650605_พิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2565
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1NcVhC5Dk-lmdv-HWIGIS0YGMrh8gthYGfmJTuYh7tlY/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Uqqi3Fc68WN4lR5v_VD9vIUdjdtBZX9f/view?usp=sharing
ยูทูป https://youtu.be/BILE3WlodXE
และ https://fb.watch/dsinkPHOEz/
สมณะเดินดิน ติกขวีโร นำพาลูกๆ กล่าวคำบูชาพ่อครู
พิธีน้อมกตัญญูบูชาพ่อครู
เริ่มด้วย ขอกราบคารวะพ่อครูและหมู่สงฆ์ ด้วยความเคารพอย่างสูงจากนั้น จึงเกริ่นกล่าว
ตั้งนะโม (๓ จบ)…ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ซึ่งเป็นแสงสว่างของโลก ผู้ทรงประทานเส้นทาง แห่งความพ้นทุกข์ ให้แก่มวลมนุษยชาติ ด้วยการประกาศอาริยสัจ ๔ และมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งมีสัมมาทิฎฐิ ๑๐ เป็นเข็มทิศนำทาง ไปสู่ความหลุดพ้น จากทุกข์ทั้งปวง
ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้ก้าวพ้นความสงสัย และมีความเชื่อมั่นกันว่า
อัตถิ ทินนัง ทานมีผลจริง
อัตถิ ยิตถัง ยัญพิธีมีผลจริง
อัตถิ หุตัง พิธีปฏิบัติ จนเกิดผลที่จิตมีจริง
อัตถิ สุกฏ ทุกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก การทำดีทำชั่ว มีผลดลบันดาลได้จริง
อัตถิ อยังโลโก โลกโลกีย์นี้มีจริง
อัตถิ ปโรโลโก โลกหน้า คือโลกโลกุตระ มีจริง
อัตถิ มาตา อัตถิปิตา แม่และพ่อ ผู้ให้กำเนิด ทางจิตวิญญาณ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย มีจริง
อัตถิ สัตตา โอปปาติกา การก่อเกิดทางจิตวิญญาณมีจริง
อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
สมณพราหมณ์ผู้รู้แจ้ง โลกนี้ โลกหน้า ด้วยตัวเอง แล้วประกาศ ให้ผู้อื่นได้รู้ตามมีจริง
และบัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ก็ได้มีที่พึ่ง ที่อาศัย ในสมณพราหมณ์ ที่เป็นผู้รู้แจ้ง ทั้งโลกนี้ โลกหน้า ด้วยตัวเอง คือพ่อครู สมณะโพธิรักษ์ ผู้นำสัมมาปฏิบัติ จนส่งผลให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เกิดแสงสว่างในชีวิต อันมีสัมมาทิฏฐิ ๑๐ และสัมมามรรค สัมมาผล ตามธรรม สมควรแก่ธรรม
ในวาระครบรอบ 88 ปี ของพ่อครู ในการกอบกู้ ศาสนาที่ผ่านมา พ่อครูได้ทุ่มเท ทั้งแรงกายแรงใจ ด้วยเลือดทุกหยด และเหงื่อทุกหยาด เพื่อประโยชน์และความสุข ของมวลมนุษยชาติ มาตลอด
จวบจนวาระสำคัญในโอกาสนี้ ที่พ่อครูจะมีอายุ ขึ้นปีที่ 89 ข้าพเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นลูกๆที่ได้ชีวิตใหม่ ได้กำเนิดขึ้นใหม่ ทางจิตวิญญาณ ขอปฏิญาณตน ร่วมกันว่า…
ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะเข้าไปตั้ง ความละอายอย่างแรงกล้า ความเกรงกลัวอย่างแรงกล้า ความรักอย่างแรงกล้า และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ต่อพ่อครูผู้เป็นสัตบุรุษ จะเป็นผู้ไม่ประมาทในโทษภัยอันมีประมาณน้อย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง สัจจาธิษฐาน ที่เป็นปิตุบูชา ของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ จะเกิดจริงเป็นจริงได้ ก็เพราะการมุ่งมั่น เอาจริง และความเพียร พยายามอย่างแรงกล้า ของข้าพเจ้าทั้งหลายนั่นเอง … สาธุ
ความจบที่แท้จริงคือสลายอัตตาเป็นอุตุนิยาม
พ่อครูว่า… ทุกอย่างของเรามันเป็นรายการสดเลือดหยดติ๋งๆ วันนี้เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลกด้วย เขาตั้งให้เป็นวันสำคัญ เป็นวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ เป็นวันเกิดของชุมชนราชธานีอโศกด้วย นับตั้งแต่งานสมโภชปี 2537 ก็ผ่านมา 28 ปี หมายความว่ามี 8 2 ตัว พอดีเลย 88 ก็ได้ และเป็นวันเกิดของมหาลัยวังชีวิตด้วย สำหรับชาวอโศกเรามีทั้งวันเกิดชุมชนราชธานีอโศก ทั้งวันเกิดของมหาลัยวังชีวิต เราไม่เรียกมหาวิทยาลัย เดี๋ยวนี้ก็หายไปแล้ว มันไม่ขึ้น มันจะเป็นอะไรอย่างอื่นอีกก็ยังไม่ขึ้น อย่างเป็นทางการ ก็ไม่เป็นไรเท่านี้ก็เหลือแหล่แล้ว
งานนี้ก็มีหนังสือ 2 เล่มออกมา พอดีเลย ขอแนะนำมันเป็นเล่มสุดท้ายแล้วสำหรับหนังสือรวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่ม 5 รวมคอลัมน์จากการเขียนในหนังสือเราคิดอะไร คอลัมน์คนจะมีธรรมะได้อย่างไร ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงครั้งสุดท้ายแล้วเอามาขยายความ ก็ได้หนังสือถึง 5 เล่ม
อาตมามีหน้าที่ไขความสัจธรรมที่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ทั้งหลายแหล่ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ได้ทำเต็มที่ไม่ได้ออมมืออะไร สุดฤทธิ์สุดเดช ทำมาเรื่อยๆ ขยายความมา จนตอนนี้ก็ยังเขียนปัญญา 8 อยู่ยังไม่เสร็จหมด แต่ก็เสร็จไปเล่มหนึ่งแล้วนะ ปัญญา 8 ก็กำลังเขียนขยายต่อ จะมีเล่ม 2 ตอนนี้มี 700 กว่าหน้าแล้ว ก็น่าจะแบ่งเป็น 2 เล่ม เอาจริงๆน่าจะถึง 800 หน้า ก็สามารถแบ่งได้อีก ตกลงปัญญา 8 ก็จะมีถึง 3 เล่ม
แล้วอาตมาก็คิดว่าคงจะเพลาแล้วในการเขียนหนังสือธรรมะ นอกจากจะพูดบรรยายเป็นนัยยะลึกซึ้งอีก พวกเราก็ช่วยกันเก็บ ช่วยกันบันทึกมีอยู่แล้ว อาตมาคงไม่ต้องเสียเวลามาเขียนอีกก็ได้ แต่ที่จะต้องเขียนอยู่ก็คือเรื่องของการเมือง ยังเขียนค้างอยู่เรื่องประชาธิปไตยแบบไทย ยังไม่ได้ไปต่อ ยังไม่ได้ไปทบทวน ขึ้นต้นไว้แล้ว 100 กว่าหน้า ก็คงจะไปเขียนเรื่องของการเมือง เรื่องของรัฐศาสตร์
ซึ่งก็พูดกันในวันสำคัญนี้ เรื่องรัฐศาสตร์เป็นเรื่องของสังคมประเทศชาติ แต่ละประเทศ จะเป็นประเทศเล็กหรือประเทศใหญ่ ก็ต้องมีวิธีการบริหารบ้านเมือง บริหารเพื่อที่จะให้ประชาชนคนในประเทศ คนในรัฐของตนเอง อยู่เย็นเป็นสุข เป็นสำนวนสามัญกลางๆ อยู่เย็นเป็นสุข มันก็มีนัยยะสำคัญที่ขยายความว่า แล้วการอยู่เย็นเป็นสุขของคน มันขึ้นอยู่กับจิต จิตที่ยึดถือ จิตที่มีเจตนา แล้วก็ยึดถือเป็นอุปาทาน
เจตนาก็คือมโนสัญเจตนา เป็นจิตที่มีจุดมุ่งหมาย แล้วก็ต่อจากนั้นเป็นสัญญากำหนดหมายตามเจตนา เพื่อให้ส่งให้ไปถึงสิ่งที่ตนยึดถือ
ในโลกียธรรมทั้งหมด เขามีจุดหมายที่ยึดถือ แล้วก็ถือว่าสิ่งที่มีที่เป็นนั้น มีอยู่นิรันดร โดยเฉพาะจิตวิญญาณ มีอยู่นิรันดร เทวนิยมหรือโลกียเขาเข้าใจอย่างนั้น แล้วเขาก็ยึดถือกันอย่างนั้น
พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ใหม่ ว่าอย่างนั้นไม่ใช่ จิตวิญญาณไม่ใช่อยู่นิรันดร จิตวิญญาณเป็นธาตุที่ปรุงแต่งขึ้นมาของเหตุและปัจจัย ดังที่ปฏิจจสมุปบาท ที่ท่านตรัสไว้
เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้คือมีอวิชชา ก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่นั้น เป็นสิ่งที่มีเหตุและปัจจัยเท่านั้นที่ปรุงแต่งกันอยู่ โดยพยัญชนะก็เรียกว่าสังขาร การปรุงแต่งที่ว่านี้ ไม่ใช่การปรุงแต่งของรูปกับรูปเท่านั้น
ถ้ารูปกับรูปปรุงแต่งกันอยู่ก็เรียกว่าอุตุนิยาม เช่น นิวเคลียร์ เป็นต้น พลังงาน 2 อย่างบวกกับลบที่ปรุงแต่งกันอยู่ เกาะแน่นเล็กละเอียดก็เรียกว่านิวเคลียร์ อย่างนี้เป็นต้น และไอสไตน์ก็ค้นพบพลังงานอันนี้ สูตร E=MC2 เอามาใช้กันทั่วโลกแล้วก็พัฒนา การต่อให้ด้วยความซับซ้อนมากขึ้น
คนก็พยายามศึกษาไปถึงชีวะ ซึ่งระดับพืช ระดับสัตว์ เขาก็ศึกษา ระดับพืชก็ศึกษาได้ดีเหมือนกัน ได้ดีได้เก่งพอใช้ทีเดียว แต่ก็ยังไม่ทะลุทะลวงเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าศึกษาถึงขั้นระดับพืชคือ เห็นความแตกต่างของการปรุงแต่งเกาะตัวกัน เป็นชีวิต ซึ่งก็แตกออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ เป็นล้านๆเลย ก็เป็นชีวะแล้วต่างจากอุตุ
สูงไปกว่านั้นปรุงแต่งกันอีกไปเป็นธาตุรู้ พืชเริ่มมีธาตุรู้ตัวเองมีตัวเองมี ISH มีตัวเองเป็นประธานแล้วก็มีพลังงาน 2 เป็นสามเส้า เป็นพนักงานสำเร็จรูปเรียกว่า cyclic order
เมื่อพลังงานเพิ่มขึ้นพัฒนามาเป็นสัตว์ เรียกภาษาว่าสัตว์ มันก็ต่างจากพืช มันเป็นพลังงานที่วิจิตรพิสดารเก่งกว่าสัตว์เยอะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็นำมาประกาศเผยแพร่
พืชกับสัตว์ พืชยังไม่มีเวทนา เป็นธาตุรู้ที่เรียกว่ามีสังขารกับสัญญา มีการปรุงแต่งแล้วกำหนดรู้ธาตุที่เอามาปรุงแต่งเป็นชีวะ ควบคุมบงการ ก็ไม่มีฤทธิ์มากอะไร ไม่ไปทำลาย ไม่ไปเบียดเบียนใคร เบียดเบียนใครไม่เป็น มีแต่พยายามรวมเอาธาตุอุตุมาปรุงแต่งให้ตัวเองมีชีวะ
จนกระทั่งมีพืชเป็นนานาชนิดเป็นล้านๆชนิด เมื่อจากพืชพัฒนาตัวเองขึ้น พืชนี้มันจะมีตัวสำคัญอยู่ตรงที่ มันยังไม่ทิ้งจากดิน มันยังไม่ทิ้งจากที่เกาะอยู่ แม้จะอยู่ในน้ำอยู่ใต้ทะเล หรือบนทะเล อยู่ในกลางทะเล ลอยตัวอยู่อาศัยน้ำเกิด หรืออยู่ใต้ทะเลเกาะดินอยู่ ก็ตาม มันก็ยังเป็นธาตุชีวะระดับพืช ซึ่งยังมีอีกหลายอย่างมาก จนกระทั่งมันหลุดออกมาจากดิน ปลาดาวเป็นต้น หรืออะไรอีกหลายๆอย่าง หลุดออกมาจนพัฒนาตัวมาเป็นสัตว์น้ำ ตั้งแต่สัตว์เล็กจนกระทั่งถึงสัตว์ใหญ่ ใหญ่จนกระทั่งใหญ่กว่าสัตว์บกใหญ่กว่าช้างเลย ไม่รู้จะใหญ่กว่าไดโนเสาร์หรือเปล่า เรายังไม่เคยเห็นไดโนเสาร์ เห็นแต่ประวัติศาสตร์เขาก็ประมาณกันมา
ตกลงพระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ท่านก็ศึกษาเอาชีวิตนี้เข้าศึกษา สิ่งใดท่านสงสัยท่านไปเกิดเลย ก็พัฒนามาจากอุตุนิยามเป็นดินน้ำไฟลมมาเป็นพืช กระทั่งมาเป็นสัตว์ จนกระทั่งมาเป็นสัตว์เจริญ เป็นเวไนยสัตว์ เป็นสัตว์ที่พัฒนาทางความคิดทางจิตวิญญาณ เป็นอาริยชน สูงกว่าโลกียชน ซึ่งโลกียชนนั้นถือเป็นคนดีถือว่าเป็นกัลยาณชน ยังไม่เรียกว่า อาริยะ
มาเป็นอริยบุคคลจึงเป็นผู้ที่รู้เหนือกว่าที่คนโลกีย์เขารู้ในโลกโลกีย์เทวนิยม พูดอย่างนี้ไม่ได้ยกตนข่มท่านหรืออวดดี แต่ดูความเป็นจริงตามนั้น โลกีย์เขาสลายธาตุสัตว์หรือจิตนิยามเขาสลายไม่ได้ เขาจึงจำนนว่า จิตวิญญาณ หรือจิตนิยาม เป็นธาตุที่ต้องมีอยู่นิรันดรหายไปไม่ได้ ถ้าตายแล้วก็ต้องไปอยู่กับธาตุใหญ่เป็นเจ้าธาตุที่เรียกว่าพระเจ้า God แล้วความรู้ใน God จะอยู่อย่างไรกับพระเจ้า เขาไม่รู้แล้ว เขารู้แต่ว่าต้องไปอยู่กับ God พระเจ้าเป็น แล้วแต่ God จะสั่งจะบัญชาให้เป็นไปอย่างไร จนกระทั่งให้มาเกิด
จนกระทั่งส่งผู้รู้มาควบคุม มาดูแลคำสอนเอาคำสอนมาประกาศแก่คนเป็นพระบุตร คำสอนอย่างนี้เป็นต้น ศาสนาเทวนิยมก็จะมีพระเจ้าพระบุตรมาประกาศคำสอนซึ่งเป็นคำสั่ง ซึ่งต่างจากคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ไม่ใช่คำสั่งแต่เป็นคำสอนที่สอนให้ใครเต็มใจศึกษาก็ศึกษา ใครจะเชื่อก็เชื่อไม่เชื่อก็ไม่ได้สั่ง ไม่เผด็จการ ไม่บังคับ ใครมีภูมิปัญญาปฏิภาณเห็นดีเห็นงามพอใจ ก็เลือกเอาเอง ถ้าใครไม่ชอบใจไม่พอใจก็ไม่เอาไม่มีปัญหาไม่ล่าบริวาร ใครพอใจเท่าไหร่ก็เท่านั้น
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงไม่เที่ยง พลเมืองไม่มากพลเมืองไม่เพิ่ม เพราะไม่หาสมาชิกเพิ่ม คนจะมาเป็นสมาชิก มาด้วยตนเอง รู้ด้วยตนเอง ศรัทธาด้วยตัวเอง ยินดีด้วยตัวเอง มารับเอาด้วยตนเอง เป็นอิสระเสรีภาพ Absolute สูงสุด สัมบูรณ์สุด ศาสนาพุทธเป็นอย่างนั้น อิสระเสรีภาพของแต่ละบุคคล ไม่หลอก ไม่บังคับ ไม่หว่านล้อม
บอกความจริงเท่านั้น อาตมาบรรยายธรรมะไม่มีคารม ไม่หวาน ให้พายินดีไม่มี มีแต่เปรี้ยงๆๆ พูดให้มันตรงมันสั้นมันเร็ว มันแรงมันครบ พอ ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่ขัณฑสกรด้วย ไม่ใส่แม้แต่หญ้าหวาน
อาตมาก็เป็นชีวิตเหมือนพวกคุณทุกคน เกิดมาแล้วก็แสวงหา เมื่อถึงเวลาแสวงหาก็แสวงหา จนกระทั่งสามารถแสวงหามาเจอโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วก็สั่งสมมา ค่อยๆมีหน่วยกิตของความรู้เรียกว่า อัญญธาตุ ทางโลกุตระ ทางศาสนา พระพุทธเจ้า ก็ได้หน่วยกิตมา ทีละหน่วย 2 หน่วย 20 หน่วย 30 หน่วย เป็น อัญญธาตุ เป็นธาตุอื่นที่ต่างจากธาตุโลกียะ
ธาตุโลกียะเขาก็มีมิติต่างกันของแต่ละโลกียก็มี เพราะฉะนั้นจึงมีศาสดาของโลกียะ มาก เป็นศาสดาหลายองค์อยู่ในศาสนาเทวนิยม ศาสนาพระเจ้า แต่พระเจ้าคนละองค์ เขาไม่รู้ว่าพระเจ้าคนละองค์นั้น ก็คือศาสดาของแต่ละศาสดานั่นแหละ ต่างคนก็ต่างศาสนาแต่ละองค์แต่ละคน เป็นความรู้ที่สั่งสมด้วยบารมีของแต่ละคน สั่งสมไปตามกรรมวิบาก เขาไม่รู้กรรมวิบากของตนเอง อัตตาเป็นอจินไตย เขาไม่รู้จัก
เพราะฉะนั้นเขาก็มีความรู้เท่าที่เขารู้ และไม่รู้ ที่เขาไม่รู้เพราะเขารู้เท่านั้น รู้เท่าที่เขารู้ แล้วต่อจากนั้นเขาไม่รู้ ส่วนพระพุทธเจ้านั้นรู้ครบถ้วนทั้งความมีครบหมดเลย และรู้ทั้งความไม่มีครบหมดอีก รู้ตั้งแต่บรรลุเป็น อนุปคัมมะ เริ่มต้นเป็นอภิภู ก็จะเริ่มต้นมี อนุปคัมมะ รู้สิ่งที่มีและไม่มี และมีพลังงานความรู้สูงกว่าความมีและความไม่มี แต่ไม่หลงผิดว่า ความมีก็ต้องไปยึดติดความไม่มีก็ต้องไปยึดติด มีความรู้อันนี้แหละ ไม่เข้าไปยึดติด แต่ต้องอาศัยกันและกันก็อาศัยในขณะมีชีวะ รู้ตั้งแต่ก่อนเป็น อนุปคัมมะ ก่อนอภิภู
ตั้งแต่เป็นพระอรหันต์ก็เริ่มรู้แล้ว พระอรหันต์ระดับ 1 คือพระอรหันต์ที่มีอาริยธรรมขั้นที่ 4 โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็เริ่มรู้จบแล้วว่า อัตตาเป็นอย่างนี้เอง แท้ๆมันอนัตตา ไม่มีตัวตนจริงหรอก แยกธาตุอนัตตาเป็นดินน้ำไฟลมได้เลย ถ้าตายแล้วก็เลิก ทำได้แล้วไม่สงสัย เป็นผู้ที่รู้จักการแยกธาตุให้เป็นอนัตตา หรือเป็นดินน้ำไฟลมได้
ความฉลาดของศาสนาพุทธเรียกว่าปัญญาไม่ใช่เฉกา
พ่อครูว่า… ผู้ที่ศึกษา สายศรัทธา หรือสายที่ปัญญาไม่ค่อยมาก ธาตุปัญญานี่ก็เป็นความรู้หรือความฉลาดชนิดแบบของพระพุทธเจ้า ที่ท่านแยกไว้เป็นปัญญา 8 เทวนิยมไม่มีปัญญา มีแต่สิ่งที่เรียกด้วยศัพท์ว่า เฉโกหรือเฉกะ แต่ว่าเฉกะมันไม่แพร่หลาย เพราะว่าคนไม่นิยม
แม้แต่พวกเทวนิยมเขามีความรู้ เฉกา แต่เขาก็ไม่รู้ว่าคืออันนี้ใช้เรียกองค์ความรู้ทางเทวนิยม เลยเอาคำว่าปัญญามาใช้แทน แต่เรียกเอาพยัญชนะของศาสนาพุทธ ที่เป็นโลกุตระ เอาไปเรียกเป็นความรู้ความฉลาดแบบเขา อันนี้แหละทำให้คนรู้ยาก คนก็เลยแยกไม่ออกว่าจริงๆแล้วมันเป็นความรู้ความฉลาดแบบ เฉกะหรือ ความรู้แบบปัญญา
เพราะฉะนั้นคนที่จะแยกความรู้แบบเฉกะหรือเฉโกกับปัญญา ถ้าใครสามารถแยกได้รู้ได้ก็เริ่มมี อัญญธาตุ เริ่มตั้งแต่ตัวเองค่อยๆรู้ตัว สะสมหน่วยกิตของ อัญญธาตุ มาถึง 50 หน่วย เคยเขียนไว้แล้วในหนังสือปัญญา 8
เลย 50 หน่วยออกมาจึงจะเป็นความรู้โลกุตระ ที่จะเข้าใจโลกุตระดำเนินไปได้ดี ยิ่ง อัญญธาตุ ถึง 75 หน่วยมันถึงขั้น 3 ใน 4 จึงเรียกว่า นิยตะ เที่ยงแท้ที่จะบรรลุเลย อยู่ครึ่งระหว่าง 50 ก็ยังไม่ค่อยรู้ 60% ก็ยังไม่ชัดเจน 75% ชัดเจนดีแล้วได้ 3 ใน 4 มี อัญญธาตุ ถึง 3 ใน 4 ของโลกุตระธาตุเต็มๆ จึงจะสมบูรณ์ไปสู่ที่สุดที่สูง สัมโพธิปรายนะ เต็มรอบ 100
หน่วยแรกตั้งแต่โสดาบัน จนถึงพระอรหันต์แบ่งเป็น 4 ไป
สังขยาเลข 4 คือออกมาจากกรอบสามเส้า เป็นหน่วย cyclic order เป็นหน่วยสำเร็จรูป จะมีความรู้โผล่ออกมาจากนี้ได้เหมือนออกจากนอกโลก นี่เทียบด้วยวัตถุ หรือจะทำให้พลังงานแตกตัวออกจาก 3 หลัก ตัวอย่างพลังงานปรมาณู เขาพยายามที่จะ ผสมส่วน ตัวมันเองมันทำไม่เป็น ปรมาณูมันทำตัวเองไม่เป็น คนถึงจะไปศึกษาพลังงานนั้น แล้วคนเป็นประธานของบวกลบ คนก็ผสมส่วนเอง เขาก็ผสมส่วนได้แล้วก็รู้ว่าอะไรจะมาเจาะให้จุดระเบิด ออกมาเป็น 4 5 6 7 ใช้พลังงานนั้นออกมาให้มากที่สุด เป็น 4 5 6 7 อย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่รู้ว่าเขาทำได้เท่าไหร่ทุกวันนี้ อาตมาไม่ได้สนใจพลังงานทั้งวัตถุเท่าไหร่.. มาสนใจพลังงานทางจิตวิญญาณ
ก็นับหน่วยพลังงาน 2 3 4 5 6 7 8 เก่งไปถึง 9 ต่อจากนั้นก็ 0 เป็น cylcic รอบใหม่ จะขยายเป็น 10 20 30 เป็นหน่วยซ้อนเข้าไปอีกก็ได้ ขยายจาก 10 20 30 หน่วยซ้อนไปอีก กลายเป็น 90 ก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นสูตรพยัญชนะที่จะขยายอย่างนี้ อาตมาจึงใช้สูตรเป็น
E=C(MC2 + A) ใครจะทำต่อให้มันได้ทางวัตถุ ทางนามธรรมก็ทำได้ แต่ทำไปเถอะ ปฏิบัติขยายผลไปเราจะเข้าใจสูตรเหล่านี้
สูตร คือ ตัวแทนรูปนาม ย่อลงมา ให้มันเป็นหลักของความรวมกันอยู่ในรูปของสังขาร บวก คูณ ยกกำลัง หรือลบ แต่ลบเราไม่ได้เอามาใช้ เราใช้สูตรไปในทางคูณและยกกำลัง ของอาตมาในขั้นยกกำลัง ไม่ใช่แค่ขั้นสัมประสิทธิ์ระดับสูงเท่านั้น
อาตมาพยายามพาทำมา ทำสภาวะได้ก่อนแล้วค่อยไปเอาตัวพยัญชนะภาษามาแปะชื่อทีหลัง เอาพยัญชนะเอาชื่อมา หาตัวสภาวะยาก ค้นหายาก ยิ่งอันที่มันเกินกว่าคิด เกินกว่าที่จะมีผู้รู้ คิดเองยากมาก ถ้าหากมีผู้รู้คิดไว้ก่อนแล้วเราศึกษาตามเขาจะง่าย เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปทำพยัญชนะ เราทำสภาวะตามที่พยัญชนะพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ครบหมดแล้ว อาตมาไม่ต้องเหนื่อยเรื่องหาพยัญชนะมาทดแทน
ที่เขาเอาพยัญชนะมาแปะกับสภาวะผิด อาตมาต้องตามล้างตามเช็ดเยอะแยะเลยเหน็ดเหนื่อย ก็เลยตามล้างตามเช็ดไม่ไหว เราเห็นอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้พูดไปเลย เขาจะแย้งเราก็ไม่ฟังเสียง พาให้ประกาศ พาให้พวกเราเรียนรู้ปฏิบัติจนเกิดผลมายืนยัน เช่น
ยืนยันว่าอาริยบุคคล เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นโพธิสัตว์อย่างไรอาตมาเอามาให้ปฏิบัติพระพุทธเจ้ามีจริง อาตมายืนยันว่ามีจริง พวกคุณก็ยืนยันตัวเอง รู้ตัวเอง จะรู้ยังไม่ชัดเจนนัก ก็จะรู้ว่ามันใช่หรือนี่ เพราะในคำอธิบายต่างๆ
โสดาบันเลิกอะไร สูงขึ้นไปเป็นสกิทาคามีเลิกอะไร สูงขึ้นไปเป็นอนาคามีเลิกได้อีกถึงเรียกว่าอรหันต์ ขนาดไหนจึงเรียกว่าอรหันต์
ตั้งแต่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส พวกเราก็สบาย รู้ได้ เลิกมา จนมาเป็นคนทิฏฐิเดียวกัน ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา สามัญตา หมายความว่ามันเสมอสมาน ไม่ใช่เสมออย่างเดียว มันสมาน มันมีตัวเชื่อมต่อ โสดาเสมอโสดา สกิทาฯเสมอสกิทาฯ อนาคาเสมออนาคา อรหันต์เสมออรหันต์ ไม่ใช่ว่าเสมอกันอย่างเดียวแต่มันมีสมานมีการเชื่อมต่อกัน คนนี้ต่อจากเรา คนนี้โสดาฯ คนนี้สกิทาฯ คนนี้อนาคาฯ คนนี้อรหันต์
เสมอกันโดยที่ไม่ได้หลงตนเอง ตนเองต่ำก็รู้ว่าตนเองต่ำ ตนเองสูงก็รู้ว่าตัวเองสูง ตนเองเสมอก็รู้ว่าตนเองเสมอ อย่างนี้เป็นต้น จึงไม่ข่มกัน ผู้ที่ข่มกันอยู่ ก็เป็นกิเลสส่วนตัวของเขา แล้วชาวอโศกการข่มกันมีไม่มากเท่าไหร่ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
อโศกไม่ใช่ยูโทเปีย เสียเปรียบดีกว่าได้เปรียบ
พ่อครูว่า… มีหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ออกมาตอนนี้พอดีเลย ชื่อว่า อโศกไม่ใช่ยูโทเปีย ผู้ที่เขียนคือ พราวพุทธ ขาวดารา เอามารวบรวมตามความรู้ความเข้าใจออกมา อาตมาก็สารภาพตามตรงว่า อาตมาเพิ่งได้รับ ยังไม่ได้อ่าน เขาพิมพ์แค่ 5,000 เล่ม เป็นครั้งที่ 1 พฤษภาคม 2565 เขาไม่ใส่ชื่อเขาด้วยนะ เขาต้องการปิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ อาตมาเปิดโปงกลางบ่อน เขาก็รวบรวมมาและเป็นความคิดเขาด้วย ยังไม่ได้อ่านรายละเอียด เอาหลักฐานข้อมูลต่างๆมา ให้เห็นว่า
อโศกเราเป็นบุญนิยมไม่ใช่ยูโทเปีย เป็นเรื่องของโทมัส มอร์ ที่เขาเขียนเป็นจินตนาการ ซึ่งยังไม่มีสังคมจริงเกิดได้ Thomas Moore เขาเขียนเป็นหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่ายูโทเปีย แต่ทางโน้นเป็นเทวนิยม โทมัสมอร์ เขาก็มีแนวคิดของเขา หนังสือยูโทเปีย อาตมาก็ไม่เคยอ่าน ก็มีแต่พวกเรา มี Doctor สมบัติ จันทรวงศ์ ก็มาบอกกับพวกเราว่าพวกเราเหมือนพวกยูโทเปีย เขามาตู่เลยว่า อโศกนี่เหมือนยูโทเปีย เลยเรียก พุทธยูโทเปีย หนังสือเล่มนี้ก็พิมพ์ออกไปแจกเป็นแสนๆเล่ม ตอนแรกๆ ตอนที่เกิดเรื่องเกิดราวก็ต้องอาศัยหนังสือของดร.สมบัตินี้เหมือนกัน พิมพ์ออกไปเยอะ ไม่ได้บอกจำนวนพิมพ์ด้วย พิมพ์ออกมา เป็นหมื่นเป็นแสน และไม่ได้บอกว่าพิมพ์กี่ครั้ง กี่เล่ม แต่ต้องการพิมพ์หนังสือจริงออกไปให้คนได้รับรู้มากๆ
ใครเข้าใจรากเหง้าของความหมายแบบยูโทเปียก็จะมาหา แบบกลางๆ แบบคอมมิวนิสต์ แบบสาธารณโภคี เป็นส่วนกลางซึ่งส่วนใหญ่ ไม่เป็นของตัวของตนนั่นแหละโดยความหมายกว้างๆ แต่ในหลักฐานข้อมูลองค์ประกอบต่างๆ โทมัส มอร์ยังไม่ได้รายละเอียดอะไรมากมาย แต่ของเรานี้มีรายละเอียดครบ เพราะว่าของเรานี้มันเป็นสาธารณโภคีเป็นคอมมิวนิสต์ที่สมบูรณ์แบบ เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบจริงๆเลย ซึ่งอาตมาพยายามอธิบายอยู่ ยังรู้สึกว่าตัวเองอธิบายไม่เก่งเหมือนกัน แต่พยายามเก่ง ขึ้นเรื่อยๆ พยายามอธิบายสภาวะจริงขึ้นมา ซึ่งมันซับซ้อนลึกซึ้งหลายชั้น เช่นว่า
ความหมายคำว่าเศรษฐศาสตร์ พื้นฐานของความหมายคำว่าเศรษฐศาสตร์ก็คือ สมบัติที่มีอยู่ในโลก มันมีจำนวนจำกัด เขาก็เอาสมบัติที่มีจำนวนจำกัดมาแบ่งเฉลี่ยกัน ในคนที่มีจริง ใครสามารถเฉลี่ยให้ในคนที่ตนเองรับผิดชอบ ประเทศของตนเป็นต้น รัฐของตนเองเป็นต้น กลุ่มหมู่ของตนเองเป็นต้น เอามาเฉลี่ยกันให้พอกินพอใช้ ใครอย่าไปยักเอาไว้เป็นของตนให้มากกักตุนไว้มากให้คนอื่นลำบากลำบน อย่างนั้นมันยังไม่เป็นเศรษฐศาสตร์ ยังไม่ใช่ความคิดของคนฉลาด เสฏฐะ แปลว่าเจริญ หากกักตุนไว้มันเป็นความคิดของคนที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ เป็นคนที่ยืนอยู่ในความได้เปรียบ
คนที่ยังยืนอยู่บนฐานของความได้เปรียบนั่นคือคนชั้นต่ำ
คนที่ยืนอยู่บนฐานของความเสียเปรียบทั้งๆที่รู้ นั่นคือคนเจริญ
ยินดีเสียเปรียบ ยินดีให้ ยินดีช่วย นี่คือคนเจริญ
คนเสียเปรียบ อย่างเสียรู้ เขาก็ได้กุศลของเขาแล้ว แต่เขายังไม่มีปัญญารู้ว่าตนเองเริ่มเจริญแล้ว หากว่าตนเองยังจะเอาคืนนึกว่าของกูๆอยู่ เป็นจิตนิยามที่ยึดว่าเป็นตัวกูของกู เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นคนที่บริบูรณ์ในความชัดเจนบริบูรณ์ด้วยความรู้ ไม่สับสนไม่สงสัยไม่งง ไม่สลับไปสลับมาไม่กลับกลอก เสียก็เสียสิ ได้ก็ได้สิ จะไปได้มาทำไม เราเองพึ่งตัวเองก็รอดอยู่แล้ว แม้ที่สุดตนเองไม่ต้องทำกิน คนที่อยู่ร่วมกันก็ช่วยกันทำ มากินมาใช้เป็นของกลางเผื่อแผ่แจกจ่ายกันเยอะ เผื่อแจกจ่ายออกนอกในกลุ่มได้เลย โดยไม่ได้ขัดข้องไม่ได้เดือดร้อน ทำอย่างเต็มใจที่จะแจกจ่ายคนอื่นไป
เช่น ในพวกเราชาวอโศกมีวัตถุสมบัติที่สมควรมี ไอ้ที่ไม่สมควรมี เลิก ไม่ต้องไปสะสม ให้มาก็ไม่เอา แปรเป็นอื่นไปหมด ก็มีแต่สมบัติที่ควรมี มีแล้ว ทำให้ได้ สร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือ
อะไรสำคัญ อาหารนี่แหละสำคัญ ก็สร้างอาหารขึ้นมา สัตว์หรือมนุษย์นี่แหละ ไม่ต้องไปเผื่อแผ่สัตว์เดรัจฉานเท่าไหร่หรอก เผื่อแผ่ให้แก่มนุษย์กินนี่แหละ พืชพันธุ์ธัญญาหาร สร้างขึ้นมาให้ได้มากๆ
เพราะฉะนั้นเราสร้างขึ้นมาจริงๆเลย มีผลผลิต เอาผลผลิตไปแจก หรือขายบ้าง ในส่วนที่จำเป็นนิดๆหน่อยๆให้หมุนเวียน ได้คืนมา แจกได้ ถ้ามีมากเหลือเฟืออยู่ ถ้าขืนไม่แจกมันก็เสียมันก็เน่า ทิ้ง มันก็เสียของ แม้บางอย่างจะเก็บได้นานเป็นปีก็ตามเราก็ไม่เก็บไว้ เรามีเหลือเฟือ
สรุปแล้วสิ่งที่จำเป็นสิ่งที่สำคัญเรารู้แล้วเราไม่ขาดแคลน เหลือเฟือก็แจก สร้างให้ตัวเองแล้วเอาไปแจก ที่สาธารณะก็ไปสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เป็นอาหารสำคัญ ปลูกไป ให้มันเกิดอยู่ในที่สาธารณะ คนอื่นก็รู้ว่านี่เป็นของสาธารณะเก็บได้กินได้ ก็เก็บไปสิก็กินไปสิ พืชมันไม่รู้เรื่องหรอกมันมีหน้าที่สร้างตัวมันเองขึ้นมา มีลูกมีใบมีผลขึ้นมา มันก็ขึ้นมา คุณก็เก็บกิน อย่าแย่งกัน อย่าตีกันก็แล้วกัน
พวกเราเป็นตัวอย่างไม่แย่งไม่ชิง มีแต่เอื้อเฟื้อเจือจาน คนเขาก็รู้เขาก็ไม่แย่งชิงกันหรอก เพราะว่าวัฒนธรรมพวกนี้มันจะเชื่อมโยงไป ให้คนที่รู้ที่เห็นที่เข้าใจด้วย เห็นดีตาม เพียงแต่ว่าเขาจะต้องฝึกฝน ประพฤติให้มันดีตามที่เป็นจริงตามที่เราเป็นเท่านั้น ความจริงมันจะเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าเขายังทำไม่ได้ บารมีเขายังไม่ถึง แต่เขาก็เข้าใจแล้วล่ะ เขาก็เคารพนับถือ
ตอนนี้เรามีทุเรียน หน้าทุเรียน กินทุเรียนกันหน้าบานเลย ตอนนี้ทุเรียนวังจันท์พฤกษา ที่เป็นหมู่ชาวอโศกเรานี่แหละ มีเยอะ เป็นสวนใหญ่พอสมควร ก็ส่งผลไม้มามีหลายอย่าง ก็เอาทุเรียนซึ่งเป็นผลไม้สุกเดี๋ยวนี้ ส่งมาให้ พวกเรากินกัน พวกเราก็นึกถึงผู้อื่น มันควรแบ่งแจกผู้อื่นกินบ้าง ก็เลยมาคิดกันว่า เรามีศาลาปันสุข เอาทุเรียนไปแจกศาลาปันสุขบ้าง
พอดำริขึ้นมาก็มีคนสนับสนุน ให้มาหมื่นห้า สันติอโศกก็สนับสนุน ก็ขอสมทบด้วย ให้อีก 2หมื่น เป็น 35,000 เราก็เลยมีเงิน 35,000 ก็เลยไปบอกผู้ที่ขาย ผู้ที่จะขายเป็นสวนทุเรียนเขาก็บอกว่าหากซื้อไปแจกก็จะขายให้ถูกๆอีก นี่คือจิตวิญญาณคนที่เสียสละ ก็สมทบมา เราก็เลยตั้งใจว่า ตอนนี้มันยังไม่มา จริงนะ ดำเนินการแล้วไม่ใช่เรื่องโม้ มีแต่จะเพิ่มขึ้น อันนี้จะซื้อมาแจกนะ พวกเราอย่าทำผิดกติกานะ เงินที่เขาให้มาเพื่อให้เอามาแจกมาขยายผล เป็นแต่เพียงว่าเราจะแจกอย่างไร
หากว่าแจกเป็นลูกๆ ก็เอาถุงมาขนกันหมดเลย ไม่เอา เราจะแกะเอง แจกเป็นพูๆนี่แหละ เขาเอาไม่ได้มากเหมือนแจกเป็นลูก เราก็มีเจ้าหน้าที่แกะแจกเป็นพูๆ ตรงนั้นแหละประกาศว่าใครจะมาเอา ก็แกะให้เขา ไม่ต้องไปยืนเฝ้าอะไรหรอกก็แกะมาแจกไปนี่ทุเรียนอย่างดีหมอนทองด้วย จริง นี่มีต้นทุนจ่ายเงินมาแล้ว แล้ว บอกสวนทุเรียนไว้แล้ว ตอนนี้เราก็มีทุเรียนอยู่แต่มันยังไม่สุก มันทำแล้วมันสนุก มันเบิกบานใจ รื่นเริงเบิกบานสำราญใจดี เราไม่ได้ขาดแคลน แต่เรามักน้อยสันโดษใจพอแล้ว ธรรมะพระพุทธเจ้ามันมีคุณสมบัติอันดีแล้ว
มีคุณสมบัติมักน้อยใจพอ เกินกว่านี้ไม่เอาแล้ว ไม่หวงแหนด้วย มันเข้าเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ให้เรามาฝึกหัดปฏิบัติจิตเราเป็นจริงๆมันสนุก สุขสำราญเบิกบานใจจริงๆได้แจกได้ให้เลือกซื้อเผื่อแผ่เจือจาน เพราะฉะนั้นทุเรียนเราจะแจกกันที่บ้านราชนี้ ใส่แมสกันมาด้วย เราไม่ให้เป็นลูกหรอก แต่จะผ่าให้ จะได้ไม่ลำบากก็ไปกินเลย เอาถุงพลาสติกมา เอาภาชนะมาใส่
สมณะเดินดิน… เราเคยแจกปุ๋ย คนก็เอารถมาใส่กันแน่นเลย แจกแล้วไม่พอ มากันเยอะคนก็เลยด่ากันว่าไม่ได้ เราเคยมีขบวนการแจกจ่ายตามบ้านเช่นเอากะหล่ำปลีไปแจก
พ่อครูว่า… ทางวังจันท์พฤกษาเขาก็ให้ฟรีมาเลย เราก็มีผู้สมทบทุนไปซื้อสวนที่เขาขายราคาถูกลงไปอีก สรุปแล้วก็สนุก หน้าผลไม้ก็แจกผลไม้ ที่ระดับ เรียกว่าเป็นผลไม้ระดับหนึ่งเลยสำหรับทุเรียน เราก็แจกกัน มันสนุก
เศรษฐศาสตร์ของสกุลเงินตราในโลก
พ่อครูว่า… ทีนี้มี sms นิดนึงถามมาว่า
_ทำอย่างไร ให้ได้พบความจริงแท้ ที่จะพาให้เข้าถึงธรรมแท้ ที่พาตนให้หลุดพ้นจากการเวียนตายเวียนเกิด ท่านมีคำสอนต่อเพื่อให้เข้าถึงสิ่งสูงสุดที่พระพุทธองค์ทรงเมตตาให้เราเข้าถึงอีกไหมคะ
พ่อครูว่า… ภาษาโลกแตกทั้งนั้น ก็มีอยู่เรื่อยๆติดตามฟังไป มีอยู่เรื่อยๆ แล้วอาตมาก็ไม่พูดเรื่องอื่นเลย พูดแต่เรื่องที่ให้คุณสามารถที่จะบรรลุความจริงแท้ มีมรรควิธี จะเข้าถึงความจริงแท้ ก็มี 2 ประเด็นหลักๆใหญ่ๆ นี่แหละ แล้วก็บอกมุมแง่ของมิติ ประเด็น นัยยะต่างๆให้รู้ ให้กระจายไป รอบถ้วน กี่มุมกี่เหลี่ยม ร้อยเหลี่ยม พันเหลี่ยม หมื่นเหลี่ยม ก็พูดไปให้หมด
มาเหลี่ยมนี้เขาได้ก็มา แล้วคุณจะหลุดพ้นได้ คุณที่ถามมาใช้นามว่า ป้าหมอ จ.ตรัง
สนใจก็ดีแล้ว สนใจเรื่องนี้ก็ดีแล้ว ก็พยายามตั้งใจ สนใจ อาตมาก็ขี่ม้ารอบค่าย พูดไปมากมายแล้ว ทีนี้ก็ประเด็นสำคัญของวันนี้
มีผู้ให้ข้อมูลว่า ทุเรียนเขาบริจาคมาให้ 888 กิโลกรัม เลข 8 ฮิตน่าดู ทำไมไม่เอา 8,888 กิโลกรัม เราไม่ตะกละหรอก บอกให้รู้เท่านั้นเอง
มาพูดถึงเนื้อหาที่ พราวพุทธ เขาเรียบเรียงขึ้นมา อโศกไม่ใช่ยูโทเปีย อาตมาไม่เคยอ่านยูโทเปีย เดาว่า มาหาส่วนกลาง ซึ่งเป็นแนวคิด เป็นจุดมุ่งหมายของผู้ที่มีปฏิภาณปัญญา ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ ตรงที่จะเข้ามาหา ความเป็นส่วนกลาง ซึ่งทุกคนอย่าไปยึดมาเป็นของตนเอง ให้มันเป็นของส่วนกลาง จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ตั้งแต่ของกินของใช้ จนถึงคำว่าทรัพย์ ทรัพยากรต่างๆ เอามาเป็นของส่วนกลาง ใครประสงค์จำเป็นจะต้องใช้อะไรก็เอา แม้้ที่สุดเป็นธนบัตร เช่น มีธนบัตรที่มีค่าต่างๆกัน สำหรับจะใช้แทนกันทั่วโลกที่ทั่วโลกเขาก็ใช้กัน ตามสกุลของแต่ละธนบัตร มันก็ตีราคาค่ากันไว้หมดแล้ว
1 บาทเงินไทยเท่ากับกี่กีบ เท่ากับ 250 กีบ เงินวอนก็ถูกกว่าเงินไทย แต่เงินไทยก็ยังถูกกว่าเงินดอลล่าร์ เงินปอนด์ เป็นต้น
แล้วจริงๆพูดถึงความซับซ้อนของเศรษฐศาสตร์บทนี้ เราไม่ต้องไปกระดี๊กระด๊าว่าเงินบาทเราราคาสูง ค่าของมันสูง 1 บาทของเราเท่ากับ 100 ปอนด์อะไรพวกนี้ ไม่ต้องไปคิดจะเป็นอย่างนั้นหรอก มันยากเสียด้วยซ้ำไป ถูกเกินไปก็เป็นภาระจะไปจ่ายตลาดก็ต้องใส่กระบุงไป ซึ่งมันยาก มันไม่ค่อยถูก มันก็เป็นแค่ตัวเลขที่เขียนปั๊มลงไปในแผ่นกระดาษเท่านั้นเองและบอกราคา แล้วยอมรับก็ใช้กัน อย่าให้ปลอมแปลงกันเท่านั้น ให้ปลอมแปลงยากเท่านั้นเอง
เสร็จแล้วก็ใช้อยู่ในเป็นที่รับรองกันทั่วโลก บางประเทศเขาก็ไม่รับรองเงินของประเทศบางประเทศ มันก็อยู่ที่เขาพอใจ ใครพอใจของประเทศไหน ของชาติไหน จะคบหาชาติไหน อย่างไรก็แล้วแต่ ส่วนมากก็เอาค่านิยมของสังคม ประเทศไหนมีค่านิยมมากเงินของประเทศนั้นก็จะนิยมกัน แต่จะให้มันเปลี่ยนค่ายาก ก็เกิดค่านิยม การนิยม ค่ามันไม่เปลี่ยนก็ไม่เป็นไร
เช่น ขณะนี้ ค่านิยมก็จะไปทางเงินจีน เงินหยวน เงินหยวนคนก็จะนิยมขึ้นมา ถ้าในอนาคต คนในโลก ไปนิยมเงินหยวนจีน คนก็ต้องการกระดาษแผ่นเงินหยวนจีนมาใช้ มาครอบครอง ยิ่งค่าของมัน ซึ่งไม่ใช่ราคานะ ค่าของมัน คนนิยมกว่า เป็นค่านิยม เงินหยวนก็จะแพร่หลาย
ทีนี้แต่ละประเทศ กระดาษที่พิมพ์ขึ้นมาตัวเลข แพร่ไปให้คนอื่นเขาไปถือไว้ในมือ ใช้เป็นตัวแลกเงิน คุณเอามาแลกของ เอาเงินมาแลกของ ของประเทศไหนคุณรับผิดชอบ ถ้าประเทศไทยก็คือเงินบาท คนที่เขาถือเงินบาทไว้ ก็เอาเงินบาทมาคืนเรา คุณก็จะต้องมีของให้เขา ถ้าเป็นวัตถุก็เป็นทองคำ ทองคำ ตีราคาทองคำมาแลกคืน คนก็ไม่มีปัญหาเพราะว่าทองคำเป็นวัตถุหายากทั่วโลกเขารับรองกัน แต่ถ้าจะมาแลกกับทุเรียน ก็ได้ เพราะฉะนั้นจะเอาทุเรียนไปขายให้ที่ไหน ต้องการเงินของจีนเราก็ไปขายให้เอาเงินหยวน ต้องการขายให้แก่อเมริกา เราก็ต้องการเงินดอลลาร์ คุณจะเอาดอลลาร์มาใช้คุณก็พยายามหาทางส่งขายให้แก่อเมริกา คุณจะต้องการเงินหยวน ของประเทศจีนมาใช้คุณก็พยายามขายให้ประเทศจีน หรือคุณต้องการไปทางไหนก็แล้วแต่ ก็ขายไป เอาเงินทางนั้น หรือได้ตั๋วแลกเงินของทางโน้นมามันก็สะดวก นี่ก็เป็นวัฒนธรรมของโลกที่ใช้กัน ทำกันอยู่ มันไม่ใช่เรื่องลึกลับแต่มันก็ซับซ้อนหลายชั้นหลายเชิง แล้วคนก็ต้องทำ เรียกว่าเศรษฐศาสตร์
การแบ่งแจกกันระหว่างคนให้แก่กันและกันให้แก่สังคมให้แก่ชุมชน แล้วมันก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายๆอย่าง ขึ้นอยู่กับค่าขนส่ง ราคาคนคิด พอใจจะขนไปให้ ไม่พอใจจะขนไปให้ มันอีกหลายแง่มุมมิติหลายเรื่องเหลือเกิน เพราะฉะนั้นเราก็อยู่อย่างสะดวก ทำง่ายๆ โดยเป็นผู้ที่ไม่คิดราคาอะไรกับใครให้มาก เอาให้เขาฟรีมากๆ สละให้เขามากๆ คนอื่นเขาจะต้องจ่ายเงินลงทุนแรงต้องวิ่งมาเอา เรามีหน้าที่เอามาแจกอย่างเดียว ก็สบาย
หรือเราเห็นแล้วว่าเจ้านี้สมควรจะแจกให้ เขาจะมาเขาก็ไม่มีแรงจะมา ค่ารถค่าเรือเขาก็ไม่มีจะมา เราก็ต้องเอาไปให้ ขนไปให้ เขาเป็นคนควรได้รับแจกควรจะได้ควรจะให้ เป็นคนมีข้อด้อย ที่สมควรจะให้ เราก็ขวนขวายเราก็ทำ อย่างนี้เป็นต้น
ตอนนี้ของของเรายังมีไม่มากจนถึงจะต้องวิ่งขึ้นเครื่องบินไปแจกประเทศอื่น แค่เขามาเอาเราก็ไม่พอให้อยู่แล้ว สร้างของดีๆ ของที่มีคุณค่าสำคัญต่อชีวิต
ทุเรียนนี้ก็เป็นพืช จริงๆก็มีคุณค่าทางอาหารพอสมควร มีคนบอกว่าอาตมากินทุเรียนน้ำหนักถึงขึ้น ตอนนี้อาตมาก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าไม่ใช่ เมื่อวานนี้กินทุเรียนมากกว่านี้ด้วยมันยังไม่ขึ้นเลยมันลงมาด้วย พิสูจน์แล้ว ไม่ใช่ มันไม่ใช่ทีเดียว เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง พิสูจน์แล้วกินทุเรียนแล้วน้ำหนักขึ้นไม่ใช่ สิ่งที่มันอาจจะขึ้นบ้าง ไม่รู้ว่ามันผสมส่วนว่ากินอะไรบ้างมันมีหลายอย่าง เขาบอกว่ากินทุเรียนแล้วต้องกินมังคุดมันจะแก้กัน เราก็กินมังคุด แต่มังคุดมันน้อยไปหรือไม่ได้ส่วนกับทุเรียนหรือไงก็ไม่รู้ เขาเอามาให้เท่าไหร่แล้วก็กินเท่านั้น ก็กินไป เหลือไว้ชิ้นหนึ่งเขาก็ว่าว่าเหลือไว้ทำไม เราก็เหลือไว้ให้รู้ว่าชามนี้ใส่ทุเรียนมา เขาก็บอกว่าไม่ต้องหรอก ให้กินให้หมด เราก็กินหมดไม่มีปัญหา พูดไปแล้วเหมือนเป็นเรื่องสนุก ชีวิตนี้สนุก เป็นแต่เพียงว่าอาตมามันอายุยาวแล้วขันธ์มันฝืน
พูดถึงเรื่องนี้ก็แล้วกัน
สมณะเดินดิน… พ่อครูเทศน์งานนี้ เกือบทุกวัน มีเว้นวันเดียวครับ อยากให้ออมแรงไว้บ้างครับ
สุริยเปยยาลในมูลสูตร 10
พ่อครูว่า… ชีวิตของพวกเราอยู่อย่างนี้ มันเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบแล้ว ใช้คำว่าสมบูรณ์แบบ คือมันมีวรรณะ 9 มีพุทธพจน์ 7 สมบูรณ์แบบแล้ว แต่ละคนมี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
แต่ละคน มีวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
พระสูตรที่เอามาพูดนี้ เป็นพระสูตรสำคัญ ก็อยากจะพูดถึงสูตรหลักอีกสูตรหนึ่งก็คือมูลสูตร 10
ซึ่งสำคัญมากเลย มูล แปลว่ารากเหง้า รากเค้า คือต้นฐานต้นรากของอะไรต่างๆ พระพุทธเจ้าแบ่งไว้ 10 ข้อ
-
มีฉันทะเป็นมูล
-
มีมนสิการเป็นแดนเกิด
-
ผัสสะเป็นปัจจัย
-
เวทนาเป็นที่ประชุมลง
-
มีสมาธิเป็นประมุข
-
มีสติเป็นอธิปไตย
-
มีปัญญาเป็นอุตตระ
-
มีวิมุติเป็นสาระ
-
มีอมตะเป็นที่หยั่งลง
-
จากอมตะเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน