650328 ไม่มีความไม่จริงในสิ่งที่พ่อครูพูดเรื่องโลกุตระ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 33
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1vaNp_JUuIWgpLejI2dydYgPk1xcKin-rEUdeg0aGeRI/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/19Za8M2WKGC68B8GUV0uhXaqdUczQY0FH/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/c1pI_pXnSN/
https://fb.watch/c1pKaQecrv/
และ
https://youtu.be/vUNKSuT8pxY
ปัญญาอ่านอาการ ลิงค นิมิต ของกิเลสคือโลกุตระ
_สู่แดนธรรม… วันนี้วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
พ่อครูว่า…เรื่องที่จะนำมาอธิบายเป็นเรื่องที่ไม่ใช่สาธารณะบุคคลทั่วไปจะรู้ได้ ต้องไปฟังจากบุคคลที่เป็นสัตบุรุษเป็นพระพุทธเจ้าเป็นผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิมาก่อน ถึงจะพอเข้าใจ แม้จะได้ฟังแล้วจะต้องไปซักไซ้ไต่ถาม ทั้งอรรถทั้งธรรมทั้งพยัญชนะทั้งสภาวะอีกเยอะ จนกว่าจะได้มีปัญญารู้เท่าทันขึ้นมาได้ เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้านำมาแสดงเปิดเผยในโลกนั้น มันคือโลกุตรธรรมมันไม่ใช่ธรรมดาสามัญที่คนทั่วโลกทั้งโลก ศาสดาทุกศาสนา อื่นๆที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ยังไม่สามารถรู้ มีพระพุทธเจ้า ชื่อว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นั้นจึงจะมีโลกุตรธรรมนี้ขึ้นมา พูด พูดแล้วเขาก็จะยังฟังไม่ค่อยขึ้นหรอกคนทั่วไป เขาก็คงฟังได้ว่า
ความรู้ก็คือความรู้ ความฉลาดก็คือความฉลาดสิ มันก็เหมือนกัน ใครจะฉลาดมากฉลาดน้อย ฉลาดสูง ฉลาดต่ำ เขาก็เข้าใจกันอย่างนั้น แต่นี่มันไม่ใช่ฉลาดมากฉลาดน้อย มันเป็นความรู้ความฉลาดที่ลึกเข้าไปถึง อาการ ลิงค นิมิต ของจิตเจตสิกรูปนิพพาน พูดโดยอาศัยพยัญชนะแค่นี้ คนสามัญ ผู้ที่เรียนพยัญชนะเหล่านี้มาก็เคยได้ยินได้ฟังพยัญชนะเหล่านี้มาทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องลึกลับอะไร ใครก็เคยได้ฟังกันมา คำว่าจิตเจตสิกรูปนิพพาน คำที่สื่อสภาวะธรรมที่เป็นของพระพุทธเจ้า เป็นพยัญชนะ ก็ได้ยินได้ฟังกันมาทั้งนั้น
แต่คนที่จะสามารถเข้าไปถึงเนื้อหาสาระของสภาวะแท้ของ อาการ ลิงค นิมิต อาการของจิตมีอาการที่แตกต่างกันเรียกว่าลิงคะ แล้วสามารถอ่านจับนิมิตของอาการนั้น กำหนดหมายจุดสำคัญ อาการสำคัญ สภาวะที่เราจะเข้าใจเองให้ได้ว่าอย่างนี้นะ คุณหมาย หมายเป็นที่ เข้าใจของคุณเอง คุณต้องเข้าใจให้ได้แล้วอย่าให้ผิดเพี้ยน ต้องแม่นว่าอย่างนี้กำหนดมาอย่างนี้
ทีนี้การกำหนดหมายอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะต้องตรงกับสภาวะของผู้ที่เป็นสัตบุรุษ หรือผู้ที่เป็นพระพุทธเจ้ากำหนดหมายไม่ตรงกัน ถ้าไม่ตรงกันมันก็ต่างกัน กายต่างกันสัญญาต่างกัน ก็พูดกันไปอย่างโมเม ไม่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ แต่ถ้ามันเข้าใจกันแล้ว สัญญาตรงกันกายตรงกัน มันก็รู้เรื่องกันได้ มีนิพพาน สื่อไปถึงสภาวะละเอียดลออจนถึงกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ก็ไม่มีแล้ว ก็รู้ชัดเจน
จิตที่ไม่มีกิเลสมันต่างกันอย่างไร ที่อาตมาตอบคำถามเขาที่ถามมาว่า รู้ได้อย่างไรว่าตนเองเป็นอรหันต์ มันก็ต้องรู้สิเพราะว่าเรามีสภาวะอรหันต์ แล้วสภาวะเป็นอย่างไรก็คือว่างจากกิเลส ว่างอย่างไร ก็ต้องรู้ก่อนว่ากิเลสเป็นอย่างไร หยาบ กลาง ละเอียด เป็นอย่างไร
กิเลสเกิดทางตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส จมูกกระทบกลิ่น กายกระทบสัมผัสโผฏฐัพพะแล้วเกิดอาการกิเลส ต้องเรียนรู้จริงๆเมื่อมันเกิด
ผู้ที่ไม่เรียนรู้และที่หลับหลับตา ไม่เปิดตาหูจมูกลิ้นกาย หลับตาจึงเป็นโจรทำลายศาสนาพุทธ เพราะว่าขบถ ไปจากศาสนาพระพุทธเจ้าหมดเลยไปเอาแบบ เดียรถีย์
ไม่ได้ใส่ความ ไม่ได้ไปว่า ไม่ได้ไปหาเรื่องอะไรเลย แต่มันเสื่อมไปแล้ว คนเสื่อมจากศาสนาพุทธไปจนกลายเป็นความผิดเพี้ยน
พวกที่เรียนพยัญชนะได้ดีเรารับยศสรรเสริญโลกียสูง แต่ก็ยังเชื่อว่าหลับตาปฏิบัตินั่นเองจึงจะบรรลุนิพพานเหมือนกัน น้อยกว่าน้อยนัก ที่จะพอเข้าใจว่าไม่ต้องไปหลับตาศาสนาพระพุทธเจ้ามีจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่หลับตา อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ระบุ ชี้ชัดบ่งไว้เลยว่า ต้องมี 3 อย่างนี้ถึงจะเป็นพุทธ ไม่มี 3 อย่างนี้ไม่เป็นพุทธ เอาหลักฐานมาเปิดขนาดไหนก็หูทวนลม ว่าเอ็งเป็นใคร เถรสมาคมจะเอาตายยังไม่รู้ตัว เขายังมีครูบาอาจารย์ แต่นี่ไม่มีครูบาอาจารย์อีก มาจากสำนักไหนศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่มีอาจารย์ไม่มีมาอย่างไร มาคนเดียว ปางนี้ชาตินี้มาคนเดียว
บอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรือ ก็ไม่ใช่ บอกแต่ว่าเป็นโพธิสัตว์ ไม่เคยพูดว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้าสักที ไม่มีวิปลาสเรื่องนี้ เขาฟังก็ไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งเลิกฟัง ก็ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่มีบารมีต่อกัน คนที่มีบารมีต่อกันฟังรู้เรื่องได้ก็ดี
SMS วันที่ 23-24 มีนาคม 2565
_สติพล จนพัฒนา : แค่เรื่องหลับตาลืมตาผมว่าแสดงธรรมหรือพูดได้ตลอดชีวิตเลยครับ..ตายแล้วเกิดมาใหม่ก็มาพูดได้ต่ออีกครับ..(แน่นอนขอรับรองล้านเปอร์เซ็นต์)
พ่อครูว่า… ใช่ พูดไปอีกเขาก็ยังอายอยู่ไม่เปลี่ยน
อาหาร 4 ถึงรูป 24
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ
เกษตรกรทุกท่านที่สร้างอาหารให้รับประทาน ผมอยู่กรุงเทพฯ สร้างอาหารไม่เป็นและไม่มีที่ดินด้วย ถึงจะมีเงินถ้าไม่มีผู้สร้างอาหารให้รับประทานผมอดตายแน่ไม่ว่าท่านจะเป็นญาติธรรมหรือไม่ก็ขอสรรเสริญทุกท่านด้วยความจริงใจ ท่านที่สร้างอาหาร อาหารที่ได้รับประทานเหลือผมจะแช่ตู้เย็นไว้รับประทานในวันต่อไปจนหมดไม่ทิ้ง ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่สร้างอาหารให้ทุกคนได้รับประทานและทำให้ผมมีชีวิตได้ถือศีลปฏิบัติธรรมได้เพราะท่านได้สร้างอาหารให้รับประทาน ก็ขอให้ท่านจงมีพลังชีวิตจงยั่งยืนนานทุกๆ ท่านครับ เจริญธรรม กราบขอบพระคุณพ่อท่านครับ
พ่อครูว่า… คุณคนนี้ก็เข้าใจเรื่อง กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าวที่ตนกินเข้าไปเลี้ยงกายขันธ์ ต้องกินเข้าไปทุกคน ไม่ว่าจน ไม่ว่าผู้ดี ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นมนุษยชาติ เป็นสัตว์โลก สัตว์โลกก็มี กวฬิงการาหาร ของตนเอง เครื่องอาศัยของร่างกาย พืชพันธุ์ธัญญาหาร (พ่อครูยกมะนาวใหญ่ให้ดู) สวนไวพลัง สวนใสหม่วน กล้วยเครือใหญ่(สม.กล้าข้ามฝันบอกว่า วันนี้สวนใสหม่วนตัดกล้วยมาให้ 9 เครือ) อาตมาคงยกไม่ไหว มันอุดมสมบูรณ์เหลือกินเหลือใช้ ไม่ต้องห่วงหรอก ปลูกเข้าไป ไล่แจกเลย เอามาแจกที่เฮือนปันสุข แจกในเมืองเลย ใครจะไปบ้าง เอาเฮือนปันสุขไปแจกในเมืองเลย คือจริงๆที่พูดไม่ได้ประชดประชัน
คือ เรามีกินมีใช้อยู่อย่างเศรษฐกิจที่ดีที่สุด เพราะสิ่งที่เฟ้อ สำหรับชีวิต เลยปัจจัย 4 ไป ก็จะมีบริขารสำคัญบ้างเล็กๆน้อยๆ นอกจากปัจจัยและบริขารแล้ว นอกนั้นเฟ้อทั้งนั้น สมัยนี้มากกว่าสมัยพระพุทธเจ้าบ้าง
ชาวอโศกปฏิบัติธรรมะพุทธทาสถูกต้องตามธรรม ปฏิบัติธรรมมามีมรรคมีผล ลดละไปไม่ยึดติด ไม่แสวงหา ปลดปล่อยปลงวาง เพชรนิลจินดา แม้แต่สุดท้ายธนบัตรก็ไม่เห็นสำคัญอะไร อย่างนี้สำคัญกว่า พืชพันธุ์ธัญญาหารเห็นว่าอาหารสำคัญกว่า เพชรนิลจินดายิ่งไกล มีปัญญามีปฏิภาณมองเห็นความจริงอย่างนั้น
แต่คนในโลกเขาเขากลับมองเห็น ทวนกระแสกับพระพุทธเจ้า เขาเห็นเพชรนิลจินดาสำคัญกว่าอย่างนี้ เขาว่าเขามีธนบัตร เขาไม่กลัวหรอก แต่ไปซื้อกินที่ขั้วโลกเหนือหรือขั้วโลกใต้จะมีกินไหม ทะเลทรายก็ได้ จะมีอุดมสมบูรณ์แบบนี้ไหม แต่ทะเลทรายตะวันออกกลางเขามีน้ำมันมีแก๊ส เขารวยจริงๆ เขาก็ไม่รู้สึกว่าจะเดือดร้อน เขารวยจริงๆมาก เขาใช้เงินซื้อแลกเปลี่ยนเอาตัวนี้ เป็นสิ่งที่เฟ้อเกินของชีวิต
พระพุทธเจ้าตรัสถึงอาหาร 4 กวฬิงการาหาร พูดกันก็พอเข้าใจ
ผัสสาหาร อันที่ 2 มโนสัญเจตนาหาร อันที่ 3 วิญญาณาหาร อันที่ 4 ชักรู้น้อยลงๆ ไปจนกระทั่งถึงวิญญาณาหาร
วิญญาณาหารคือ ความรู้โดยตรงเลย มโนสัญเจตนาหารต้องกำหนดหมาย เวทนาสัญญาเจตนา พอไปผัสสะแล้ว ต้องเรียนรู้ ผัสสะ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ สัมผัสภายนอกสัมผัสภายใน หยาบไปจนถึงละเอียดแต่คลุมหมดเลย วิญญาณาหารนี้คลุมหมดเลย
วิญญาณาหาร พระพุทธเจ้าตรัสว่าคือ นาม รูป ถ้าไม่เรียนรู้ นามรูปตั้งแต่ รูป 28 นาม 5 เป็นต้น คุณก็ไม่รู้จักวิญญาณได้ดี
ต้องเรียนรู้อย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วก็มีของจริง นามรูปสัมผัสจริง จึงจะค่อยไปรู้เวทนาสัญญา เจตนา แล้วก็มี ผัสสะ มนสิการ นั่นคือ นาม 5
ถ้าคุณไม่เข้าใจในความหมายของเวทนา จิตเจตสิกต่างๆ สัญญาเป็นเจตสิกอย่างไร เวทนาเจตสิกอย่างไร เจตนาเป็นเจตสิกอย่างไร ผัสสะ มนสิการ เป็นเจตสิกอย่างไร
แล้วไปเรียนรู้ รูป 28 อีก
จึงจะเริ่มต้นมีตา หู จมูก ลิ้น กาย มี 5 กับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส โผฏฐัพพะ จับคู่กันเข้าสัมผัสกันเข้าเป็นภาวะ 2 มีรูป อธิบายรูปผ่านมาจากอุปาทายรูป ปสาทรูป โคจรรูปหรือวิสยรูป คุณก็จะไม่เข้าใจเลยว่า อ้อ…จิตนี่ ที่บอกว่ารูปต่างๆนี้เกี่ยวกับจิตด้วย ถ้าไม่มีจิตก็จะไม่ไปพูดว่า ปสาทรูป โคจรรูป ประสาททาง ตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วมันทำงาน มันโคจร มันออกมาทำงาน มีการสัมผัส โค มันออกไปหากิน โคจร ออกไปทำงาน สัมผัสกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันก็เกิดรู้ เกิดภาวะให้รู้เป็นภาวะ 2 ภาวะต้องมี 2 เสมอ ท่านเรียกว่า อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ ภาวะเพศชาย ภาวะเพศหญิงหรือบวกกับลบ แล้วต้องมาเรียนสักกายะ มาเรียนตัวเรา
ในตัวเรา คูหาสยังมี หทยรูปอยู่ อยู่ที่ไหน ไม่รู้ อยู่ในนี้แหละ ยากเข้าไปอีก ทางอภิธรรมบอกว่า อยู่ที่หัวใจที่แบ่งเป็น 4 ห้อง อยู่ในห้องใดห้องหนึ่ง ห้องไหนก็ไม่รู้ อาตมาไม่ได้ไปสำคัญมั่นหมายตามที่เขาเรียนเขาสอนกัน จะมีน้ำใสๆสีน้ำเงินอยู่นั่นแหละ วิญญาณจะอยู่ตรงนี้แหละ ก็เดากันไปเละๆเทะๆ
หัวใจมันไม่เกี่ยวกับวิญญาณ หัวใจมันคือรูป สูบฉีดโลหิต ถ้าที่อาศัยของวิญญาณ มันต้องสมอง ไม่ใช่หัวใจ สูบฉีดโลหิตมันคนละเรื่องกันอย่างนี้เป็นต้น เราฟังแล้วก็น่าสงสารไปเรียนทำไมไปอธิบายกันไปให้ฟัง
ถ้าเรียนไม่รู้สภาวะจริงนะก็จะเห็นว่าพวกนี้มันเฟ้อ มันจะต่างๆภาษาต่างๆพยัญชนะต่างๆมันเกินมันเฟ้อ พวกนั่งหลับตาก็จะบอกว่าไปวุ่นวายกับสิ่งนั้นทำไม เป็นสมาธิเป็นฌานเป็นวิมุตก็นั่งหลับตาทั้งนั้น พวกนี้เป็นพวกพญานาคเหมาเข่ง เหมารวมหมดเลย
หมู่นี้ไอแรงไอบ่อย ก็ไม่ค่อยอยากจะพูด เดี๋ยวจะมีอะไรเข้ามาเยอะ
สู่แดนธรรม… มีคนถามพ่อท่านว่า รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเป็นอรหันต์ โลกนี้โลกหน้าก็ไม่ตั้งอยู่ที่อายตนะ เราย่อมไม่กล่าวว่า อายตนะมีทางมาทางไป ไม่กล่าวว่าตั้งอยู่ ไม่กล่าวว่าเป็นการจุติ อุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งไม่ได้ หาอารมณ์ไม่ได้ นี้แลคือเป็นที่สุดแห่งทุกข์
ผมมีมโนสัญเจตนาหาร อยากให้พ่อท่านเอามาช่วยเขียนอธิบายเพิ่มลงไปในปัญญา 8
คบสัตบุรุษที่จะช่วยดึงขึ้นจากหลุมถ่านเพลิงโลกีย์
พ่อครูว่า… พระพุทธเจ้าจึงตรัสถึงอุทาหรณ์ นิทานของวิญญาณอาหาร มันเหมือนอย่างกับโจร มีโจรที่ปล้นศาสนา ปล้นธรรมะทำลายธรรมะอยู่ พระราชาจะเอาไปประหารด้วยหอก แทงให้ตายเลย 100เล่มเช้ากลางวันเย็น อย่างละ 300 เล่ม เช้ากลางวันเย็น แล้วก็ทิ้งไว้แค่นั้น มันก็ยังไม่ตาย เดี๋ยวนี้มันก็ยังเป็นอยู่ อาตมาพูดนี้คือหอก เรียกว่า สตี คือ หอก มุขสตีคือปากหอก แทง เช้ากลางวันเย็น รีรันตลอด 24 ชั่วโมง แทงแล้วแทงอีก ไม่ได้ไปแทงเรื่องอะไรมากเลย
แทงเรื่องสำคัญคือ หลับตาปฏิบัติ นั่งหลับตาปฏิบัติคือ โจรปล้นศาสนาพุทธ ขออภัยจริงๆเลยนะพูดแล้วก็เกรงใจว่า ไปว่าเขาทำไม จะไม่ว่าได้อย่างไร ก็มันผิด มันหลงผิด เพราะว่ามันเพี้ยนมันหลงผิด ก็เหมือนอาตมาเห็นลูกทำผิดอยู่ต่อหน้าต่อตา แล้วจะบอกว่าลูกทำผิดก็ช่างหัวส่งเสริมให้ทำผิดด้วยซ้ำ จะบ้าหรือ
สรุปง่ายๆ ลูกมันก็ติดยา แล้วมันซื้อยาเสพติดมากินอยู่ที่บ้าน เห็นอยู่ทนโท่ เราก็ต้องบอกว่าไม่ได้ ต้องพูดแล้วพูดอีก กระหน่ำเลยว่าไม่ดี ก็ต้องพูดแบบนั้นเป็นธรรมดาใช่ไหม อาตมาเป็นความรู้สึกเช่นนั้น เห็นลูกหรือว่าเห็นเพื่อนสหธรรมิก ผิดไปจากของพระพุทธเจ้า อาตมาเห็นใจเข้าใจ เขาก็แสวงหาสิ่งประเสริฐจะไปนิพพาน แต่มันหลงทิศหลงทาง เราก็บอกอย่าไป ทางโน้นเป็นเสือ ขบกินตายหมด อย่าไป
ทักษิณก็บอก พี่เหนาะ คนตาบอดจะไปกลัวเสืออะไร ใครเคยได้ยินบ้าง พูดกับเสนาะ เทียนทอง ตาบอดไม่กลัวเสือหรอก มันก็พูดกันไป
เหมือนคนนั่่งหลับตา เหมือนคนดตาบอดหูหนวก พูดไปเถอะ ไม่ได้ยินไม่รับรู้ ไม่ได้ฟังอะไรเลย
ก็มีคนแสวงหา มีคนไม่มีอคติ มีคนตั้งใจจริงๆค่อยๆรู้ความจริงขึ้นมา อาตมาต้องขอบคุณพวกคุณ ชาวอโศกทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ยืนยันว่าธรรมะพระพุทธเจ้านั้น อย่างอาตมาพูด พวกคุณเห็นด้วยเห็นดี ก็มาเอามาศึกษามาปฏิบัติจนสามารถปฏิบัติได้ มีมรรคผลจริง จนกระทั่งเกิดวัฒนธรรมเกิดพฤติกรรมของโลกุตรธรรมถึงขั้นสาธารณโภคี มีสาราณียธรรม มีลาภโดยธรรม เอามารวมกันกองกลางและกินใช้ร่วมกัน
ซึ่งในโลกยุคนี้เป็นทุนนิยมสามานย์ขนาดนี้ คอมมิวนิสต์รุนแรงขนาดนี้ มันไม่น่าที่จะแหวกออกมาเกิดได้ สาธารณโภคี เป็นสุดยอดอภินิหารเลย สุดยอดปาฏิหาริย์
คนเขาฟังไม่ค่อยเข้าใจ ไม่รู้เรื่องใดว่าพูดอะไรกันนะ แต่นี่แหละคือสุดยอดเลย ถ้าคนทั้งหลาย เอาแค่ประเทศไทยที่เป็นชาวพุทธมาเข้าใจโลกุตรธรรมนี้ แล้วหันมาใส่ใจศึกษา ได้มรรคผลอย่างพวกคุณบ้าง ถ้าเมืองไทยมีอย่างชาวอโศกสักครึ่งประเทศ รับรองว่าโลกทั้งโลกจะหันมาแลเลย คนทั้งโลกจะหันมาศรัทธา แต่นี้มันน้อยเกินไป ไม่มีน้ำหนักเลย เหมือนผงธุลี อยู่ในฟ้ากว้าง มันก็เลยไม่สะดุด ก็มันเป็นเรื่องจริงเป็นสัจธรรมอย่างนั้น ไม่มีปัญหาหรอกเป็นแต่เพียงพูดความจริง ถึงเวลาก็พูดความจริงสู่กันฟัง
วิญญาณาหารก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ มีโจรปล้นศาสนา ฆ่าไม่ตาย ทำผิดต่อพระพุทธเจ้าขบถธรรมะพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นวิญญาณาหารหรือนามรูป เขาก็ไม่รู้ว่ามันผิดหมด ไม่มีอาหารอย่างนี้ในศาสนาพุทธแล้ว มีอยู่ในชาวอโศกเท่านั้น
ไปถึงมโนสัญเจตนาหาร ท่านเปรียบเหมือนหลุมเพลิง คนมันจะวิ่งลงหลุมถ่านเพลิง ก็มีคนพยายามดึงสองแขนขึ้นมาจากหลุมเพลิง หรือมีบุรุษ 2 คน ดึงอีกคนหนึ่งที่จะวิ่งออกจากหลุมถ่านเพลิง ลงหลุมถ่านเพลิง สรุปแล้วโง่ทั้งขึ้นทั้งล่อง ก็เลยมีเจตนาที่คนละทิศกลับโลกุตรธรรม
เจตนาผิดเป็นโลกียะ เสวยสุข อยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตร มหาสาโรปมสูตร ล.๑๒ ข.๓๔๗
เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยมในลาภและความสรรเสริญ เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีลาภสักการะและความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ไม่ปรากฏ มีศักดาน้อย. เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้วย่อมอยู่เป็นทุกข์
เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นอยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยเสก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น.
ศีลเป็นสะเก็ด สมาธิเป็นเปลือก ปัญญาเป็นกระพี้ วิมุติเป็นแก่น ดอกใบผลเป็นลาภสักการะสรรเสริญ
ศาสนาพุทธทุกวันนี้เหลือเพียงใบดอกผลที่เป็นโลกียธรรม สะเก็ดคือศีลก็ยังไม่มี บอกว่าพระมีศีลเท่าไหร่ ก็บอกว่า 227 นั้นมันเป็นวินัยไม่ใช่ศีล เท่านี้ก็ไม่รู้เรื่องแล้ว
ยิ่งสมาธิ อาตมาพูดไปเถอะ สมาธิของพระพุทธเจ้าคือ สมาหิโต ก็พูดไปเถอะ เขาก็บอกว่า สมาธิคือจิตตั้งมั่นสะกดจิตให้มันแข็งให้มันนิ่งอยู่เฉยๆ ซึ่งมันไม่ใช่ สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นจิตใจยิ่งคล่องแคล่วว่องไวเป็น จิตปาคุญญตา ภายนอกก็กายปาคุคญญตา ไม่มีกิเลส จิตใจยิ่งคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว นั่นแหละคือสมาธิของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่ว่า ทั้งกายกรรม วจีกรรม นัจจะ คีตะ วาทิตะ แสดงคล่องแคล่ว สื่อภาษาท่าทางสุ้มเสียงสำเนียงเขาก็หาว่าพระอรหันต์อะไรยังกับลิง ที่จริงแล้วยิ่งกว่าลิง ไม่ใช่พูดประชดเล่นคารม แต่ความจริงเขาเข้าใจไม่ได้หรอก
เขาเข้าใจว่าอรหันต์ต้องนิ่งช้าๆเฉยๆ เขาเรียกว่า สุภาพ ซึ่งฟังแล้วก็น่าสงสารเขาเหมือนกัน
อย่างเรานี้เหมือนเป็นผู้มีกำลังดึงผู้ที่วิ่งลงนรกอเวจีหลุมถ่านเพลิง ดึงพวกนั้นขึ้นมา หรือสองคนจะดึงลงหลุ่มถ่านเพลิง คนที่จะขึ้นก็คือคนที่ปรารถนาดี ต้องเป็นคนดึงจะลงหลุมเพลิง ดึงคนปรารถนาดีมีสัมมาทิฐิจะขึ้นจากอเวจี แต่ก็มีคนดึงลงไป 2 คน ให้คนที่ถูกดึงนี้มีคนเดียว นั่นคือเจตนา มโนสัญเจตนาหาร ส่วนผัสสาหารนั้น ท่านเปรียบเทียบเหมือนวัวไม่มีหนังหุ้มเลย วัวเปลือย ไม่มีหนังหุ้มเลยทั้งตัวแดง น้ำเหลืองเยิ้ม มันจะแสบขนาดไหนมีผัสสะ ในอาหารข้อที่ 2 ท่านเทียบแล้ว เห็นชัดเจนวัวไม่มีหนังหุ้มเป็นผัสสะอยู่ แล้วจะอยู่อย่างไรมันก็ตาย แสบตายเลย สารพัด สัมผัสกับอากาศสัมผัสกับอะไรต่ออะไรก็แย่แล้ว ต้องไปถามคุณรุ่งโรจน์ บริจาคหนังให้เขา ที่ถูกไฟคลอก มันจะแสบแค่ไหนทั้งตัวเลยนะไม่มีหนังหุ้มเลย มีแต่แดงเยิ้มกับน้ำเหลือง แล้วมันจะเป็นอย่างไร ผัสสะ
สู่แดนธรรม.. ต้องเปิดรับการกระทบให้รู้ทุกข์
พ่อครูว่า… สัมผัสขนาดนั้นยังไม่รู้ทุกข์เลย เหมือนที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้เจ้าพนักงานแทงด้วยหอกร้อยเล่ม หอกเล่มเดียวก็ทุกข์จะตายแล้ว ถูกแทง แต่ว่าแทงเช้า 100 กลางวัน 100 เย็น 100 ก็ไม่เห็นทุกข์ เหมือนกับผัสสะ วัวไม่มีหนังมันทุกข์ มีผัสสะแท้ๆแต่ไม่รู้จักผัสสะ
สู่แดนธรรม… หาก รับทราบปฏิบัติไม่มีอาหารอะไรปฏิบัติเลย เป็นโมฆะจริงๆเลยหลับตาปฏิบัติ เพราะฉะนั้นจึงกินอาหาร กวฬิงการาหาร ไม่รู้เรื่องโภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ไม่รู้เรื่องหรอก อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่รู้เรื่อง ก็อยู่กันไปด้วยความหลงสุข
ปัจเวกขณ์ ก็พิจารณาไป ท่องก่อนฉันอาหาร แต่เสร็จแล้วไม่ได้รู้เรื่องอะไร มันน่าสงสารจริงๆ เพราะไม่เข้าใจอาหาร
อวิชชา มีอาหาร ในตัณหาสูตร (พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 62)
1.การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ.. การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง
2.การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ.. ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)
3.ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ.. การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)
4.การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) (อโยนิโสมนสิการ) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ
-
ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์
-
การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ.. ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)
-
ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5
-
นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา
-
อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา