650603 แผนผังการกอบกู้โลกุตระของพ่อครู พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1danbPW26Oq5qzpY3NmABNVoAcMgJPpphBprkdSJtHtc/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/19fBioDET2QCq_ouvqhqdZsuJMziOXmeK/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/GdfqwOcXNKI และ https://fb.watch/dpKUW5IfYi/ สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก งานอโศกรำลึกปีนี้ รู้สึกว่าเป็นปีพิเศษ ที่เราจะได้ทำการใช้กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมให้เจริญขึ้น มีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชื่ออโศก ศรีทองธรรม จะมาทำวิจัยเกี่ยวกับไฟฟ้าโซล่าเซลล์ ทำให้ไม่รั่วไหล ไม่เสียหาย ให้ความเสียหายเป็น 0 ได้อย่างไร พ่อครูว่า…SMS วันที่ 1 มิ.ย. 2565 ทำไมชาวอโศกมีสมณะ และจะเรียกพระอาจารย์ได้หรือไม่ _คอยใคร : กราบเคารพพ่อครูครับเมื่อ วันก่อนได้ฟังพ่อครูพูดเรื่องที่มีข้อห้ามไม่ให้นักบวชชาวอโศกใช้คำว่า พระ หรือ ภิกษุ เพราะจะผิดกฏหมายจึงได้ตกลงให้ใช้คำว่า สมณพราหมณ์ มาใช้แทนและต่อมาก็เรียกกันสั้นๆว่า สมณะ ใช่ไหมครับ ซึ่งผมได้ยินญาติธรรมบางท่านเรียก สมณะ ว่า ท่านพระอาจารย์ พอผมฟังก็ติดตรงที่คำว่าพระ คำถามครับ ถ้าเรียกว่าพระอาจารย์แบบนี้จะได้ไหมครับ จะไปผิดกับสัญญาที่จะไม่ใช้คำว่าพระในนักบวชชาวอโศกไหมครับ ที่ถามนี้ไม่ได้ต้องการจับผิดใครนะครับเป็นแค่ความสงสัยส่วนตัวครับ กราบพ่อครูช่วยให้ความกระจ่างแก่ผมทีครับ พ่อครูว่า… ใช่ เพราะว่า เขาเอาเราตายเลยนะ พยายามใช้วิธีการต่างๆนานาสารพัดที่จะทำให้เราไม่ได้อยู่ในสถานะ ไม่ได้มีสถานะของนักบวช คำว่า นักบวช ภิกษุ พระ มีอยู่ในกฎหมายเลยว่าห้ามใช้ หากไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ของเถรสมาคมเขา คือ ฮุบเอาไปเป็นของส่วนตัว ศาสนาพุทธเป็นของส่วนตัวไปเลย จะใช้คำแทนว่านักบวชในศาสนาพุทธเขาก็กำหนดไว้ในกฎหมาย คำว่าพระก็ดี ภิกษุก็ดี นักพรต นักบวชก็ทั้งนั้น ห้ามเรียกตัวเอง เจตนาจะไม่ให้มีภาษาเรียกตัวเองที่สื่อคำว่านักบวชเลย ที่ไทยจะรู้ได้ ใส่เข้าไปในกฎหมาย แต่ทีนี้มาตจรวจแล้ว จะให้เรียกเราว่าอย่างไร ก็เราปฏิบัติธรรมปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจังอยู่ในพระธรรมวินัย แล้วยังมี จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล อีก เขาก็จำนนว่าเราปฏิบัติจริง แล้วจะให้เรียกเราว่าอย่างไร นักบวชก็ไม่ได้ นักพรตก็ไม่ได้ ภิกษุก็ไม่ได้ พระก็ไม่ได้ แล้วจะให้เรียกอะไร ค้นไปค้นมา นักกฎหมายเป็นเปรียญ 9 คุณจรวย หนูคง นั่งอยู่ด้วยกัน เสร็จแล้วก็โทรศัพท์ติดต่อกันระหว่างสมเด็จต่างๆ พูดจริงๆแล้วท่านไม่กล้ามาสู้หน้าอาตมา ท่านก็อยู่ห่างๆ ให้ฆราวาสมาสู้หน้า เรียกไปเรียกมา มีคำว่าสมณพราหมณ์ไม่ได้อยู่ในกฎหมาย ก็อันนี้สื่อ ความเป็นนักบวชนักพรตของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน จริงๆแล้วมันเป็นตัวแท้เลย นี่คือธรรมะจัดสรรทั้งนั้นเลย เหลือคำนี้ไว้ให้เรา ก็ตกลง สมเด็จต่างๆที่คุยกันก็ตกลง พวกท่านไปเรียกตัวเองว่าสมณพราหมณ์ เราก็ได้อันนั้นมา เป็นฉายานามของเราตั้งแต่บัดนั้น แล้ว มันก็ถูกต้องลงตัวหมดทุกอย่าง พอเราได้มาประกาศออกไป มหาระแบบก็บอกว่า เอาสมณพราหมณ์ไปให้ได้อย่างไร เพราะว่าสมณพราหมณ์แปลว่าพระอรหันต์นะ.. ก็เสร็จเรา มันก็ถูกสิ ก็ลงตัวอย่างนี้ ธรรมะจัดสรรไว้หมด จริงๆเราก็เรียกอาจารย์นะคำว่าอาจารย์ 1 อาจารย์ 2 ก็ไม่ได้ใช้ใส่คำว่าพระ แต่คนที่ติดปากก็มาถามว่าพระอาจารย์ คือในภาษาไทย คำว่าพระนำหน้า หมายถึงการยกย่องผู้นั้นอยู่ในฐานะสูง คำว่าพระนี่ พระเจ้าแผ่นดิน พระต่างๆนาๆ จนกระทั่งถึงนักบวช พระ คำว่าพระนำหน้านี่ อย่าว่าแต่นักบวช แม้แต่พระกระโถน รองพระบาท พระทั้งนั้น จะใช้คำว่าพระนำเพื่อยกสถานะของสิ่งนั้น ว่า ไม่ใช่ของทำเล่นๆนะ ของที่ยกสถานะไว้แล้วนะอย่างนี้เป็นต้น เอาไปใส่กับวัตถุ ใส่กับนามธรรม ใส่กับบุคคลอะไรต่ออะไรได้หมด เมื่อไม่ให้เราเรียกตัวเองว่าพระ ก็ไม่เรียก แต่ที่จริงเราไม่ได้ใช้คำว่าพระ แม้แต่พ่อครู ก็ใช้เรียกอาตมา ก็เป็นพยัญชนะ จะไปผิดกับสัญญาที่ไม่ให้ใช้คำว่าพระ ถ้าเป็นการตกลงก็ถือว่าผิด แต่เราก็ไม่ได้ใช้หรอก มันตกหล่น Error บ้างเล็กๆน้อยๆ แผนผังการกอบกู้โลกุตระของพ่อครู _มุ่ง ตรงธรรม : นอบน้อมกราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ กราบนมัสการท่านสมณะ สิกขมาตุทุกรูปครับ ฟังจากที่พ่อครูได้กล่าวไว้ก่อนหน้าและฟังจากที่พ่อครู ได้ตอบคำถามเรื่องความเจริญของโลกุตระ ดำรงอยู่เพียง 500 ปีจากนี้ไป หลัง 500 ปีนี้ก็ย่อมมีแต่จิตวิญญาณที่มาเกิดย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำแทบจะส่วนเดียว หากใครเกิดในยุคนี้ ย่อมหาความเจริญขึ้นคงยากแสนยากยิ่ง เพราะโลกุตระ เสื่อมจากโลก วนอยู่ในพลังงานโลกีย์ที่เต็มรูปแบบก็ยากแสนยากยิ่งที่ผู้เกิดในยุคนี้จะต้านโลกีย์ขึ้นมาสู่โลกุตระ ทำให้ลูกต้องหันกลับมาสำเหนียกตนให้มาก หากเราไม่อาจพ้นภัยอย่างเที่ยงแท้แล้ว โอกาสที่วิบากนำพามาเกิดหลังโลกุตระ สูญจากโลกนี้ย่อมมีสูงยิ่ง แค่คิดก็ขนลุกแล้วครับ น่าขยาดยิ่ง เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า วิบากจะออกฤทธิ์ จัดสรรค์วิบากในกาละไหนในโอกาสการเกิดร่างใหม่ของภพชาติถัดไป เผลอวิบากจัดสรรลงในยุคของกลียุคแล้วละก็ แสนน่าสะพรึงกลัว ครับ พ่อครูว่า… จริงๆ ก็มาไขความนิดนึง คำว่า โลกุตระ ที่คุณมุ่ง ตรงธรรม ว่า โลกุตระ ดำรงอยู่เพียง 500 ปีจากนี้ไป หลัง 500 ปีนี้ก็ย่อมมีแต่จิตวิญญาณที่มาเกิดย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำแทบจะส่วนเดียว https://drive.google.com/file/d/1lJQcDVN5rXB0rVqo2JRP87ApozYbgSfR/view?usp=sharing สามเหลี่ยมด้านซ้ายมือ จะมีสีเขียวมุมล่างสุด x1 นั่นคือช่วง 36 ปีที่อาตมาเกิดมาในโลกยุคนี้ อายุ 36 ปี อาตมาก็ออกบวชเป็นตัวตั้งของโลกุตรธรรม ที่จะสถาปนาลงไปในยุคนี้ x2 คือเริ่มทำงานไปจนถึงอายุ 72 ปี ก็ได้มรรคผลพอสมควร จากนั้นต่อไปอีก x3 จะต่อไปให้ถึงอายุ 108 ปี โลกุตรธรรมจะตกผลึกสถาปนาลงไปในโลกมนุษยชาติโดยเฉพาะคนไทย สามเหลี่ยมที่ตั้งอยู่ทางซ้ายหมายถึงตอนที่อาตมาทำงานอยู่ ถ้าอายุ 108 ปี จะมีโลกุตรธรรมถึง x3 x4 ถ้าอาตมากระเสือกกระสนไปถึง 144 ปี ถ้าทำได้ถึง 144 ปี จะได้โลกุตรธรรมถึงขนาดนั้น อาตมาก็คงจะพัก จะหยุดแล้วก็คงไม่ตายทันที ก็คงจะมีโมเมนตัมไปอีก 7 ปี เหมือนพระมารดาของพระพุทธเจ้าไปได้อีก 7 วัน มีพลังงานเต็มเหยียด x5 จะเรียกว่าเป็นการเสวยวิมุติอีก 7 ปีก็ได้ ตัวอาตมาจะมีชีวิตนำพาไป 151 ปี แล้วอาตมาก็ตาย พอตายลง โลกุตรธรรมที่มีอยู่ในโลกที่คนรับช่วงได้และนำพากันไป ท่านติกขะบ้าง ท่านบินบนบ้าง สมณะ สิกขมาตุ หรือฆราวาสทั้งหลาย ที่มีโลกุตรธรรมก็จะนำพากันไป มีอยู่ในตัวเองแล้วก็ขยายผลสืบทอดต่อยอดไปให้กับผู้อื่นต่อไป เนื้อหาสาระของโลกุตรธรรมก็จะมีอยู่ในโลกดังแพทเทิร์นที่มันจะยาว จากจุดที่พีคสุด 151 ปี แล้วความเข้มข้น เข้มสุดสีน้ำเงินก็จะค่อยจางลงไปหาปลาย ระยะทางคือ ความยาวไปถึง 2,500 ปี รวมเต็ม ศาสนาพุทธมีมาแล้ว 2,500 ปีอาตมาก็มาสืบทอดไปอีก 2,500 ปี ทำเอาไว้แล้วจะเกิดเนื้อแท้ของโลกุตรธรรม จนกระทั่งอาตมาไม่เกิดมาอีกแล้ว เนื้อของโลกุตรธรรมก็จะมีของมันไป ให้แก่มนุษย์โลกไปยาวถึง 5,000 ปี เดี๋ยวดูตอนในวันที่อายุ 90 ปี พ.ศ.2567 ไม่นานหรอกอีก 2 ปี ดูสรีระดูกำลังวังชาดูความเป็นจริงว่ามันจะกระปรี้กระเปร่า มีน้ำหนักมีความแข็งแรง ที่จริงก็อยากจะพัฒนาทางสรีระ ออกกำลังกายยกลูกเหล็กอะไรต่ออะไร เครื่องมือเขามีมาให้เต็มเลย แต่มีท่านด่วนดีกับท่านแนวตรง ทำอยู่ใช้อยู่ เป็นส่วนใหญ่ นอกนั้นก็ไม่ค่อยมีใครเอาถ่านเท่าไหร่ เครื่องมือราคาเป็นล้านนะที่เขาเอามาให้ ถ้าทำแล้วมันจะช่วยได้เหมือนกันทางสรีระ มันจะเสริมได้เหมือนกัน การออกกำลังกายโดยใช้เครื่องมือพวกนี้ จนกระทั่งถึงขั้นสร้างกล้ามเนื้อเป็นนักกล้าม อาตมาตอนหนุ่มแน่นก็เล่นกล้าม แต่มันไม่สวย เพราะอาตมาไม่ได้เกิดมาจะเป็นคนที่เด่นทางนั้น ออกทุกเย็นเลยนะ ตอนที่อยู่หอพัก เครื่องมือเครื่องไม้ก็ไม่ได้สมบูรณ์เท่าตอนนี้หรอก บาร์เบลก็ปูนหล่อ 2 ข้าง มีบาร์คู่บาร์เดี่ยว มีดัมเบล บาร์เบล ซันดาวน์ ไม่ได้มีเครื่องมือครบครันอย่างนี้ ก็เล่นกัน แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปถึงขั้นนั้น ขั้นชายงามประกวดกล้ามเนื้ออะไรไม่ต้องหรอก ให้กล้ามเนื้อของมันสมบูรณ์ดี ได้สัดส่วนทั้งความสูง ความกว้าง น้ำหนัก ทุกวันนี้ก็ดูแลแต่น้ำหนักเป็นหลัก ความสูงความกว้างอะไรมันไม่มีอะไรมาก ก็เอาแต่น้ำหนักเป็นหลัก ตรวจสอบกันทุกวัน ถ้าวันไหนขี้ 3 ครั้ง น้ำหนักลดนะ สิ่งที่กินเข้าไปมันย่อยแล้วก็ออกมา เอาพลังงานเอาวิตามินเกลือแร่ไปใช้ เสร็จแล้วกากมันก็ออกมาด้วยน้ำหนักมันก็ต้องลด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร น้ำหนักลด แต่มันซ้อนในปรุงแต่งเนื้อใน มันก็ดีขึ้น สิ่งที่มันใช้จ่ายจะเป็นองค์ประกอบ มันก็ต้องสูญเสียทิ้งไปมันก็เป็นธรรมดา หมุนเวียนอาศัยกันอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งมันไม่ได้แปลกอะไรที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร น้ำหนักจะลดจะขึ้นบ้าง ดีไม่ดีเห็นน้ำหนักขึ้น บางคนหนัก 200 กิโลกรัม นั้นมันจะไหวหรือลุกยืนเองก็ยังไม่ได้ 200-300 กิโล น้ำหนักยิ่งเยอะ ตัวเองยังยืนไม่ไหวเลยก็ต้องประคองตนก็ยังไม่ได้ แล้วมันจะได้เรื่องอะไร น้ำหนักไม่ใช่เรื่องชี้บ่งของความแข็งแรงอะไร มันก็เป็นอะไรบ้างนิดหน่อย แต่โดยเนื้อแท้ไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันอยู่ที่ความสมดุลต่างหาก สัดส่วนทั้งดินน้ำไฟลมและจิตวิญญาณที่ร่วมกันอยู่อย่างได้สัดส่วน รวมกันสังเคราะห์แล้วก็แจกจ่าย สังเคราะห์แล้วก็สลาย มันเป็นธรรมชาติของมัน เอาล่ะเรื่องเหล่านั้นมันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เป็นไปตามธรรม เราเข้าใจมันแล้วก็ช่วยมันบ้างอย่าให้มันขาดแคลนอย่าให้มันตกหล่น อย่าให้มันไม่พอ ให้มันพอ ได้สมดุลเท่าไหร่ก็ยิ่งดีขาดบ้างเกินบ้างนิดๆหน่อยๆก็ไม่เท่าไหร่ ก็พอเป็นไป โลกุตระ แพทเทิร์น สามเหลี่ยมด้านซ้าย รวมแล้วระยะเวลาที่ทำงาน 500 ปี แล้วก็จะมีคุณภาพของมุมสูงตั้งขึ้นไป คุณภาพของโลกุตตรธรรมสูงสุดตรงนั้น ระยะทางด้านล่าง จากมุมสามเหลี่ยมไปถึงขีดแดง 500 ปี เดี๋ยวอาตมาก็ขยายขึ้นไป 144 บวกอีก 7 เป็น 151 นั่นเป็นหน้าที่ที่อาตมาจะต้องทำ ทำเสร็จแล้วก็มีมรรคผล มีวิบากมีผลที่เกิด เป็นคุณสมบัติคุณธรรม ของโลกุตรธรรม ให้มนุษย์ได้รับได้อาศัย อาตมาตายไปแล้ว โลกุตรธรรมก็จะดำเนินไป แต่นี่ดูแล้วสงสัยจะอายุไม่ถึง 151 ปี ถ้าเผื่อว่าอาตมาตายอายุ 100 ปี ก็คงต้องเกิดมาอีก เกิดมาต่อให้ถึงยอด ถ้าไม่ถึงยอดแล้วมันไม่ไปถึง 5,000 ปี คุณภาพของโลกุตรธรรมที่ได้ พวกคุณก็ทำอยู่ แต่อาตมาต้องมานำต่อไปอีกเพราะมันมีรายละเอียด ทุกวันนี้ก็เติมรายละเอียดอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ยังเห็นว่าจะต้องเติมรายละเอียดอยู่นี่ ยังไม่หมด ยังรู้ความเป็นสอุตระดี ดีแล้วล่ะ แต่ดีกว่านี้ยังมีอีก อันนี้มันเห็นรู้อยู่ในตัวเองเลย มันต้องทำให้ถึงขีด อนุตรังจิตตัง ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ตรวจสอบ ไปทางเจโตไปทางสมาหิโต ปัญญาก็วิมุตติญาณทัสสนะแล้ว ก็จึงสรุปได้ว่า อนุตตรังจิตตัง สมบูรณ์แบบหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้ามีไว้หมด แต่ปัญญาเป็นเรื่องสูง เป็นเรื่องเป็นไปได้ เป็นเรื่องจริง แค่ 3 อย่างนี้ เป็นเรื่องสูง เป็นเรื่องเป็นไปได้ เป็นเรื่องจริง นี่แหละคือเนื้อๆ คือสาระของสัจธรรม บอกจริงๆพูดจริงๆอาตมาเกิดมาชาตินี้ไม่เสียชาติเกิด ภาคภูมิใจตัวเอง ที่เกิดมาอายุ 36 ก็รู้เท่าทัน ไปหลงระเริงอยู่ในโลก 36 ปี ไปแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อยากดัง อยากรวยแบบโลกๆ ตามประสาที่อาตมาเรียกว่า ลิงลมอมข้าวพอง เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่ทรงอุบัติขึ้นมาก็เป็นไปตามโลกที่เขาพาเป็น ก็หลงใหลไปตามโลกเขาพาเป็น อยู่ในโลก หมอดูทั้ง 8 คน มีโกณฑัญญะทำนายว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าคติเดียว อีก 7 คนทำนายว่า ถ้าอยู่ทางโลกจะได้เป็นจอมจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เขาก็ทำนายเป็น 2 คติ แต่โกณฑัญญะบอกว่ามีคติเดียว นี่คือพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ตอนนั้นโกณฑัญญะหนุ่มกับเพื่อน พราหมณ์ อีก 7 คนก็แก่กว่า เสร็จแล้วโกณฑัญญะทำนายแม่น พอเจ้าชายสิทธัตถะอายุ 29 ปี โลกมอมเมาให้มีเมียมีลูกคนนึง มันชัดเจน ท่านก็อุทานว่า ราหุลังพันธนังชาตัง ห่วงเกิดแล้วหนอ ไม่ฟังเสียงเลยในคืนนั้น ถ้าคืนช้าเดี๋ยวห่วงรัดคอเข้าไปอีก ไปเลยพร้อมกับม้ากัณฐกะ แล้วในรูปเขาก็เขียนดีนะ นายฉันนะห้อยหางม้าไป พระเจ้าก็นั่งอยู่บนม้า รูปก็เขียนให้เกียรติพระพุทธเจ้าเหลือเกิน เพราะว่าพระพุทธเจ้าได้พบกับเทวทูตทั้ง 4 คนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วก็สมณะ เมื่อเห็นแล้วก็ถาม ฉันนะ ตอนนั้นทำไมพระพุทธเจ้าถึงโง่ขนาดนั้น ถูกมอมเมา อยู่ในปราสาท 3 ฤดู คนเจ็บก็ไม่ให้เห็น คนแก่ก็ไม่ให้เห็น ไม่ให้รู้ว่าโลกนี้มีคนเจ็บคนแก่ โลกนี้มีคนตาย แม้แต่โลกนี้มีสมณะก็ไม่ให้เห็น มอมเมาให้อยู่ในปราสาท 3 ฤดู อยู่กับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อยู่กับสวรรค์วิมานกามโลกีย์มอมเมาท่าน เพราะว่าพราหมณ์ทำนายแล้วว่าจะออกบวชท่านบวชก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้า พระบิดาก็ไม่อยากให้เป็น อยากจะให้ครองราชย์เป็นเจ้าจอมจักรพรรดิ เพราะรักทางโลกมากกว่าทางธรรมะ พอลูกเกิด พระราหุลเกิด พระราหุลเลยได้ชื่อว่าห่วง ชื่อดีกว่านี้ทำไมไม่เรียกนะ เป็นลูกพระเจ้าแผ่นดินแท้ๆชื่อคุณห่วง ท่านก็ออกบวช บวชแล้ว ก็ยังถูกครอบงำทางศาสนา มันยังไม่มีศาสนาพุทธก็มีแต่ศาสนา เดียรถีย์ เข้าป่าปฏิบัติ ทุกรกิริยา ทรมานทรกรรมหนักหนาสาหัสอะไรต่างๆนานา ท่านก็ไปทำกับเขาหมด ลิงลมอมข้าวพองอีกอย่างนึง ลิงลมอมข้าวพอง ทางโลกก็เจอมาแล้ว ยังมาเจอทางธรรมะอีก พระพุทธเจ้าก็เป็นเจ้าของธรรมะโลกุตระ แต่ความเป็นพระพุทธเจ้ายังไม่ขึ้นมา ก็ยังต้องมารับวิบากอยู่อีก 6 ปี อยู่กับ เดียรถีย์ 6 ปี พวกที่ไม่ค่อยมีปฏิภาณปัญญาก็จะไปเข้าใจว่าเป็นการบำเพ็ญของพระพุทธเจ้า ที่จริงมันไม่ใช่ มันเป็นสัมภาระวิบากที่จะต้องถูกครอบงำ ทางโลกีย์ทางธรรม ถูกครอบงำอีก 6 ปี เป็นสัมภาระวิบากของท่าน ท่านก็ตรัสอธิบายไว้ แต่คนไม่เข้าใจ ตีความไม่แตก เสร็จแล้วอีก 6 ปีค่อยมารู้สึกตัวในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ท่านก็พยายามตรวจสอบตามวิธีการนั่งหลับตาสมาธิ เสร็จแล้ว บุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็ถึงขั้นระลึกถึงความเดิมมันขึ้นมาให้ท่านรู้ ชาติเก่าๆเดิมๆให้ท่านรู้ ท่านก็รู้ได้ เราบำเพ็ญสัมมาสัมโพธิญาณมาสมบูรณ์แบบแล้วนี่ 29 ปีท่านก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรม พอปฏิบัติธรรมอีก 6 ปีอายุ 35 ปี ก็ไม่ใช่ปฏิบัติที่สัมมาทิฏฐิ บำเพ็ญทุกรกิริยา สรุปแล้วท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย 35 ปี แม้ว่าจะเรียกว่าปฏิบัติธรรมก็เป็นมิจฉาทิฐิแบบ เดียรถีย์ อีก 6 ปี เสร็จแล้วท่านมาระลึกรู้ว่าท่านมีความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วความเป็นสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ความเป็นจริงอันนั้นมันก็ปรากฏในความเป็นจริงของท่านก็ขึ้นมาสู่ท่าน ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ว่า เราเป็นพระพุทธเจ้าสำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้ว อ๋อ! เรานี่หรือคือพระพุทธเจ้าแท้ ตามที่นักพยากรณ์สำคัญในยุคนั้น เรียกว่าแม่นสุดแม่น ไม่มีใครแม่นเกิน 8 รูปนี้หรอก พราหมณ์ ที่เป็นโหราจารย์ในยุคนั้น ท่านก็เป็นจริงตามนั้น เสร็จแล้วท่านก็รู้แล้ว พอรู้แล้ว ตรัสรู้ว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็เสวยวิมุติทบทวน ฟื้นฟูความรู้ที่ตัวเองมีอยู่แล้วขึ้นมาอีก 49 วัน เขาเรียกกันว่า เสวยวิมุติ ที่จริงท่านทบทวนของท่าน 49 วัน 49 คือ 7x 7 เป็น 49 เป็น อจินไตย เมื่อครบแล้วก็ระลึกถึงผู้ที่จะไปอธิบายธรรมะให้ฟัง ระลึกถึง อาฬารดาบส อุทกดาบส ที่เคยเป็นอาจารย์ทางธรรมะ ก็ตอนนั้น ก็เหมือน อัมพัฏฐสูตร ที่ อัมพัฏฐะ เชื่อว่าอาจารย์ที่มีจรณะ 15 วิชชา 8 จะอยู่ในป่า ก็ได้แต่ตรรกะสอนคนอื่นมาก แต่ตัวเองไม่ได้ปฏิบัติ เมื่อพระพุทธเจ้าเสวยวิมุติแล้ว ก็นึกถึงผู้ที่จะไปโปรด ก็นึกถึง อาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ตรวจสอบ พบว่าตายแล้ว ก็อุทานว่าตายๆๆฉิบหายแล้ว เพราะ อาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นมิจฉาทิฐิหนัก ปฏิบัติธรรมนั่งหลับตาแบบ เดียรถีย์ แล้วก็ทำได้เก่งอย่างแน่นหนา อาฬารดาบส ก็แพ้ อุทกดาบส อยู่ขั้นเดียว ฌาน 7 แบบ เดียรถีย์ สะกดจิตทั้งคู่ ตายไปแล้วทั้งคู่ก็ต้องจมอยู่ในแดนสะกดจิต ซึ่งมันไม่รู้เรื่องอะไรแบบนิ่งไม่รับรู้อะไร มันก็ได้แต่นิ่ง ๆๆ จมอยู่ในความไม่มีอะไรไม่รู้อะไร นานไม่มีใครไปปลุก ไม่มีใครทำให้ตื่น ไม่มีใครไปทำให้รู้ แต่หลงนึกว่าไอ้นี่เป็นของจริง อาฬารดาบส อุทกดาบส อาฬารดาบส จึงชมอยู่ในภพนั้นไม่รู้จะเอาอะไรเรียกในระยะยาวนาน ไม่มีอะไรไปสะกิดให้รู้ตัวเลย แล้วตัวเองก็เชื่อมั่นว่านี่แหละคือแดนสุดยอดที่ฉันบรรลุ มันก็เลยจมอยู่อย่างนั้นเลย จากนั้นพระพุทธเจ้าก็ระลึกถึงพราหมณ์ทั้ง 5 ที่เคยร่วมปฏิบัติมาที่เคยเชียร์พระพุทธเจ้า เพราะตอนนั้นศาสนาพุทธจะไม่เกิด ก็เชียร์ให้ปฏิบัติตามเดียรถีย์ สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็รู้ว่าแบบนั้นมันเป็น เดียรถีย์สมบัติ ปฏิบัติแบบ เดียรถีย์ มันจะไปบรรลุได้อย่างไร ก็มานั่งตรวจสอบถึงได้รู้ว่านั้นมันไม่ใช่มันเป็น เดียรถีย์ สมบัติ เป็นเดรัจฉานวิชชาเป็นวิชชาที่ไม่ได้พาบรรลุนิพพาน แล้วท่านก็พบ ระลึก วิชชาจรณะได้สำเร็จ ระลึกแต่ว่ามันต้องมีวิชาจะระณะ มีศีล อปัณณกปฏิปทา 3 มีสัทธรรม ฌาน 4 วิชชา 8 มันต้องอย่างนี้ พอได้แล้วจะไปประกาศ อาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ตายไปแล้วก็เลยนึกถึงปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ที่เคยมาเชียร์เชิดฉิ่งช่วย แล้วก็ ทั้ง 5 คนก็นึกว่าพระพุทธเจ้าไม่พากเพียรปฏิบัติต่อแล้ว แล้ว ล้มเลิกการปฏิบัติแล้ว มาลืมตาไม่มานั่งสะกดจิตแบบ เดียรถีย์ ไม่ทำ ทุกรกิริยา ต่างๆยแล้ว เพราะท่านรู้ตัวเองแล้วว่าอย่างนั้นมันไป อวิชชา ไม่เป็น จรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครมาอธิบาย สัจธรรมโลกุตตรธรรมยังไม่เคยมีปรากฏ พระพุทธเจ้าระลึกของตัวเองที่บำเพ็ญมาจนได้สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว อาตมาเห็นใจนะว่ามันอัดอั้นอยากจะระบายให้คนรู้ มันต้องหาคนระบาย แล้วใครจะอยู่ในฐานะที่จะรับรู้โลกุตรธรรมนี้ได้ ก็ต้องหาคนที่อยู่ในฐานะที่จะรับได้ ไปเอาคน กเฬวราก ที่ไหนก็ไม่รู้มาจะไปรับได้อย่างไร ก็ระลึกถึง ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 เดินทางมาอีก 2 เดือนจากแม่น้ำเนรัญชรา มาถึงอิสิปตนมฤคทายวัน มาถึงที่ปัญจวัคคีย์อยู่ พอมาถึง ปัญจวัคคีย์ก็บอกว่านั่นคนล้มเหลวไม่เอาจริง ถ้ามาแล้วก็อย่าเรียกอย่าลุกรับอย่าไหว้ นั่นไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรอก เราเข้าใจผิด แล้วทำไมไม่ฉีกตำราตัวเองนะ แสดงว่า ตำราตัวเองผิด ก็ตกลงอย่าลุกรับอย่าไปเคารพ..ตกลงกัน.. แต่ด้วยพลังอำนาจความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า แต่ละคนๆก็ต้องเข้ามา แต่ก็ยังไม่รับ ยังไม่เคารพเต็มที่หรอก พระพุทธเจ้าก็ตรัสก่อนว่า เธอจงฟัง พราหมณ์ เราเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ปัญจวัคคีย์ก็บอกว่าไม่เชื่อ เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไรไปล้มเหลวจากการปฏิบัติแล้ว หัวคิดของพราหมณ์ก็ยังนึกว่า วิชชา ที่จะพาบรรลุต้องปฏิบัติอย่าง เดียรถีย์ พาทำ ที่เป็นเดรัจฉานวิชานั่นแหละ แต่แท้จริง พระพุทธเจ้าดูแล้วว่าอย่างนั้นมันผิด โลกุตระกับโลกียะมันเดินกลับหลังหันกันคนละฝั่งเลยนะ มันก็รู้ยาก พระพุทธเจ้าถึงเตือนสติ 5 พราหมณ์ ว่า พราหมณ์ เราเคยพูดหรือว่าเราเป็นพระพุทธเจ้ามาก่อน เราเป็นผู้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณนั้น เราได้พูดว่าเราเป็นเช่นนั้นมาก่อนหรือ พราหมณ์ ก็ได้คิดว่า ท่านไม่เคยตรัส ไม่เคยบอกมาก่อน ด้วย พราหมณ์ ทั้ง 5 ก็เป็นผู้ทรงภูมิอยู่ ก็ได้คิดว่าจริงด้วย ท่านพูดต้องเป็นความจริงแน่ ท่านบรรลุพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องเป็นความจริง แล้ว ด้วยตัวเองที่ยังมีตำราทำนายทายทักมาแล้ว ว่า ท่านองค์นี้จะเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ทำนายไปแล้วด้วย เหตุปัจจัยมันครบ ก็จำนน พอ 5 พราหมณ์นี้ จำนนแล้วยอมฟังแล้ว ท่านก็เทศน์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นสูตรแรกในศาสนาพุทธ พอเทศน์เสร็จ อัญญาโกณฑัญญะสว่างแจ้งเลยมีคุณธรรมในตัวมีสมบัติในตัวแล้ว มี อัญญธาตุ มาแล้ว พอมามี อัญญธาตุ 60-70 % ก็ชัดเลย คือสะสมมาแล้ว 1 หน่วยกิต 2 หน่วยกิตจนถึง 50 หน่วยกิต พอมาถึงประมาณ 70% ถ้า 75 % ก็เที่ยงแท้เลย มันใกล้ 60 70 เมื่อมาฟังพระพุทธเจ้าก็เหมือนน้ำอีกจุดเติมน้ำที่อยู่เต็มขันแล้ว พระพุทธเจ้าก็อุทานบอกว่า อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ เป็นคนแรกในโลกที่รู้จักโลกุตรธรรม อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ สมณะเดินดิน… นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ วันนี้พ่อครู พาบุพเพฯ พาดูหนังในยุค 2,500 กว่าปี ทำไม อาจารย์ได้ฌาน 7 ฌาน 8 ทำไมพระพุทธเจ้าถึงบอกว่าชิบหายแล้วหนอ พ่อครูว่า… คุณธรรมความรู้ความฉลาดชนิดโลกุตระซึ่งเป็นความรู้ความฉลาดแบบอื่นจากโลกียะที่ประดาในโลกเขามี อันนี้เป็นคนละเรื่อง คนละอย่างจากอันนั้นแหละแตกต่างกันแบบต่างโลกต่างดาวต่างขั้ว ต่างสัยยะ ต่างมิติ ต่างประเด็นกันทุกเรื่อง โกณทัญญะ เป็นผู้เริ่มเข้าใจได้คนแรก พอเทศน์กัณฑ์แรก โกณฑัญญะก็ได้เลย จากนั้นก็เทศน์อนัตตลักขณสูตรอีกอันหนึ่ง พราหมณ์ อีก 4 รูปก็ได้เป็นพระโสดาบันตามลำดับ นี่คือประวัติที่มีเหตุปัจจัย ทุกอย่างมาแต่เหตุ ไม่ใช่อยู่ดีๆแล้วก็มีพระเจ้ามาบันดาลอย่างนั้นอย่างนี้ หรือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบันดาล..ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องมีเหตุปัจจัย มีเหตุปัจจัยแวดล้อม มีเหตุปัจจัยที่เป็นสาระแท้ๆเกิดขึ้นๆ ตามลำดับ เริ่มต้นเกิดแล้วมีพราหมณ์ 5 รูปเป็นพระอรหันต์ 5 รูปแรก ก็นำพากันดำเนินไปต่อ จากนั้นพระยสะกุลบุตร เดินมาแล้วก็ บอกว่าที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่เป็นทุกข์หนอ ยสกุลบุตรเป็นลูกเศรษฐีใหญ่ พระพุทธเจ้าอยู่ตรงนั้นได้ยิน ก็บอกว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง พระยสะพบพ่อเทศน์เป็นพระคาถาให้ฟัง ตั้งแต่ ทาน ศีล สัคคะ โทษของกาม เนกขัมมะ อนุปุพพิกถา 5 มันเป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์ ยสมาณพ บารมีถึงขีดเบื่อทางโลกมาแล้ว ก็เป็นลูกเศรษฐีใหญ่ มีพรรคพวกมีแก๊งรวมแล้ว 55 คน บวกกับปัญจวัคคีย์อีก 5 ก็รวมแล้ว 60 องค์ ยสมานพ มาคนเดียวก่อน เมื่อมาเจอพระพุทธเจ้าได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าก็บรรลุธรรม ก็ไปชวนเพื่อนทั้งแก๊งมา ก็มาศึกษากับพระพุทธเจ้าก็บรรลุเป็นพระอรหันต์อีก 55 คน ก็รวมเป็นพระอรหันต์ 60 รูปแรก วันเพ็ญเดือน 8 พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเธอทั้งหลายเป็นพระอรหันต์กันหมดแล้ว ก็แยกย้ายกันไปประกาศธรรม อย่าไปซ้ำกัน นิคมละ 1 องค์ ก็ปล่อยให้ไปเทศน์ นั่นแหละเป็นวันมาฆบูชา 15 ค่ำเดือน 8 ก็ ให้ไปเผยแพร่ ศาสนา จาก 60 องค์แรกกระจายไป พอไปแล้วก็ไม่ได้กล่าวถึง 60 รูปนี้อีกเลย ศาสนาก็มีมรรคผลหยั่งลงในมนุษยชาติ มาเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าก็ทรงงานมาอีก 45 ปี อาตมาก็ไม่ได้เก่งประวัติศาสตร์เหมือนคุณสนธิ ได้แค่งูๆปลาเล็กๆน้อยๆ อธิบายได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้วโพธิรักษ์ ก็เข้าเนื้อหาสาระ เมื่อกี้พูดถึง 500 ปีอาตมาจะต้องรับผิดชอบโลกุตรธรรม ต้องเกิดมาใหม่เพื่อต่อยอด จนหมดภาระให้ศาสนาพุทธ อายุไปถึง 5,000 ปี คนที่ไม่เข้าใจอจินไตยต่างๆ ที่อาตมาพูดก็ต้องขออภัย คนที่รับไม่ได้นึกไม่ออก อจินไตย มันคิดเอาไม่ได้ ต้องมาศึกษาปฏิบัติตามอย่างพวกคุณจึงจะมีเหตุปัจจัยมีบันไดที่จะเชื่อมต่อ มีสายเชื่อมต่อ กระตุกตรงนี้ก็ไปถึงที่คุณอยู่ แต่นี่เขาไม่ได้มีสายเยื่อสายใยต่อ แต่พวกคุณมีสายเยื่อสายใยต่อก็ต่อได้ มีบันไดขึ้นไปต่อได้ใครจะเก่งพาสชั้นไป 2 ขั้น 3 ขั้นก็ตามบารมี เพราะฉะนั้นโลกุตรธรรมที่สถาปนาลงไปในโลก ในยุคนี้ มี 2 รูปที่จะนำมาเป็นต้นหลัก ในหลวงร.9 รับผิดชอบทางรูปธรรม อาตมารับผิดชอบในทางนามธรรม ในหลวงร.9 ท่านอยู่ในสายสัทธานุสารี อาตมาเป็นสายธัมมานุสารี มาบำเพ็ญทำงานต่อตามสัจจะความจริงของโลกที่จะต้องมีสิ่งนี้ ซึ่งในหลวงท่านก็ตรัสว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ มีพวกนักข่าวชาวต่างประเทศมาถามท่านก็ตรัสว่า ก็มัน บอนทูบี มันต้องเกิดมาเป็นอย่างนี้ก็เป็นอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ คำตอบอย่างนั้นก็เหมือนกันอาตมา ทำไมอาตมาต้องมาทำอย่างนี้ นี่ก็ทำจนถึงอายุ 88 ปี ทำมาตั้ง 50 ปี ถ้าหากอาตมาทำงานศาสนาไปอีก 20 ปี ตอนนี้ทำงานมา 52 ปีแล้ว ถ้าหากไปอีก 18 ปี ก็เป็น 70 อาตมาจะต้องมีอายุไปอีก 18 ปี นามกับรูปก็จะสมบูรณ์แบบที่สุดเลย ต้องอยู่ให้ได้อีก 18 ปี บวกตอนนี้แล้วก็จะอายุ 106 ปี ถ้าลากสังขาร ไปถึงอายุ 106 ปี อาตมาว่า เมื่อนั้น ไม่ต้องพูดอะไรยาก คิดว่าในเมืองไทย คงไม่ต้องพูดอะไรมาก ทุกวันนี้ก็เงียบกันหมดก็ไม่ค้านแย้ง แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจ ยังรับไม่ค่อยได้ แต่อาตมายืนยันด้วยพระไตรปิฎก ยืนยันด้วยหลักฐานต่างๆ เขาก็เลยไม่ได้ค้านแย้งไม่ได้เถียง แม้ว่าบัญญัติตัวเดียวกัน อาตมาอธิบายอย่างอาตมา ยกตัวอย่างเช่นคำว่า กาย คำว่า บุญ คำว่า ฌาน คำว่า สมาธิ เป็นต้น แม้แต่คำว่า ศีล คำว่า อปัณณกปฏิปทา 3 เขาก็อธิบาย อย่างเขา อาตมาก็อธิบายอย่างอาตมา มันชัดกว่ากันเยอะ มันจริงกว่ากันเยอะ แล้วมันพิสูจน์ได้ด้วย แล้วมันจะยากกว่าแน่ แต่มันก็จริงกว่า มันประเสริฐกว่า เพราะฉะนั้นก็จะต้องยืนยันพวกนี้แหละยืนยันกันไป ยืนยันแล้วมันเจริญของโลกุตรธรรม ความเจริญของโลกุตระ มันไม่เหมือนโลกียะ โลกียะมันเจริญแง่เดียว แต่โลกุตระมันเจริญทั้งสองแง่ เป็นเทวะ มันเจริญทั้งเรื่องความเป็นโลกียะด้วย เจริญทั้งความเป็นโลกุตระด้วย เจริญความเป็นโลกียะคือ เช่นเหตุปัจจัยที่มนุษย์จะต้องอาศัย ที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้าวผ้ายาบ้าน อย่างนี้เป็นต้น นอกนั้นก็เป็นเรื่ององค์ประกอบ อาจจะมีบริขาร 8 เดี๋ยวนี้บริขารเป็นล้านแล้ว ก็เอาความสำคัญ อย่างอเมริกาหรือว่ารัสเซีย แล้วแม้แต่เกาหลีเหนือ เขาก็ถือว่าวัตถุที่ฆ่าได้ยังเป็นปัจจัยสำคัญมาก เขาก็ทุ่มโถมในสิ่งเหล่านั้น เราก็เห็นว่าพืชพรรณธัญญาหารนั้นเป็นหนึ่งในโลก อันนั้นมันหนึ่งในโลกเหมือนกัน แต่เป็นแบบชิบหาย ไปสร้างอาวุธฆ่าคน เครื่องมือองค์ประกอบ จะเป็นรถเป็นเครื่องบินเป็นหรืออะไรก็ตามแต่ พาหนะที่จะลากอุปกรณ์พวกนี้ ไปฆ่ากัน มันไม่ได้เป็นเรื่องดีอะไร มันเป็นเรื่องที่ยังต่ำ คนที่ยังคิดต่ำ ยังคิด ประหัตประหารทำร้ายกัน แม้แต่คิดเบียดเบียนกันมันก็เลวร้ายแล้ว ป่วยการจะไปคิดทำร้ายกันฆ่ากัน ทำไมถึงเถื่อนดิบขนาดนี้ มันเถื่อนดิบกันหนักหนาสาหัส อนุปุพพกถา 5 _พ่อครูว่า… อนุปุพพกถา 5 ทาน ศีล สัคคะ กามาทีนวะ เนกขัมมะ ทาน จะต้องรู้ว่า การทาน อย่างไรเป็นโลกุตระ ทาน อย่างไรเป็นโลกียะ ทาน อย่างไรเป็นบุญ ทาน อย่างไรเป็นแค่กุศล ศีล ศีลอย่างไร เป็นแค่กุศล ศีลอย่างไรเป็นบุญ ศีล อย่างไรเป็นแค่โลกียะ ศีล อย่างไรเป็นโลกุตระ ปฏิบัติอย่างไร รู้อย่างไร เกิดมรรคผลอย่างไร หุตัง หรือภาวนา คือ รู้จักการเกิดผล ภาวนา แปลว่าการเกิดผล ถ้าปฏิบัติ ทาน ศีล อย่างสัมมาทิฏฐิมันก็จะรู้จักโทษของกาม กามาทีนวะ เมื่อรู้โทษของกาม ก็ต้องเรียนรู้วิธีออกจากกามเพราะมันเป็นโทษ ต้องออกจากมันต้องเอามันออก จะเรียกว่าเอาออกหรือออกจากมันก็แล้วแต่จะเรียกว่าขาดจากกัน เนกขัมมะของ อนุปุพพิกถา เมื่อรู้ความหมายก็มาปฏิบัติ กาม ที่หยาบ ที่คุณจะต้องออกที่คุณไปคลุกคลีเกี่ยวข้อง ไปวุ่นวายอยู่กับมัน ไปเสพรสไปปรุงแต่งไปซื้อหาไปมั่วสุมอยู่กับมัน คุณรู้แล้ว ต้องออกจากมันเป็นเนกขัมมะ วิธีออกจากมันต้องเรียนรู้จิตเจตสิกต่างๆ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ เจตสิกที่แยกออกมาจากรูป มี เวทนา สัญญา สังขาร นี่คือขันธ์ 3 ของวิญญาณ ก็มารู้ให้ได้ว่าเวทนามันคืออย่างไร สังขารมันทำหน้าที่อย่างไร สังขารมันเป็นอยู่อย่างไร อ๋อ สังขารคือมันปรุงแต่งอยู่มีสามเส้า มีประธาน มีบวก มีลบ มี อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ มีสิ่งต่างกันเป็น 2 แล้วเราก็ต้องรู้ 2 อย่าง 2 อย่างนี้อยา่าให้มันมาร่วมเมถุน ร่วมรส ร่วมสังวาส ร่วมทำ ปฏิกิริยามีความเกิด เกิดอะไร เกิดกิเลส เกิดกาม เข้าเป้าไปสู่เป้า เกิดกาม อย่าให้มันเกิด อย่าให้มันเกิด ไม่ใช่คำพูดไปบังคับ แต่เราต้องทำให้มันไม่เกิด ไม่เกิดคือต้องรู้ รู้ว่าอาการทางจิต นิมิตอย่างนี้ หากมันดูดก็ให้มันคลายจาง วิราคะ เพราะเราจะรู้เป็นเบื้องต้นว่ามันไม่เที่ยง มันไม่อยู่ถาวร มันไม่มอยู่นิรันดร มันไม่เที่ยง แม้คุณจะพยายามให้มันเที่ยงอย่างไรมันก็ไม่เชื่องหรอก แม้ตัวมันเองมันก็ไม่เที่ยง หลงไปพยายามเสริมให้มันเที่ยงก็ใส่พลังงานเข้าไป ใส่สาระใส่อุปาทานเข้าไป มันก็เที่ยง แต่เราไม่ไปใส่อุปาทานเข้าไป มันก็ไม่เที่ยงให้เห็นแล้ว ยิ่งเรามีวิธีการตามที่พระพุทธเจ้าท่านพาทำ มองให้มันเห็นเป็นโทษ อาทีนวะ เมื่อปัญญามันเห็นเป็นโทษ มันก็ละหน่ายคลาย ปัญญาคือความเฉลียวฉลาด ความฉลาดอย่างโลกุตระ ไม่ใช่ฉลาดอย่างโลกีย์ ไม่รู้ว่าฉลาดหรือโง่ก็ไม่รู้ ว่าจะทิ้งกลับไปดูด เป็นมายาไม่แน่นอนกลับไปกลับมา เอ็งว่า เอ็ง จะทิ้งทำไมเองไปดูด ว่ามันอดไม่ได้ทนไม่ได้ กลับไปกลับมา อันนี้เราทำแล้วเราก็รู้ความจริงว่าเป็นโง่มีอยู่ ไปร่วมไปสังวาสไปเมถุน ก็แยกๆๆ มาเป็นตัวของเราเอง อิสระ ในอิสระเป็นคู่ใหม่ คือ 1 กับ 0 เพราะฉะนั้นมาหา 1 ไม่ต้องมี 2 ไม่ต้องมีคู่ และดีกว่านั้น ถ้าจะมีคู่มาหาสูงเป็นคู่ยาว 2 เป็นคู่ เอา 0 เป็นคู่ คุณยืนอยู่ที่ 1 พวก เดียรถีย์ สะกดจิตให้เป็น 1 ได้แต่ไม่เที่ยงเดี๋ยวคุณก็ไปเป็น 2 3 4 5 แต่ถ้ารู้เหตุว่ามัน ว่ามันไม่เที่ยง มันทำให้เป็นทุกข์ จริงๆแล้ว มันไม่เป็นตัวตนไม่มีตัวตน มันเป็น 0 มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนมันเป็น 0 ปัญญาที่รู้จักความเป็น 0 นี่แหละ จะเรียกอนัตตาก็เรียก จะเรียกนิพพานก็เรียก จะเรียกนิโรธก็ตาม มันเป็นไวพจน์ เป็นคำซินโนนีม ที่ขยายความให้รู้ด้วยภาษา ซึ่งมันไม่มี ไม่มีก็ใช่ นโหติ เป็นของที่ไม่มี มันไม่เป็นจริง เมื่อความรู้ที่เรียกว่าปัญญามันรู้แจ้งเห็นจริงอย่างนี้ มันก็มายืนอยู่ที่ 0 เพราะ 0 เป็นเป้าหมายเลย เรามุ่งเป้าเจอเป้าแล้วทะลุเป้าเลย ทะลุเป้าได้ไปเลย เราก็บรรลุผล สำเร็จ ออกได้สำเร็จ เนกขัมมะสำเร็จ เพราะเห็นโทษของกาม กามาทีนวะ แล้วเห็นโทษขององค์ประกอบว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ปัญญาที่เห็น ความจริงกับความไม่เที่ยง คุณจะเอาไว้อย่างไรมันก็ไม่เที่ยง โถมพลังงานให้มันเท่าไหร่มันก็ไม่เที่ยง 0 เที่ยงกว่า คุณจะมีปฏิภาณรู้ว่ามาอยู่ที่ 0 เที่ยงกว่า มาอยู่ที่ 1 ก็ยังปลอดภัยไม่สุขไม่ทุกข์ พอ 0 สะอาดหมดเลย หมด 2 แม้เป็น 1 ก็คือยังมีชีวะ ถ้าไม่มีชีวะก็เป็นพลังงานดินน้ำไฟลม 0 มันไม่รู้เรื่องแล้ว มันไปตามยถากรรม ไปตามธรรมชาติ แต่นี่มีธรรมะเป็นสุญญตธรรม ไม่ใช่มีธรรมชาติเป็นตัวเกิน มันสูญด้วยธรรมะเป็นธรรมะที่เป็น 0 สุญญตธรรม ถ้ายังเป็นธรรมชาติมันก็ยังเกิดอยู่ ที่บอกว่าธรรมะคือธรรมชาตินั่นคือคุณยังพูดวน อย่างท่านพุทธทาสบอกว่าธรรมะคือธรรมชาติ ท่านยังไม่มีความรู้ถึงชาติ ท่านยังวนอยู่กับการเกิด นั่นคือภูมิท่านพุทธทาส ธรรมะก็คือธรรมะ คือความสะอาด คือความเป็น 0 ถ้าได้ความเป็น 0 แล้วคุณจะมีปัญญารู้ว่าอย่างนี้แหละคือความเป็น 0 ทำได้แล้วมันก็จบในตัว นี่คือ อาทีนวะ 5 สมณะเดินดิน… สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin3 มิถุนายน 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:ฉบับที่ ๕๓๒(๕๕๔) นสพ.ข่าวอโศก ฉบับปักษ์หลัง พฤษภาคม ๒๕๖๕NextNext post:650605 พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก ครั้งที่ 41 อาหารเป็น 1 ในโลก Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024