่เรียงดูได้ดี แต่มันไม่ใช่สภาวะปัจจุบันธรรม มันไม่ได้ลืมตาเห็นความจริง สัจจะต้องเป็นปัจจุบันธรรม หลับตานั้นมีแต่อดีตกับอนาคต พูดไปจนกระทั่งปากเปียกปากแฉะ
การปฏิบัติธรรมกับสิ่งที่ไม่จริงคืออดีตกับอนาคต คุณจะปฏิบัติไปทำไม ก็ควรจะมาปฏิบัติกับปัจจุบันที่เป็นของจริงเป็นจริงมันเสร็จในตัว ไปนั่งหลับตาปฏิบัติอยู่อย่างนั้นมันเป็นโมฆะ
ฉะนั้นผู้ที่ทำโลกนี้ให้แจ้ง ก็คือปัจจุบันขณะ ทิฏฐกาละหรือทิฏฐธรรม มีปัจจุบันชาติ ชาติการเกิด continuum มีอยู่ขณะนี้ จึงรู้ความเป็นจริง เมื่อรู้ความเป็นจริงแล้วก็เรียนรู้ความ เทวะ ความเป็นมาร ความเป็นพรหม อยู่ในโลกของความเป็นจริงไม่ใช่ไปนั่งหลับตา หรืออีกทีหนึ่งโลกหลับตา จิตของคุณไม่ใช่เป็นจิตวิญญาณ แต่เป็นจิตสัมภเวสี ไม่มีที่ตั้งอยู่ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ครบ ไม่มีที่ตั้งครบ เร่ร่อนล่องลอย ไม่มีรู้ไม่มีเห็นอะไร เช่นคนตายแล้วเป็นสัมภเวสี ถ้ายังไม่ได้ไปหยั่งลงสู่ครรภ์ใคร ยังไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายเป็นที่ตั้ง ล่องลอยอยู่ คุณจะไม่ได้รู้อะไรกับใครนะ คุณอยู่คนเดียวเหมือนคุณหลับ จิตของคุณก็อยู่คนเดียวไปคนเดียว จะฝันจะคิดจะนึกจะเพ้อ ละเมอก็คนเดียวเดี่ยวๆ ไม่ได้ไปพบคนนั้นคนนี้เหมือนอย่างในนิยาย พบกับจิตวิญญาณพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูง ที่เป็นนิยายประโลมโลก คนที่ไม่จริงก็ว่าไป แต่จริงแล้วไปอยู่คนเดียว เดี่ยวๆนี่แหละ กรรมวิบากมันจะมาเต็มอยู่ตรงนั้นเลย ความทุกข์ความสุขนรกสวรรค์ที่คุณสั่งสมมาแล้วมันก็ขึ้นมาเป็นจริง เพราะฉะนั้นตายแล้วมันตกนรกจริงๆขึ้นสวรรค์จริงๆ
ขึ้นสวรรค์ก็คือหลงคิดว่านั่นเป็นสวรรค์ จริงๆแล้วสวรรค์นั้นไม่มีอยู่เลย มันเป็น สุขัลลิกะ มีแต่ความหลอกความไม่จริง แต่นรกนี้เป็นอริยสัจ เป็นสัจจะ ที่อาริยะเท่านั้นที่จะรู้ มันมีทุกข์ให้เห็นเลย สวรรค์เป็นของเก๊ สุขัลลิกะ มันไม่มีจริงหรอก มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
เข้าใจอีกที สวรรค์ไม่มีจริงมีแต่ความเก๊ ดับสุขตัวเดียวสวรรค์เก๊ๆก็หายไป ดับทุกข์จริงๆหมดไปแล้วจบ ความสุขความทุกข์ก็หายสวรรค์นรกก็ไม่มี ศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ผู้ที่ยังมีสวรรค์นรกอยู่ยังมีสวรรค์ 6 ชั้น หรือหลงพรหม อีก 16 ชั้น คือพวกที่ยังมิจฉาทิฏฐิไปสร้างภพชาติ มี พรหมปริตตา อัปปมาณาภา ปุโรหิตพรหม ฯ
ก็สร้างเองจากผู้ไม่รู้ผู้มิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น ผู้ที่สัมมาทิฏฐิแล้วภพชาติไม่มี เพราะฉะนั้นคนฟังอาตมาเข้าใจเดี๋ยวนี้ คุณก็ไม่ต้องติดใจว่ามันมี คนอื่นเขาไปหลงว่ามีก็ปล่อยไป เราไม่มีแล้วเราก็ทำจิตของเรา มันจะต้องไปมีชาตินั้นชาตินี้ชาติโน้น ไม่ต้อง อยู่กับปัจจุบันนี้ 100%เต็มๆ อดีตอนาคต จะว่ามันไม่มี มันก็เป็นผลของอดีต ผลของอนาคต ปัจจุบันนี้ไม่ใช่อดีตไม่ใช่อนาคต ก็เอาอันนี้เลย จะว่าไม่มีอดีตไม่มีอนาคต ไม่ได้มันก็มี แต่ว่าคุณจะไปมีกับมันทำไม เพราะว่ามันไม่ใช่ปัจจุบันไม่ใช่ของจริง เอาของจริงอยู่กับปัจจุบัน คุณทำดีสั่งสมลงเป็นอดีตก็ดี สั่งสมเป็นกิเลสก็มีกิเลส ดีกับชั่วเป็นโลกีย์ ส่วนกิเลสหมดกิเลสไม่หมด มันเป็นโลกุตระ
เรื่องดีกับชั่วเป็นเรื่องโลกีย์ เรื่องสุขกับทุกข์เป็นเรื่องโลกุตระ เทวนิยมเขาไม่เรียนความสุขความทุกข์เพราะหลงความสุขและก็เสพสุข เป็นพวกสุขนิยม เขาไม่ได้เรียนรู้ความทุกข์เพราะว่าความทุกข์มันเป็นอันเดียวกับความสุข เขาได้ความสุขก็ได้ความทุกข์ไปด้วย เขาได้ความทุกข์ก็ได้ความสุขไปด้วย เพราะมันเหมือนกระดาษแผ่นเดียวกัน ศาสนาพุทธจึงได้ฉีกทิ้งและเผาทำลายกระดาษความสุขทุกข์ ทำลายความสุขความทุกข์ไปทั้งหมด ซึ่งอันนี้ไม่รู้กัน เขาไม่มีปัญญาทะลุที่จะหยั่งรู้อย่างที่อาตมาพูด
สรุปแล้ว เรื่องโลกนี้ เทวโลก มารโลก ก็ต้องต่างกันแน่ เทวะกับมาร แต่เพราะความไม่รู้ของคุณ คุณหลงเทวะก็คือมาร เทวะกับมาร อันเดียวกัน เทวะคือหลงว่าเป็นสวรรค์ มารคืออาริยสัจที่รู้ว่ามันเป็นทุกข์เป็นนรก
ความโง่ซ้อน มารมันซ้อนอยู่กับเทวะ ตัวคุณเองเป็นทั้งมารและเทวะ
เทวะ องค์ที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่าพระเจ้า ขออภัยภาษาวิชาการนั้น พระเจ้าก็คือมาร โดยไม่รู้เรื่อง มารหรือซาตาน ไม่รู้ว่าซาตานก็ซ้อนอยู่กับตัวเอง
ในตำนานของศาสนาพุทธ พระเจ้าคือพรหม พรหมทัต แต่มารคือ คนธรรพ์ อยู่ไหน แทรกอยู่เป็นตัวหมัด ตัวเล็น อยู่ที่ขนของพญาครุฑและแอบเสพ กากี เสพเมียของพรหมทัตอยู่ตลอดกาล เสพกามอยู่ตลอดกาล แอบเสพอยู่ตรงนั้นโดยพรหมทัต ไม่รู้ว่าตัวเองมีอะไรแทรกซ้อนอยู่ สรุปแล้วเป็นอันเดียวกันแยกให้เห็นเป็น 2 อย่างเท่านั้น นี่เป็น อจินไตย ที่เข้าใจและรู้ได้ยากมาก
เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว ก็เรียนรู้ปัจจุบันในโลกนี้ เรียนรู้เทวะก็ดีมารก็ดี มันเป็นสภาพหลอกทั้งคู่ ผู้ดับเทวะ ดับมารได้แล้วก็เป็นพรหมโลก พรหมกาย เป็นผู้ที่มีธรรมกาย พรหมกาย พุทธเจ้าตรัสในพรหมชาลสูตร
ผู้ที่สะอาดหมดกิเลสหมดความเป็น เทวะมาร ความเป็นสวรรค์เป็นนรก พรหม ที่ท่านแยกเทวะ เป็น 3 อย่าง คือ สมมุติเทพ ผู้ที่อวิชชาก็จะเป็นสมมติเทพอยู่กับสวรรค์นรกอยู่กับพระเจ้าเป็นสุขนิยม ไม่มีกรรมวิบากไม่มีการหมุนเวียนมาเกิด มาเรียนรู้แล้วยังไม่บริบูรณ์ เมื่อเกิดรู้โลกุตระก็เป็นอุบัติเทพ
เรียนรู้กิเลส จนกิเลสไม่เกิด เป็นเสขบุคคล จนเป็นวิสุทธิเทพเป็นพระอรหันต์ สมมุติเทพก็หมดไปไม่มี เรียกว่าเทวดา 3 อย่าง
เพราะฉะนั้นผู้ใดที่เกิดมาเป็นเสขบุคคล ยังต่อจบตัวเองไม่ได้ ว่าตัวเองมีอุตรจิตแล้ว อนุตรจิตแล้วเป็นจิตที่อยู่เหนือโลกทั้งหมด สิ้นกิเลส ตั่งมั่นเป็นสมาหิต วิมุติ เรียบร้อยตาม เจโตปริยญาณห้องสุดท้าย
คุณก็ต้องรู้ตัวเอง พระอรหันต์ต้องรู้ตัวเอง มีสติเต็มเป็นอัลไซเมอร์ไม่ได้ อรหันต์ จบบริบูรณ์แล้ว สติเต็ม ตรัสรู้แล้วแล้วก็ถามว่า แล้วหลังจาก เป็นพระอรหันต์แล้ว สรีระก็เสื่อม เป็นอัลไซเมอร์ ถามว่าได้ไหม ก็ตอบว่าไม่ได้
ยิ่งเป็นพระอรหันต์แล้ว สติยิ่งเต็ม อวัยวะที่เป็นวาสนา ที่จะเป็นพระอรหันต์ก็เต็ม คุณคิดเอาเองเท่านั้นว่า แล้วมันก็จะเสื่อม ความเสื่อมของพระอรหันต์ไม่มีอะไรเสื่อมทั้งรูปและนาม คุณก็เดาเอาสิ เหมือนกับคนไปถามพระพุทธเจ้าว่า ถึงนิพพานแล้ว เลยนิพพานเป็นอะไร พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเธอถามเลยปัญหาไปแล้ว
ไปถามพระพุทธเจ้าถึงความเป็นพระอรหันต์แล้วเลยจากพระอรหันต์คืออะไร พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเธอถามเลยปัญหา เลยความจริง ความจริงมันจบแล้ว แล้วจะไปมีได้ยังไงจะไปเสื่อมอะไรอีกมันไม่เสื่อมแล้ว มันเต็มแล้วมันก็วนไปในตรรกะ เอาตรรกะมาถาม ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
อาตมาขยายโลกนี้ โลกหน้าคือโลกที่ต่อไปจากโลกนี้
พระไตรปิฎกเล่มที่ 17 ข้อ 366 พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระราธะ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า มาร มาร ดังนี้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไรหนอแล จึงเรียกว่า มาร?
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรราธะ เมื่อรูปมีอยู่ มาร (ความตาย) จึงมีผู้ทำให้ตายจึงมี ผู้ตายจึงมี เพราะฉะนั้นแหละ ราธะ เธอจงพิจารณาเห็นรูปว่า เป็นมารเป็นผู้ทำให้ตาย เป็นผู้ตาย เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความทุกข์ เป็นตัวทุกข์
บุคคลเหล่าใดพิจารณาเห็นรูปนั้นอย่างนี้ บุคคลเหล่านั้น ชื่อว่า ย่อมเห็นชอบ. เมื่อเวทนามีอยู่ ฯลฯ
เมื่อสัญญามีอยู่ ฯลฯ เมื่อสังขารมีอยู่ ฯลฯ เมื่อวิญญาณมีอยู่ มารจึงมี ผู้ทำให้ตายจึงมี
ผู้ตายจึงมี เพราะฉะนั้นแหละ ราธะ เธอจงพิจารณาเห็นวิญญาณว่า เป็นมาร เป็นผู้ทำให้ตาย
เป็นผู้ตาย เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความทุกข์ เป็นตัวทุกข์ บุคคลเหล่าใดพิจารณา
เห็นวิญญาณนั้นอย่างนี้ บุคคลเหล่านั้น ชื่อว่า ย่อมเห็นชอบ.
รา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเห็นชอบมีประโยชน์อย่างไร พระเจ้าข้า?
พ. ดูกรราธะ ความเห็นชอบมีประโยชน์ให้เบื่อหน่าย.
รา. ความเบื่อหน่ายมีประโยชน์อย่างไร พระเจ้าข้า?
พ. ดูกรราธะ ความเบื่อหน่ายมีประโยชน์ให้คลายกำหนัด.
รา. ก็ความคลายกำหนัดเล่ามีประโยชน์อย่างไร พระเจ้าข้า?
พ. ดูกรราธะ ความคลายกำหนัดมีประโยชน์ให้หลุดพ้น.
รา. ความหลุดพ้นเล่า มีประโยชน์อย่างไร พระเจ้าข้า?
พ. ดูกรราธะ ความหลุดพ้นมีประโยชน์เพื่อนิพพาน.
รา. นิพพานเล่ามีประโยชน์อย่างไร พระเจ้าข้า?
พ. ดูกรราธะ เธอถามเลยปัญหาไปเสียแล้ว เธอไม่อาจเพื่อถือเอาที่สุดของปัญหาได้.
ดูกรราธะ อันพรหมจรรย์เป็นคุณชาติหยั่งลงสู่นิพพาน มีนิพพานเป็นที่สุด อันกุลบุตรย่อมอยู่ประพฤติแล.
พ่อครูว่า..คนที่เอาแต่ถาม แต่ไม่จบที่สภาวะ คนที่ฟังอาตมาอธิบายพยัญชนะเขาเข้าใจแล้วก็ไม่ถามต่อ แต่คนที่ไม่เข้าใจสภาวะแต่ก็มันคำนวณเอาจบนิพพานแล้ว เขาก็ไม่ถามต่อแต่พวกที่ดันทุรังงมงายก็วนถามอยู่นั่นแหละ อาตมาพูดว่าถูกใครก็ตามแต่นะ ไม่ได้ไปว่าใคร
เรียนรู้สภาวะของรูป 28 สู่ความเป็นอรหันต์
ในหนังสือยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ อาตมาได้เขียนไว้ตอนหนึ่ง…
ตื่นจากฝัน เพราะสัมมาสมาธินั้น เป็นสมาธิที่ยืนอยู่บนฐานของความจริง ทั้งสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะครบถ้วน ยืนยันได้ทั้งองค์ประกอบของรูปและนามพิสูจน์ความเป็นกายที่สัมบูรณ์ด้วยธรรมาธิปไตย หรือธรรมกาย ก็เรียก พรหมกายก็เรียกอย่างลัทธิธรรมกาย ธัมมชโย บาปกินหัว เอาธรรมกายมาเรียกของตัวเอง แล้วออกนอกรีตนอกทางเลอะเทอะ ไปเป็นสวรรค์วิมานเลอะเทอะไปหมดเลย ทำลายธรรมพระพุทธเจ้าทำลายความเป็นกาย ของพระเจ้าไม่รู้จะบาปยังไงแล้ว
ผู้มีกายเป็นธรรมะหรือกายเป็นพรหมคือผู้มีองค์ประชุม กายคือองค์ประชุมไม่ใช่ธาตุเดี่ยวไม่ใช่เอกังสะ กายเป็นธาตุสองขึ้นไป คือองค์ประชุมของรูปนามที่เป็นภูมิสูงสุดสัมบูรณ์ ดังที่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า คำว่าพรหมกายหรือธรรมกายคือ กายของผู้ที่มีฐานะสูงสุดหรือพรหมสูงสุด ผู้ที่เป็นสาวกภูมิจึงไม่ควรบังอาจเอาไปเรียกตัวเอง พล่อยๆ ถ้าอย่างน้อยผู้ใดมีภูมิถึงพระอรหันต์แล้ว จะเรียกว่าตนคือผู้ที่เป็นธรรมกายก็ยังพอฟัง พอรับได้ สมควรที่จะเรียกได้เพราะเป็นผู้ที่มีพุทธธรรมเต็มครบรอบแห่งความเป็นคน เป็นมนุษย์จริงแล้ว รอบหนึ่ง เป็นอนุพุทธ อรหันต์คืออนุพุทธอนุพุทธคือส่วนหนึ่งส่วนน้อย อนุคือน้อย เป็นส่วนน้อยของคนผู้นี้ก็มีภูมิธรรมเต็มความเป็นพุทธสมบูรณ์แบบแล้วในความเป็นคนขั้นต้น
อรหันต์แยกเป็น 3 ชื่อใหญ่ๆ 1. พระอรหันต์ธรรมดา 2. พระอรหันต์โพธิสัตว์ 3. พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
อรหันต์ธรรมดา คือจากผู้ที่เป็นปุถุชนปฏิบัติตนเป็นเสขบุคคล จนเป็นอเสขบุคคล
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จบ ขยายความมาไม่รู้กี่ทีแล้วๆเล่าๆ
อนุพุทธของคนผู้นี้ก็มีความเต็มสมบูรณ์ขั้นต้น ปริตตัง ของคนผู้ใดผู้หนึ่งที่ควรพึงมีให้แก่ตัวเองก่อน เป็นลำดับนะอย่าไปลัด ไม่เอาอรหันต์จะไปเป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 ระดับ 6 เลย ขึ้นไปโดยไม่มีบันไดขึ้นเลย เหาะไป เป็นจอมยุทธตัวเบา มันไม่ได้
ไม่ใช่ว่าปฏิบัติอย่างไม่มีขอบเขต ต้องตามกรอบขอบเขตที่เรากำหนดเอาแต่พอเหมาะแก่ตน ปฏิบัติได้ผลจึงจะเพิ่มขอบเขตขนาดเพิ่มขึ้นๆไปตามลำดับ
ปริตตังคือ การประมาณให้เหมาะแก่ตนต้องรู้ตัวเอง สักกะ มีขอบเขตเท่าใดอยู่ขนาดไหนที่มีอยู่แล้วเป็นวาสนาเป็นบารมีมาแล้วมีแล้วเป็นของตน
ตรงกันข้ามกับ อัปปมาณหรืออัปปมัญญา คือไม่มีประมาณหรือประมาณไม่ได้ ก็ไม่รู้กรอบไม่รู้ขอบเขต ไม่รู้ขนาดที่ตนเองเป็นอย่างไรอยู่
เพราะฉะนั้นคำว่า สักกายะ กายคือสภาพสอง ภายนอกภายใน ความเป็นรูปนาม สักกะของตนเอง เกี่ยวกับตนเอง เราให้รู้ขอบเขตของตัวเอง อย่าไปรู้ของคนอื่น อ่านตรงนี้ ทำตรงนี้
พุทธต้องมีการประมาณไปตามขั้นต้น กลาง ปลาย อย่างสัมมาทิฏฐิที่เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากตามแบบพระพุทธเจ้า ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก มีแต่แบบของศาสนาพุทธทั้งนั้น ศาสนาพุทธมีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย อย่างสายหลับตาไม่มี เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่มีกายข้างนอก ไปตัดลัดเอาที่การหลับตาปฏิบัติ แล้วไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีสัทธรรม7 ความละอายก็ไม่มี มีแต่ความหลงมืดสะกดจิตให้ดับหลับเป็น อสัญญีสัตว์ ผู้ที่เข้าใจอย่างอาตมาเข้าใจก็จะรู้สึกสงสารเขาเหล่านั้นที่งมงายปฏิบัติไปสู่ความมืดความดับ ไปหลง สุภกิณหา ไปหลงความมืดความดับเป็นนิโรธเป็นจุดที่ควรยินดี ยินดีในความมืดความดับอย่างมิจฉาทิฏฐิ ก็เลยได้แต่ความมืดความดับ พวกนี้จึงเป็นพวกที่วิ่งไปสู่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เราก็ตามไม่เจอ คว้ามาสอนไม่ได้ เพราะแกจมมืด จนเราตามตัวไม่เจอ หายไปในความมืดดำ
คือ เขาเรียนรู้อะไรไม่ได้เลยนะ ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ทางโลกก็มี เขาไม่เรียกว่าวงกลมเบอร์มิวดา เขาเรียกว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา วงกลมมันยังหมุน แต่สามเหลี่ยมมันเข้ามุมมืดไปได้หมดเลย ไปกันคนละทิศคนละทางทั่วทิศ
ปริตตังประมาณ มีขอบเขตจำกัดให้แก่ตนเอง ตรงข้ามกับอัปปมัญญา พุทธะต้องประมาณไปตาม เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย อย่างสัมมาทิฏฐิเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ตามแบบพระพุทธเจ้านี้ ที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยในโลก มีแต่ในแบบของศาสนาพุทธเท่านั้น
ศาสนาพุทธเรียนรู้จิตเจตสิกแล้วเรียนรู้รูป แล้วสร้างนาม พัฒนานาม จิตนิยาม ก็มีรูปที่ถูกรู้ ตั้งแต่ มหาภูตรูป 4 ดินน้ำไฟลม ซึ่งใครๆก็ต้องรู้ ถ้าใครไม่รู้รูปทั้ง 4 แล้ว แล้วนามธรรมประกอบกับรูป เรียก อุปาทายรูป อีก 24 แล้วจะไปรู้ได้อย่างไร
ทีนี้ คนที่เรียนผิด ไม่มีรูปข้างนอกไม่มีกาย ก็ปิดประตูอีกเหมือนกัน อุปาทายรูป 24 คุณไม่มีสิทธิ์รู้
ตั้งแต่เริ่ม อุปาทายรูป รูป 24 ข้อแรก
อุปาทายรูป 24
ก. ปสาทรูป 5
-
จักขุ (ตา)
-
โสตะ (หู)
-
ฆานะ (จมูก)
-
ชิวหา (ลิ้น)
-
กายา (กาย)
ข. โคจรรูป, วิสัยรูป 4
-
รูปะ (รูป)
-
สัททะ (เสียง)
-
คันธะ (กลิ่น)
-
รสะ (รส)
-
โผฏฐัพพะ (สัมผัส)
(กายกับโผฏฐัพพะ ถือว่าเป็นอันเดียวกัน)
มีการกระทบทำงานระหว่างปสาทรูป โคจรรูป ก็เกิดการทำงาน เป็นภาวรูป
ค. ภาวรูป 2
-
อิตถัตตภาวะ, อิตถินทรีย์ (ญ)
-
ปุริสสัตตภาวะ, ปุริสสินทรีย์ (ช)