660113 ศีลกับอปัณณกปฏิปทา 3 ในวิชชาจรณะ พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1sWYQB7rFnFQA5a7XnBy0VFq8OGsC0aWLgrY44JoOhOg/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1G0rtZjCKC_GRHZPZWUXz-vsE50QIacqI/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1301392687373534
และ
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2566 ที่บวรสันติ ปี 2566 น่าจะเป็นปีพิเศษของชาวอโศก อย่างน้อยพ่อครูก็ได้เดินทางมาที่นี่ ทั้งที่ไม่ได้มีโปรแกรมมา แต่เป็นเรื่องของสุขภาพโดยตรง เพราะว่าการเดินทางมักจะเป็นอุปสรรคต่อกายขันธ์ของพ่อครู เดินทางมาแต่ละครั้งเป็นเรื่องทุกข์ทรมานร่างกาย จึงมักหลีกเลี่ยงการเดินทางไกล แต่เมื่อมีภาวะความจำเป็นด้านสุขภาพต้องมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราช จึงเป็นความพิเศษที่ได้มา
วันที่ 13 กุมภาพันธ์เป็นวันที่พ่อครูจะครบ 88 ปี 8 เดือน 8 วัน ก็น่าจะกำหนดให้พวกเราตั้งใจดูแลสุขภาพกัน พ่อครูตั้งใจจะอยู่เกิน 100 ปีอยู่แล้ว แต่ถ้าพ่อครูอยู่คนเดียว ถ้าลูกๆไม่อยู่ก็ไม่น่ามีประโยชน์เท่าไหร่ ต้องอยู่ด้วยกันถึงจะดี ถ้าพ่อครูอยู่ได้ถึงร้อยปีก็จะไร้เทียมทาน เพราะว่าคนอื่นๆที่อายุเท่าๆกันตายหมดแล้ว พวกเราก็ช่วยกันคิดกันว่าทำอย่างไรจะสามารถช่วยกันฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย
มาถึงที่ว่าหวยจะออกที่สันติอโศกไหม? ทางกรรมการ วันนี้พูดคุยกัน มีเสียงทักท้วง ไม่น่าให้พ่อครูอยู่ที่สันติอโศกเพราะไม่มีที่จะเดิน น่าจะเอาสุขภาพพ่อครูเป็นหลัก ตรงไหนที่ทำให้สุขภาพแข็งแรงได้ น่าจะอยู่ตรงนั้น อาตมาฟังแล้วก็ซาบซึ้งใจ ที่พวกเราอยากให้พ่อครูอยู่ที่สันติอโศกแต่ก็เห็นแก่สุขภาพพ่อครู ไม่ต้องล็อคไว้ที่สันติอโศกก็ได้ พ่อครูอยู่ตรงไหนก็จัดตรงนั้นได้ เราก็มาฟังคำตอบจากพ่อครูกัน คิดกันเองไม่มีคำตอบ คำตอบอยู่ที่พ่อครู
วันที่ 14 เป็นวันแห่งความรักของนักบุญ วันที่ 13 ก็น่าจะเป็นวันแห่งความรักของพระโพธิสัตว์ พ่อครูจะให้ชื่อว่าอย่างไร? พ่อครูจึงให้ชื่องานนี้ว่า งาน “อัฏฐาริยสัจจายุ” วันแห่งความรักของรัก รักพงษ์ (ฉลองครบรอบ 88 ปี 8 เดือน 8 วัน) ที่จะมาถึงในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 (lovely Day& Lucky Number)
พวกเราจะอายุยืนยาวกันต่อไป
พ่อครูว่า…เจริญธรรมทุกคน ก็โอภาปราศรัยกับ SMS กันก่อน
SMS วันที่ 12 มกราคม 2566
ประชาธิปไตยต้องมี 2 ขา จึงสมบูรณ์แบบ
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ ในระบอบระชาธิปไตยที่แท้จริงต้องมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข จึงเป็นประชาธิปไตย ๒ ขา จึงจะสมบูรณ์แบบประชาชนต้องเป็นอิสสระ
พ่อครูว่า… อาตมาเป็นคนพูดเองว่าประชาธิปไตยต้องมี 2 ต้องมีทั้งรูปและนามเป็นสภาวะ 2 ถ้าเป็นสภาวะเดียวมันไม่เต็มเต็งกับคน เพราะว่าคนมีจิตกับร่างกาย มีกายมีจิต แต่ถ้าไปมีแต่ภายนอกไปมีแต่ ร่างกาย ไม่เอาจิตเข้าไปร่วมอย่างสำคัญ ซึ่งจิตนั้นเป็นประธานสำคัญด้วย เพราะฉะนั้นการขาดจิต ซึ่งมันลึกซึ้งซับซ้อนมาก อาตมาอธิบายถึงขั้นว่าจะต้องมีการสืบทอดสันตติวงศ์มีการสืบ dna มีกฎมณเฑียรบาล สืบสันตติวงศ์ของพระเจ้าแผ่นดินต้องสืบทอดกันมา ราชวงศ์มาเลย มีการสั่งสมทศพิธราชธรรมกัน
ผู้ที่มีรัฏฐาธิปัตย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินของมวลประชาชน จะต้องเป็นคนที่มีคุณธรรมมีทศพิธราชธรรม ประธานาธิบดีที่ได้ด้วยวิธีเลือกตั้ง ไม่มีเลย ไม่มีเค้า ไม่มีกฎเกณฑ์ระบบอะไรที่จะเป็นได้ เป็นประชาธิปไตยสะเปะสะปะ ใครมีกลวิธีมีแทคติกมีวิธีการอะไรที่ทำได้ เขาก็ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เป็นรัฏฐาธิปัตย์ของประเทศ
ซึ่งมันไม่จริงเลยมันเป็นการสมมุติเล่นลิเกละครกันเฉยๆ นั่นคือประชาธิปไตยในมุมมองผู้ความรู้ของอาตมาซึ่งรัฐศาสตร์การเมืองที่เขาเรียนกันมาจากตำราของเทวนิยม ตำราของพวกตะวันตก ตำราของพวกที่เป็นศาสนา พระเจ้า ไม่ใช่เป็นตำราของศาสนาพระพุทธเจ้า
แต่ประชาธิปไตยของอาตมา เป็นประชาธิปไตยจากศาสนาพระพุทธเจ้ามันคนละตำรามันเป็นโลกุตรธรรม อันนี้จึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องที่คนคิดไม่ออกได้ง่ายๆ มันเป็นเรื่องสมบูรณ์ จึงจะสมบูรณ์แบบประชาชนต้องเป็นอิสระ ของเราแบบโลโก้ตะระนี้จึงสมบูรณ์แบบเป็นอิสระ
อย่างชาวอโศกนี้ มีความสมบูรณ์แบบ มีทั้งรูปและนาม แต่เราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเป็นอิสระเสรีภาพเท่าเทียมกัน แต่ปัจจุบันนี้ คุณซึ้งซื่อให้ข้อสังเกต
_แต่ปัจจุบันนี้ตัวอย่าง คุณชัชชาติผู้ว่า กทม.ฯคนปัจจุบันเขาใช้เล่ห์กลจนทำให้คนเลือกคะแนนท่วมท้น และต่อไปผมคิดว่า ถ้าเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งต่อไป พวกเขาก็จะใช้เล่ห์กลอันนี้มาอีก อยากกราบ
เรียนพ่อ ช่วยสอนพ่อแม่พี่น้องชาวไทยว่า ควรจะทำอย่างไร ไม่ให้ไปเชื่อน้ำยา ของพวกนักการเมืองที่เตรียมตัวมาโกงชาติอีก กราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า… เหมือนอย่างพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้รับเลือกเป็นนายกนี้ ไม่ได้รับเลือกมาจากการเป็น ส.ส ได้รับเลือกมาจากเหตุปัจจัยที่มาจากประชาชน ในรอบ 4 ปีแรก ประชาชนเราไปปฏิวัติ ไปประท้วงไล่จนเรียบร้อย แล้วอาตมาก็ยืนยันว่า รัฐบาลถูกล้มด้วยประชาชน แต่คนเขาไม่เชื่อไม่เข้าใจว่าอันนั้น พอเราไปประท้วงจนจบแล้ว เราก็รอผู้มารับไม้ช่วง พลเอกประยุทธ์มารับไม้ช่วงต่อยืนในฐานะตอนนั้นพอดี ก็มาใช้ภาษาบอกว่า ผมขอยึดอำนาจ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงไม่ได้ใช้มีดใช้ปืนใช้รถถัง มันสงบเรียบร้อยหมดแล้วก็ยึดไปเลย
แล้วนายกประยุทธ์ก็บริหาร 4 ปีนั้นมา เขาก็เอาพฤติการณ์นี้ มายืนยันว่า เป็นเผด็จการทหาร ทหารยึดอำนาจแล้วมาบริหาร 4 ปี หลังจากนั้นก็มีเลือกตั้ง เลือกตั้งเสร็จก็ได้นายกประยุทธ์อีกทั้งที่ไม่ได้เป็น ส.ส เขาเลือกตั้ง ส.ส.กันแล้วมาโหวตเสียงให้นายกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนี้นายกประยุทธิ์ จึงเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบเลย แต่คนเขาก็ยังไม่เข้าใจ นักรัฐศาสตร์ก็ยังไม่รู้ บอกว่า เขาเป็นทหารอยู่นั่นแหละ ทั้งที่นายกประยุทธ์เอง บอกว่าตอนนี้ผมไม่ใช่ทหารแล้วนะ ใช่ผมเคยเป็นทหารมา แต่ตอนนี้ผมเป็นนายกรัฐมนตรี คนก็ยังบื้อไม่เข้าใจความจริงอันนี้ นี่คือความซับซ้อน ที่ทำให้คนแยกไม่ออก ว่ามันคืออะไรแท้ มันเป็นลักษณะสิริมหามายา เป็นสภาพสอง
เพราะฉะนั้นถ้ามีการเลือกตั้งครั้งต่อไป พวกทักษิณก็ยึดเอาคำว่าประชาธิปไตย เป็นของเขาไปแล้ว เขาบอกว่าพวกนี้เป็นพวกเผด็จการทหาร เขาก็จะใช้กลยุทธ์แบบนายชัชชาติ คุณซึ้งชื่อก็เป็นห่วง เป็นห่วงประชาชนจะตกเป็นเยื้อ ของนักเลือกตั้ง
อาตมาอธิบายหลายครั้งแล้วว่า นายกประยุทธ์เป็นนายกแบบประชาธิปไตย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เป็นนายกเลย เพราะว่าประชาชนปฏิวัติแล้วนายกมารับไม้ต่อแล้วบริหารมา มันเป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เชื่อกัน จนกระทั่งมีเลือกตั้ง แล้วเขาก็เลือกนายกประยุทธ์ขึ้นมาซึ่งคู่กับธนาธรตอนนั้น ตอนนี้ยิ่งเป็นประชาธิปไตยเต็มใบชัดเจนอีก เขาก็ยังบอกว่าเป็นทหารอยู่ คือเป็นพวกตามืดตาบอดไม่มีความรู้อะไรเลย มันก็ซื่อบื้ออยู่อย่างนั้น ปึ๊กขนาดพวกนี้ ภาษาอีสานคือโง่ขนาดหนัก อยู่อย่างนั้นไม่เคยโง เคยเงยอะไรขึ้นมาเลย
อาตมาก็บอกอย่าไปหลงคารมนะ จบ ก็มันง่ายๆชัดๆอยู่แล้ว จริงๆแล้วประชาชนยังเต็มใจยินดีที่จะให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกอยู่ พลเอกประยุทธ์ก็เต็มใจที่จะทำงานต่อ แต่ว่านักประชาธิปไตยหรือแม้แต่นักกฎหมาย ก็ไปทำกฎหมายให้บอกว่า 8 ปีไม่ให้ต่ออีกมันก็เลยยาก ก็เลยมีคนดำริว่า ควรจะแก้รัฐธรรมนูญ แก้กฎหมายนั้นเสีย อยากให้นายกประยุทธ์ทำต่อ ก็มีคนดำริเห็นจริงอันนี้ แต่จะปลดล็อคได้แค่ไหนก็ไม่รู้ได้ ก็มีช่องทางกฎหมายซ้อนอยู่ ถ้าเป็นได้ ตอนนี้บอกว่าถ้าจะเป็นก็เป็นได้อย่างมากอีก 2 ปี
ซึ่งเขามีกฎหมายที่เป็นบทเฉพาะกาล บอกว่าถ้าเป็นได้ก็เป็นได้อีก 2 ปี อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องบัญญัติขึ้นมาในแต่ละยุคสมัยตามควร ไม่น่าจะเอากฎเกณฑ์มาเป็นหลักใหญ่ แต่ว่าน่าจะเอาพฤติกรรมจริงของมนุษย์ ผู้ที่ทำหน้าที่อยู่ เป็นนายกคือรัฏฐาธิปัตย์แทนประชาชน มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นรัฐธาธิปัตย์องค์พระเจ้าอยู่หัวอยู่แล้ว และก็มีอีกคู่หนึ่ง ประชาธิปไตยจะต้องมี 2 เป็นธรรมดามีทั้ง ราชประชาสมาสัย (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… ประชาธิปไตยไทยก็คิดแต่จะเลือกตั้ง
พ่อครูว่า… นั่นก็เป็นพฤติการณ์ของเมืองไทย อาตมาก็พยายามชี้ให้เห็น ค่อยๆบอกข้อสังเกตต่างๆนานาไปตามลำดับให้เห็นว่า จริงๆแล้วประชาธิปไตย ของพระพุทธเจ้ามันเป็นประชาธิปไตยที่มีทั้งรูปทั้งนาม เป็นประชาธิปไตยที่มีวิญญาณ ไม่ใช่ประชาธิปไตยเอาแต่เน้นเอียงโต่งไปทางรูป หรือทางหลักเกณฑ์กฎหมายเท่านั้น
แต่จริงๆแล้วถ้าจะว่าเอียงก็เอียงมาทางจิตวิญญาณด้วยซ้ำ ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า จิตวิญญาณเป็นใหญ่ ถ้าจะว่าแล้วเป็นจิตนิยม มากกว่าวัตถุนิยม หรือการบริหารเรื่องของมนุษย์ เรื่องของสังคมนั้น จิตวิญญาณเป็นใหญ่ เป็นประธาน เพราะฉะนั้นของพระพุทธเจ้าคือจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง จะไปบริหารสังคมเป็นอยู่มนุษยชาติก็ไม่มีปัญหาเป็นใหญ่ จะบอกว่าเอียงโต่งก็ต้องเอียงโต่งมาทางจิตนิยาม แต่เขาไม่เข้าใจความลึกซึ้งอันนี้
เมืองไทยเป็นเมืองที่มีความจริงที่ยืนยันความจริงนี้ชัด จิตวิญญาณเป็นประธานจึงรอดตัวมาได้ตลอดหมดเลย ไม่ได้เที่ยวรบไปทั่วเหมือน ประเทศอังกฤษ เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาตลอด เหมือนกัน
อย่างอังกฤษเขาเป็นต้นสำหรับประชาธิปไตย มารวมกับของไทยก็ให้เป็น ประชาธิปไตยไทยๆภายหลังเหมือนกัน แต่มันต่างกันตรงที่อังกฤษนั้นเป็นศาสนาเทวนิยม เมืองไทยเป็นศาสนา อเทวนิยม เป็นศาสนาพุทธ อันนี้แหละเป็นเรื่องที่เข้าใจกันไม่ได้ ในเรื่องโลกุตรธรรม ที่อาตมาพยายามขยายความ นักรัฐศาสตร์ก็ยังไม่กระดิกหู เพราะยังไม่มีตำราเรียน
รัฐศาสตร์เขาถือว่าเป็นของตะวันตกเป็นของศาสนาเทวนิยมขาเดียว ซึ่งมันไม่ได้เลย มันไม่เหมือนกันเลย มันมีความลึก คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ต้องเป็นบัณฑิตอย่างแท้จริงเท่านั้น แต่ว่าบัณฑิตเทียมที่ศึกษาจากตะวันตกนั้นไม่ใช่ บัณฑิตจริงต้องจบของพระอรหันต์คือเป็นพระอรหันต์ขึ้นไปเป็นต้น ที่เป็นบัณฑิตแท้
อาตมาพูดว่าตัวเองเป็นอรหันต์ ทุกวันนี้สบายใจเปิดเผยหมดแล้ว พูดไปจนกว่าจะตาย ยังไม่ยอมตายก็ไปเรื่อยๆ แต่บอกตรงๆว่า อาตมาก็ฝืนตลอดเวลา ฝืนที่จะยังไม่ยอมตาย แม้แต่ที่นั่งพูดอยู่ตรงนี้ มันก็พยายาม ซึ่งมันก็ไม่ถึงกับขนาดลำบากลำบนอะไรเกินเพราะมันได้อยู่ มีฌาน มีปัญญา ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 อยู่
อาตมาก็ไม่ได้ยากอะไรใช้ปัญญาใช้ฌาน ใช้อุตสาหะวิริยะทำงาน นี่เขาก็ให้นอน นอนมาจนกระทั่ง 10 นาทีก่อนจะลงมา จะลุกก็ไม่ได้เขาให้นอน เขาก็ปรารถนาดีก็ไม่เป็นไร ช่วยกัน
จรณะวิชชาทำให้เกิดสติปัญญานำพาประชาธิปไตย
_จรรยา ประเสริฐ · ดิฉันฟังเรื่องกับการเด็ดขาดไม่วน ดิฉันรู้ว่า ดิฉันยังออกไปจากครอบครัว หมายถึงญาติพี่น้อง ยังไม่ได้ วนอยู่กับความรัก ในมิติที่ 2 และ 3
มิติที่ 1 ออกมาได้ และคิดว่าขาดแล้ว กับลูก ก็มิติที่ 1 ก็ไม่กังวล นอกจากสอนให้เป็นโสด เท่านั้น
มิติที่ 2 รักญาติพี่น้อง ต้องใช้วิบากยังออกไม่ได้ ไม่ใช่เพราะรักมากมายอะไร นอกจากความรับผิดชอบ ต้องส่งให้หลานเรียนหนังสือให้สำเร็จก่อน อีกอย่างญาติพี่น้องก็ไม่ปล่อยเรา เพราะมีอะไรนิดหน่อย ก็ต้องมาหา มาขอความช่วยเหลือ และดิฉันต้องช่วยด้วย เพราะคิดว่าเป็นวิบากเก่า สัมภาระวิบาก ถ้าเขาปล่อย หลานต้องเรียนจบกระมัง ก็คอยวันนั้นค่ะ
ส่วนมิติที่ 3 รักสังคม เป็นตัวอย่างที่ดี คือถือศีล กินมังสวิรัติ ตลอดชีพ ช่วยสนับสนุน ลุงตู่ นายกคนดี เลือกตั้งก็เลือกคนดี ที่สนับสนุน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสนับลุงตู่เป็นนายกคนต่อไป ถ้าลุงตู่ไม่ได้ ก็แล้วแต่ วาสนาบารมีชาติบ้านเมือง แค่นี้ ก็ทำให้ได้ในสังคมเละ ๆ ในสมัยนี้แล้ว อย่างอื่นยังนึกไม่ออกค่ะ กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… ก็ดีเข้าใจที่อาตมาเทศน์มา คุณเข้าใจสังคม สภาพความเป็นอยู่ที่ มันปรุงแต่งอยู่ในสังคมสังขารกันอยู่ คุณพูดมาอาตมาเข้าใจ คนอื่นจะเข้าใจ ได้แค่ไหนก็อ่านไปแล้ว
อาตมาที่เป็นลูกพระพุทธเจ้า เอาเรื่องของสังคมมาอธิบาย อธิบายตามความรู้ของ พระพุทธเจ้าทั้งที่อาตมาไม่ได้เรียน ศาสตร์ต่างๆที่โลกเขามีปริญญาตรีโทเอกอาตมาไม่มี อาตมาเรียนทางวาดเขียนสื่อศิลปะด้วยซ้ำ ซึ่งเรื่องเหล่านี้อาตมาไม่ได้พูดอะไรมากมาย ก็พูดเรื่องสังคมมนุษย์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์เป็นหลัก ในชีวิตมาตลอดทำงานศาสนา ก็มีแต่เรื่องพวกนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องวาดภาพศิลปะ ให้เป็นเรื่องเป็นราวเลย มีแต่พูดพาดพิง ไปเท่านั้น
เพราะว่าสำคัญจริงๆของมนุษย์คือเรื่องของสังคมเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์นี่แหละเรื่องของชีวิต ธรรมะคืออันนี้ แต่คนไม่เข้าใจ
พระพุทธเจ้าท่านจบ ท่านสมบูรณ์แบบ แต่ว่าในยุคของท่านเป็นสมบูรณาญา สิทธิราชย์ เป็นยุคของทาส เป็นยุคที่คนยังไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชนของแต่ละคน มีนายทาสเป็นเจ้าของลูกทาส จะฆ่าแกงก็ได้เหมือนสัตว์เดรัจฉาน พระพุทธเจ้าก็เลยทำออกสังคมกว้าง แต่ก็ทำไปสู่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ก็ทำไปถึงฆราวาสไม่ได้ ท่านทำได้แต่ในวงการพระสงฆ์ของท่าน ซึ่งสุดยอดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ขนาดไหน พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสาร ก็ยอมให้แก่ท่าน ยกย่องธรรมวินัยในศีลของพระพุทธเจ้า ใครจะมาเข้ารีต ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า คนของพระเจ้าปเสนทิโกศลหรือพระเจ้าพิมพิสารจะมาเข้ารีตของพระพุทธเจ้า เขาก็ยกให้เลย ไม่ถือว่าเป็นคนมากบฏ มาแย่งชิงประชาชนของพระองค์เลย ยอม ยกให้อย่างเต็มใจด้วย ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมฤทธิ์ สัจธรรมอันวิเศษยิ่งใหญ่ในพระพุทธเจ้า แต่ทางรัฐศาสตร์ ทางการเมือง ทางสังคมเขายังเข้าใจไม่ถึง มันเป็นคุณวิเศษหรือคุณสมบัติ ของมนุษยชาติที่ยิ่งใหญ่มากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็เอามาให้ขยายไว้ใช้มาตั้งแต่ใน ยุคโน้น
พอมาถึงยุคนี้อาตมาเอาของพระพุทธเจ้ามาขยายผล ยิ่งใหญ่ จะพูดไปแล้วยิ่งใหญ่มาก ชาวอโศกยิ่งใหญ่ แต่คนไม่เห็นว่าชาวอโศกยิ่งใหญ่ เขาพยายามที่จะหาระบบระบอบที่จะเอามาใช้กับมนุษย์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มี 2 ระบบใหญ่ 1. เผด็จการ 2 สมบูรณาญาสิทธิราชก็ตกไปประชาชนไม่เอา แต่ยังเหลือ 2 ระบอบคือประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์ หรือสังคมนิยม มี 2 ระบบ
แม้แต่สังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ เขาก็ยังเข้าใจ แต่ประชาธิปไตยลึกๆอย่างเมืองไทยเป็นนี้ คือประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข วิญญาณของประเทศและมีนายกเป็นรัฏฐาธิปัตย์ตัวแทนประชาชนเป็นราชประชาสมาสัย ซึ่งจะต้องมีทั้งประชาชนมีทั้งพระเจ้าแผ่นดินมีทั้งราชา ราชและประชาอาศัยซึ่งกันและกัน คำศัพท์นี้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นผู้ใช้ แต่เขาไม่มีความรู้พอจะพูดก็เลยไม่กล้าพูด อาตมานำมาพูดมาขยายคนก็เลยรับไม่ได้เพราะเขายังไม่ค่อยเข้าใจ พูดไปอย่างไรก็ยังยาก อาตมาก็ยังไม่เก่งมาก เก่งเท่านี้อธิบายไปค่อยๆได้บ้าง
คำว่า ประชาธิปไตยคือประชาชนกับอธิปไตย 2 อย่าง
อธิปไตย คือ ความเป็นใหญ่ เป็นอำนาจ เป็นพลังอันสำคัญ โดยเฉพาะ อธิปไตย คือจิต ในมูลสูตร 10 อธิปไตย คือ สติ อุตระ โลกุตระก็คือปัญญา คือผู้มีสติมีปัญญา เป็นคู่
สติของผู้ที่มีปัญญา เป็นตัวขับเคลื่อน สติ แปลว่า ความตื่นรู้ รู้เต็มที่เป็นชาคริยานุ ชาคระ ซึ่งคนเราธรรมดาสามัญ มันไม่ตื่นเต็มที่หรอก คำว่า ไม่ตื่นเต็มที่คือถูกครอบงำโดยกิเลส ถูกกิเลสครอบงำตลอด จึงไม่ใช่ ชาคระหรือชาคริยา
ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าท่านให้พยายาม พากเพียรตื่นจากกิเลส แม้ว่าในจิตคุณจะมีกิเลส แต่ในข้อปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 สังวรอินทรีย์ โภชเนมัตตัญุตา ชาคริยานุโยคะ
อันนี้ยอดคือพากเพียร ที่จะตื่นให้ได้ ตื่นเพื่อที่จะให้คนมีความรู้ทัน รู้ทันในผัสสะต่างๆ ในการกระทบสัมผัสกับอะไรต่างๆ รู้ทันแล้วจะต้องมีปฏิภาณปัญญา มีสติสัมโพชฌงค์ มีธรรมะวิจัยสัมโพชฌงค์ มีวิริยะสัมโพชฌงค์พากเพียรเพื่อที่จะรู้ใจ วิจัยสิ่งที่ผัสสะนั้น
ธรรมวิจัยสมโพชฌงค์ เป็นตัวงานที่ยิ่งใหญ่ วิจัย วิจัยอะไร วิจัยกายในกาย วิจัยเวทนาในเวทนา วิจัยจิตในจิต วิจัยธรรมในธรรม ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิดีแล้ว จะวิจัยธรรมในธรรมได้
โดยแยกสภาวะที่เป็นโลกียะกับสภาพที่เป็นโลกุตระ แยก 2 อย่างให้ได้ ผู้ที่เป็นผู้สัมมาทิฐิติดี ฝึกหรือศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ จะแยกธรรมะ 2 อย่าง ธรรมในธรรม อย่างนี้เป็นโลกียะอย่างนี้เป็นโลกุตระ
เด็กๆของเราบอกว่า อันนี้เป็นโลกียะ อันนี้เป็นโลกุตระ เขาไม่ประสีประสาแต่ก็ เลือกได้ น่าเอ็นดู เพราะฉะนั้น ธรรมะใหญ่ๆในมนุษยชาติเทวนิยมมีหมด ในโลกนี้มี 200 กว่าประเทศ อเทวนิยมที่เป็นพุทธมี 1 ประเทศคือไทย นอกจากนั้นเป็นพุทธที่เพี้ยนออกจากโลกุตระ
หลายประเทศเพี้ยนไป แต่ก่อนก็มีโลกุตระมาก่อน พม่า เป็นต้น ลาวเป็นต้น เขมร เป็นต้น ที่รับมาจากอินเดียของศาสนาพระพุทธเจ้ามา แล้วก็มาเผยแพร่ตกในแคว้นนี้ดินแดนนี้ อยู่ในเสนาสนะสัปปายะอันนี้ สุดท้ายอยู่ที่ประเทศไทยเป็นหลัก เป็นของจริง อาตมานี่แหละขอยืนยันว่า เป็นของจริง เป็นพุทธที่ยิ่งใหญ่นำพาโลกุตระหยั่งลงไปในสังคมมนุษยชาติ มีรูปธรรมได้ มีสาราณียธรรม 6 เป็นต้น นี่คือประชาธิปไตยสุดยอด อยู่กันอย่างสังคมที่เป็นรูปธรรมเลยว่าเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ อยู่กันอย่างเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ทรัพย์สินเป็นส่วนกลาง ที่ประชาธิปไตยเขาก็ต้องการ คอมมิวนิสต์เขาก็ต้องการ เขาต้องการกองกลางให้มากที่สุด ด้วยวิธีออกกฎหมายบังคับให้จ่ายภาษี แต่ของพระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับเลย ให้โดยอิสระ ให้โดยเต็มใจทำแล้วเข้ากองกลางหมด นี่คือความสมบูรณ์แบบของสัจธรรม ไม่ได้มีการบังคับ แต่เป็นอิสระเสรีภาพ
คุณเต็มใจมาเสียสละ เสียภาษี 100% ทำงานฟรีใช่ไหม ….โยมตอบว่า ใช่
นี่ มันต้องชาคริยา เมื่อชาคริยาแล้วต้องมาสำรวมอินทรีย์ การปฏิบัติธรรมะ พระพุทธเจ้ามีสติปัฏฐาน 4 พิจารณากายเวทนาจิตทำแล้วก็ต้องมีการสังวร สังวรปทาน พากเพียรการสังวรสำรวมอินทรีย์ 6 แล้วปหาน ปหานปธานเป็นคำสรุป ต้องธัมมวิจัยแยกกิเลส ฆ่ากิเลสปหานกิเลส ให้เป็นผลเสมอๆให้เป็นภาวนาปทาน ให้เกิดผล เมื่อคุณฆ่ากิเลสได้ผลนั้นก็สั่งสมเป็นอนุรักขณาปธาน นี่คือสัมมัปปธาน 4
มันจะมีของจริงอย่างนี้ การไปนั่งหลับตาไม่มีสติปัฏฐาน 4 ไม่มีกาย กันจะมีสัมมัปปธาน 4 ไม่ต้องพูดเลย สำรวมอินทรีย์ 6 ประหารกิเลสไม่มี เพราะว่ากิเลสของเขามีแต่ธของปลอม หลับตาไม่เป็นกิเลสจริง กิเลสจริงนั้นเกิดในมนุษยชาติลืมตาเปิดนั่นคือกิเลสจริงๆ แต่เป็นคนหลับตา มีแต่อดีตกับอนาคต อดีต กิเลสคืออุจจาระ มันขี้ออกไปแล้ว มาขยำทำไม มันออกไปจากเราไปแล้ว พวกนั่งหลับตาไม่ใช่ของพุทธเลย มันเป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธ
อาตมาพูดอย่างไรเขาก็ไม่กระเตื้อง ยังเป็นโจรทำลายศาสนาอยู่ อาตมาก็แทงด้วยปากหอก เช้า 100 กลางวัน100 หอก ตอนเย็นอีก 100 หอก เขาก็ไม่รู้สึกรู้สา แทงไม่ตายด้วย ไม่เป็นอะไรเลย แทงไม่เข้าอีก หอกของอาตมาหักไปไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนดอก กี่ล้านดอกแล้ว มันยากก็ต้องเอา มันไม่มีทางจะไปทำอื่น อาตมาไม่มีกิจอื่น
อยู่ทุกวันนี้ตั้งแต่มาบวชจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังจะทำอย่างนี้ต่อไป แต่เขาก็ยังไม่กระเตื้อง อาตมาก็ยังตายไม่ลง ฝืนไป พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าว่าเราจะอยู่ถึง กัป หรือ เกินกว่ากัปก็ได้อานนท์ จะเป็นจริงได้ขนาดไหนก็แล้วแต่ก็ผ่านมาหนึ่งกัปแล้ว ตอนที่ 84 ปี ตอนนี้ถ้าไปถึง 96 ก็เป็นอีกหนึ่งนักษัตรก็รวมเป็น 2 นักษัตรแล้ว จะไหวไหมนี่ อีกประมาณ 7 ปี ก็ดูว่าอายุ 96 จะเป็นอย่างไร มันจะง็อกแง็กแค่ไหน หรือมันจะกลับเป็นหนุ่มกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
ถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้ก็โอ้โห…ยอดเยี่ยมเลยนะ 96 ยังกับหนุ่ม 50 เลย 40 50 รับรองว่าตอนนั้นคนจะต้องยอมศิโรราบหมดเลย มันเป็นการพิสูจน์ทั้งรูปและนาม ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็ยังไม่รู้ว่าจะมียาดีหรือเปล่า เขาเรียกว่า สเต็มเซลล์ ก็พิสูจน์ไป ทำงานไป ลากสังขารไป
อาตมาก็เต็มใจที่จะเป็นไป มันจะเมื่อยหน่อย ก็พักเอา
เมื่อกี้บอกว่าจะพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยอีก ประชาธิปไตยของเมืองไทยมันเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ อาตมาพูดได้ว่าสมบูรณ์แบบ เพราะว่าเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ประชาธิปไตยขาเดียว
ขอยืนยันประชาธิปไตยขาเดียวก็ดี คอมมิวนิสต์ก็ดี มันเป็นพวกขาหักหมดแล้ว เป็นประชาธิปไตยพิการ ก็พูดทิ้งเอาไว้แค่นี้ก็แล้วกัน มันไม่สมบูรณ์แบบด้วยรูปนาม ด้วยจิตวิญญาณกับองค์ประกอบนอกที่มีมหาภูตรูป 4 และก็มีอุปาทายรูป อีก 24 และก็มีนามอีก 5 สังเคราะห์สังขารกันอยู่
นาม 5 ผู้ปฏิบัตินาม 5 อย่างสัมมาทิฏฐิ นามก็คือจิต(มนะ)ต้องทำจิตทำใจในใจด้วยความมนสิการ ผู้ที่จะทำมนสิการได้อย่างโยนิโส ทำได้อย่างถ่องแท้ถูกต้องแยบคาย ลงไปถึงที่เกิด รู้ว่าเหตุเกิดคือกิเลส จับกิเลสได้ ประหารกิเลสให้ได้จริง มันจะถึงขนาดนั้นจริงเลย เป็นผู้ที่จะทำมนสิการได้อย่างดี
ผู้จะทำมนสิการทำใจในใจได้อย่างนั้นจริงๆทำได้แล้วจะบรรลุ บรรลุธรรมได้จริงอย่างที่ว่าจะบรรลุธรรม ถ้าทำไม่ได้อย่างที่ว่าก็ไม่บรรลุธรรม แต่จะทำอย่างนั้นได้ต้องมีผัสสะ
นาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ อาตมาพูดนี้ไม่ใช่แค่มีภาษา แต่ต้องมีสภาวะจริงด้วย มนสิการต้องมีผัสสะ พวกไปหลับตาไม่มีผัสสะ เป็นโมฆะ มนสิการขยำขี้นั่งอยู่กับอดีตและอนาคตไม่มีของจริงสักอย่าง
พูดไปบังคับเขาก็ไม่ได้ คนฟังได้ก็ได้ไป ฟังธรรมด้วยดีไม่มีอคติ สุสูสัง ลภเต ปัญญัง ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ยิ่งมีสัตบุรุษมาอธิบาย ก็ยิ่งต้องฟังสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ฟังสัทธรรม ให้บริบูรณ์ ศรัทธาก็จะเกิดความบริบูรณ์ โยนิโสมนสิการก็บริบูรณ์ สติสัมปชัญญะก็บริบูรณ์ แล้วก็มีการสำรวมอินทรีย์ 6 ด้วยบริบูรณ์ สุจริต 3 ก็บริบูรณ์ แล้วสติปัฏฐาน 4 ก็บริบูรณ์ โพชฌงค์ 7 ก็บริบูรณ์ วิชชาและวิมุตก็บริบูรณ์ อาหาร 4 ของพระพุทธเจ้า อาศัยซึ่งกันและกัน
อาตมาไม่ต้องท่องหรอก มีสภาวะและไล่ตามสภาวะแล้วเอาพยัญชนะมาแปะ จำได้แล้วไล่สู่ฟังไม่ต้องเปิดตำรา ทำการอนุโลมปฏิโลมได้หมด มันเป็นจริงมันชัดๆ ไม่เป็นอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ ถ้าหากขาดไปมันก็ต่อไม่ติด
ในการปฏิบัติของพระพุทธเจ้ามาจากจรณะ 15 วิชชา 8 หรือศีล สมาธิ ปัญญาหรือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ
ขยายความเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ก็มีศีล อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วมีสัทธรรม 7 ฌาน 4 วิชชา 8 ขยายเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา หรือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ
เขาบอกว่า ศีลปฏิบัติควบคุมกายกับวาจาได้เท่านั้น สมาธิเขาไปนั่งหลับตาเอา คนที่ฟังอาตมาอยู่นี้ถ้านั่งหลับตาฟังก็ไม่รู้เรื่องนะ อาตมาพูดให้ลึกซึ้งนะ
เขาอธิบายว่ากายกรรม วจีกรรมก็คือศีล สมาธิก็ไปนั่งหลับตานี่คือ ความเสื่อม เป็นความผิด ของศาสนาพุทธที่เสื่อมแล้วจริงๆ สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่มีนั่งหลับตา หลับตาไม่มีสมาธิของพระพุทธเจ้า พูดให้ดังๆเลย โว้ย
สมณะเดินดิน… พ่อครูจะช่วยอธิบายได้มั้ยว่า การถือศีลเกี่ยวทำให้เกิดสมาธิอย่างไร
พ่อครูว่า… ใช่การถือศีล คือสมาธิ ศีลทำให้เกิดสมาธิ ศีลปฏิบัติด้วยอปัณณก ปฏิปทา 3 ตื่นอยู่ทั้งนั้น สัมผัสเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กิน ที่ใช้ โภชนีย์มาตันยุตา เสร็จแล้วเราก็จะรู้รูปรสกลิ่นเสียงต่างๆ รู้กิเลสในนั้นในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มีธรรมวิจัยแยกออก แยกออกแล้วเราก็ฝึกให้มีปัญญา ฝึกให้มีฌาน ฌานคือปัญญา ปัญญาคือฌาน ฌานอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น ไม่มีฌาน ไม่มีปัญญา ไม่มีมีปัญญา ไม่มีฌาน
เสร็จแล้วตัวปัญญานี้เป็นพลังงานพิเศษ พลังงานจิตวิญญาณ พลังงานปัญญามันเป็นคู่อาฆาตของกิเลส เจอหน้ากิเลสเมื่อไหร่ เฮ้ย.. กิเลสมันตาย มันหนี้
ปัญญาเป็นตัวฆ่ากิเลส กิเลสมันอยู่ไม่ได้เพราะคนมีปัญญาเข้าไปครอบ อยู่ในตัวจิตวิญญาณของมนุษย์ พระอรหันต์มีปัญญาเต็ม กิเลสเข้าไม่ได้เลย ใกล้ก็ไม่ได้ กิเลสเข้ามาใกล้ไม่ได้ รัศมีปัญญามันทำให้กิเลสเมื่อเจอรัศมีปัญญา วิ่งหูตูบไปเลยเข้าป่า ไม่กล้าเข้าใกล้ นี่บรรยายเป็นสภาวะสู่ฟัง ที่อาตมาบรรยายได้เพราะอาตมามีสภาพจริง เหล่านี้ เอาของจริงของตัวเองมาบรรยาย กิเลสมันเข้าหาอาตมารอหน้าไม่ติดหรอก มันมีกิเลสอยู่ในโลกมนุษย์ มันสังขารเต็มไปหมดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเต็มไปหมด เป็นตัวบอกเกิดกิเลส อาตมาก็อยู่ในนี้ ไม่ได้หนีไปไหน อยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่กิเลสมันไม่กล้าเข้าใกล้อาตมา
อาตมาก็ลูบหัวกิเลสเล่นอยู่อย่างนี้ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเลยว่า ลูบหัวพระอาทิตย์พระจันทร์ได้ด้วยฝ่ามือทั้งที่มันร้อน สำหรับคนที่ถูกมันเอาไปกินมันร้อน มันต้มสุกหมดเลย แต่อาตมาลูบหัวพระอาทิตย์พระจันทร์เล่นได้ นี่ไม่ได้พูดเล่นไม่ได้แค่อุปมาอุปไมยเฉยๆแต่เป็นเรื่องจริงเป็นอย่างนั้น ฟังพอเข้าใจไหม เด็กๆเข้าใจไหม ผู้ใหญ่นั้นไม่ต้องถาม
เพราะฉะนั้นสังคมที่มีธรรมะโลกุตระพระพุทธเจ้าเป็นสังคมที่มีประชาธิปไตยเด็ดขาด แน่นอนจริงจัง เป็นประชาธิปไตยไม่ได้มีอยู่ในรัฐศาสตร์ทางตะวันตก จะได้ดร.ทางประชาธิปไตย รัฐศาสตร์มาอย่างไรก็ไม่มี มีอยู่ในประเทศไทย แล้วเขาเสื่อมความรู้นี้ไปหมดแล้วในพ.ศ 2,500 โพธิรักษ์นำกลับมา เพราะโพธิรักษ์เป็นสยังอภิญญา เป็นผู้มีความรู้จากพระพุทธเจ้าติดตัวมา แต่ชาติก่อนมาแล้ว อาตมานำติดตัวมาโดยไม่มีครูบาอาจารย์ในชาติ เอามาพูดออกมา ผู้ที่รักษาศาสนาพุทธไว้ก็ขอบคุณมากอย่างเช่น เถรสมาคมหรือผู้รู้ รักษาไว้ได้แต่ลัง รู้จักไหม “จับกังแบกลังทอง” ได้แต่แตะลังเท่านั้น แต่ไม่ได้แตะทองคำอยู่ในลังนั้น เถรสมาคมเป็นจับกังแบกลังทอง ไม่เคยแตะทองคำ แต่อาตมานี้เอาทองคำมายืนยันว่าอย่างนี้ ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ อาตมาไม่ใช่จับกัง อาตมาเป็นผู้ที่เอาทองมาแจกมาอธิบายขยายความว่าทองเป็นอย่างนี้
นี่คือสัจจะความจริงที่อาตมาพูดอย่างไม่เก้อเขิน ไม่มังกุ ไม่กระดาก ไม่มีสาเฐยจิต อยากโอ้อวดไม่มี พูดความจริงใครจะเชื่อไม่เชื่อไม่เป็นไร อาตมามีหน้าที่พูดความจริงพูดความไม่จริงไม่เป็น ให้ฟังดีๆเถอะว่าที่พูดอย่างนี้คืออะไร ทำไมพูดอย่างอวดดิบอวดดีเหลือเกิน นี่เป็นภาษาไม่ดี แต่ถ้าภาษาที่ดีก็คือทำไมคนนี้ พูดอย่างแกล้วกล้า อาสโภเหลือเกิน คนฟังมี 2 แบบ คนฟังไม่ดีก็ดูถูกดูแคลน ลดค่า ด้อยค่าอาตมา แต่คนฟังที่เห็นค่าอาตมาก็คือเขาเห็น ผู้ที่ด้อยค่าก็เป็นธรรมดา มันก็มี 2 คน คนจะอยู่ในฝ่ายไหนก็เลือกเอา อาตมามีหน้าที่ทำความจริงมีอยู่ เจตนาเอาความจริงนี่มาขยายความเท่านั้น
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… ในศาสนาพุทธอยู่ที่มุมมอง คนที่ไม่บรรลุก็บอกว่าไม่มีคนบรรลุหรอก คนที่มาพูดบอกว่าตนเองบรรลุนั้นไม่จริงหรอก คนเขามีประโยคทองบอก ผู้ที่ยืนยันว่าตัวเองบรรลุคือผู้ที่ไม่บรรลุ แต่ในพระไตรปิฎก จะบอกว่าให้บอกอย่างบรรลือสีหนาท แล้วคำพูดตรงนี้คืออย่างไร พระพุทธเจ้าบอกว่าต้อง ประกาศอย่างไม่เก้อเขิน ไม่มังกุ คนส่วนใหญ่บอกว่าไม่มีผู้บรรลุแล้วในยุคนี้ พ.ศ.นี้ คนมาบอกว่าตัวเองบรรลุคือคนอวดดี ในโลกนี้เขาเชื่อว่าไม่มีผู้บรรลุแล้ว เราก็โชคดีที่ว่า มีอีกเส้นทางหนึ่ง มีทางเลือกที่เราได้พบ สัตบุรุษแล้วก็ประกาศให้เราชัดเจนในธรรมวินัยนี้
ศีลกับอปัณณกปฏิปทา 3 ในวิชชาจรณะ
พ่อครูว่า… เรามาลงรายละเอียดลองฟังดู รายละเอียดของจรณะ 15 วิชชา 8
คนปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ต้องปฏิบัติธรรมตามนี้ อันนี้เป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้า วิชชาจรณสัมปันโน ในพุทธคุณ 9 มีเนื้อแท้การปฏิบัติอยู่ตรงนี้ นอกนั้นมีแต่คำยกย่องพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่อยู่ในพุทธคุณ 9
-
อรหํ เป็นพระอรหันต์
-
สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ
-
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
-
สุคโต เสด็จไปดีแล้ว หมายความว่า ทุกคนกำลังเดินทางอยู่ในทางไกลกันดาร ผู้ที่เดินทางไปถึงจุดหนึ่งเรียกว่าเป็นอรหันต์ ก็เป็นผู้ที่ถึงจุดจบหนึ่งในความเป็นอรหันต์จบแล้ว ไปได้ถึงที่สุดแล้ว สุดอย่างไร สุดคือตายแล้วเป็นผู้ทำ ปรินิพพานเป็นปริโยสานสำเร็จ จบ ไม่ต้องไปอีกแล้ว ไม่มีอะไรไปอีกแล้ว จิตวิญญาณดับสูญเป็น ดินน้ำไฟลมไปเลย อรหันต์ ส่วนอาตมานั้น เป็นอรหันตโพธิสัตว์ ไม่ยอมจบอรหันต์ระดับที่ 1 แต่บรรลุอรหันต์ในขั้นต่อมาเป็นอนุโพธิสัตว์ ไม่ยอมจบอีก ก็มาทำอรหันต์ อนิยตโพธิสัตว์ ต่อมายาวนาน จนกระทั่งไม่ยอมจบอีก เป็นอรหันต์ระดับ 7 นิยตโพธิสัตว์ แล้วอาตมาตั้งใจว่าจะต่อเป็นมหาโพธิสัตว์ระดับ 8 อีก จนจบระดับ 8 จึงจะเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีปณิธานอย่างนั้น นี่คือรายละเอียดของสัจธรรม
-
โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก
-
อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ มีความรู้เหนือ และเป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า
-
สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
-
พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว
-
ภควา ติ เป็นความจบในความเจริญ