650606 พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 อภิภายตนะ 8 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1i-ZCSwfsbK0CwINUXil7YSifdo29Fk1-ZPbraHqi9ms/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1a5cU7SRskOsdO7nUf2_tbbOqoZzarBIZ/view?usp=sharing ยูทูป https://youtu.be/pFk78B25Vxg และ https://fb.watch/dtHUKngqRX/ สังคมสาราณียธรรมที่จริงยิ่งกว่ายูโทเปีย พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 7 ค่ำเดือนอายุอาตมา 88 ก็รู้สึกสนุกสนานกันนะ อายุ 88 มันก็มีอะไรเล่นกับเลข 8 เขาก็ใช้ ก็ไม่เป็นไร ใช้นิมิตของเลข 88 เป็นเครื่องหมาย ในการปลุกเร้าความสนุกสนานขึ้นมาในจิตขึ้น ร่าเริงเบิกบาน ชาวอโศกทุกวันนี้อาตมาว่าปฏิบัติธรรมกันมา มาได้เป็นคนที่มีจิตใจที่ถูกสำรอกกิเลสออก แล้วก็เป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ แล้วก็มีสิ่งแวดล้อม คำว่าสิ่งแวดล้อม มีมากเป็นองค์ประกอบที่อยู่ชิดกับตัวเรา มันก็เลยทำให้พวกเรามีลักษณะอย่างนี้ เป็นคุณลักษณะที่เรียกว่าเป็นคุณวิเศษ เป็นมนุษยชาติที่มีคุณสมบัติหรือเป็นคุณธรรมแบบโลกุตระของพระพุทธเจ้า คือมีสาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่างมีพฤติกรรม มีเมตตากายกรรม เมตตามันเป็นอย่างไร มาดูที่อโศก นี่เป็นพฤติกรรมของมนุษยชาติ ที่เรียกว่าเมตตา คือมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเจือจานเกื้อกูลมีพุทธพจน์ 7 สมบูรณ์แบบ สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ มันครบแบบ คุณธรรมระลึกถึงกัน ไม่ได้ระลึกถึงกันอย่างจี๋จ๋าดึงดูดอย่างมีกิเลสกาม ไม่ได้ระลึกถึงแบบนั้น ระลึกถึงกันอย่างมีลหุตา มุทุตา อย่างพอเหมาะ ..ปิยกรณะ ก็มีความรักที่พิเศษแบบมิติที่ 7 8 เป็นต้นไป ไม่ใช่เป็นความรักมิติที่ต่ำขั้น 1 2 3 4 5 มีคุรุกรณะ มีการเคารพกันตามขั้นชั้นของคนจะด้วยวัยวุฒิก็ตาม จะด้วยคุณวุฒิก็ตาม หรือแม้แต่สมมติ ก็เข้าใจ ใครมีคุณวุฒิจริง ใครมีสมมุติ คนนี้ศีล 5 คนนี้ศีล 8 คนนี้เป็น สมณะ คนนี้เป็น สิกขมาตุ มีขั้นชั้นก็เข้าใจเคารพกัน ได้ถูกต้องมีสัดส่วน ยิ่งสังคหะแล้ว แจกจ่ายเจือจาน เกื้อกูลช่วยเหลือ จนกระทั่งเผื่อแผ่ไปถึงข้างนอก ในนี้ไม่ต้องห่วงเลย สังคหะ ไม่วิวาทกันนี่เห็นชัด อยู่กันมานานปีพวกเราชาวอโศก เห็นชัดเจนเลยว่า ไม่ได้มีลักษณะที่จะเป็นตัวแสดงออกที่มีการวิวาท คนอยู่ตั้งหลายร้อยคน มานานไม่รู้กี่ปี แต่ละปีไม่มีข้อพิพาท ไม่วิวาทกัน อยู่กันอย่างสามัคคีพร้อมเพรียง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำอะไรต่ออะไรที่ควรจะทำ ก็ช่วยกันแบ่งกัน แจกกันทำ แล้วก็อยู่กันอย่างเป็นปึกแผ่น เอกีภาวะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้คุณสมบัติของมนุษยชาติที่ยอดเยี่ยมเอามาประกาศ บอกหมวดหมู่บอกกระบวนการต่างๆของสัจธรรมเอาไว้ พวกเราเอามาพิสูจน์แล้วยืนยันได้ เป็นความจริง เป็นคุณสมบัติที่พิเศษที่ดีของมนุษยชาติที่ทำได้ ทำได้ยิ่งกว่าที่พราวพุทธเขานำเอา ยูโทเปียมา นำมาอธิบายว่า อโศกไม่ใช่ยูโทเปีย อโศกมีสาธารณโภคี มีคุณสมบัติอีกยิ่งกว่าที่ เซอร์โทมัส มอร์ จินตนาการไว้ ยูโทเปียของโทมัส มอร์ ที่จินตนาการไว้มันเป็นเพียงความคิดฝัน ถ้าดูตามภาษาของโทมัส มอร์แล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอกอย่างยูโทเปียที่เขาคิดฝันเอาไว้ มันสวยงาม ด้วยจินตนาการที่เพียบพร้อมทุกอย่าง แต่มนุษยชาติจริงๆที่อยู่รวมกันจะมีกิเลสมากน้อยต่างกัน ขนาดเราคัด ที่จริงเราไม่ได้ไปคัดแต่พวกคุณคัดตัวเองเข้ามา คนที่มีคุณสมบัติน้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมันก็เข้ามาเองตามสัจธรรมที่แท้ แล้วมันก็มีขั้นชั้นที่ต่างกัน มีโสดาบันถึงอรหันต์ ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์หมด เมื่อมาอยู่ร่วมกันแล้วมันไม่ใช่ความจริง ความเป็นจริงมันได้เป็นค่าเฉลี่ยอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจินตนาการของโทมัส มอร์ มันจึงสะอาดสวยงามครบพร้อมเลย แต่สัจธรรมจริงๆมันไม่ใช่ มันไม่ได้อย่างนั้นทีเดียว แต่ได้ขนาดนี้นี่แหละ อาตมาว่าโอ้โห! ใครจะหาว่าอาตมาหลงตัวเอง หลงหมู่พวกตัวเองจะว่าก็ว่าไป ดี จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าหลงก็หลง แต่เราไม่ได้หลงหรอก มีสติสัมปชัญญะปัญญา รู้ความจริงตามความเป็นจริง ชีวิตนี้อาตมาเกิดมาแล้วก็มาเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาประกาศ ให้พวกเราที่เป็นคนในยุคนี้ ได้รับรู้แล้วก็เห็นดีเห็นงามมาเรียนรู้ปฏิบัติประพฤติ จนกระทั่งมาอยู่รวมกันกลายเป็นรูปธรรม ของสังคมเลย มีพฤติกรรมสังคมสัมผัสได้ อาตมาภาคภูมิใจมากเลยที่ทำได้ขนาดนี้ สุดยอด ใครจะสุดยอดได้กว่านี้ก็ทำเลยอนุโมทนาสาธุ ไม่ริษยาหรอกถ้าใครจะมาทำบ้าง ท่านผู้รู้ทางศาสนาพุทธท่านก็ทำงาน ไม่ว่าใครผ่านไปผ่านมาก็มีหมู่กลุ่ม ที่มีวัฒนธรรมพฤติกรรมสังคมของท่านเหมือนกัน กลุ่มอาจารย์มั่น มหาบัว ก็มีพฤติกรรมสังคมแบบนั้น กลุ่มท่านพุทธทาส ก็มี หมู่พวกที่ศรัทธาเลื่อมใสใกล้ชิด จนกระทั่งรวมกันเป็นหมู่เป็นกลุ่มบ้าง กลุ่มหมู่ของท่านพุทธโฆษาจารย์ มหาประยุทธ์ ท่านก็มีของท่าน ก็ดูพฤติกรรมสังคมกลุ่มของท่านมันเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้มันเป็น ฟีโนมีน่า ต่างๆเป็นปรากฏการณ์จริงที่เห็นได้ ไม่ใช่เอามาแข่งกันหรอก แต่เอามาเปรียบเทียบกันดู ว่าอะไรมีคุณลักษณะอย่างไร มีโทษลักษณะอย่างไร มีความด้อยความดีความเด่น ความต่ำอย่างไร อะไรมันต่างกับอะไร สุดท้ายก็ทางจิต จิตวิญญาณของผู้ที่มาเป็นเช่นนี้ เรียกด้วยศัพท์เรียกว่ามันสุข เอาสุขมาเรียกง่ายๆก่อน มันสุขสงบเบิกบานร่าเริงสดชื่น ไม่มีเหี่ยวมีแห้ง ไม่มีเศร้ามีสร้อย แม้จะมีงานมีพฤติกรรมที่จะต้องออกแรงออกกำลังทำงานนั่นๆนี่ๆ อะไรก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่ได้มีเงินค่าจ้างวาน ได้สิ่งแลกเปลี่ยนจากผลงานก็ไม่ได้กัน แต่ก็สุขสำราญเบิกบานใจ ชื่นอกชื่นใจด้วย สร้างสรรออกมาเราก็เห็นผลผลิตแต่ไม่ได้ยึดว่าเป็นของเรา ก็เป็นของกองกลางอย่างที่เห็นนี้ กองใหญ่ๆ มากมายหลากหลาย อ่านกลอน SMS วันที่ 6 มิ.ย. 2565 _ถักธรรม ประภาส บุตรประเสริฐ : ขอโอกาสนำกลอนบูชาพ่อ เพื่อถวายพ่อครูเนื่องในวาระที่พ่อครูมีอายุครบ 88 ปีครับ แปดสิบแปดล่วงแล้ว ผ่านวัย สร้างแต่ศรีใส่ใน โลกหล้า ลูกน้อมกราบสุดใจ ไปทุก กาละเอย สำนึกอย่างแรงกล้า ขัดถ้วนกิเลสผอง เงินทองเพิ่มหมื่นล้าน เท่าใด ไม่เท่าเทียบมีใจ กิเลสเกลี้ยง แม้เพียงนิดหน่อยใน ดวงจิต เราแฮ ยิ่งกว่ายิ่งถูกเลี้ยง หล่อด้วยทรัพย์ทวี สอนวิธีลดละล้าง กิเลสตน จนแจ่มแจ้งแห่งกมล ลูกนี้ ด้วยธรรมแห่งพุทธมนต์ มากมิ่ง สัจจะเฮย เพียรบอกซ้ำซากชี้ ถ่องแท้ทิศธรรม ทุกกรรมเป็นที่ผึ้ง(พึ่ง) ทุกทำ เพียรเถิดปฏิบัติสำ เร็จได้ บาปเวรอย่าแม้อำ พรางพูด คิดเฮย ทำแต่ธรรมสืบไว้ ไป่ท้อพ่อสอน พรพุทธผ่องพ่อให้ ถ้วนทิศ งามวิสุทธิ์วิเศษวิสิฐวิตร กว่าอ้าง ให้มวลมนุษย์สุดฤทธิ์ เกินแกร่ง กำลังเฮย รอยย่างเท้าพ่อสร้าง วิมุตติแท้แก่ชน ป่าวบอกพลโลกหล้า มานาน ข้าวถั่วงาอาหาร ที่หนึ่งแท้ ใช่อาวุธสามานย์ แม้เก่ง กาจเฮย โลกสงบสุขยิ่งแล้ ทั่วถ้วนธุลีทบ ครบรอบวันเกิดนี้ บูชา น้อมสุดเกล้าเศียรมา หมอบไหว้ ขวัญมิ่งลูกศรัทธา แรงยิ่ง กล้าเฮย แรงถั่งเรี่ยวโถมไว้ ไป่ท้อพ่อนำฯ พ่อครูว่า… สำนวนแปลกดี _ไม้ร่ม หนอนวิมุติ มองดูหนอนน้อยใหญ่ในถังส้วม กะดีบกะด้วมคลื่นเหียนน่าเวียนหัว พ่อหยิบมาล้างขี้ที่ละตัว แล้วเป่าหูปั่นหัวให้เป็นคน ให้เลิกกินของคาวของเน่าเหม็น กินถั่วเป็นอาหารหลักกินผักผล เปลี่ยนหนอนในนรกว่ายวกวน มาเป็นคนโลกใหม่ในสังคม เป็นมนุษย์ต่างดาวชาวอโศก ละทิ้งโลกโลกีย์ศรีสนม บริสุทธิ์หมดสิ้นกลิ่นโสมม ขึ้นสังคมรถไฟเที่ยวสุดท้าย กว่าสี่สิบเจ็ดปีโพธิสัตว์ กิจวัตรพ่อครูสู่เป้าหมาย พ่อผู้รื้อขนสัตว์นวัตกาย โลกเลื่อนลั่นสั่นสายเชิดบูชา เพื่อมนุษย์ทั้งหลายได้หลุดพ้น กอบกู้คนกู้ชาติศาสนา ทำมืดให้สว่างสร้างปัญญา เอาหนอนในส้วมมาดัดสันดาน ถึงงานจะหนักเหนื่อยจนเมื่อยล้า วัยชราตามหลังเข็นสังขาร พ่อก็คือพ่อครูผู้ทำงาน เพื่อลูกหลานหมู่เหล่าผองเผ่าพุทธ ชมพูทวีปครั้งพ่อยังย้าย มาอยู่ฝ่ายฝั่งไทยในที่สุด หยิบหนอนพรากจากขี้มาวิมุติ เป็นโลกุตร์อรหันต์กันเป็นทีม ไม้ร่ม ๕ มิถุนายน ๒๕๖๕ พ่อครูว่า… SMS วันที่ 3-5 มิ.ย. 2565 (นำมาเพียงส่วนหนึ่ง sms ส่วนใหญ่ส่งมา ต่างปวารณาปฏิบัติตามนำคำสอนของพ่อครูเพื่อลดละกิเลส และขอก้าวตามพ่อครูต่อไป) _8325 : ลูกขอตั้งจิตอธิฐานจะขอติดตามพ่อไปทุกภพทุกชาติเพื่อรับใช้ศาสนารับใช้พ่อจนกว่าพ่อจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ _8672 : กราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ด้วยความเคารพสุดเศียรเกล้า ขอเดินตามรอยพ่อท่านที่นำพุทธศาสนาของพระสมณะโคดมที่หายไป 2,500 ปีกลับมาหยั่งรากลงในแผ่นดินไทยแผ่นดินธรรม พร้อมจรณะ 15 วิชชา 8 วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี โสตทิพย์ เจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ แม้นชาตินี้ยังไม่บรรลุถึงขั้นอรหันต์ก็ขอได้ติดตามพ่อครูต่อไปจนกว่าจะนิพพานเป็นปริโยสาน ขอให้พ่อท่านมีสุขภาพแข็งแรง พลานามัยสมบูรณ์ ลูกก็จะดำเนินรอยตามสมบัติ ที่พ่อครูให้ตลอดไปค่ะ ลูกเข้าใจในการจัดกิจกรรมหมู่กลุ่มชาวอโศกตามกาละเวลาในแต่ละคราวตลอดทั้งปี เพื่อสร้างคนเพื่อช่วยคนให้หยุดคน สาธุค่ะ _Bua Lukpo (บัว ลูกโพธิ์) : นอกจากการอ่านหนังสือของพ่อท่านแล้ว ต้องขอขอบคุณเทคโนโลยี่ ที่ล้ำหน้า เราเอามาใช้ประโยชน์ในการฟังธรรมพ่อทุกครั้ง หรือหาได้ตามที่ใจต้องการที่จะฟังธรรมพ่อในยุคก่อน ๆ มีมากมายให้ค้นคว้า เป็นประโยชน์ในการเสริมปัญญาโลกุตระของเรา กราบสาธุทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ประโยชน์ในการฟังธรรมพ่อนี้ แม้เราอยู่วัดไม่ได้ ก็ศึกษาไป แม้ต้องต่อสู้กับกิเลส ข้างนอกมากมาย เช่นแม้เสียงดนตรีดังใกล้ ๆ บ้าน ก็ไม่หงุดหงิด คิดว่านี่คือผัสสะ และเป็นวิบากเรา ไม่งั้นไม่เจออย่างนี้ / ดิฉันเห็นโศลกธรรมทุกข้อ ของบุญนิยมโพสต์ ตรงใจตัวเอง ทุกข้อ จดแล้วนำมาอ่าน บางครั้งก็แสดงความคิดเห็นรุนแรง ในแต่ละข้อความ ก็ออกมาจาก (ความจริงที่เกิดขึ้นในใจ มันลบไม่ได้ ก็ต้องพยายาม จบในตัวเองให้ได้) แม้กิเลสมันจะผลุบ ๆ โผล่ ๆ มาเป็นระยะ ก็ทำให้เห็นธรรมะ ผัสสะ เวทนา และทำให้ได้จาก 2 เป็น 1 ชอบชัง สุขทุกข์ในตัวเอง และทำเป็น 0 ให้เป็นอุตุ แม้จะระยะสั้น ๆ ทำบ่อย ๆ ก็จะได้บรรลุธรรมเป็นอย่าง ๆ เอง สาธุค่ะ _มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ : น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง ลูกยังไม่ชัดเจนถึงคำว่า ความเป็นผู้ไร้ตัวตน กราบขอสัมมาทิฐิเจ้าค่ะ _ไม่กล้าเริ่ม เท่ากับ อยู่ที่เดิม : ศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีถ้าคุณเป็นคนดีแล้วไม่จำเป็นต้องมีศาสนาก็ได้ พ่อครูว่า… เอาสิ เกิดมาดีได้เลย ไม่จำเป็นต้องมีศาสนาก็ได้ ถ้าคุณจะเก่งอย่างนั้น _เกษม สันทอง : คำว่า “อโศก” และ “สมณะ” ธรรมะจัดสรรโดยแท้ขอครับ พ่อครูว่า… จริง เป็นธรรมะจัดสรร เป็น อจินไตย สมณะเราก็ได้คำว่าสมณะเป็นเรื่องธรรมะจัดสรรจริงๆ ชาวอโศกไม่เล่นคริปโต ไม่เล่นแชร์ ไม่ทำการพนัน _จนแล้วสบาย : พ่อครูครับมีข่าวว่า คนข้างสันติกำลังเพลินกับการเล่นคริปโตหรือบิทคอยน์ แล้วมาชวนให้คนในวัดเล่นด้วยครับ มีคนเตือนว่า มันเป็นการพนันและเสพติดได้เร็วมาก เคยมีข่าวว่า คนเล่นบางคนเกิดอาการหลงใหลอย่างรวดเร็ว ตกกลางคืนนอนไม่หลับ ปิดตาก็เห็นแต่ภาพเส้นกราฟ บางคนอยู่ดีๆ ได้เป็นมหาเศรษฐีในตอนเช้า แล้วก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปในตอนเย็นนั้น พ่อครูว่า… ชาวอโศกไม่เล่นหรอกแบบนี้ พวกที่เล่นอย่างนี้ไม่ใช่ชาวอโศก พวกที่เล่นหุ้น แม้แต่เล่นแชร์ก็ไม่เอา ชาวอโศกไม่เล่น ถ้าเล่นอย่างนี้ไปอยู่ข้างนอก มันลากจูงให้มัวเมาในเรื่องเงินๆทองๆ อาตมาพูดอย่างนี้แหละเอาเข้มๆหน่อยชาวอโศก มันเป็นไปได้อย่างดีอยู่แล้วอย่ามาทำให้ความสะอาดของเขาแปดเปื้อน มันบาปนะ นี่พูดสัจธรรมว่ามันบาปไม่ใช่ขู่ ตัวตน ที่เจริญถึงขั้น อภิภายตนะ 8 _พ่อครูว่า… มาพูดถึงความเป็นผู้ไร้ตัวตน ลึกซึ้ง ความเป็นผู้ไร้ตัวตน ฟังดีๆ คิดว่า จะอธิบายกันไปให้ละเอียดลึกซึ้งพิสดาร ตัว เป็นภาษาไทย เอาไปกำกับคำว่า ตนะ หรือตน คำว่า ตัวเป็นภาษาไทย เป็นลักษณะนามกำกับลงไป เหมือนเป็นตัวๆ บอกตนะเป็นตัว ตัวตน ตนะ มีอีกคำว่า คือ อายะ อายตนะ คนที่มีสังขารมีรูปนาม เกิดสังขารมาอายตนะเกิด ตัวของตนที่มีสะพานมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมา มี 2 สภาพขึ้นมา เป็นสังขารเป็นรูปนาม แล้วมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะไม่มีอายตนะเกิด อายตนะไม่มีสภาพ นอกจากปัจจุบันที่มีผัสสะ พอมีผัสสะอายตนะก็เกิดในปัจจุบันนั้น พอเลิกจากปัจจุบันนั้นไป อายตนะก็หาย ไม่สะสมไม่อยู่ในที่ไหนๆ ไม่เป็นสมบัติ ไม่เป็นอะไร เป็นเหตุการณ์ปัจจุบันเท่านั้น อายะ ตัวมันเองแปลว่าประโยชน์หรือแปลว่า กำไร แปลว่าสิ่งที่ได้ ขึ้นมาให้แก่ตน หรือ สิ่งที่ได้ขึ้นมาแก่ตัวตน หรือสิ่งที่เป็นตนเป็นตัวตน เป็นสิ่งที่ได้มาให้แก่ตัวตนนั้น ล้วนแล้วแต่เกิดมาเป็นสัจจะ สมมติขึ้นในโลก เกิดเป็นสภาพสภาวะขึ้น ความจริงมันไม่มีตัวตน มีแล้วมันก็ไม่เที่ยงแล้วมันก็ตั้งอยู่บ้าง ไม่นานนักมันก็จะหายไป สุดท้ายมันก็หมด หมดตัวตน คำว่า ตัวตนคำนี้อีกคำ คือ อัตตา คำว่า อัตตา เป็นคำที่แทนสภาวะนี้ขึ้นมา แทนวิญญาณ แทนตัวตน แทนอายตนะ แทนทุกอย่าง อัตตา แทนสภาวะของจิตวิญญาณ ที่เกิดเป็นธาตุรู้ขึ้นมา ผู้อวิชชา ไม่มีความรู้ในเรื่องสัจธรรมพวกนี้เลย ไม่ได้ศึกษา ตามหลักปฏิจจสมุปบาท ผู้อวิชชา ไม่รู้จักสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้จักว่าวิญญาณคืออะไร ก็ไม่รู้จักรูปนาม นามรูป ไม่รู้จักอายตนะ ไม่รู้จักผัสสะ มีผัสสะนะ แต่ไม่รู้ สังขารก็มี วิญญาณก็มี รูปนามก็มี อายตนะก็มี ผัสสะเขาก็มี แต่เขาก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น อวิชชา ยิ่งไปถึงขั้นเรียกรวมว่าเป็นเวทนา เป็นความรู้สึก เขาก็มี เขามีความรู้สึก แล้วติดยึด เป็นความรู้สึกสุข เวทนาถาวร เป็นสุขนิยมด้วย แต่เขาไม่รู้ไม่ได้เรียนเลย แล้ว ไม่รู้ไม่ได้เรียนก็ไม่รู้ว่าเกิดมาเป็นเวทนา เวทนา เป็นตัวสำคัญ ความรู้สึกเป็นตัวฐานที่ตั้งของมนุษยชาติจะอยู่ที่เวทนา เป็นอารมณ์ที่ตนเองอาศัยตลอดเวลา อาศัยความรู้สึก อาศัยธาตุรู้ แล้วมันเร็วนะ เราสุขหรือเราทุกข์ เราทุกข์ เราก็ไม่เอา จะออกจากสิ่งนั้น จะออกด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่ จะไปหาเอาแต่สุข เหตุมันมีเวทนาขึ้นมาด้วยอะไร พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ ตัวที่เป็นเหตุก็คือ ตัณหา อยากนั่นอยากนี่ อยากปี้ อยากป่น อยากล่างอยากบน อยากจนในกระเป๋า ผู้หญิงน่ะตัวดีมีกระเป๋าหิ้ว แล้วยึดอย่างที่อยากได้นี่แหละแล้วตกผลึกลงเป็นอุปาทานไม่มีเข็ดหลาบ จึงวนเวียนอยู่ในภพในชาติตลอดกาลนาน นี่อธิบายปฏิจจสมุปบาทจบแล้ว เมื่อมีภพพมีชาติก็ โศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส จบ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดิน… หากไม่มีตัวตน เช่น เราเคยติดอบายมุข พอเราตัดอบายมุข เราก็ไม่มีตัวตนเรื่องอบายมุขแล้วเป็นต้น แต่เขาจะบอกว่าอย่างพ่อครูนี่ตัวตนมาก โพธิรักษ์ตัวตนสูง พ่อครูว่า… อาตมาอธิบายหรือพูดอะไรพวกนี้แรงชัดเข้มแข็ง จริงจังมั่นใจ เพราะฉะนั้นจะไม่เหมือนกับคนที่ไม่เข้มแข็งยังไม่ชัดเจนไม่หนักแน่น จะไม่เหมือน คนที่มีลักษณะจริงจังจริงใจหนักแน่น เปรี้ยงๆๆแล้ว จะเป็นลักษณะอย่างที่อาตมา แต่คนที่ยังไม่มั่นใจยังไม่ค่อยเต็มที่ยังไม่ค่อยจะคมแม่นเต็ม ก็ไม่ออกมาอย่างอาตมา มันเป็นธรรมชาติธรรมดา แต่คุณจะพูดในเชิงชมก็ว่าไป แต่อาตมาว่าทำอย่างนี้ดี มันแน่นหนักเปรี้ยงๆ มันชัดเจนดี แต่คุณไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ก็ขออภัยที่ทำสิ่งที่คุณไม่ชอบใจ อายตนะ ต เป็นตัวต้น ของวรรค ต ถ ฐ ท ธ น น เป็นตัวปลายของวรรค ต ตน ก่อนจะมาเป็นตนะ เป็นตัวครึ่งๆยังไม่เต็มคำ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ รากเหง้าของภาษาบาลี วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ วรรค ก เป็นพยัญชนะบอกสภาวะเริ่ม อะไรก็เริ่มมาก็มีสิ่งที่มี เรียกว่า ก ข คือ ว่าง ถ้าไม่ว่างก็เริ่มต้นมีต่อ ก็คือ ค ค ก็คือดำเนินไป โคจร คมนาคม ออกไป ก็เป็นเรื่องของการดำเนิน เคลื่อนไหว เป็น dynamic ฆ เป็นตัวจับตัว ไม่ใช่เคลื่อนไหว เป็น static ง ทั้งโง่ งอน แง่น งก ทั้งงาม เงื่อน สารพัดความดัดจริต กระบวนท่าอะไร อยู่ใน ง.งู หมด วรรค ต ครบครันในกระบวนการมนุษยชาติ วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ คือธาตุรู้ คือปัญญา คือความสว่างไสว จ ฉ ช ฌ ญ เริ่มต้นกระบวนแถว 1 แล้ว แถว 2 คือ ธาตุรู้ ความมีปัญญา เป็นอาการของมนุษยชาติที่มีรูปนาม มีจิตนิยาม เป็นธาตุรู้ มีตัวนี้เป็นตัวชี้บ่ง จ ฉ ช ฌ ญ ฉ แปลว่า 6 คือ 6 ทวาร จ ก็แจ้งๆ กระจะกระจ่างนี่แหละ ช คือรู้ ปรีชา คือรู้รอบ ปริ ชานติ รู้ ฌ คือรู้อีกเหมือนกัน ล้างสิ่งไม่รู้ออก ให้รู้กระจ่างๆ ให้รู้สะอาดๆ สิ่งที่เกิดจาก ฌาน เป็นธาตุรู้ที่เผาความไม่รู้ออกไป ญ คือ ปัญญา ญาณ รู้ ถึงค่อยมาหยั่งลง ครึ่งหนึ่งก็คือ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ พอเต็มตัวก็คือ วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น เลย เสร็จแล้วก็เต็มที่เลยทีนี้ เมื่อเกิดแล้ว จนกระทั่งมีปัญญา จนมาตั้งลงมั่นเลย ต.เต่าก็ดำเนินไป วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม ม คือจิตธาตุเต็มตัวเลย ป คือเริ่มต้น ตั้ง เป็นธาตุรู้เป็นตัวตนอยู่ในนี้ ผ คือโผฏฐัพพะ หรือผัสสะ ที่จะรับกระทบปฏิกิริยา พ คือ พฤติ พฤติการณ์ ประพฤติ ภ คือเจริญ ม รวมเป็นจิตธาตุเต็มที่เลย มนะ มโน นี่คือพยัญชนะที่ตั้งบัญญัติขึ้นมาของบาลี เพื่อแทนสภวะต่างๆ เพื่อใช้ ให้รู้สภาวะต่างๆ เพราะฉะนั้นคนเราเกิดมาไม่รู้จัก ตนะ ตัวที่ตั้งลงไปแล้ว ที่จริงมันไม่มี น คือไม่มี แต่เมื่อมันมี มันก็เลยอยู่เป็นสภาพ 2 ต ถ้าผู้ที่รู้ความตั้งอยู่ ก็เป็น วิชชา ใครยังไม่มีความรู้ น มันก็จะตั้งอยู่ เป็นตน เป็นตนะ ผู้ที่มีวิชชาแล้วก็ไม่มี ตนะ ไม่มีแล้ว ตน รู้ตัวตน ได้รู้ความจริงที่เป็นความจริงอย่าง อนุปคัมมะ อนุปคัมมะ คือบุคคล ผู้รู้หมดแล้วทั้งความมีและความไม่มี เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่เราก็รู้ความมีความไม่มีนี้ ก็ไม่เข้าไปยุ่งไม่เข้าใกล้ แต่ถ้าเผื่อว่า จะมีทำงาน มีการร่วมกันให้เกิดผล เราก็ไปร่วมกับสิ่งมี เมื่อสิ่งที่มีนั้นเป็นองค์ประกอบที่ดีแล้ว เป็นความควร เป็นความมีที่ดี หรือเป็นความมีที่เป็นไปเพื่อละกิเลส เพื่อล้างในสิ่งที่ไม่ควรมี เมื่อเกิดเป็นวิญญาณก็เป็นวิญญาณที่ปราศจากกิเลส ต้องมาแยกกิเลสออก สิ่งที่มีอยู่ก็คือจิตธาตุก็ต้องให้มันมีอยู่ เพราะเรายังไม่ได้ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นชีวิตสะอาดจากกิเลสก็ต้องมีให้ได้ ไม่ต้องมีให้ได้หรอก มันต้องมีอยู่ มันยังไม่ตาย ยังไม่คิดจะตาย ไม่ได้ทำให้ตาย มันก็ต้องมีอยู่ ก็ต้องรู้เป็นสัจจะ มันยังมีอยู่ มันยังไม่ได้ทำตาย จะทำตายก็ต่อเมื่อเราทำกิเลสให้มันหมดเกลี้ยงเลย เหลือแต่จิตสะอาด จะตายก็ตายด้วยจิตสะอาด แล้วจะไม่เกิดอีก ก็จะรู้เลยว่า อ๋อ.. จิตมันคือธาตุดินน้ำไฟลมกับชีวะยึดกันเท่านั้น เรารู้จักชีวะ ระดับพืช ระดับจิตก็รู้ ไม่เป็นทั้งพืชทั้งจิต เลิก คุณก็ กายสเภทา ปรัมมาณา หลังจากกายแตกแล้วก็เป็นดินน้ำไฟลมเป็นอุตุธาตุไปหมดเลย จิตธาตุหายไปเลย นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สลายจิตธาตุ เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ฟังอาตมาอธิบายดีๆนี่เป็นการอธิบายสมบูรณ์แบบครบถ้วนรอบ ชัดเจนแล้ว ถ้ารู้แล้วทำได้อย่างนี้คุณเป็นพระอรหันต์ ความเป็นอรหันต์ไม่ใช่สิ่งลึกลับ ไม่ใช่แบบเทวนิยมที่พระเจ้ารับไปหมด มั่วซั่วไปหมดไม่รู้ว่าพระเจ้าอยู่ตรงไหนที่ไหน โมๆเมๆ ตายไปแล้วอยู่กับพระเจ้า ทำชั่วจะตายชักบอกว่าตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า ก็ไม่รู้ชัดเจน ชั่วก็ไม่ชัด ดีก็ไม่ชัด รู้มะลำมะเลืองไปอย่างนั้น ศาสนาพุทธนี่รู้ชัดเจนความสุขความทุกข์ก็รู้ชัดเจน สุดท้ายจะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ชัด คนมาถามอาตมาว่า มาอวดตัว เป็นพระอรหันต์รู้ได้อย่างไร ก็รู้อย่างที่พูดนี่ไง รู้ว่าจะมีก็มี รู้ว่าจะไม่มีก็ไม่มี แล้วทำสำเร็จได้ด้วย ทำได้จริงด้วย จึงพูดอย่างที่พูด จึงจริงอย่างที่พูด พูดได้แล้วพูดความจริง ไม่ได้เอาจากของใครมาพูด มีใครมาพูดอย่างอาตมา ไม่มี ไม่มีแล้วอาตมาจะเอามาจากไหน ก็ต้องเอาจากของตัวเองใช่มั้ย เอาของตัวเองมาพูด เพราะฉะนั้นถามอีกว่าอรหันต์เป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างที่พูด พูดอย่างที่เป็นนี่แหละ ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาวาที นี่แหละอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ยืนยัน ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาวาที พูดอย่างไรทำได้อย่างนั้น ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น นี่ไม่ได้พูดเล่น พูดความจริงทั้งนั้น ก็เป็นอย่างนี้ ส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ใครจะไปบังคับคุณ ใครจะไปจัดการคุณ คุณจะไม่เชื่อก็ไม่ใช่เรื่องของอาตมาเลย คุณจะเชื่ออาตมาก็ไม่ใช่เรื่องของอาตมา คุณเชื่อแล้วเป็นประโยชน์ไหมล่ะ รับไปเป็นอายตนะไหม ของอาตมากับคุณ รับไปปั๊บ ก็มีอายตนะ เพราะฉะนั้น คำว่าอายตนะ 8 ซึ่งผู้ที่ยิ่งใหญ่ อภิภู จึงจะรู้อายตนะ 8 ที่เป็นคุณสมบัติพิเศษ เป็นคุณวิเศษของคนที่มีอายตนะ 8 เป็นคุณสมบัติอันยิ่งใหญ่ คุณสมบัติแบบนี้ละเอียดมากจนกระทั่งพวกคุณฟังแล้วเหมือนเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่มันเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งที่คนสามัญแม้รู้ก็ยังไม่ได้ คนที่ลึกซึ้งจริงๆที่จะรู้ความจริงของสภาวะธรรม ความเป็นอายตนะ 8 นี้ แม้อายตนะข้อที่ 1 อภิภายตนะ ไม่ใช่อายตนะธรรมดา คนธรรมดามีอายตนะ ไม่สามารถมีอภิภายตนะได้ง่ายๆ อภิภายตนะต้องเป็นคนระดับอภิภู คือระดับ 8 อาตมาเอาระดับ 8 มาพูด เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ที่จะมีคุณสมบัติของจิต แล้วไม่งงไม่สงสัยว่าจิตของคนทำงานก็ต้องมีการกระทบสัมผัส รู้ตื่น รู้อยู่ ถ้าหลับอยู่ก็คือจิตไม่เต็ม ถ้าตื่นขึ้นมารับรู้ทางโลกและอัตตาก็รับรู้อยู่ครบ สว่างไสว ในขณะนั้นจิตของอภิภายตนะข้อที่ 1 จะมีการรู้ภายนอกภายใน มีจิตรู้ภายในและรู้ภายนอก ในขณะเดียวกันเลยนะ จิตจะมีสภาพที่มีธาตุรู้รวม ที่รู้อยู่ในนี้ครบพร้อมหมดเลย รู้นอกรู้ในพร้อมกัน ผู้ที่ไปหลับตาไม่มีภายนอก มันไม่ใช่ศาสนาพุทธ ซึ่งไม่รู้จะพูดยังไง พูดก็ว่าแต่ความจริงเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเขา ยังติดยึดหลับตากันอยู่นั่นแหละบอกว่าเลิกได้แล้วศาสนาพุทธไม่มีการนั่งหลับตาปฏิบัติ ต้องมีภายนอกและภายในเรียกว่ากาย ตัวตนของสักกายะทิฏฐิ กายตัวนี้ มาชาติเดียวแต่เป็นธาตุ2 อย่างเป็นต้นไป เป็นองค์ประชุม เป็นหมู่ เป็นพวก เป็นฝูง ไปเปิดพจนานุกรมบาลีดู กาย มันต้องมีภายในและภายนอกด้วยร่วมกัน เป็นหมวดหมู่ของเจตสิก เช่น เวทนาสัญญาสังขารเป็นต้น เป็นองค์ประกอบของเจตสิกต่างๆ หรือจิตนั่นเอง ทั้งหมดทั้งมวล ผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นอภิภู รู้สัมผัสอื่นอยู่ ก็รู้ทั้งภายนอกภายใน มีภายในก็รู้ภายนอก ใครจะเปิดตำรามาเปรียบเทียบก็ได้ ฟังที่อาตมาแล้วก็อ่านตำราพระไตรปิฎกด้วย เสร็จแล้วก็ยังมีความรู้อื่นๆ อีกพร้อมทั้งภายนอกภายใน มีความรู้ระดับ ปริตตัง เรียกว่า เล็กน้อย ระดับบริวาร แล้วก็ยังรู้ ทุพรรณะ สุพรรณะ รู้ขั้น รู้ชั้นของอะไรต่างๆนานา หยาบ กลาง ละเอียด ดีทราม ต่ำสูง มากน้อย วิเศษไม่วิเศษ ก็รู้ขั้นชั้นของอะไรต่างๆนานาที่เป็นดีกรีมิติต่างๆ จึงรวมแล้ว เป็นความรู้อยู่พร้อมกันเลยนะ รู้พร้อมกันหมดเลย รู้อยู่ในนี้ แต่คนไม่ถึงขั้นอภิภู จะรู้ทีละอย่าง รู้แต่ภายนอกภายในไม่รู้ตัว ไม่รู้เรื่อง ไปนั่งหลับดับ เข้าไปตรวจภายในแต่ทวารทั้ง 5 ไม่ได้ศึกษาฝึกฝนก็ได้เรียนรู้แต่เพียงภายใน ดีไม่ดีมีแต่ธาตุสัมภเวสีไปปรุงแต่งเป็น นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย เป็นกายเก๋ๆ เป็นของตัวเองแต่ทำทีเป็นรู้เรื่องอุปทานหมู่ด้วยกัน เช่น คนตาบอดชมว่า ฟ้าสวยจริงๆ คนตาบอดอีกเป็นร้อยก็บอกว่าฟ้าสวยจริงๆ ทั้งที่มันไม่ได้มองของจริง แต่ก็ทำดีรู้เหมือนกัน ที่อยู่ในโลกเหมือนคนตาบอดชวนคนตาบอดไปชมท้องฟ้าสดใส แล้วยังชมว่าท้องฟ้าสดใสขึ้น คนตาบอดสอดตาเห็น อย่างนี้ในโลกที่มันสมมุติ ในโลกที่มันโมเม ในโลกที่มันไม่รู้จักความจริง มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น อาตมามาพูดความจริงให้ฟัง ความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสจึงเป็นความจริงที่ละเอียด จนกระทั่งรู้ความจริง อัตตา จนกระทั่งเป็นอนัตตา รู้แล้วปฏิบัติศึกษาปฏิบัติได้ จึงได้รู้ว่าพระเจ้าขี้โม้ พระเจ้าทำทีเป็นเจ้าของจิตวิญญาณ เป็นเจ้าของความรู้ เจ้าของความจริง เป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่ง มังคุดมันก็เป็นของมัน ไม่ได้มีพระเจ้าสร้างอะไรหรอก เปลี่ยนจากทุเรียนมาเป็นขนุนแล้ว บนโต๊ะ ขนุนก็เป็นของมันไม่ใช่พระเจ้าสร้างอะไรหรอก ช้างม้าวัวควายมันก็เป็นของมัน คนแต่ละคนก็เป็นตัวของตัวเองทั้งนั้น กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก ตนเองเป็นทายาทของกรรมตนเอง จะเป็นจะตายจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็เพราะว่ากรรมของคุณเองทั้งนั้น ไม่มีใครมาทำให้คุณเลย กัมมโยนิ คุณทำให้เกิดให้เป็นตัวคุณเองทั้งนั้น เสร็จแล้วคุณก็สั่งสมเป็นพันธ์ุของกรรมตัวเอง คุณสลายเผ่าพันธุ์ ความเป็นจิตธาตุความเป็นจริงนิยาม สลายเป็นดินน้ำไฟลมเลย ล้างเผ่าพันธุ์เลยสูญพันธุ์ไปเลย ได้ ไม่งั้นคุณก็โง่อยู่กับพันธุ์ทำกรรมอยู่นั่นตอบ ศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักกับวิบาก ศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักกับวิบาก เกิดมาก็สร้างกรรมวิบากไป ใฝ่ดี สะสมดี รู้ดีเป็นดี สูงสุดได้เป็นพระศาสดา แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั่นแหละ เป็นคนสั่งสมวิบากมา จนรู้อย่างนี้มีความรู้ความจริงเท่านี้ได้เป็นศาสดา คนก็มาขึ้นมาเป็นศาสนา เทวนิยมที่มีศาสนาใดศาสนาหนึ่งมากมายในโลก แข่งกันอยู่เยอะแยะ เสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าความรู้นั้นเป็นของใคร นึกว่าเป็นของใครหนอสร้างได้รู้ดีมากอย่างนี้ไม่รู้ตัวเอง ที่แท้ศาสดาก็คือความรู้ของตัวเอง ความจริงของตัวเองที่มีเท่าที่ตัวเองสั่งสมกรรมวิบากมา ไม่ใช่ของพระเจ้า ไม่ใช่ของพระบิดา ก็เป็นของตัวเองนั่นแหละ แต่เขาไม่รู้ตัวไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร มันจึงงง เห็นไหมตัว ง. มาได้ยังไงรู้ขนาดนี้ คนอื่นเขายอมรับความรู้นี้ด้วยนะ ไม่เชื่อตัวเองว่าตัวเองจะรู้ขนาดนี้ แล้วก็มีคนมาเป็นบริวารเยอะแยะ ก็เลย ไม่เชื่อว่าเราเป็นได้ขนาดนี้ด้วยหรือ เพราะไม่รู้ตัวเองจริงๆ เพราะฉะนั้นคนพวกนี้จึงไม่มีทางรู้จักอายตนะหรอก อภิภายตนะข้อที่ 1 เป็นขั้นรูป อภิภายตนะข้อที่ 2 ขั้น อัปปมาณาภา ขั้นที่ 3 เป็นขั้น อรูป ปริตตัง ขั้นที่ 4 อรูป ขั้น อัปมาณา ขั้นที่ 5 6 7 8 ท่านเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติพิเศษนี้เรียบร้อยแล้ว ที่นี้แจกเป็นเฉดของสี เอาสีมาเป็นตัวอธิบาย เป็นตัวสมมุติ ขั้นที่ 5 รู้จักเฉดของสีเขียว เขียวเหมือนกันหมด แต่ต่างกันตรงเฉดสี คือ รู้เรื่องความละเอียดลออของสรรพสิ่ง ว่ามันมีสิ่งที่ต่างกันเล็กน้อย ทั้งๆที่คนก็มองเห็นเหมือนกันหมดเขียวเดียวกัน แต่นี่แยกความเขียวได้ ไม่รู้กี่เขียว เป็น 10 เฉดเลย ข้อที่ 6 แดง ก็แยกเป็น 10 เฉด ข้อที่ 7 เหลือง อ่อนกว่า ถ้าเป็นน้ำเงิน แดง ก็สีโทนจัด พอมาถึงเหลืองก็เป็นโทนอ่อน ก็แยกเป็นเฉดสีนัยยะต่างกัน สุดท้าย แยกเฉดของขาวออกได้ คนจะละเอียดขนาดไหนล่ะ ถ้าแยกเป็นความต่างของสีขาวเป็นร้อยเฉดสี คุณนึกออกไหมว่ามันขาวขนาดไหน ไปถามพวกยาซักฟอกดูซิ มันจะทำความขาวแข่งกัน นี่เป็นความรู้ที่อาศัยสภาวะและพยัญชนะต่างๆมาเรียนกัน สรุปแล้วเอาสีมาเป็นตัวตั้งเพื่อศึกษา และอธิบายให้เห็นความต่าง การศึกษาของศาสนาพุทธจึงศึกษาความต่าง เท่านั้นเอง ข้อต้น ความต่าง ระหว่างพระเจ้ากับการยึดถือพระเจ้ากับการไม่ยึดถือพระเจ้า ความมีพระเจ้ากับความไม่มีพระเจ้า คู่ใหญ่ คู่เอก สุดเอกเลย ทีนี้คนที่ไม่รู้ความต่างก็คือ พระเจ้า คนรู้ความต่าง และรู้ความต่างที่ละเอียดจบทุกเฉดเลยคือสายพุทธ ก็คนสายพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นจึงรู้ความต่างของความมีกับความไม่มี รู้ความต่างของจิตวิญญาณกับสิ่งที่ไม่ใช่จิตวิญญาณแล้ว เป็นดินน้ำไฟลมไปแล้ว รู้ความต่างและทำได้ด้วย จึงรู้ทั้งเกิด รู้ทั้งดับ รู้ทั้งมีและไม่มี ทำได้เองหมด จึงรู้ว่าไม่มีพระเจ้ามาควบคุมหรอก มีแต่ตัวเราเอง ซึ่งทำได้ด้วยกรรม กรรมคือการกระทำกรรม สำเร็จจบอยู่ในตัวเอง ทำ ทำเป็นธรรม ธรรมเราทำ อาตมาพูดอธิบายทำไปได้เรื่อยๆ แล้วมันต้องพูด เพราะเราเกิดมา ตั้งปณิธานแล้วว่าเราจะเกิดมาเพื่อสืบสานธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ เป็นสิ่งที่ควรบอกกล่าว ควรทำความเข้าใจของคนให้เข้าใจให้รู้ ก็มีเรื่องที่ค้างๆคาๆที่ควรจะต้องบอกให้รู้กัน บอกให้รู้ให้ชัดเจนอีกว่า ฟังดีๆนะ ธรรมะอันที่คุณจะต้องช่วยกันทำ วังจันท์พฤกษา จะส่งทุเรียนมาให้ 888 กิโลกรัม แล้วจะเอามาไม่ได้ให้พวกคุณกินหรอก จะเอามาให้แจก ไม่ต้องสาธุ มีคนออกความคิดเรื่องการแจก บอกว่าให้เอาไปแจกตามบ้าน อาตมาว่าเป็นภาระใหญ่ แล้วจะแจกบ้านไหนก่อนบ้านไหนหลัง มันจะทำอย่างไร นี่เป็นปัญหาขึ้นมา มีคนออกความเห็นว่า เราตั้งต้นที่กระท่อมปันสุขนั่นแหละ คนที่แงะทุเรียนเป็นก็แงะแล้วแจกไป ช่วยกันแกะทุเรียน ทุเรียนหมอนทองด้วยนะ ให้ประชาชนได้กินกัน ก็คิดได้อย่างนี้ ใครมีความคิดวิเศษวิเสโสกว่านี้ไหม สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นพฤติกรรมของคน เราเป็นคนเหมือนกันกับทุกๆคนในโลก เสร็จแล้วเป็นคนมีอยู่มีกิน ไม่หวงไม่แหน ผลไม้ระดับโลก ทำไปตามประสาเรา มันแสดงถึงจิตเผื่อแผ่ จิตที่แบ่งแจก เป็นสังคหะ คุณสมบัติคุณธรรมของธรรมะพระพุทธเจ้า ที่ได้ให้เรียนให้ศึกษาปฏิบัติ จิตมันจะเป็นจริง ไม่ใช่พูดไปศึกษาไปแต่เป็นจริงไม่ได้ ไม่ใช่ สิ่งนี้เป็นเหตุปัจจัยองค์ประกอบของความเป็นจริง แม้ผลไม้ชั้นสูงทุเรียน เราพอมีกินมีแจกกันได้ เราปลูกเองยังไม่มีมากพอที่จะแจกได้ ที่อื่นก็เอามาสมทบ จากวังจันท์พฤกษาเอามาให้ตั้ง 888 กิโลกรัม ของ ศรีสะเกษก็มี แต่มันก็ไม่มีมากพอจะมาแจกได้เหมือนสวนวังจันท์พฤกษา อย่างนี้เป็นต้น แต่เราก็มารวมกันได้แจกได้ ภาพการแจกก็ดูไม่เกรียวกราว ทำจริงแล้วก็ไม่ยุ่งยากเกิน เราคิดกังวลไปเองว่าจะยุ่งยาก การเป็นผู้ให้นี้เป็นสุดยอดของโลก การได้เป็นผู้ให้ไม่ใช่เป็นผู้ได้หรือไม่ใช่เป็นผู้เอา เป็นผู้ให้ เราจะเป็นผู้ให้เราต้องมี มีอะไรที่จะให้ พวกเราไม่มีธนบัตรไปแจกไปให้ ไม่มีเหรียญไปหว่านอย่างที่เขาทำกันหรอก อวดอ้าง เราไม่มี เรามีแต่ปัจจัย โดยเฉพาะพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่มีอะไรมากก็ขุด ตะโก้งไปใส่ปันสุข ดูซิว่าจะมีคนเอาไปกินไหม เอาไปแกงอ่อม แกงส้ม แกงคั่ว ลวกกินกับแจ่วกับป่น กินกับลาบก็ได้ กินสดก็ได้ ผักบุ้งเราก็มีมากเก็บเอาไปแจกได้ เราไม่มีแรงงานมากที่จะทำ ก็ค่อยๆทำ เราก็ทำไป มาพูดถึงการให้ ศาสนาหรือมนุษยชาติทุกศาสนา เข้าใจ รู้เรื่องการให้ว่า เป็นเรื่องดี เรื่องเอาเรื่องแย่งชิง เป็นเรื่องไม่ดี ฆ่ามันเสีย แล้วไปเอาอะไรของมันมา เอาสิ่งที่มันรักมันชอบของมันมาเป็นของเรา มันรักประเทศก็เอาประเทศของมันมา ฆ่ามัน เพื่อเอาสมบัติ เอาอำนาจมันมา มันมีอำนาจก็ฆ่ามันเพื่อเอาอำนาจมันมา ปานนั้นเลยคน เพราะฉะนั้นคนที่จะเอา เป็นคนมีตัวตน เป็นคนโหดร้าย เป็นคนจน มันขาดแคลนมากมายหรืออย่างไร ไปแย่งจากเขา แย่งสารพัดจะแย่ง ซับซ้อน จะแย่งด้วยมือเปล่าไม่พอต้องสร้างอาวุธไปทำร้ายเพื่อที่จะไปแย่งของเขา เช่น สร้างอาวุธไปแย่งอาณาจักรไปแย่งประเทศไปแย่งสมบัติจากประเทศนั้นประเทศนี้ ไปครอบครองเป็นเจ้าอาณาจักรมีทรัพยากร ไปแย่งชิงทรัพยากร เช่น ไปแย่งเอาน้ำมัน ไปแย่งเอาทองคำ ไปแย่งเอาอะไรจากถิ่นของเขา อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นการเอานี่เป็นความเลวของมนุษยชาติ การให้ เราไม่มีน้ำมัน คุณก็ไม่มาเอาน้ำมันจากเรา แต่เรามีผักพืช แล้วผักพืชเป็นหนึ่งในโลก อาหาร เราสร้างสิ่งเหล่านี้ เราเห็นว่าเราสร้างได้สร้างดีมากๆ อาตมาถึงบอกว่า พวกเราเป็นเศรษฐีอะไรก็สู้เป็นเศรษฐีพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ได้ ฝากไว้ก่อน โอฬาร สำหรับวันนี้ หมดเวลา จบ Category: ศาสนาBy Samanasandin6 มิถุนายน 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:650605_พิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2565NextNext post:F650608 พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 กำจัดผีในตนจึงเป็นคนโลกุตระRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024