660118 ผลงาน 50 ปี ตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพ่อครู พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1TYQSfmH2lqFk-dfufzrqddoYcMRCqGs1IkyCDhvY93A/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/199Xx6I-DanM5OyXj91BOWCFP-5k9ICST/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่
และ https://fb.watch/i7ESD2jKp0/
สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 18 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 12 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ปี 2566 เรามีกิจกรรมกัน ไล่ตั้งแต่เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน ต่อเนื่องกันทุกเดือน ญาติธรรมก็ดูปฏิทินกันให้แม่นๆก็แล้วกัน ว่าจะไปร่วมงานไหนได้บ้าง เดือนมกราคมเป็นงานใหญ่ของเรา เราเอาทั้งงานปีใหม่และงานตลาดอาริยะรวมกัน
เดือนกุมภาพันธ์ พ่อครูไม่ค่อยให้ความสำคัญในวันครบรอบ 88 ปี 8 เดือน 8 วันสักเท่าไหร่ แต่ยิ่งพ่อครูไม่ให้ความสำคัญ พวกเราลูกๆยิ่งต้องให้ความสำคัญ เรามาร่วมประชุมกันในแต่ละชุมชนก็มีมติว่า ส่วนใหญ่ที่อยู่ไกลๆ คงไม่ได้เข้ามาร่วมที่สันติอโศก ส่วนใหญ่ก็จะจัดอยู่ในที่ชุมชนของเขา จำนวนวันที่จะจัดงานมากที่สุดน่าจะเป็นที่ลานนาอโศกจะจัด 8 วัน 8 คืน ถ้าครบรอบ 99 ปี 9 เดือน 9 วัน ก็จะจัด 9 วัน 9 คืน
มีคนไปคำนวณออกมาว่าพ่อครูจะอายุครบ 99 ปี 9 เดือน 9 วันเมื่อไหร่ ตรงกับ 14 มีนาคม 2577 ซึ่งตรงกับวันเกิดของไอน์สไตน์ด้วย โพธิสัตว์มีความเชื่อมโยงกัน พวกเราชอบจับแพะชนแกะ
ถ้านับจาก 14 มีนาคมไปอีก เพิ่งถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2577 ก็จะครบ 100 ปีพ่อครูพอดี แสดงว่าตัวเลข 99 ปี 9 เดือน 9 วันของพ่อครูนี้น่าสนใจ จะฉลองตั้งแต่วันนั้นจนถึงครบ 100 ปีพอดีเลย เพราะฉะนั้นพวกเราต้องพยายามอยู่ให้ถึงสุขภาพแข็งแรง อย่าให้นอนติดเตียงก็แล้วกัน อาตมากับแซนดินปีเดียวกัน
ทางปฐมอโศกเขาก็จะมีงาน 3 วัน 2 วันเขาจะจัดที่ของเขา วันที่ 3 จะมาเพิ่มสีสันที่สันติอโศก ใครอยู่ใกล้ก็มาร่วมกันได้ มาช่วยเสริมกัน
ไปเดือนมีนาคม ขออภัยคนที่จองเครื่องบินไปบ้านราชแล้ว ดูว่าพ่อครูไหนๆมาถึงนี่แล้ว ก็น่าจะไปหยั่งลงที่สันติอโศก เป็นเมืองประถมของเราจริงๆเลย เพราะฉะนั้นงานพุทธาภิเษกปีนี้จะย้ายมาที่ปฐมอโศก และก็น่าจะดีกว่าที่บ้านราชด้วย เดือนมีนาคมมีพุทธาภิเษก อีกไม่ถึงเดือนเป็นเดือนเมษายนก็จะเป็นปลุกเสกแล้ว มันติดต่อกันมากเลย ก็ควรจะแบ่งให้ปฐมอโศกได้จัดงานบ้าง กุฏิที่ปฐมอโศกร้างมาหลายปีแล้วน่าจะได้จัดงานบ้าง จะได้ช่วยกันทำวัดร้างให้กลับมามีชีวิตหลายครั้งหนึ่ง ปฐมอโศกมีกุฏิสมณะ สิกมาตุมากกว่าเพื่อนเลย แต่ก็มีสมณะอยู่ไม่กี่รูป
พอเดือนเมษายนก็จะมีย้ายเหมือนกัน ปฏิทินไปเอาวันเสาร์อาทิตย์ของงานปลุกเสกเป็นหลัก เลยย้ายงานตลาดอาริยะมาจาก 13-14-15 เมษายน 2566
งานพุทธาภิเษก 5-11 มีนาคม ปลุกเสกเริ่มวันที่ 4 ถึงวันที่ 10 เมษายน เรามีงานติดต่อกันทุกเดือนทุกเดือน พ่อครูต้องใช้อิทธิบาทมากในการดำรงขันธ์ให้ยืนยาว ทางสันติอโศกบอกว่าถ้ามีอะไรจะไม่รบกวนพ่อครูมาก อยู่ที่พ่อครูมีกำลังเมื่อไหร่จะมาคุยก็คุย ให้พ่อครูเป็นช่วงเวลาที่สบายไม่เหนื่อยมาก
พ่อครูว่า… SMS วันที่ 16-17 มกราคม 2566
จุดหมายปลายทางของคนคือหมดโลภ หมดโกรธ หมดหลง ตามคำสอนพระพุทธเจ้า
_คอยใคร · กราบเคารพพ่อครูครับเมื่อเช้าฟังรายการท่านฟ้าไท มีอาที่ทำอาหารให้เด็กๆ ตอนเย็นบอกว่า ทำแล้วใครก็กินได้ ไม่ได้ทำให้เด็กกินอย่างเดียว ผู้ใหญ่ก็กินได้ ผมนี้โล่งอกเลยครับ เพราะถ้าผมไปอยู่บ้านราชแล้วผมจะได้ไม่ต้องปรับตัวกินมื้อเช้ากับกลางวันให้ยุ่งยาก ตกเย็นผมก็ไปกินกับพวกเด็กๆ เหมือนที่ใช้ชีวิตปรกติแบบเดิม กินมื้อเดียวสบายเลยครับ เพราะเช้าถึงเย็นผมจะได้ทำงานได้เต็มที่เหมือนเดิมที่ใช้ชีวิตทุกวันนี้ครับ จะพยายามหาเวลาเพื่อทำตามที่เคยสัญญาไว้ว่าจะไปช่วยงานบ้านราช1เดือนครับ
วันที่ 16 ม.ค. วันครู ขอกราบขอบพระคุณพ่อครูที่สั่งสอนชี้ทางให้เดินตามสัมมาทิฐิ ชี้แนะทางธรรมให้ดำรงชีวิตแบบคนจน จนผมพ้นบ่วงโลกีย์ หมดโลภ หมดหลง ใช้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะครับ
พ่อครูว่า… ยินดีต้อนรับ โอ้โห หมดโลกหมดหลงเลยนะ คือพูดไปง่ายๆไม่ได้กำหนดหมายว่ามันละเอียดลออลึกซึ้งเท่าไหร่ คำว่าหมด นี่คงหมายถึงลดลงไปบ้าง ใช้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ
ก็ถ้าเกิดว่าหมดจริงก็ง่ายแน่นอน หมดความโลภหมดความหลง ใช้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะก็ใช่ คำสอนพระพุทธเจ้านี้จริง หมดความโลภหมดความหลง เป็นชีวิตที่สบาย อยู่ในโลก โดยเฉพาะทุกวันนี้ สังคมมนุษย์คนไทยโดยเฉพาะคนไทยยุคนี้ มันมีสังคมชาวอโศกเป็นสังคมสาธารณคี สังคมคนที่หมดความโลภ หมดความโกรธ หมดความหลงได้เลย ความโกรธนั้นควรจะหมดก่อน ความโลภนั้นมันยืดยาดกว่า ความโกรธนี้มันง่ายกว่า หมดความโกรธ หมดความโลภ หมดความหลงแล้ว นี่คือจุดหมายปลายทางของมนุษย์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
ท่านเกิดมากี่ชาติกี่ชาติก็เรียนรู้เรื่องคน เรื่องสังคมมนุษย์ เรื่องคนอื่นจะเป็นเรื่องอะไร ท่านก็เรียนอยู่บ้าง แต่สุดท้ายท่านก็ไม่เห็นจะมีอะไรสำคัญในความเป็นมนุษย์ที่เกิดมา ไม่มีอะไรสำคัญเท่าการเรียนรู้ความโลภโกรธ หลง แล้วละลดสิ่งนี้ให้หมด เมื่อสิ่งนี้หมดไปคุณจะอยู่กับโลกหรือคุณจะเกิดกับโลกไปอีก
เช่น จบเป็นอรหันต์แล้วตายก็มีหลักประกันเลย เป็นหลักประกันชีวิตเลยว่าเกิดมาในชาติหน้า เกิด มาปั๊บ จะมีลิงลมอมข้าวพองบ้าง ถูกโลกครอบงำนิดหน่อย ถูกโลกฉาบพอกแล้วเป็นไปตามเขาบ้าง อาตมาเกิดมาในชาตินี้ก็มีตอนแรกๆ พระพุทธเจ้าเกิดมาก็เหมือนมีความโลภโกรธหลง มีกาม มีราคะไปตามโลกบ้าง มันก็เป็นสัจจะ
เสร็จแล้วเมื่อจิตวิญญาณของตัวเองตื่นเต็มเป็นตัวเองเต็มที่แล้ว สัจจะตัวเองที่เคยปฏิบัติมาได้แล้วเป็นของตัวเองแล้ว สยังอภิญญา เป็นของตัวเองเป็นอภิญญาหรือความรู้แบบพุทธ โลกุตรธรรม มันได้แล้วมันก็จะขึ้นมาเป็นตัวเอง แล้วเราก็จะมีชีวิตที่รู้ดีเลยว่า ไอ้ความที่ไม่มีโลภโกรธหลง มันเป็นความประเสริฐอย่างไร เป็นคนประเสริญด คนไม่รู้ดีไม่ดีเขาจะหาว่าบ้าด้วย แต่คนที่รู้เขาจะยกเครื่องบูชาเคารพ
เหมือนพวกคุณเข้าใจดีในเรื่องคุณธรรมโลกุตระ จึงมาพบอาตมาแล้วมาได้รับความรู้ ได้รับความจริง มาคบค้าสมาคมกับสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ได้ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ ศรัทธาก็บริบูรณ์ มีโยนิโสมนสิการที่บริบูรณ์ไปตามลำดับ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ สุจริต 3 บริบูรณ์ ความเป็นวิชชา ความเป็นวิมุต ความเป็นโพชฌงค์ 7 สติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 ก็บริบูรณ์จนจบวิชชาและวิมุติไปตามอาหารสูตร
พระพุทธเจ้าให้หลักเกณฑ์ให้เราปฏิบัติประพฤติตาม ผู้ที่เรียนรู้ดีๆปฏิบัติตามดีๆก็ได้รับผล การได้รับผลแล้วก็เป็นผลที่ตัวเองและเป็นผลต่อสังคม เมื่อสังคมมีคนที่ได้รับการบรรลุธรรม มีการบรรลุธรรมที่จริง สังคมก็เป็นอย่างสังคมชาวอโศกของเรานี่แหละ เป็นสังคมที่ง่ายสบาย ผู้บริหารผู้ปกครองก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย สบาย เป็นพลเมืองที่มีประโยชน์คุณค่าต่อสังคมต่อมนุษยชาติ ไม่เป็นภาระของใคร นอกจาก ภาราหเวปัญจขันธา เป็นภาระที่ขันธ์ 5 เราก็ดูแลมันไป ถ้ามีเวลาก็ช่วยคนอื่นเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นเป็นอย่างยิ่ง
จนกระทั่งเป็นคนจน เป็นคนที่ไม่ต้องมีเงินทองไม่ต้องสะสมเงินทองเลย เป็นสังคมสาธารณโภคีอย่างที่เราเป็นได้ ไม่ต้องมีเงิน วันๆเราก็อยู่กับสังคมไป มีอยู่มีกินมีใช้ ทำงานได้เต็มที่ มีเหตุปัจจัย มีเครื่องไม้เครื่องมือเครื่องใช้ให้ทำงาน สมบูรณ์บริบูรณ์ มันเป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาปฏิบัติจนกระทั่งเกิดผล เห็นจริง ซึ่งมันเห็นจริง
ทางสังคมโลกเขาก็อยากให้คนเป็นอย่างที่เราเป็น มาเป็นได้อย่างที่เราเป็นได้ เขาอยากให้เราเป็น แต่เขาไม่ค่อยเข้าใจลึกซึ้งละเอียดและเขาไม่รู้วิธีการของพระพุทธเจ้า ที่แม้แต่เป็นชาวพุทธ ชาวเทวนิยมชาวตะวันตกทางยุโรป ทางเทวนิยมทั้งหลายเขาไม่มีศาสนาพุทธนะ เขาจะไม่รู้จักเลย ว่าคนชนิดนี้มีด้วยหรือในโลก เขานึกไม่ออก
อย่าว่าแต่นึกออกเลย บอกยังไม่ค่อยเข้าใจ ยังไม่ค่อยรู้เลย เช่น เราบอกว่าเราจะมาเป็นคนจน เราสมัครใจมาเป็นคนจน เขาฟังแล้วก็จะงง ศาสนาเราสอนให้มาเป็นคนจนแล้วก็เป็นได้ มันเป็นอย่างไร คนจนก็ตายสิ จะอยู่อย่างไร
มาเป็นคนรับใช้ ซึ่งจริงๆในสังคมพวกนักการเมืองก็บอกว่ามาเลือกเราไปเราจะได้ไปรับใช้สังคมประชาชน เขาก็พุทธนะ แต่มันยังเผินๆยังไม่ลึกซึ้ง ลึกซึ้งมาเป็นผู้รับใช้จริงๆเลย ของพระพุทธเจ้านี่แหละเป็นนักการเมืองสุดยอดเป็นคนรับใช้ประชาชน คนอย่างพวกเราแต่ละคน วันๆก็ทำงานกินอยู่พอใช้ เสร็จแล้วก็ใช้ มีแรงงาน มีผลผลิต ที่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ว่าจะเป็นกสิกรชาวไร่ชาวนาชาวสวนก็มีผล หรือจะเป็น ช่าง ในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เป็นช่างทำไม้กวาดอย่างง่ายๆ ก็ทำไม้กวาดแจกจ่ายได้ใช้ เป็นช่างทำอันนั้นอันนี้ได้ดีจนกระทั่งกลายเป็นช่างทางโลกเขา เป็นช่างเหล็กช่างไม้ช่างเครื่องจนกระทั่ง เป็นแบบพวกเราก็มีก็เป็นก็ทำ ในสิ่งที่เราจะต้องใช้ จนกระทั่งเป็นด้านการศึกษาด้านสื่อสาร ด้านอะไรๆต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ในมนุษยชาติเราก็เป็น แล้วก็ไม่เห็นต้องขึ้นอยู่กับเงิน อย่างพวกเรามีทุกช่างมีทุกงานที่พูดผ่านมากลายๆ มีของทางโลกบางอย่างที่เราไม่ไปเป็น ฉันจะไม่ไปเป็นช่างชงเหล้า ตัดผ้าเป็นแฟชั่นหลอกคน ไปเป็นช่างปรุงแต่งลิปสติก อะไรทั้งโลกเขามีเยอะแยะ แล้วได้เงินทองสูงด้วยนะ แพงด้วยมากด้วย เราไม่ได้ไปเสียเวลาเป็นอย่างนั้น นี่แหละคือเศรษฐศาสตร์ที่เจริญ คือเราไม่เอาแรงงานเวลาทุนรอน เอาไปใช้กับงานไร้สาระและมอมเมาด้วย สูญเสียความเป็นคนสูญเสียความเป็นพฤติการณ์ สังคม
ซึ่งมันตรงกันข้ามกับความเข้าใจทางโลกเขาที่ต้องยิ่งปรุงแต่ง แค่เสื้อผ้าต่างๆก็ตัดมาหลอกกันมีแฟชั่นราคาแพงอะไร เป็นความสูญเสียมากเลยและก็โง่ลงด้วย เพราะคนที่หลงแฟชั่นก็คือโง่ตามและถูกหลอกล้วงกระเป๋า ซื้อแล้วซื้ออีกใส่ตู้ไว้ ๆ ไม่รู้จะโง่ไปถึงไหน เสร็จแล้วก็ทนหาเงินไปให้เขา มันจะไม่ทันสังคม ไม่เป็นหน้าเป็นตาแบบที่เขาเป็นกัน
พวกเราปฏิบัติธรรมเสร็จแล้วสิ่งเหล่านี้มันหายไปเลยไหม มันไม่เห็นเป็นความสำคัญอะไร นอกจากไม่เห็นเป็นความสำคัญแล้วยังเห็นเป็นความโง่ด้วย รู้สึกว่าตัวเองเคยโง่ไหม เคย ที่ถามนี้เชื่อว่าจริงอย่างที่อาตมาพูดใหม่โง่จริงไหม …จริง ไปด่าเขานะ อาตมาไม่ได้ชวนคุณร่วมวงด่าเขานะ ตำหนินั่นเอง เห็นว่าสิ่งนั้นไม่ควรจะไปน่านิยม ไปเป็นไปมี
เกิดมาชีวิตหนึ่งก็มีเวลาเท่ากัน เวลาล่วงไป กำลังแรงงานของแต่ละคนก็มีพอกัน เป็นหนุ่มเป็นสาวก็มีแรงงานเต็มที่ อายุมากหน่อยแรงงานก็ลดลงบ้าง มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ เสร็จแล้วเราก็ทำงาน เกิดมาก็ทำการงาน กิริยาต่างๆเป็นสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ ที่พระพุทธเจ้าสรุปรวมทั้งหมดแล้ว สัมมาทำอย่างดีทำอย่างชอบ ดีแล้วถูกต้องสมควรแล้ว จนกระทั่งถึงขีดว่า มันก็ไม่มีปัญหาแล้ว วันๆหนึ่ง ชีวิตของเรามีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมของเรา ทำอะไรไปเป็นคุณค่าประโยชน์
ถ้าคุณทำงานเสร็จ มีผลผลิต ขึ้นมา เป็นต้น แล้วคุณก็โฆษณาผลผลิตว่าใครกินอันนี้ได้แล้วก็จะเหาะได้เลยนะต้องขายให้แพงๆ จะเจริญจะประเสริฐ จะสวยงามตลอดอะไรก็แล้วแต่ที่จะยกแบบทางโลก ที่คนเขาอยากเป็นอย่างมีอยากได้ตามประสาคนโลกๆ ที่นิยมกันก็ว่ากันไปหลอกกันไป โฆษณาให้คนเชื่อถือ จะเป็นจริงหรือไม่ก็แล้วแต่คนนิยมก็ตั้งราคาแพงขึ้นก็เอาเปรียบเรารัดกันไป
แต่พวกเราเข้าใจธรรมะแล้วเราสร้างที่จำเป็นเราก็สร้าง ถ้าเราจำเป็นจะต้องขายเพื่อไปซื้อสิ่งอื่นที่เราจำเป็นเหมือนกันเราก็ต้องใช้บ้างก็ต้องแลกสิ่งเหล่านั้นมา มาเป็นตั๋วแลกเงินคือธนบัตรแทนสิ่งนี้แล้วก็ซื้อสิ่งที่เราจำเป็นบ้างอื่นๆ เราก็ทำบ้าง ก็ไม่จำเป็นจะต้องขี้โลภเอากำไรมาสะสม เอาเปรียบเอารัดต่อไป เป็นเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจที่สบายมากเลย คำสอนพระพุทธเจ้าเป็นเศรษฐศาสตร์ในตัว ไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ได้ มีการทำทาน มีเสียสละแจกจ่ายเจือจานเกื้อกูลผู้อื่น
มันจบในเรื่องการอยู่ในสังคม การบริหารสังคม การทำให้สังคมเป็นไปอยู่ดี ไม่ว่าจะเลือกด้านเศรษฐศาสตร์ เรียกว่ารัฐศาสตร์เรียกว่าสังคมศาสตร์หรือเรียกว่า ศาสตร์ใดๆ วิศวกรรมศาสตร์ สื่อสารศาสตร์สื่อสารมวลชน นิเทศศาสตร์ ก็ตั้งชื่อมาเรียกกันเท่ๆเยอะแยะ มันก็ขึ้นมารับใช้ ตัวเราก็ได้อาศัยใช้สอยกินอยู่มีชีวิต มารับใช้มวลชนประชาชนไป ที่เป็นสัจจะ
รูปธรรมของความเจริญแบบโลกียะต่างจากความเจริญแบบโลกุตระ
_หลวงปู่คะเรื่องดวงชะตาของคนอยู่ที่เราเลือกจะเป็นไปใช่ไหม
พ่อครูว่า… ดีๆๆ เข้าใจถูกแล้ว ดวงชะตาของเรามันขึ้นอยู่กับเราเลือกจะเป็น ไม่ใช่มีดวงชะตาใครมากำหนดหรือพระเจ้ามากำหนดคนนั้นคนนี้มากำหนดไม่ใช่ เราเลือกจะเป็น เช่น เราจะเลือกมาเป็นคนแบบชาวอโศก เราเลือกจะเป็น เห็นดีว่ามาเป็นอย่างนี้ดีแล้วก็มา หากเรายังเป็นอย่างชาวอโศกไม่ได้เต็มตัว เราก็เรียนรู้ปฏิบัติ ทำอย่างไรมันจะเป็น ก็ระลึกรู้ว่าเราไปติดที่ทางโลกเขาเพราะเป็นทางโง่อย่างที่พูดผ่านมา ก็รู้ว่านี่ ชาวอโศกเขาเลิกกันแล้วเราก็มาเลิก เราเลิกได้เราก็รู้สึกว่าดีนะเลิกแล้วสบายดี แต่ก่อนขาดไม่ได้มันจะเป็นจะตาย แต่เมื่อปฏิบัติเลิกได้แล้ว มันเบาว่าง่ายสบายไม่หนักไม่หนาไม่เปลือง ไม่เสีย ต้องเสียเวลาทุนรอนแรงงาน เราก็เอาเวลาคืน มาได้จากที่เคยไปสูญเสียเปล่าๆ เอาทุนรอนที่เคยลงไปอย่างนั้นคืนมาได้ เอาแรงงานคืนมาได้
นี่มันคือเศรษฐศาสตร์บทยิ่งใหญ่เลยนะ กอบกู้คนขึ้นมาได้ พวกเราจึงเป็นเศรษฐีเงินถัง แต่สตางค์ไม่มี นี่เป็นเศรษฐีตัวจริง เสฏฐะ เสฏโฐ เศรษฐีแปลว่าความประเสริฐ แต่ว่าเขาไปแปลผิดว่าเป็นคนรวย ที่จริงคนรวยมาจากคำว่ากระฎุมพี แต่เศรษฐีจริงๆเป็นคนจน คนประเสริฐ
พระพุทธเจ้าท่านเกิดในกองทรัพย์สิน ท่านออกมาเลย ทิ้งไม่เหลียวแลเลย แล้วมาเป็นคนจน อยู่กับคนจนตลอดพระชนม์ชีพเลย ไม่ต้องหันหน้าไปใช้เงินทองอีกเลย
แต่พวกเราอย่างทุกวันนี้นักบวชพระพุทธเจ้า ทางเถรสมาคมอยู่กับกองทรัพย์สินลาภยศ เป็นพระมหาศาลเหมือนอย่างยุคที่มันเสื่อม พระพุทธเจ้าท่าน ตรัส แต่ก่อนเขาเรียกพราหมณ์มหาศาล พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็มาถูกเรียกเป็นพระ มาเรียกทีหลัง อย่างเมืองไทยใช้คำว่า พระ ที่อื่นก็ไม่ได้ใช้คำว่า พระ ตาม เป็นพราหมณ์มหาศาล อย่างไทยก็เลยกลายเป็นพระมหาศาล คือพระที่มีทรัพย์สินเงินทอง มีลาภมียศมีสรรเสริญ เสพสุข โลกียสุขสบาย แย่งชิงกันไป หาทุกข์ใส่ตัวเอง ถ้าไม่หาทุกข์ใส่ตัวเองกินสบาย มีวิธีการ มีพิธีการอันนั้นอันนี้ ซึ่งไปแปลงพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า มีพิธีทอดผ้าป่า มีพิธีทอดกฐิน มีพิธีทำทานบริจาคทำบุญ ปิดทองฝังลูกนิมิต มีงานไอ้โน่นไอ้นี่ ทำให้คนมาบริจาค ทาน เสื่อมเสียหมดเลย ศาสนาพระพุทธเจ้าเลยกลายเป็นศาสนาที่เละเทะ เห็นแก่ลาภเห็นแก่ยศ แล้วก็ตั้งยศตั้งศักดิ์ แล้วก็หลงติดยศติดศักดิ์กันอย่างนั้นแหละ แล้วก็มามีสรรเสริญ
แล้วก็สรรเสริญผิดๆด้วย สรรเสริญคนที่หลงมีลาภยศโก้เก๋ แม้แต่ที่สุดมีความรู้ ความรู้ที่ไม่สัมมาขทิฐิแต่ก็ไปสรรเสริญกันยกย่องกันเป็นคนมีความรู้ รู้มากบางทีเป็นคนรู้มากเฉยๆแต่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ มิจฉาทิฏฐิ เช่น เข้าใจคำว่า กาย ก็ยังไม่สัมมาทิฏฐิ
คำเริ่มต้นคือคำว่ากายมีสภาพ 2 ภายนอกภายใน มีรูปมีนาม จะต้องมีสภาพ 2 มีรูปมีนาม ถ้าไม่มีสภาพ 2 นี้ไม่ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าเลย จึงต้องมีสภาพ 2 นี้มีเท่านั้น มีรูปมีนาม
ต้องปฏิบัติศึกษาจะต้องมีการกระทบภายนอก กระทบทางตาหูจมูกลิ้น โผฏฐัพพะ กายกระทบทั้งหมด แล้วจึงเกิดการเรียน เกิดการเรียนรูปนามแล้วก็เป็น อายตนะ คุณก็จัดการอายตนะของคุณ
อายตนะ คุณจะต้องมีผัสสะ มีเวทนาอยู่ในอายตนะ แล้วก็อ่าน อายตนะนี้ ทางตา จากอายตนะ ทางหูโสตายตนะ ก็เกิดการรู้รูปรู้นาม แล้วมันเกิดกิเลสไหม
เป้าประเด็นที่จะปฏิบัติธรรมมันอยู่ตรงนี้ จะเรียนรู้อะไรไปได้เก่ง 108 ถึงปราชญ์รู้ภาษาบาลี รู้ภาษาความรู้ทางธรรมะก็ให้มาปฏิบัติทางนี้ อย่าไปหลงใหลในความเก่งรู้มากเกิน เอาให้เข้าเป้า ตรงนี้เป้าหมายชัดเจนไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย นั่งมืดบื้อ ไอ้นั่นมันเป็นโมฆะเลย อาตมาไม่รู้จะพูดอย่างไรศาสนาพุทธกลายเป็นเดียรถีนั่งหลับตาเต็มตาเหมือนตอนพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา ก็เจอเดียรถีย์นั่งหลับตาเต็มป่า ท่านก็ต้องคอยฟื้นขึ้นมา อายุน้อยไม่มีอะไรต้องค่อยๆปฏิบัติเขาถึง
แต่ในยุคนี้อาตมาเอามารื้อฟื้นยังไม่โงไม่เงยเลย ยังยึดมั่นถือมั่นบอกว่า โพธิรักษ์ว่าอะไรมาขวางโลกเขา ครูบาอาจารย์เขาสอนมาตั้ง 2, 3, 4, 5 รุ่นแล้ว เขาหลับตาเขาออกป่า เขาออกไปไม่รู้เห็นอะไรจริงไม่รู้ครบ เขายืนยันว่าอย่างนั้นเป็นความถูกต้องเป็นความดับความ มารู้ครบแล้วรู้หมด นี่คือจุดสำคัญ
รู้ครบทุกอย่างแล้วกิเลสหมดจากที่รู้ครบนี่แหละ ฟังความให้ชัดขึ้นไหม ไม่ได้หมายความว่า เบลอๆ ไม่รู้รอบรู้ทั่วรู้ครบแต่รู้รอบรู้ถ้วนรู้ข้อแปล ถ้าคุณมีสติปัญญามีสติสัมปชัญญะ กว้างดีรู้ สัมผัสอะไรก็แวววัยรู้หมดกิเลสเกิดจากอะไรเมื่อไหร่ เรามีผลักมีดูด อยู่ในกิเลสอยู่ในสิ่งที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์อันนั้นอันนั้น แล้วเราก็ปฏิบัติได้ว่าเราไม่ได้ติดอะไร อะไรจะยิ่งใหญ่ในโลกเราก็รู้ว่า อันนี้มันก็สำคัญนะ ราคามันแพง มันมีค่าในสังคมหายาก
เช่น มีทองคำ มีเพชร มีพลอย มีโลหะชนิดนี้ มีวัสดุชนิดนี้ หรือมี พืชพันธุ์ธัญญาหารชนิดที่มันมีประโยชน์ มีสิ่งที่ดีมีคุณค่า มีธาตุอาหาร สมตัวของมัน เช่นนี่ บีทรูท ไม่ใช่ของไทยด้วยหัวผักที่เรียกว่าบีทรูท มันมีวิตามินมีเนื้อหาสาระของธาตุอันนี้ ตามที่มันมี เจริญดีมากเลย คนนี้ปลูกได้ ได้สมส่วนของความเป็นธาตุบีทรูท ส่วนอันนี้คนนี้ปลูกกะหล่ำปลี แหม กะหล่ำปลีมันหัวแหลมๆชอบกล (โยมบอกว่า กะหล่ำหัวใจ ) เคยเห็นแต่กะหล่ำกลมๆแป้นๆโตๆ แต่อันนี้กะหล่ำปลีหัวใจ อาตมาก็เพิ่งเคยได้ยินวันนี้ แล้วมันก็รูปแบบนี้ด้วยนะ
ก็เอาไว้ใช้กินใช้บริโภคเลี้ยงขันธ์ แล้วก็ด้วยความสำคัญ แทนที่เราจะไปทำแฟชั่นทำเดรัจฉานวิชา แทนที่จะไปเป็นสิ่งที่…ทำอะไรที่มันไร้คุณค่าของความยังชีพ คุณไปเป็นนักเลงคุมบ่อนคุมซ่อง คุณก็ได้เงินมาเลี้ยงชีพ ขู่เข็ญเขาได้ เขายอมเขากลัว มันก็มีสิ่งนั้นเลี้ยงชีพแล้วมันดีไหม เราฟังเราก็รู้ว่าอย่างนั้นมันชัดเจน
หรือมันจะดีขึ้นมากว่านั้นหน่อย หรือมันอะไรดีแท้ อาตมาก็พูดมาหมดบรรยายมา จริงๆก็คือ เหตุปัจจัย ปัจจัย 4 ข้าว ผ้า ยา บ้าน เป็นเรื่องที่คนขาดไม่ได้หรอก เอาละ ผ้าอาจจะ แต่สังคมมันก็ต้องมีผ้านุ่งห่มบ้าง แต่มันก็ไม่อะไรมากจริงๆมีนุ่งห่มกันร้อนกันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อย กันอุจาด ก็มีกันพอสมควรมี 4-5 ชุดใช้กันไปจนตายเลย มันไม่ได้ขาดง่ายๆ ยิ่งทุกวันนี้วิธีการสร้างผ้า สร้างวัตถุเครื่องอาศัยเป็นผ้านุ่งห่มเก่ง
เพราะฉะนั้นมันไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไรเลย ยิ่งทุกวันนี้ มันจะสำคัญจำเป็นต้องกินต้องใช้ประจำกว่าก็คือข้าว ยารักษาโรค เมื่อเป็นโรคจึงจะต้องใช้ ไม่ได้เป็นโรคก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้ ยาก็มีเอาไว้ไม่ประมาท แต่ข้าวต้องกินจึงเป็นหนึ่งในโลก หรือเอาละไม่กินข้าวกินเผือกกินมันก็แล้วแต่ ข้าวก็มีเยอะหลากหลายชนิดแต่ละถิ่นแต่ละที่ อย่างเมืองไทยเรากินข้าว rice เป็นหลัก ที่อื่นมีการกินข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ก็คืออาหารพวกแป้งมีคาร์โบไฮเดรต ก็มีความรู้กัน ไม่ได้เป็นความรู้ยากเย็นอะไร
เพราะฉะนั้นสิ่งจริงในชีวิตของคน รู้จักสาระที่จะอาศัย แล้วก็มีกิน ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ นอกนั้นมีเวลาเหลือทุนรอนเหลือ เราก็เอามาทำงาน ผลิตสิ่งที่จำเป็นนี่แหละ
อาตมาเน้นให้ชาวอโศกที่อยู่หอคอยงาช้าง ไม่ค่อยจะชอบลงงานกสิกรรม อยากให้ไปเป็นนักกสิกรรม ไปเป็นกสิกรกันให้ดีๆ ทำให้มากๆขึ้นมาเลย ทำให้เหลือเฟือจนกระทั่ง ให้มันมีคุณค่า ทำให้ดีๆมีคุณภาพ คนข้างนอกเขาเชื่อถือนะว่า พืชพันธุ์ธัญญาหารของชาวอโศก ผลิตขึ้นมา ขณะนี้ในเมืองไทยก็คิดว่ารู้กันไปกว้างไม่ใช่น้อยแล้ว สำหรับชื่อเสียงในเรื่องการผลิตให้ได้พืชพันธุ์ธัญญาหารของชาวอโศก ตั้งแต่ไร้สารพิษและมีคุณภาพในเนื้อหาสาระของอาหารที่มีธาตุอาหารดี คืองาม กะหล่ำปลีก็งาม หัวไชเท้าก็งาม บีทรูทก็งาม คำว่า งาม พูดง่ายๆกินความว่า มันงาม แล้วมันเป็นจริงด้วย มันมีสารอาหารสาระเนื้อหาของมันวิตามิน แต่มันดีก็เป็นรู้กันทั่วไป
ก็อยากให้ชาวอโศกมาเป็นกสิกรผลิตสิ่งเหล่านี้ให้มาก ชาติไหนเขาก็ต้องการในสิ่งนี้ ชาติไหนก็ต้องรับ ดีเหมือนกันว่า เราไม่มีอุตสาหกรรมเลวร้ายคือสร้างอาวุธไปฆ่าคน อาจจะมีบางที่ที่จำเป็น กองทัพอาจจะทำบ้างนิดๆหน่อยๆ แต่ไม่ได้ทำกันยิ่งใหญ่จนกระทั่งมีชื่อเสียง มีความสามารถอะไรและก็ไม่ได้ไปทำแข่งเขาเลย จะต้องมีคุณภาพรุนแรงเป็นอาวุธร้ายร้ายแรง เราไม่ทำ อันนี้เป็นความเจริญความประเสริฐ เป็นความรู้ของมนุษย์ที่เจริญ พวกที่ยังโง่ๆเสื่อมๆอยู่ก็จะยังไม่สร้างอาวุธร้ายแรงอยู่ เขาไม่เข้าใจหรอก อาตมาพูดเขานึกว่าไปด่าเขา ซึ่งมันมีความจำเป็นจะต้อง ด่า เราก็อยู่ในโลกยุคเดียวกันจำเป็นหรือไม่จำเป็น พวกเราก็ไม่ต้องสร้าง ประเทศเราอยู่รอดไหมซึ่งไม่ได้สร้างเก่งอย่างเขาก็อยู่รอด อาจจะเผื่อต้องมีกองทัพอาศัยบ้าง แต่ไม่ได้เห็นจะมีเอาไว้ฆ่าแกง แสดงก็เก่าเก็บทิ้งไปเยอะสูญเสีย ปีหนึ่งไม่รู้เท่าไหร่ ทุกวันนี้ก็เข้าใจขึ้น แต่ที่ผู้ที่ไม่เข้าใจเป็นทหารก็ต้องบอกว่าต้องมีอาวุธที่ทันสมัยแต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้
อาตมาอยากจะให้ผู้บริหารประเทศใช้คำว่าประเทศไทยเลย พยายามจะทำยังไงให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นกลาง ไม่ต้องไปคำนึงถึงสงครามเขาเลย เขาจะมาฆ่าแกงก็ฆ่าแกงเลย ประเทศไทย เขาจะมายึดมาริบ เพราะเราไม่มีความสามารถทางทหารในการยิงปืนสู้รบที่จะมาฆ่าเราก็ฆ่า แต่ให้มาสร้างอาหารและทำอาหารแพร่ไปให้ทั่วโลก ขายให้ถูก แจกได้แจก เมืองไหน ประเทศไหนที่เขายากจน เขาควรจะได้รับ เอานโยบายอย่างนี้จริงๆเลย ตั้งต้นตั้งแต่วันนี้ไปเลย ทำความเข้าใจในทิศทางที่อาตมาพูด
นักบริหารประเทศทั้งหลาย จะเป็นนักการเมือง นักรัฐศาสตร์หรือเศรษฐศาสตร์ นักสังคมศาสตร์ใดๆเป็นอย่างนั้น ทำความเข้าใจให้ได้ ให้มาเป็นกสิกร
เมืองไทยเป็นโซนที่ปลูกพืชปลูกผักพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ดีที่สุดแล้ว ในโลก เป็นเมืองที่ทำได้ หิมะไม่มี ความเย็นฝนมีพร้อม ทำได้ดี ความเย็นนี้พืชพันธุ์ธัญญาหารงามพอสมควรเลย แล้วก็มีความร้อน พืชพันธุ์ธัญญาหารนี่ชอบความร้อนมีเยอะ ปลูกได้ตลอดทั้งปี ทำให้มากให้เหลือเฟือและเป็นสินค้าหลัก
ไม่ต้องขายแพงเลยและเราก็มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ชีวิตไม่จำเป็นต้องรวย ชีวิตได้แจกจ่ายเกื้อกูลผู้อื่นได้มากๆมันก็ไม่รวยหรอก นั่นแหละไม่ต้องรวยแต่มีแจกผู้อื่นให้มากๆมีสะพัดให้แก่ผู้อื่นให้มากๆไม่ต้องรวย ดูซิว่ามันจะมีชีวิตรอดไหม …รอด ยิ่งใหญ่ด้วย เป็นผู้ให้แก่โลกเป็นผู้ที่มีประโยชน์คุณค่าแก่โลก คนจะเข้าใจไหม ชาติประเทศอื่ที่ไม่มีลัทธิอย่างที่ไทยเราพูดนี้ เขาก็จะเข้าใจ ใครจะมาทำร้ายเมืองไทยจะเป็นเมืองที่มีเป็นเมืองพลาธิการ
ถ้าเรายิ่งเก่งเรื่องสุขภาพอีก ก็เป็นทั้งพลาธิการ อาหารและกาชาดของโลก มีนโยบายสร้างประเทศให้เป็นอย่างนี้ได้ไหม มันสมควรทำนะ แม้แต่วิธีการรักษาแบบไทย ก็คือแพทย์แผนไทย แบบไทยนี่แหละทำให้มันเจริญจริงๆเลย ก็ใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นหลัก พัฒนาสิ่งนี้ให้เป็นหลักใหญ่เลย ประเทศชาติจะยิ่งใหญ่ ไม่ต้องไปแข่งกับเขาหรอกไอ้อย่างที่เขายังไม่เข้าใจถึงสิ่งสำคัญของประเทศ เอาอันนี้ให้ยิ่งใหญ่
เจริญอย่างนี้แหละไม่ใช่สำคัญไม่ต้องรวยไม่รวยนี่แหละ ชาติอื่นจะไม่ต้องริษยามาปล้นไม่อยากได้ ไม่อยากได้เพราะมันจน ประเทศจนๆเขาไม่อยากจะมาทำอะไรหรอก แต่ก็มันจะมีสิ่งที่เขาอยากได้เพราะ goodwin ของพวกเรามันมีทรัพยากร มันมีมากอยู่ที่คน ไม่ได้มากอยู่ที่ดินหรอก ดินมันก็มีขึ้นแต่แห้วหมูไม่มีอะไรให้กินได้มากหรอก มันก็ต้องอยู่ที่คนนี้แหละสำคัญ
เพราะฉะนั้นเราก็เป็นคนที่สร้างสิ่งที่มันสำคัญให้แก่โลก ให้แก่ประเทศชาติ
ที่นี้จะสมมุติเล่นๆในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แล้วนะ สมมุติว่า เมืองไทยสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารให้มากล้นเลย เสร็จแล้วก็ไม่ต้องขาย เลือกเอาไปแจกประเทศต่างๆแจกไปเฉยๆนี่ เพราะเราสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร เราก็มีกินเราอยู่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็แจกเพราะมันเหลือเฟือ เรามีชีวิตสร้างแล้วก็แจก แล้วก็กินสิ่งที่เราสร้างขึ้นมากินใช้ ขายบ้างนิดๆหน่อยๆพอจะมาซื้อของที่จำเป็นที่ขาดยังสร้างไม่เป็นยังสร้างไม่ได้ จะต้องใช้เช่นกัน สื่อสารจะต้องใช้ เทคโนโลยีที่เราไม่เก่งไม่เป็น บางทีรถราต่างๆนานามันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นทีเดียว ทุกวันนี้เมืองไทยเองในโรงงานสร้างรถ แต่เมืองไทยเองไม่มีเจ้าของคนไทยที่เป็นเจ้าของยี่ห้อของไทยเลยไม่มี (โยมว่ามีรถตุ๊กตุ๊ก) รถตุ๊กตุ๊กเราก็ไม่ได้สร้างเครื่องยนต์เองหรอก ไม่ได้หล่อเอง อาศัยอะหลั่ยของคนอื่นเข้ามาประกอบ ไม่ได้เป็นโรงงานเองเลยไม่ใช่ โรงงานหล่อตั้งแต่อุปกรณ์ต่างๆของตัวเองหมดเลย ไม่ได้เป็นโรงงานสมบูรณ์แบบ เมืองไทยไม่ได้เป็น ทางอุตสาหกรรมไม่ได้เป็น
เรามาเอาดีทางกสิกรรมนี่ อาตมาไม่พาดพิงไปถึงปศุสัตว์และประมงเลยนะ แต่เขาก็ต้องทำไปตามประสา อาตมาไปห้ามเขาไม่ได้แต่อาตมาไม่ส่งเสริม เดี๋ยวมันเป็นวิบาก เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่จำเป็นต้องไปกินเนื้อสัตว์ ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ ไม่ต้องไปกินปูกินปลาอะไร อย่างพวกเราก็กินแต่พืชพันธุ์ธัญญาหาร สบาย อายุยืนด้วย ขอยืนยันว่า อายุยืน
นิวรณ์ 5 อาหารของวิชชา เป็นไฉน
เพราะฉะนั้น เมืองไทยมีชาวอโศกเข้าใจศาสนาพุทธแบบนี้ และก็นำพากันทำแบบนี้ อาตมาพาทำมาได้ไม่ถึง 100 ปีพึ่งทำมาได้ถึงแค่ 50 ปี ถ้าทำต่อไปถึง 100 ปี อาตมาทำงานไปให้ครบ 100 ปีเลยนะอาตมาทำงานศาสนาให้ 100 ปีก็อายุครบ 136 เพราะว่าอาตมาทำงานตั้งแต่อายุ 36 ปี ถ้าอายุ13@6 ปีจะเห็นได้เห็นหลังเลย ทำได้ถึง 100 ปี นี่ทำมา 50 ปี เพิ่งเห็นแค่หลังกับส้นๆ ยังไม่ได้เห็นหน้าเลย ยังไม่ได้ถึงขั้นเห็นหน้าเลย
แต่ก็เห็นรูปร่างแล้ว เห็นรูปร่างของสิ่งที่สร้างชีวิตให้เกิด สิ่งที่เป็นตามคำสอนพระพุทธเจ้าที่อาตมาเข้าใจตามภูมิของอาตมา ว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้แล้วเอามาพูดเอามาพัฒนา คิดว่ามันได้สูญหายไปของพระพุทธเจ้าเอาฟื้นคืนมาเท่าที่อาตมาจริงใจ ทำตามภูมิว่ามันควรจะฟื้นฟูมา เสร็จแล้วมันก็ฟื้นคืนมาได้เท่าที่มันได้ขนาดนี้
เราก็ได้อาศัยใช้สอยกินอยู่ใช่ไหม ได้อาศัยใช้สอยกินอยู่จนถึงขนาดนี้ หลายคนก็ไม่ดำเนินชีวิตอย่างนี้มา 30 ปี 40 ปีใครถึง 50 ปียกมือสิ มีแม่ชีกรุณาได้ 46 ปีย่าง 47 ปี ก็เห็นรูปร่าง เห็นองค์ประกอบของความเป็นไปแบบศาสนาพุทธพาทำ เครื่องอาศัยอาหาร อาหารก็แปลว่า เครื่องอาศัย ตั้งแต่หยาบ ตั้งแต่พืชพันธุ์ธัญญาหารเป็น กวฬิงการาหาร จนกระทั่งถึงขั้นวิญญาณอาหาร ได้อาศัยมา จนกระทั่งทุกวันนี้ อาตมาเอาอาหาร เกี่ยวข้องกับอาหาร
อาหาร 10
๑. การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ..
การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง
๒. การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ..
ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)
๓. ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ..
การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)
๔. การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น)
เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ .
๕. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น). .
เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์
๖. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ..
ทุจริต ๓ (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)
๗. ทุจริต ๓ เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ ๕
๘. นิวรณ์ ๕ เป็นอาหารของ.. อวิชชา
๙. อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา
(พตปฎ. เล่ม ๒๔ ข้อ ๖๒)
เขามีอวิชชาเขาก็มีนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร เขาไม่เข้าใจหรอกว่าเขามีวิจิกิจฉา วิจิกิจฉาคือความงงงวยสับสน เขารู้ก็ไม่ครบหรอกวิจิกิจฉา ไม่ใช่รู้สมบูรณ์แบบเลย มีปัญญา 8 ไม่ง่าย ต่อให้จบเปรียญ 9 จบด็อกเตอร์ก็รู้ปัญญา 8 ไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ละเอียดแล้วพอหรอกเป็นวิจิกิจฉา เเพราะฉะนั้นเขาจะฟุ้งซ่านอุทธัจจะ
ถีนมิทธะ เขาจะหนีเขาจะหลอก ไม่เข้าใจหนีเข้าป่าไปสงบไปนั่งหลับตา นั่นแหละมันเป็น ถีนมิทธะทั้งนั้น เข้าป่าหลบจากสังคมเป็น ถีนมิทธะ ทั้งนั้น
อุทธัจจะกุกกุจจะ ก็เป็นความฟุ้ง ฉันรู้มากฉันสอนธรรมะอยู่มากท่องจำได้ก็มาก โอ้โห สอนอยู่มาก มีคนยอมรับนับถือฟุ้งไปเรื่อย คนยกย่องสรรเสริญเป็นผู้รู้เป็นปราชญ์เอก ฟ่องลอย เหลิง เป็นพวกพญาครุฑ พวกพญานาคก็ดับๆ นี่แหละคำศัพท์ของพวกโง่สมบูรณ์แบบมี 2 ทิศทางคือพวกฟุ้งซ่านกับพวกจมบาดาล
อาตมาเอามาอธิบายอย่างง่ายๆ เป็นประเด็น 9 เป็นด็อกเตอร์ก็ตามก็ยังโง่เป็นพญาครุฑอยู่อย่างนั้น ไม่ได้เข้ามาหาฐานที่ควรจะปฏิบัติอย่างแท้จริงเลยที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พวก ปทปรมะ ฟังก็มากรู้มากสั่งสอนอยู่แต่ไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินั้นเลย
คำว่าบรรลุธรรมไม่ใช่ง่าย ถ้ารู้อย่างสัมมาทิฏฐิแล้ว ง่ายมาก แต่ไม่ได้รู้ได้ง่ายๆ … ยาก เช่น ฌานวิสัยเป็นต้น ความเป็นฌาน ทุกวันนี้ศาสนาพุทธก็ไม่มี ฌานพุทธศาสนา มีแต่ฌานฤาษี ไปนั่งหลับตาแล้วบอกว่า เป็นฌาน
แค่นี้เป็นเบื้องต้น ฌานของพุทธไม่ได้หลับตา ฌานของพุทธต้องลืมตา ฌานของพุทธต้องประกอบไปด้วยศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับคนกับสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ที่คือคนนี่แหละ คุณต้องสัมผัสๆกับคน ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสๆกับคนแล้วมีกิเลสหรือไม่ กิเลสนิวรณ์ 5 เรายังมีกาม ลดให้หมด อ้อ เรายังมี พยาบาทโกรธเคือง ลดให้หมด
วิมุติ กามหมด พยาบาท ปฏิฆะหมด ไม่จมหลงหลบๆลี้ๆดับๆหรือฟุ้งซ่านกับความรู้ที่เป็นพญาครุฑอย่างที่ว่าก็อยู่กับสังคมที่เป็นปัจจุบัน อ้อ ตากับรูปอันนี้คือเรื่องจริง หูกระทบเสียงอันนี้คือเรื่องจริง จมูกกระทบกลิ่นอันนี้คือเรื่องจริง ลิ้นกระทบรสเรื่องนี้คือเรื่องจริง กิเลสไม่เกิดก็จบง่ายจะตายไปชีวิต นั่นแหละคุณมี ฌานมีวิมุติ ง่ายไหม แต่เข้าใจแค่นี้ไม่ค่อยถูกหรอก ฌาน จะต้องไปนั่งหลับตาแล้วก็เป็นฌาน พวกที่ติดยึดแล้วพูดไปเขาก็ไม่กระดิกหูหรอก
ยืนยันว่าหลับตาไม่มีฌานของพุทธมีแต่ฌานของฤาษี อยู่นอกรีต ฌานของพุทธคือ
-
มีศีล 2. ปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ตื่นทางตามลิ้นกายใจ ไม่ตื่นก็ต้องตื่น ชาคริยานุโยคะ ตื่นมารู้ ตาก็ต้องตื่น จมูกลิ้นกายก็ต้องตื่น ไม่ไปหรี่หลับ สัมผัส ตากระทบรูป หูกระทบเสียงอยู่นี่แหละแล้วกิเลสเกิดในขณะนี้คือเรื่องจริง ลิ้นกระทบรสอยู่ เกิดกิเลสไหมนี่แหละเรียนอันนี้ให้จบ ฌานคือเผากิเลสคือไฟ พลังงานทางจิต ฌานเป็นปัญญา ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ไหนฌานอยู่ที่นั่นไม่มีปัญญาไม่มีฌานไม่มีฌานไม่มีปัญญา
เป็นภาษา 2 อัน อันหนึ่งคือพลังงาน อีกอันหนึ่งคือความรู้ปัญญา 2 อย่าง แต่ก็คืออันนี้แหละสภาวะอย่างนี้แหละ เกิดแล้วทำให้กิเลสมันลดได้
เพราะฉะนั้นจะเกิดสำคัญที่สุดอยู่ที่การโภชเนมัตตัญญุตาอยู่ที่การกินการใช้ เรียนรู้เรื่องการกินการใช้นี่แหละเท่านี้ก็เป็นพระอรหันต์ ไปนั่งหลับตานั้นปัดโธ่เอ๋ย ไม่มีสิทธิ์เลย ต้องมาปฏิบัติที่การกินการใช้
ไอ้ที่การกินมันจะไปแตะที่ลิ้น ถ้าไม่เข้าไปแตะลิ้น มันก็มีแต่ข้างนอกตาหูจมูกลิ้นกาย (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… พ่อครูว่ามันง่าย แต่ก็ยากสำหรับเขาเพราะเขาไม่ได้เจอสัตบุรุษ เขาก็ไม่รู้ว่าจะละกิเลสอย่างไร เพราะขนาดเขาหลับตายังเอาไม่อยู่เลย ถ้าลืมตาเขาก็เละเทะแน่เลย พวกพระสายหลับตาก็ยังชอบ ลาบ ชอบเนื้อสัตว์ของอร่อยๆกินทั้งวัน เขาไม่ได้คบสัตบุรุษ ก็เลยนั่งเอาเป็นเอาตายจะได้บรรลุ แต่เราคบสัตบุรุษแล้วทุกอย่างดูง่ายไปหมด
พ่อครูว่า… ตกเย็นเขายังกินน้ำปานะเลย เอาอะไรต่ออะไร เอาสมอเอามะข้ามป้อม ใส่น้ำตาลใส่เกลือใส่พริก จนกระทั่งเขาเคี้ยวสมอ เคี้ยวมะขามป้อมก็ถือว่าเป็นปานะ อาตมาผ่านมาหมดแล้ว
เขาติดยึดอยู่อย่างนั้นก็ไม่รู้ คือ ในทวาร 6 ทวาร 5 ภายนอก ตา มันก็ยังเห็นในรูป มันมีทวารเดียวที่ยากคือลิ้น แล้วมันจะเรียนรู้เยอะด้วย แล้วไม่เรียนรู้กิเลสจากลิ้น ไม่มีโงเงยเลย แล้วไปติดรสในอันนั้นอันนี้ รสลิ้น ในอาหารชนิดโน้นชนิดนี้ ติดในลาบ ติดในก้อย ติดในต้มยำ ติดในผัด ติดอะไรก็แล้วแต่ ติดพิซซ่า ติดแพนเค้ก ติดขี้หมูราขี้หมาแห้งอะไรก็แล้วแต่ที่เขาหลอกทำมาปรุงแต่งไป อะไรไม่อะไรไปติดหมากติดพลู ซึ่งมันไม่ใช่อาหาร มันไม่มีประโยชน์เลย อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะเป็นโทษหรือเปล่า แต่ก็ไปติดมัน มันมีรสเผ็ดมันมีรสฝาดมันมีรสเค็มขมขื่นอยู่ในนั้นหมด
ใครเคยกินบ้าง พลูใครเคยกินพลูบ้าง โอ้โห ใบพลู แล้วก็ทาปูนเข้าไปอีก ปูนนี่มันกัดนะ แล้วหาของฝาดๆ สีเสียด แก่นคูน เป็นต้น ไม้ฝาดๆ ใส่เข้าไปอีก เก่งจริงๆเลยทนทายาดเลยนะ แต่ก็ไปติดมันเพราะมันมีรสจัด เคี้ยวไปก็ไม่รู้ไม่ชี้อย่างพวกสายหลับตานี้กินหมากกันจั๊บๆ อย่างมหาบัวนี้ไม่ขาดปากเลย แต่เขาไม่รู้ว่าอันนั้นคือสิ่งเสพติดแล้วก็ติดยึดกันอยู่อย่างนั้น แล้วจะไปเรียนรู้ธรรมะอะไร ในกามคุณ 5 รูปรสสกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่ในหมากพลูเต็มไปหมดเลย ทั้งรูปทั้งกลิ่นทั้งรสทั้งเสียงได้ด้วยนะ เคี้ยวจั๊บๆๆ หมากสดๆนี่กร๊อบ เสียงดีจังเลย น้ำหมาก หมากแห้งก็กรอบดีเนาะ สีเสียดก็กรอบ แก่นคูณก็มา อะไร
แต่พวกคนสมัยใหม่ไม่ค่อยรู้เรื่อง อาตมาคนสมัยโบราณ คนสมัยเก่าเขากินกันเยอะ อาตมาพอรู้แต่ไม่เคยไปกินกับเขาหรอก เคยลองแล้วไม่ไหว กัดพลูทีนึงก็จะตายแล้ว เลิกทั้งนั้นแหละไม่เห็นน่ากินสักอย่างเลย ไม่เห็นน่ากินสักอย่าง แต่ไปติดไอ้สิ่งที่กินยากเหล่านี้แล้วนึกว่าเก่ง มันติดเข้าไปแล้ว มันก็เลยไปยาก มันก็เลยไปติดไปยึดอีก เลยกลายเป็นคนเลิกไม่ได้ อย่างมหาบัวพอรู้ว่าเขาพยายามจะเลิกแต่เลิกไม่ได้ ก็เลยปุโลปุเล บอกโลกไปว่าเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ ไม่ใช่เรื่องของสิ่งเสพติด ตัวเองหลอกคนอื่นอีกว่าไม่ใช่สิ่งเสพติด มันก็เลยไม่ดีหนักเข้าไปอีก มันไม่เข้าท่า
นั่นก็วิจัยวิจารณ์ไปอันหนึ่งแล้ว ที่นี้ก็มาดูคนต่อมา
พลังอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ของพ่อครูทำให้ชาวอโศกบรรลุธรรม
_ พิเชฐ บุญวิรุณ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่ง …ตามความเข้าใจของข้าน้อย ปฏิบัติศีลข้อ 1 ถึง 3 แบบที่พ่อครูอธิบาย ทำให้ถึงจิตจริง ๆ ให้ละเอียดลึกซึ้งไปถึงจิตวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่เป็นโทษเป็นภัยแก่ตนเองและผู้อื่นอย่างหมดจด ก็จะบรรลุถึงความเป็นอรหันต์ได้(พ่อครูว่า… จริงอาตมายืนยัน) แม้จะไม่สามารถอธิบายพยัญชนะตามภาษาของพระพุทธเจ้าเลยก็ตาม …ผมเชื่อว่าพ่อครูทำอนุสาสนีปาฏิหาริย์ได้จริง(พ่อครูว่า… อนุสาสนีปาฏิหาริย์คือคำพูดคำสอน) สามารถสอนคนให้เป็นพระอริยะได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาบาลีเลยแม้แต่ครึ่งคำ หรือจะสร้างลัทธิของตนเองขึ้นมา โดยไม่ต้องใช้คำว่า “ศาสนาพุทธ” ก็ได้ อาจจะได้สาวกหรือผู้ติดตามมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่พ่อครูก็ไม่ทำอย่างนั้น ( พ่อครูว่า…ไม่นะอาตมาถ้าไม่มีเครดิตพระพุทธเจ้าก็ทำไม่ได้)ยังคงยืนหยัดยืนยันความเป็น “ศาสนา” ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่อย่างมั่นคง แม้จะถูกบีบคั้นขับไล่อย่างไรก็ไม่ยอมถอยจากความเป็น “พุทธ” เลย (แม้ครึ่งเมล็ดงา)
พ่อครูว่า…อาตมานี้ถูกเขาจะให้สึกให้ได้ เขาเล่นงานทุกวิธี จนสุดท้ายเขาจะเล่นงานให้อาตมาสึก จนกระทั่งติดคุก แต่ก็ไม่มีโทษอะไรที่จะต้องไปเข้าคุก ให้รอลงอาญา เขาก็เลยบอกว่าผิดไปถึงขั้นฟ้องร้อง ซึ่งเขาทำผิดกันเพราะอาตมาประกาศนานาสังวาสแล้ว เขาจะมาอธิกรณ์กันไม่ได้มาฟ้องร้องกันไม่ได้ แต่เขาทำ อะไรที่ผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเขาทำหมด เถรสมาคมทำผิดทำอะไรของพระพุทธเจ้ากับอาตมาเขาได้ทำหมดเลย อาตมาเขียนไว้แล้วในหนังสือ ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส คือทางเถรสมาคมน่าสงสารเขาไม่ประสีประสาเขาไม่รู้เขาทำผิดอาบัติไปได้ ทำกับอาตมานั้นอาบัติ แล้วเขาก็นึกว่าเขาทำถูก เขาบังคับให้อาตมาสึกแล้ว อาตมาไม่กล่าว สึก จนกระทั่งสุดท้ายก็ไม่กล่าวสึกอย่างที่มีหลักฐาน
มีตัวแทนที่มาเป็นตัวหน้าม้าก็คืออธิบดีกรมการศาสนา เสนาะ พ่วงภิญโญ มาบังคับจะให้อาตมากล่าวสึกให้ได้ อาตมาก็ไม่กล่าว โดยใช้คำที่เขาก็จะงง ว่าไม่ขอตอบใดๆ เขาก็จบจริงๆบอกว่า “เป็นอันจบกัน”แล้วมันจบจริงๆ เป็นอันจบกันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว มันสุดวิสัยแล้ว อาตมาก็ยังคงเป็นสมณะเป็นพระ แต่เขาก็ประกาศว่า พวกเราพวกอโศกนี้ไม่ใช่พระศาสนาพุทธ เถรสมาคม เท่านั้นเป็นพระศาสนาพุทธ อาตมาก็ไม่แย้งไม่เถียง ไม่ไปแข่ง ไม่ไปชิงอะไรกับเขาหรอก อาตมาก็ดำเนินงานทำงาน ก็จบด้วย นานาสังวาส ประกาศกันสุดท้ายแล้ว ต่างคนต่างอยู่ พอตัดสินหมดแล้วทางธรรม อาตมาก็บอก อาตมาประกาศนานาสังวาสกับพวกท่าน มีธรรมวาทีอย่างไรท่านก็ประกาศของท่านไป อาตมาก็ทำของอาตมาไป เปิดร้านขายปาท่องโก๋อยู่ข้างทาง มีคนอุดหนุนร้านอาตมาก็อยู่รอดอาตมาประกาศอย่างนี้อยู่แล้ว แล้วอาตมาก็ทำมาจนป่านนี้ร้านปาท่องโก๋ของอาตมาก็มีพวกคุณมาอุดหนุน ก็อยู่ได้แล้วก็ได้อาศัยอธิบายธรรมะของพระพุทธเจ้ามา จนกระทั่งทุกวันนี้ 50 กว่าปี
ซึ่งอาตมาก็ว่าได้สาธยายเนื้อหาสาระจนกระทั่งเกิดเป็นกลุ่มหมู่ชาวอโศกมีสาราณียธรรม 6 สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีลาภร่วมกันก็เอามารวมกันกินกันใช้เป็นสาธารณะ ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา พิสูจน์ได้ว่าแม้ในยุคนี้ก็ปฏิบัติได้ตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าถูกต้องสมบูรณ์แบบหมดเลย ยืนยันได้ว่า แม้ ยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคที่เสื่อมที่สุด ธรรมะพุทธเจ้านี้ยากที่สุด แต่ก็เกิดได้เป็นสังคม สาราณียธรรม 6 สาธารณโภคี มีวรรณะ 9
เป็นมนุษย์ที่พัฒนาทางโลกุตรธรรมได้ง่าย มีอานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
-
ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง สุณาติ)
-
ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง ปริโยทเปติ)
-
ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง วิหนติ)
-
ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ)
-
จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ ปสีทติ)