651109 ลักษณะประชาธิปไตยสุดยอด 11 ประการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1xiRScjAuWbT12W4HrGWdMxSdjVynSNIlWOJCC7Meo7Q/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1nV0nUekadmphsd2rlX70HVeBIP5hRWr6/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/LKcUhyVzU1k
และ https://fb.watch/gHlbhvDBVL/
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 1 ค่ำเดือน 12 ปี ขาล ช่วงนี้ยังอยู่ในงานมหา Big cleaning ที่ราชธานีอโศก ในเรื่องรามเกียรติ์ พระราม ก็อาศัยลิงสร้างเมือง แต่ว่าสมณะรัก โพธิรักษ์ ก็มีกำลังของเด็กช่วยสร้างเมือง Big cleaning ถามคนที่ดูแลก็บอกว่าเด็กๆ ก็สามัคคีกันดี พัฒนากัน โรงเรียนต่างๆก็มารวมกัน สนุกสนาน แต่หลังจากเด็กๆกลับไปแล้ว วันที่ 10 ไปแล้ว ชาวบ้านราชก็จะต้องทำงานหนักเต็มที่ ต้องใช้เครื่องดับเพลิงฉีดแรงๆจึงจะสะอาด หลังวันที่ 10 แล้วใครจะมาอีกก็ไม่ห้ามนะ อิสรเสรีภาพ แม้แต่คนที่เห็นต่างก็ให้มาอยู่เลย ให้ป่วนด้วย สุดยอด ไม่มีเจ้าสำนักไหนที่จะท้าทายอย่างนี้ พ่อครูมั่นใจว่าพวกเรามีภูมิไม่ธรรมดา มั่นใจว่าไม่โกรธได้แล้ว มีภูมิตัดรอบอย่างน้อยอนาคามี จะไปเป็นพระอรหันต์ได้
ตอนนี้การเมืองมีนิมิตหมายที่ดีที่ได้ตั้ง ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี เป็นที่ปรึกษานายกฯ คนฮือฮามากเลย ประเทศไทยน่าจะมีอะไรดีๆที่เจริญขึ้นแน่ ดูจากที่คุณจตุพรและคุณนกเขามาพบกับพ่อครู เป็นนิมิตหมายที่ดี ที่คนมีความเห็นต่างอย่างสุดขั้ว สุดต่าง มาพูดคุยกันได้ ประเทศไทยเป็นสุดยอดประชาธิปไตย พ่อครูแสดงให้เห็นว่ามีความเห็นต่างอย่างยิ่งก็จะอยู่ กันได้ ไม่ทะเลาะกัน เป็นเรื่องไม่ธรรมดา เป็นเรื่องอัศจรรย์ของโลก
พวกเราก็สงบเงียบดีใช้ได้ไม่ก่อเรื่อง ถือว่า ประเทศไทยมีนิมิตหมายที่จะเจริญขึ้นในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง พ่อครูบอก ท่านเป็นนักการเมืองอิสระ
พ่อครูว่า… ได้ฟังแน่ ประชาธิปไตยสุดยอดวันนี้ ก่อนจะได้ฟังก็เกริ่นนิดหน่อยว่า มีศิษย์เก่าถามมาว่า
ศิษย์เก่ารวมตัวช่วยบิ๊กคลีนนิ่งเพื่อศึกษาโลกุตรธรรมจากหลวงปู่
_จากศิษย์เก่า กราบถามคำถามหลวงปู่สองคำถามค่ะ
1งานนี้ลูกหลานศิษย์เก่า ญาติธรรม เด็กสัมมาสิกขามารวมตัวกันทำงาน ภาพรวมที่หลวงปู่เห็น หลวงปู่รู้สึกอย่างไรบ้างคะ
พ่อครูว่า… หลวงปู่ก็รู้สึกหัวใจพองโต ยินดีปรีดาเป็นที่ยิ่ง ที่เห็นมารวมกัน คนเก่ายิ่งมารวมก็ยิ่งยินดีปรีดา คนใหม่จะมาอีกก็ยินดีปรีดาอีกเหมือนกัน เพราะเรายินดีที่จะให้มาร่วมมารวมกันในคนทั้งหลาย คนที่มาอยู่ในหมู่กลุ่มของเรา ดังที่ท่านฟ้าไทได้เกริ่นมาแล้ว พาดพิงไปถึง เหตุการณ์ที่คุณนกเขากับคุณตู่ จตุพร เขามาที่นี่ แล้วก็ได้โอภาปราศรัยกันไป จนกระทั่งอาตมาได้ออกปากว่า เชิญยินดีต้อนรับจะมาอยู่ที่นี่จะอยู่กี่เดือนกี่วันก็ได้ แล้วให้รวนให้ป่วนที่นี่ได้ด้วย ทำไมอาตมากล้าพูดเช่นนั้น
อาตมากล้าพูดเช่นนั้นก็เพราะว่าคุณตู่หรือคุณนกเขานี่จะหามวลเข้ามารวนในนี้ มาป่วนในนี้ไม่ได้ เขาจะรวนและป่วนเฉพาะตัวเขา ซึ่งจะเป็นผลดีมากเลย เขาจะรวนจะป่วนเพื่อเป็นโจทย์ พูดไปแล้ววันนั้นก็พูด มันจะเป็นโจทย์เป็นการสัมผัสระหว่างคนต่อคน เขาจะมากระทบสัมผัสเรา จะรุนแรง จะด่าทอ จะร้ายแรง แม้ในที่สุดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับพระอานนท์
อานนท์ ถ้าเขาทำร้ายเธอ เธอจะทำอย่างไร เธอคิดอย่างไร ก็คิดว่าดีเขาทำร้ายก็ดีกว่า เขาไม่ตัดแขนตัดขาเรา แล้วถ้าเผื่อเขาตัดแขนตัดขาเราล่ะ ก็ดี ที่เขายังไม่เอาชีวิตของเรา ไม่ทำร้ายชีวิตหรือว่าฆ่าเรา อย่างนี้เป็นต้น
คือในความเป็นจริง พระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านเอาความจริงเข้ามาเปิดเผยว่า ชีวิตหรือจิตนิยาม จิตวิญญาณ มันไม่มีปัญหาอะไร มันเวียนวนเวียนว่าย เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณที่ได้ฝึกดี จนกระทั่งไม่มีการอาฆาตพยาบาท ใครจะทำร้ายทำลายเราอย่างไร จิตก็สงบสบาย ไม่ถือสา เป็นอหิงสาธรรม ไม่อาฆาตพยาบาทจริงๆเลย เรายิ่งเจริญ
แม้เขาจะฆ่าร่างกายเราตาย ถ้าเรายังไม่ปรินิพพาน เช่น พระอรหันต์ทุกองค์ ถ้าเผื่อว่าท่านจะต้องตายแม้คนจะฆ่าท่านตาย ท่านตายท่านก็ตายอย่างนิพพาน 3 สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ตายอย่างสูญ ไม่ตั้งนิมิต ไม่ตั้งจิตอะไรเลย ปล่อยไป ตายสูญ พระอรหันต์ก็สูญได้โดยนิพพาน 3
แต่ถ้าท่านไม่ตั้งจิตอย่างนั้น เป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ถ้าท่านไม่ตั้งจิตอย่างนั้นเป็นพระอรหันต์ เขาจะฆ่าท่านตายท่านไม่ตั้งจิต ตายแล้วสูญ ท่านจะตั้งจิตเวียนกลับมาเกิดอีก คนที่เป็นคู่วิบากที่มาทำร้าย มาเจอกันอีก จะมาแก้แค้นอะไรกันอีก จะลดลง การแก้แค้นจะลดลง ดีไม่ดี จะยอมสยบ ยอมสยบอะไร ว่า คนนี้ต้องถือน้ำใจ ถ้ายิ่งใครยิ่งระลึกชาติได้ว่าเคยฆ่า จิตเขา ยังมีตัวผูกพันถือสา อาฆาตเขาจะละอาย ถ้าเขาเจริญเขาพัฒนาจิต เขาจะเกิดความละอาย เราไปโกรธเคืองคนที่ไม่ควรโกรธเคือง เราไปอาฆาตพยาบาทคนที่ไม่เคยอาฆาตพยาบาท ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาจะรู้ว่า ทำไมเราเลวอย่างนี้ เราไปมีจิตไม่ดีกับท่านผู้ที่เจริญแล้ว โง่หรือฉลาด … โง่
เด็กตอบได้ไหม ….ได้
การศึกษาอย่างที่หลวงปู่อธิบายเป็นสัจธรรมโลกุตระ มันเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้นเลย
กรณีที่ถามมา หลวงปู่เห็นว่า สุดยอดเลยใจพองโตเลย
2 บิ๊กคลีนนิ่งครั้งนี้ งานที่พวกเรามารวมตัวกันทำความสะอาด หากมองว่าเราไม่ได้ทำเพื่อบ้านราชหรือชาวอโศก แต่เรากำลังเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะเปิดบ้านช่วยเหลือผู้คน ได้หรือไม่คะ
กราบขอบพระคุณมากค่ะ
พ่อครูว่า…ได้สิ พ่อครูว่า… ได้เลยเราจะทำสถานที่เพื่อที่จะเตรียมตัวจะได้เปิดบ้านช่วยเหลือผู้อื่น นี่เราก็จะทำตลาดอาริยะ ตอนนี้เดือนพฤศจิกายนแล้ว ถ้าน้ำลดลงพอสมควรให้ผู้ที่จองจะมาตั้งร้านค้าร้านขายจะได้เปิดตั้งแต่เดือนนี้ บอกกันไปเขาจะได้เตรียมตัวแล้วก็เปิดแต่ก่อนเลย ใครจะมาก่อนก็อาจจะขายยากหน่อย คนยังไม่เข้ามาเท่าไหร่ ถ้าเดือนธันวาคมแล้วคงจะมากันมากกว่านี้ ทยอยกันมา น้ำก็ลด คนก็จะเริ่มกันแล้ว
ลักษณะประชาธิปไตยสุดยอด 11 ประการ
ตอนนี้ประเทศไทยนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นอัตราส่วนเป็นปฏิภาคทวี ขนาดอาตมาจำตัวเลขไม่ได้ มหาศาลเลย เมืองไทยกำลังเป็นเมืองที่หอมหวานเป็นอันดับ 1 ของโลกเลยตอนนี้ ลอนดอนยังสู้ไม่ได้ ลอนดอนเคยเป็นที่หนึ่ง
สมณะฟ้าไท… คนอยู่ต่างประเทศเขารักเมืองไทยอยากไป
พ่อครูว่า… สัจจะเหล่านี้ เด็กๆรุ่นหลังแม้จะเกิดมาทีหลัง ก็ให้อ่านพฤติกรรม พฤติการณ์สังคมมนุษย์ให้ดี เพราะฉะนั้นที่หลวงปู่พาทำ เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายมาเปิดเผย ไม่ต้องห่วงหรอกเป็นเรื่องที่มันสอดคล้องเป็นสากลกับสังคมโลกเขาแน่นอน
เราร่วมพูดคำว่า ประชาธิปไตย กับชาวโลกเขา สมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีคำว่าประชาธิปไตย เพราะว่าเป็นสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นสมัยสังคมทาส ยังพูดไม่ออกหรอก เป็นสังคมที่มวลมนุษย์ก็ยังไม่มีความรู้ในเรื่องสิทธิมนุษยชน เพราะคนเขายังไม่รู้เรื่องเลยว่าเขามีสิทธิอะไร เพราะเป็นสังคมทาส เขายังเป็นลูกทาสนายทาส นายทาสก็ถือสิทธิ์ว่าฉันเป็นเจ้าของ ที่เป็นนายมีสิทธิ์ในคนถึงขนาดจะฆ่าทิ้งก็ได้ถ้าเป็นทาสฉัน ถึงขนาดนั้นเลย สมัยโน้น
เพราะฉะนั้นมันจึงคนละ กาละ เทศะ ฐานะ คนละยุคสมัย คนละบริบท มันผิดประหลาดแตกต่างกันไปไกลเลย
พอมาสมัยนี้ อาตมายืนยันว่า ศาสนาพุทธหรือความรู้ ความเป็นจริงของพระพุทธเจ้าที่นำมาประกาศนำมาสอน มันไม่ได้เป็นความรู้ความฉลาดความจริง ธรรมดาเท่านั้น มันเป็นรู้ความฉลาดความจริงที่ทันสมัย นำยุคนำสมัยเสมอ ไม่เคยเก่า
อันนี้คนฟังจะฟังเข้าใจไม่ค่อยได้เท่าไหร่เพราะยาก มันเป็นเรื่องจริงเลยว่าไม่เคยเก่า อย่างชาวอโศกนี้ไม่ได้เป็นคนล้าหลังเลย ไม่ได้เป็นคนหลังเขาเลย แต่คนที่ไม่มีปฏิภาณปัญญา โดยเฉพาะคนทั่วไปที่มองว่า อโศกนี้เป็นคนตกยุค เป็นคนไม่ทันสมัย ไม่เหมือนชาวโลกเขาที่ไปถึงไหนแล้ว เขาจะออกนอกโลกไปดวงดาวดวงนั้นดวงนี้แล้ว อาตมาบอกได้เลยว่าผู้ที่จะคิดไปดวงดาวดวงนั้นดวงนี้ขณะนี้ เป็นพวกเพ้อเจ้อเป็นพวกตกยุค ไม่ใช่ตกยุคหรอกเขาคิดว่าเขาก้าวหน้า แต่เขาเข้าใจผิดที่ความคิดก้าวหน้าของเขา ไปห้ามเขาไม่อยู่หรอก ห้ามเขาไม่ได้ เพราะเขาหลงในเทคนิค หลงในสิ่งที่เขาสามารถที่จะคิด คิดจรวด คิดดาวเทียม คิดอะไรต่ออะไรออกไป แล้วก็จะออกไปจนกระทั่งจะไปสร้างสถานีเป็นของตัวเองที่จะเป็นดินแดนที่จะอยู่ในอวกาศอะไรไปพวกนี้ มันเพ้อเจ้อไปแล้ว คุณจะไปคิดทำไม อยู่ในนี้ดินก็ดี อะไรก็ดี บรรยากาศอะไรก็ดีหมด ทำมาหากินอยู่ในนี้เลี้ยงชีพชีวิตไปให้อยู่อุดมสมบูรณ์ สงบอบอุ่นดี อะไรต่ออะไรไป แล้วก็เกิดก็ตาย
คุณจะเกิดจะตายไปอีกกี่ชาติ รับรองว่าสูงสุด เจริญเป็นมนุษยชาติที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุดแล้ว ให้ออกไปนั้นมันเป็นความคิดเพ้อเจ้อ นึกว่ามันเป็นความเด่น ความฉลาด นึกว่ามันเป็นความเก่ง ความสามารถที่ มันเป็นโลกจินตา เป็นความคิดของโลกที่มันเพ้อเจ้อเพ้อพก เขาคิดว่าเขาเจริญเราก็ไปห้ามความคิดความเห็นความเข้าใจเขาไม่ได้
วันนี้ขออธิบายในเรื่อง ประชาธิปไตย ที่สุดยอด ผู้จะนำพาสร้างประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนคนในประเทศได้จริงนี้ ต้องมี อาตมาลิสต์ไว้ประมาณ 11 ข้อ
-
ชื่อสัตย์
-
มีปัญญา
-
มีคุณธรรมจริง แข็งแรง
-
ทำจริง มีหมู่กลุ่มชุมชนสังคมอาริยะจริง
-
มีคุณลักษณะของทั้ง 4 ประการขั้นต้น ยืนยันแท้ๆ
-
มีความสงบอบอุ่น ในสังคม ชุมชน ประเทศนั้นๆ ยืนยันชัดเจนด้วย
-
รู้จักปัจจัยแห่งชีวิตดี ไม่หลงใหลเพ้อพกออกไปทางวัตถุ
-
จึงเน้นจิตวิญญาณมากกว่าวัตถุแท้จริง จนเกิดผลธรรม
-
เป็นสังคมมั่งคั่ง แค่พอเพียงและอุดมสมบูรณ์ และยั่งยืน สงบสุขยาวนาน แท้ แน่
-
มีปัญญาหรือความรู้ความฉลาดโลกุตระ ของพระพุทธเจ้า
-
แม้จะยากจน ก็ยังอยู่สงบได้ เช่น อินเดีย
ยกตัวอย่างสิ่งที่มีจริง ประชาธิปไตยอินเดีย เป็นประชาธิปไตยที่ได้ไปหลงผิด เคยพูดไปแล้ว เดี๋ยวจะได้ขยายความว่า ประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดีจึงเป็นประชาธิปไตยที่หลงผิด
เพราะฉะนั้นปัจจุบันมีความเป็นประชาธิปไตย ทางรูปธรรม อย่าไปติดบัญญัติภาษาที่เขาประกาศว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่นที่เขาบอกว่าเป็นคอมมิวนิสต์อย่าไปเชื่อ จีนไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว สีจิ้นผิงนำเอาประชาธิปไตยไปใช้แล้ว เดี๋ยวจะได้ขยายความ จีนกับอินเดีย
ประชาธิปไตยของจีน และประชาธิปไตยที่งามที่สุดคือของไทย ประชาธิปไตยของไทยเป็นประชาธิปไตยทางนามธรรม ส่วนประชาธิปไตยของจีนเป็นประชาธิปไตยทางรูปธรรม และอินเดียก็เป็นประชาธิปไตยทางรูปธรรม
ประชาธิปไตยของจีนเป็นประชาธิปไตย จริตทางพุทธิจริต ส่วนประชาธิปไตยของอินเดียนั้นเป็นประชาธิปไตยในศรัทธาจริต ส่วนของไทยนั้นเป็นประชาธิปไตยครบบริบูรณ์ทั้งศรัทธาและปัญญา ครบทั้งรูปและนาม
จีนนั้นเป็นสภาพของนาม ปฏิภาณ ปัญญา ส่วนอินเดียเป็นสภาพของรูป
เพราะฉะนั้นในลักษณะประชาธิปไตยดังกล่าว 11 ข้อ อาตมาเอาข้อ 1
อาตมาเอาข้อ 1 ขึ้น ซื่อสัตย์ เป็นข้อ 1. ถ้าคนที่นำพาและมวลประชาชนด้วย ทั้งมวลประชาชนและตัวผู้นำ มีคุณธรรมซื่อสัตย์ตัวเดียวนี่แหละ รับรองว่า ง่าย ไม่ยาก สั้น ตรง ลัด เร็ว จบ พบความสำเร็จ นี่คือสัจจะของสิ่งที่เกิดจากคุณธรรมข้อซื่อสัตย์
-
มีปัญญา คำว่ามีปัญญานี้ก็ขยายความ อ่านปัญญา 8 ให้ดีๆ มันไม่ใช่ความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกีย์ เป็นของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ตรัสรู้ คำว่า ปัญญา นี้เป็นของพระพุทธเจ้า พยัญชนะเป็นของพระพุทธเจ้า ปัญญานี่ มาจากคำว่า อัญญา และมาจากรากศัพท์ คุณธรรมแท้ คุณภาพแท้ จากอัญญธาตุ ที่มันเป็นคนละเรื่องกับโลกีย์ที่มีมาแต่ไหนแต่ไร ที่เป็นอวิชชาของมนุษย์
พระพุทธเจ้าเป็นไก่ตัวพี่เจาะกระเปาะไข่ออกมาจากอวิชชาได้ จึงไม่เหมือนเขาเลยและยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะฉะนั้นความรู้ความฉลาดความจริงที่เรียกว่า ปัญญา จึงเป็นความรู้แบบใหม่ แบบอื่นที่นอกจากที่ชนทั่วไปในโลก ที่มีความเป็นเทวนิยมหรือโลกียะอยู่ ยังไม่มีใครมี พระพุทธเจ้าได้โลกุตรธรรมมา ไม่ใช่ว่าได้มาได้ง่ายๆ ท่านเรียนรู้จากพระพุทธเจ้าองค์ที่ท่านรู้ก่อนองค์ไหนก็แล้วแต่ ไม่รู้กี่พระองค์
อย่างอาตมานี้ ข้ามชาติมาไม่รู้กี่พระองค์และ ตั้งแต่ชาติก่อนๆมา ไม่ใช่ว่าจะพบพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียว แต่วิบากกรรมที่ได้สร้างสมมาแล้ว จนกระทั่งมาร่วมกับพระสมณโคดม ก่อนจะมาลงตัวที่จะต้องมา … มาเป็น อุปัฏฐาก พระสมณโคดมมาเป็นปัจฉาพระสมณโคดมนี้ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆจะมาเป็นปัจฉาสมณะของสมณโคดม ได้เลยนะในสมัยพระพุทธเจ้า ไม่มีกรรมการคนไหนจะมาตัดสินให้มาเป็นปัจฉา ไม่มีมันเป็นเป็นเรื่องจริง
ซึ่งปัจฉาของพระสมณโคดมท่านบอกว่านั่นแหละ อัครสาวกของเราเดินมาแล้ว ยังมาไม่ถึงนะตอนนั้น มาด้วยกันด้วย 2 องค์ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องฟลุ๊คๆ ไม่ใช่เรื่องคิดเอา ไม่ใช่เพ้อเจ้อ มันเป็นเรื่องกรรมวิบาก ที่สั่งสมมาจริงไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ เป็นล้านๆชาติ ระยะเวลาแห่งการเกิดการตายของมนุษย์นั้น ล้านชาตินั้นนิดหน่อย
เด็กๆฟังไว้ การเกิดการตายนั้น ล้านชาตินั้นนิดหน่อย ชีวิตนี้น้อยนัก ต่อให้คุณอายุ 100 ปีแล้วตายชีวิตนี้ก็น้อยนัก 200 ปีตายก็ยังน้อยนัก ชีวิตเกิดมาชาติหนึ่งชาติหนึ่ง มันยังจะหมุนเวียนเกิดได้อีกเป็นล้านๆชาติ จนกว่าจะจบกิจ แล้วไม่เกิดอีกแล้วเป็นอรหันต์แท้ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่จะมีปัญญา รู้จักความจบนี้
ที่นี้คุณธรรมแข็งแรงในข้อ 3 เป็นคุณธรรมชนิดที่ เห็นประโยชน์ประชาชนเป็นใหญ่ เป็นความเห็นที่บริสุทธิ์ใจ ที่จริงใจ ที่เห็นจริงเห็นจังเลยว่า ประโยชน์ของประชาชนนี้เป็นใหญ่เหนือกว่าตัวเอง เหนือกว่าตัวตนจริงๆ
ถ้าจะว่าแล้วคือตายแทนประชาชนได้
ข้อ 4 ทำได้จริง มีกลุ่มหมู่ ชุมชน สังคมอาริยะโลกุตระได้จริง จากกลุ่มน้อยแล้วก็ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ตามบารมี แม้ว่าผู้นำจะเป็นตัวต้นเป็นไก่ตัวพี่ เช่น อาตมา จะตายจากกลุ่มชนกลุ่มนี้ แก่นแกนของโลกุตระนี้ก็มั่นคงแข็งแรง จะไม่มีเปลี่ยนแปลง จะไม่มีถอย จะไม่เสื่อมถอย จะเจริญไปอีก และเจริญถ้าไปหากลียุคก็จะเจริญเข้าไปสู่จิตคน กระจายแบบ บางๆ อ่อนๆ ไป แต่ไปไกล รัศมีความรู้นี้จะเข้าไปในมนุษย์ มนุษย์จะรับได้ แม้จะอ่อนน้อยไปตามลำดับ จนไกลไปหาที่สุดไม่ได้ อัปปมาณา ความจริงอันนี้จะหยั่งลงไปในจิตมนุษย์
ทุกวันนี้ มนุษย์โลกทั้งโลกก็แสวงหาสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ดีที่สุด และสิ่งที่ประเสริฐที่สุดดีที่สุดนั่นก็คือโลกุตรธรรม คนอย่างพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ตรัสรู้โลกุตรธรรม เป็นอุตริมนุสธรรม เป็นธรรมะที่สุดเหนือสุดในความเป็นคนที่จะพิสูจน์ได้ เป็นคนมีร่างมีกาย ไม่ใช่บอกว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่แล้วยิ่งใหญ่อยู่แค่ไหน ยิ่งใหญ่อยู่แค่พระศาสดา ก็บอกว่าเอาของพระเจ้ามาที่จริงแล้วเป็นของพระศาสดาเอง ได้เท่าที่กรอบความรู้ของพระศาสดาแต่ละองค์แล้วก็เอามาแข่งมาแย่งกันต่อไป แต่ของศาสนาพุทธ จะไม่มีศาสดาพระพุทธเจ้า 2 พระองค์ ในเวลาเดียวกันในโลกเลย ไม่ใช่แต่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ในโลกเลย จะมีพระพุทธเจ้าองค์เดียว เกิดมาแต่ละยุคแต่ละสมัย เวลาใกล้เคียงกันก็จะไม่มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์ ที่จะอุบัติขึ้นมาใกล้กัน ก็จะนานๆทีมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาอุบัติ
ข้อที่ 5. มีคุณลักษณะทั้ง 4 นั้น ตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 4 ยืนยัน เป็นได้แท้ มีได้แท้
ข้อ 6. ทีนี้ คุณสมบัติของสิ่งที่เป็นจริง มีความสงบ เป็นความสงบที่ในพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจน ความสงบจะมีอยู่ 2 อย่าง ในปัญญา 8 ข้อที่ 3 ความสงบอบอุ่นในสังคมนี้ อย่างชาวอโศก เป็นความสงบอบอุ่นของสังคมประเทศ ชาวอโศกเป็นกลุ่มที่เป็นอยู่อย่างสงบอบอุ่นอุดมสมบูรณ์ เบิกบานร่าเริงอะไรต่างๆ เด็กๆก็คงได้ฟังกันหมดแล้ว ยืนยันชัดเจน เป็นความสงบอบอุ่นในสังคมประชาชนชุมชนในประเทศยืนยันชัดเจน
ข้อที่ 7 รู้จักปัจจัยแห่งชีวิตดี ไม่หลงใหลเพ้อพกออกไปทางวัตถุ
ขณะนี้อาตมาทำงานอยู่กับวัตถุ 2 อย่าง 1.) ภูเฮา 2.) สะพานโค้งรุ้ง ยังไม่สำเร็จ ยังไม่บริบูรณ์ ก็พยายาม อาตมาไม่ได้ไปบังคับใคร ไม่ไปเร่งรัดอะไรใคร มันอยู่ที่จิตใจของเขาจะมาช่วยทำ เพราะเราไม่มีเงินจ้าง คนมาทำนี้ไม่ได้ถูกจ้าง เขามาทำด้วยใจเสียสละของเขา ทุนรอนที่มีก็เอาลงไปกับวัตถุที่ต้องใช้ ส่วนค่าแรงที่จะจ้างคน ที่เป็นกรรมกรมาอาศัยก็เป็นบ้าง แต่ชาวอโศกตัวนำจริงๆไม่ได้มีค่าจ้าง คนที่ยังรับจ้างอยู่ก็คือ พวกกรรมกร หากินมารับใช้เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นอาตมาก็ตั้งใจและผู้ที่เป็นตัวหลักๆที่จะทำ ภูเฮา หรือ ภูเขาแบบอโศกนี่แหละ ซึ่งเป็นวัตถุอย่างหนึ่งกับสะพานโค้งรุ้ง ซึ่งที่จริงก็ตั้งชื่อไว้เท่านั้นเอง ก็คือสะพานจากถนนเข้ามาสู่หมู่บ้านที่มันเป็นเกาะ เกาะรัตนราชธานีอโศก มันก็เข้ามาจากถนนเส้นเมน เข้ามาสู่หมู่บ้านเท่านั้นเอง ก็ตั้งชื่อ ตั้งท่า อธิบายดูฟอร์มโต ที่จริงมันจะเป็นได้ขนาดไหนก็เอาเถอะ เป็นสะพานอย่างนั้น เขาให้ดูโครงสร้าง ผู้รับเหมาก่อสร้างทำแล้วก็มีสัญญาว่าจะจบตอนธันวาเสร็จเรียบร้อย อาตมาดูแล้วผิดสัญญาแน่ ไม่เสร็จหรอก จะปรับจะไหมอย่างไรกันก็เชิญ ไม่เสร็จแน่นอน
สัญญาที่เขาจะสร้างหนี้สร้างพื้นฐานเท่านั้นนะ สร้างเป็นตัวรูปสะพานให้เรียบร้อยเท่านั้นเอง มาเชื่อมกับถนน ส่วนที่จะมีการเดคคอร์เรทอีกทีหนึ่ง พวกเราจะทำอีกทีหนึ่ง ไม่ใช่แค่สะพานนะ เขาจะไม่ใช่มารับจ้างทำทั้งหมดถึงจะเป็นสะพานโค้งรุ้งเลย ก็ทำไป
ก็อยู่ 2 อันนี้ให้สำเร็จ อีกอันหนึ่งอาตมาละไว้ในฐานที่เข้าใจ ก็คือ เรือโคกใต้ดิน เอาไว้วัดดวงจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ อาตมาตายก่อนหรือจะเสร็จก่อนตาย เอาไว้เป็นเครื่องพิสูจน์สิ ชาตินี้อาตมาจะได้เห็นความสำเร็จของโคกใต้ดินไหม
คำว่า โคก กับคำว่า ใต้ดิน โคกมันคือที่สูง ใต้ดินมันคือที่ข้างล่าง มันเป็นภาษา dialectic เป็นภาษาสิริมหามายา เป็นภาษาที่ย้อนแย้งในตัวมันเอง โคกใต้ดิน โคกก็เป็นลักษณะหนึ่ง ใต้ดินก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง
ซึ่งคำว่ามันเป็น dialectic ภาษาฝรั่งเขา กับของพุทธของเราคือ สิริมหามายา สื่อถึงความจริงและเป็นไปได้ได้ยิ่งกว่า dialectic ซึ่งเขาก็รู้ถึงความย้อนแย้ง อย่างน้อยก็ยังเป็นจิตนิยมกับวัตถุนิยม แล้วอะไรจริงหรือไม่จริง เขาไม่รู้เรื่องหรอก
ของพุทธนั้นตัดสินชัดแล้ว จิตเป็นประธานสิ่งทั้งปวง วัตถุนั้นไม่ได้มายิ่งใหญ่กว่าจิตได้หรอก ของศาสนาพระพุทธเจ้านั้น ตัดสินเด็ดขาดแล้ว แต่ของทางโลกเขายัง ignore เขายังไม่เข้าใจดีเท่าไหร่ พวก ignorance เขายัง dialectic อยู่ เขายังไม่สมบูรณ์แบบ
เพราะฉะนั้น อาตมาพาทำสิ่งที่เป็นวัตถุเป็นเครื่องยืนยันเท่านั้น ที่จริงอาตมาไม่ได้สร้างแบบโลกที่ไปสร้างแบบสถานีอวกาศ อุปกรณ์เทคโนโลยี สามารถเลื่อนไหลออกไปทางนอกโลก โชว์ความรู้ความสามารถทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ทางอะไรก็แล้วแต่ ไม่เอา
เอาแค่ พออยู่ พอกิน พอเป็นไป อุดมสมบูรณ์ในชีวิตที่อยู่ในโลกนี้ คุณจะมีอายุยืนยาวยืนไป 100-200 ปีตาย แค่นี้ก็พออยู่พอกินแล้ว “ชีวิตหนอ พออยู่พอกิน” ก็สบายแล้ว
เพราะฉะนั้นคิดมันเป็นโลกจินตาเพ้อเจ้อออกไปมากมาย มันก็เสียเวลา ตายเปล่า แต่มันไปห้ามเขาไม่ได้หรอก คนที่เขาหลงยึดถือ เขาก็ต้องทำ แต่คนที่รู้กรอบแห่งความเป็นจริง กรอบแห่งความควร กรอบแห่งความเหมาะควร ก็ไม่ไปหลงไหลไปเพ้อเจ้อกับเขา ก็ทำอยู่ในกรอบของความพอดีพอเหมาะ
เพราะฉะนั้นพวกที่หลงใหลวัตถุ ไม่จบ จบไม่เป็น พวกที่มาเรียนรู้ทางจิตโดยเฉพาะพระพุทธเจ้า จบเป็น และจบดีที่สุด
ส่วนทางสายศรัทธานั้น จบเป็นเหมือนกัน แต่จบไม่จบ กับจบไม่สมบูรณ์
จบไม่สมบูรณ์คือ จบแล้วเขานึกว่าเขาจบ แต่เขาทำแบบสมถะ ก็นึกว่าเขาจบอย่างเช่น อาฬารดาบส อุทกดาบส เหมือนอย่างพวกสายฤาษีสายหลับตา อย่างที่อาตมาว่าๆๆ เขาบ่อยๆ เขาไปทำ อสัญญีสัตว์ เขาไประงับสัญญาธาตุเจตสิกที่เป็นตัวสำคัญ ไประงับไม่ให้มันทำงาน ไม่ให้มันนึกออกมาใช้ ให้หยุดคิด แล้วกดข่ม มันก็ทำได้ ทำมากๆ มันก็ข้ามชาติได้ ทำได้ อย่าง อาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นต้น เป็นหัวหน้าใหญ่ เป็นตัวอย่าง พอตายแล้วพระพุทธเจ้าก็บอกว่าชิบหายใหญ่แล้ว เพราะช่วยเขาไม่ได้ เพราะเขาจะไปเป็นสัมภเวสีที่อยู่ในภพ อสัญญีสัตว์ แล้วจะไปตามได้ที่ไหน จิตวิญญาณใครตามใครไม่ได้ ตายไปแล้วภพใครภพมัน สัมภเวสีเป็นภพใครภพมัน จิตวิญญาณเป็นของใครของมัน ไม่ได้ออกจาก niche หรือคูหะของตนเอง ไม่มีออกนอกกรอบ
ที่บอกว่าตายไปแล้วไปเจอกันคุยกันได้ อันนั้นมันเพ้อเจ้อไม่จริงหรอก เขาก็ฝัน แบบโลกๆไป แล้วอันนั้นมันแค่โลกที่คุณฝัน โลกจริงมันไม่มี ก็เพราะอาตมาเกิดมาวนเวียนนับชาติไม่ถ้วน แล้วเขาระลึกไม่ได้ เขาระลึกชาติไม่ได้ ระลึกถึงความตายความเกิดไม่ได้ ตายเป็นอย่างไร เกิดเป็นอย่างไร เขาไม่รู้ เป็นสัมภเวสีเป็นอย่างไร เขาไม่รู้ สติเขาไม่มีพอ
สติแม้จะอยู่ภายใน เวลาคุณนอนหลับมีสติอยู่ข้างในไหม แล้วคุณก็เข้าใจอะไรอยู่ข้างใน เขาไม่ตื่นพอหรอก เพราะฉะนั้นพวกที่สติไม่พอนอนหลับฝันไปแล้วเละเลย คุมไม่ได้ใช่ไหม แต่ผู้ที่มีสติดีนอนฝันก็คุมได้ จะให้คิดเรื่องอะไร จะให้หยุดคิดเรื่องอะไรได้ ตื่นอยู่ครึ่งหนึ่งแล้วก็คิดปรุงแต่งความคิดไปอีกครึ่งหนึ่งก็ได้ จะสงบกว่านั้นก็ได้ ก็อยู่ที่การกำหนดจิตของตัวเองจะให้ได้แค่ไหน
สรุปแล้ว รู้จักปัจจัยแห่งชีวิตว่า ไม่หลงใหล ไม่เพ้อไปหาวัตถุมากเกิน มีพอสมควร อยู่กันอย่างพออยู่พอกินอย่างนี้แหละ พอแล้ว รู้จักกรอบแห่งความพอเหมาะพอดี วัตถุกับจิต ใช้พอดี ไม่เฟ้อไม่เกิน ไม่ผลาญพล่า ไม่สุรุ่ยสุร่าย
ข้อที่ 8. จึงเน้นจิตวิญญาณมากกว่าวัตถุแท้จริง กระทั่งเกิดผลธรรมแท้ จะมีของจริงปรากฏเลย จิตวิญญาณก็เห็นเด่นชัด วัตถุก็เห็นเด่นชัด ว่าจิตวิญญาณนี้เหนือกว่าวัตถุ มีผลธรรมแท้ อย่างชาวอโศก เน้นจิตวิญญาณมากกว่าวัตถุ วัตถุเรารู้จักพอ อันนี้ใช้กินพอ แต่อุดมสมบูรณ์แจก ทำไมเราแจกได้ ก็เพราะว่าเราพอ เรามีจิตสันโดษแล้ว ให้กินอีกก็ไม่กินต่อหรอก มันพอแล้วจริงๆ
นี่เฉยเลย แม้แต่เด็กของพวกเราก็รู้จักพออยู่แล้ว แต่ข้างนอกเขานั้น ท้องเขาจะแตกแล้วนะแต่อร่อยๆ แล้วก็บอกว่าได้เปรียบด้วย กินเข้าไปจนกระทั่งสรีระเป็นโรคด้วย เสีย ต้องไปกินยาถ่ายออก ตะกละ ได้เปรียบ อร่อยด้วย แล้วชั้นหนึ่งด้วย ไม่กินก็เสียสิของชั้นหนึ่งอะไรอย่างนี้
เขาโง่หรือเขาฉลาด นึกเอาเองก็แล้วกัน เคยโง่อย่างนี้มาหรือเปล่า..เคยโง่อย่างนี้มาหรือเปล่า เคยโง่มาอย่างนี้แล้วทั้งนั้น
ข้อที่ 9. เป็นสังคมมั่งคั่ง แต่พอเพียงเท่าที่จะอุดมสมบูรณ์
นอกจากมั่งคั่งแล้วยั่งยืน เป็นคำของนายกไทย มั่งคั่ง ยั่งยืน มั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืน มั่นคงมั่นคั่งยั่งยืนมันใกล้กัน
มั่งคั่งอีกชนิดหนึ่งบอกปริมาณ มั่นคงกับยั่งยืนบอกสภาพสถิต เสถียร สภาพ Static ก็ไม่เป็นไรก็ดี เขาใช้คู่ เพราะธรรมดา 3 เส้าจะมี 2 มี Static กับ Dynamic เป็นธรรมชาติ Dynamic เป็นประธาน Static 2 ด้วย ก็อธิบายคุณลักษณะของจิตนิยาม เติมแถมให้ฟัง ศึกษาจิตให้ดีเถอะ
ข้อที่ 10. มีปัญญาความรู้ความฉลาดโลกุตระของพระพุทธเจ้า นี่ย้ำยืนยัน ความรู้ ความฉลาด ความจริง อันนี้ ได้มาจากของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ได้มาจากโลกียะหรือคนเทวนิยมคนปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่ ได้มาจากปัญญาแบบโลกุตระ แบบ อัญญธาตุ อีกชนิดหนึ่ง จึงเรียกว่า ความรู้ ความฉลาด ความจริง อีกชนิดหนึ่ง ที่รู้มากกว่าที่เขารู้กัน
ข้อที่ 11. แม้จะยากจนก็อยู่ได้อย่างสงบ … อยู่อย่างสงบเช่น ปัจจุบันนี้ดูได้จากประเทศอินเดีย ที่มีพลเมือง ในโลกขณะนี้มีพลเมืองของ 2 ประเทศที่มากที่สุดคือ อินเดียกับจีน มีพันกว่าล้านคน
ก
อินเดียก็เป็นประชาธิปไตย จีนเขาก็เป็นคอมมิวนิสต์แก้ คอมมิวนิสต์ที่แปลงโฉมมาเป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่เขาไม่กล้าพูดคำว่า ประชาธิปไตย เต็มๆ แต่พฤติกรรมหรือทฤษฎี เจตนา ใช้จริงแล้ว สีจิ้นผิง ใช้จริง จึงเกิดผลจริงๆ เป็นประเทศที่มีพลเมืองพันล้าน ขณะนี้ ในโลกก็มีอินเดียกับจีน
อินเดียเป็นสมถะ จีนเป็นปัญญา
อาตมาใช้คำว่า ปัญญาให้แก่จีน ที่จริงปัญญาเขายังไม่เต็ม ถ้าสีจิ้นผิงได้มาศึกษากับอาตมา รับรองไปโลดเลยไม่มีใครเทียมได้ เพราะมันพร้อม พลเมืองพร้อม ทั้งความเคารพศรัทธาสีจิ้นผิง ขณะนี้เขาก็ยังต้องต่ออายุไม่มีใครแถม ก็บอกได้เลยว่าเป็นโพธิสัตว์คนหนึ่งเลย สีจิ้นผิง ศึกษาความเป็นโพธิสัตว์ไปได้เรื่อยๆ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ชาติศาสนา หรือผู้นำ หรือกษัตริย์ หรือประธานาธิบดีก็ตาม ไม่ใช่จำกัดอยู่ที่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ได้จำกัดที่มนุษยชาติที่ใคร มันเป็นคุณธรรมพิเศษ
เพราะฉะนั้นให้สังเกตอ่านดีๆ อ่านพฤติการณ์ พฤติกรรม ความเป็นอยู่ของมนุษยชาติ มันมีสิ่งจริงให้เราอ่านตลอดเวลา เรียนรู้ตลอดเวลา
คำว่า ประชาธิปไตย เป็นบัญญัติภาษาที่เกิดในยุคนี้ สำนวนคำบัญญัติขึ้นมาใหม่ อธิปไตยกับประชา ประชาก็คือคน มนุษย์ อธิปไตยก็คือ พลังงาน หรือฤทธิ์แรง อำนาจ อธิปไตย
ก็คืออำนาจของประชาชน หรือฤทธิ์แรงของประชาชนที่เป็นหมู่ ประชาชนก็คือมวลชนที่เป็นหมู่ ร่วมมือกัน ร่วมใจกัน อย่างชาวอโศกนี้เป็นประชาธิปไตยตัวอย่าง เทียบเคียงให้ฟังแล้ว มีอินเดียกับจีนกับไทย ของไทยเหนือสุด เป็นประชาธิปไตยที่แท้ ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า สีจิ้นผิงก็ยังไม่ใช่ อินเดียเดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นของศาสนาเก่า ศาสนาเดียรถีย์ ศาสนาคริสต์ ศรัทธาที่อินเดีย เป็นสมถะที่ จะว่าล้มเหลวก็ใช้ภาษานี้ได้ แต่จะใช้ว่า มันไม่ใช่ล้มเหลวแต่มันเป็นสมถะอย่างยิ่งก็ได้ ถ้ากระบวนการในมนุษย์โลกแล้ว ไม่มีสมถะของประเทศไหนเท่ากับอินเดีย
ส่วนความฉลาด ปราดเปรียวนั้น จีน อาตมาอนุโลมใช้คำว่า ปัญญากับจีนเพราะมันมีความฉลาดที่รู้จักมวลมนุษยชาติ แล้วทำความรู้ความฉลาดนั้นกับมวลมนุษยชาติ ให้เกิดประโยชน์ที่จะอยู่กันอย่างสงบอบอุ่น อยู่อย่างเรียบร้อย
คนจีนทุกวันนี้คนตั้งพันล้าน ไม่ใช่จะอยู่กันง่าย เขาไม่แย่งชิงกัน เขาไม่ทะเลาะกัน เขาไม่เอาเปรียบเอารัดกัน จนกระทั่งผู้บริหารลำบากเลย มันแย่งกัน ฆ่ากัน มันตีกันก็ไม่ใช่ ทุกคนขยัน ทุกคนทำงาน ทุกคนรู้สิทธิของตน แล้วก็ขายออกต่างประเทศ ก็ได้ระบบทุนนิยม ระบบซื้อขายไปเลี้ยงประเทศ อุดมสมบูรณ์จนกระทั่ง คนมาเที่ยวนี้มีจีนเท่าไหร่ กี่เปอร์เซ็นต์ จีนเป็นเบอร์หนึ่งเลยที่ไปเที่ยวทั่วโลก ยิ่งประเทศไทยเขาบอกว่าเบอร์ 1 เป็นที่น่ามาเที่ยว เดี๋ยวจะมีคนที่มีปฏิภาณปัญญาเข้ามาเที่ยวเมืองไทยแล้ว แล้วเขาก็จะค้นหาว่า แล้วมันมีชุมชนกลุ่มหมู่ที่ไหนที่ประเสริฐที่สุดที่น่าเที่ยว พูดอย่างนี้แล้วรู้ไหมว่าที่ไหน … ยังไม่มีหรอกตอนนี้เขายังไม่รู้ เขาจะไปเที่ยวเชียงใหม่ เขาจะไปเที่ยวภูเก็ต อย่างนี้เป็นต้น
เขายังไม่รู้ว่าอุบลมีที่น่าเที่ยว ประเทศไทยนี้มีจังหวัดที่ชื่อว่า ราชธานี จังหวัดเดียว ใน 77 จังหวัด คือ อุบลราชธานี เพราะฉะนั้นโพธิรักษ์ก็มาตกอยู่ตรงนี้ มาอุบัติอยู่ตรงนี้ ทั้งๆที่โพธิรักษ์ไม่ได้เกิดอยู่อุบล โพธิรักษ์ตกฟากที่ศรีสะเกษ แต่มาอยู่ที่หัวใจ เกิดที่หัว แต่มาอยู่ที่หัวใจ อุบลดอกบัวหัวใจ มาทำงานอะไรต่ออะไรอยู่ที่นี่เป็นหลัก ไม่ได้ทำอยู่ที่ศีรษะอโศกแต่ก็มีเครือข่ายอยู่ที่ศรีษะอโศก แน่นอนก็ร่วมกันอยู่กับเรี่ยวแรง
ในมนุษย์มีหัวกับใจ นี่ก็เป็นเรื่องสำคัญ พยัญชนะก็บอกชัด ในคนมีสิ่งที่สำคัญคือหัวกับใจ ก็เรียกรวมกันว่าเป็น หัวใจ จริงๆแล้ว หัวและสมอง ไม่ได้เป็นใจ มันเป็นอุปกรณ์ของใจใช้ ของธาตุวิญญาณใช้
ประชาธิปไตย อินเดีย จีน และไทย
ไทยไม่ได้หวือหวา ที่จริงอินเดียก็ไม่ได้หวือหวาเพราะเขาสมถะ แต่เขาก็มีมวล มีพฤติการพฤติกรรม มีกิริยา มีบทบาท มีวัฒนธรรมอะไรก็แล้วแต่ แสดงให้เห็นได้ ทั่วโลกเห็นได้ว่าเขาสมถะ
สมณะฟ้าไท… ที่พ่อครูว่า สมถะเขาล้มเหลว เพราะเขาไม่ได้ลดกิเลสใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… เขาทำแบบ เดียรถีย์ ไม่มีใครแข่งเขา เขาก็เจริญชนะทุกประเทศ ด้วยมวลเขาก็ตาม ด้วยคุณภาพเขาก็ไม่ใช่เบา ตะวันตกจะมาเอาความสงบต้องมาเอาที่อินเดีย เขายังไม่รู้หรอกว่าความสงบ 2 อย่าง อย่างที่สำคัญที่สุดคือของไทย ความสงบอย่างหนึ่งก็คืออย่างอินเดีย ความสงบอีกอย่างหนึ่งก็คือแบบไทย แบบโลกุตระ ของอินเดียเป็นความสงบแบบโลกียะ นี่คือความสงบ 2 อย่าง สมถะแบบนั่งหลับตาสะกดจิต แม้แต่ในเมืองไทย อาตมาก็ตี นั่งหลับตาสะกดจิตไปเข้าหาแบบอินเดีย แต่ของไทยนั้นแบบตื่น ชาคริยานุโยคะ ตื่นรู้ทวารทั้ง 5 ทั้ง 6 รู้การสัมผัสแตะต้องเกี่ยวข้อง โภชเนมัตตัญญุตา ไม่ว่าวัตถุ ไม่ว่าของกินของใช้ รู้เท่าทันหมด แล้วมันก็มีทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มีทั้งปริมาณ จำนวน อยู่ในนั้นหมด รู้จักประมาณให้พอเหมาะพอดี มัตตัญญุตา ไม่ตะกละตะกลาม
_สู่แดนธรรม… ผมฟังที่พ่อท่าน เขียนบทความคุณสมบัติ 11 ข้อของผู้ที่จะนำประชาธิปไตยมาให้ ผมรู้สึกว่าทั้งโลกหาไม่ได้สักประเทศเลย
พ่อครูว่า… ได้ที่ประเทศไทยไง อยู่ในกลุ่มอโศกนี่แหละเป็นที่ก่อหวอด ถือว่าเป็นมูลกา เป็นรากเหง้า นี่แหละ อยู่ที่อโศก เริ่มต้นไป ประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยที่เป็นตัวอย่างที่ดีของโลก อีกกี่ปีที่เขาจะตัดสินยกให้ก็ไม่รู้ เขาก็ยังนึกอยู่ว่าตอนนี้ประชาธิปไตยของอเมริกาเป็นผู้นำของโลก เขาก็ยังเพลิดเพลินไปกับประชาธิปไตยขาเดียว เขาก็คุยโวแบบทักษิณนั่นแหละ ทักษิณก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตย คุณดูสิ ประชาธิปไตยทักษิณ ประชาธิปไตยอเมริกามันเหมือนกันนั่นแหละ หลงไปในเรื่องตัวตน หาพรรคพวก
คือ ประชาธิปไตยนี้ จะมีประชาธิปไตยตัวตนกับพรรคพวก บวกกับคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตย แล้วไปหลงเรียกว่าเป็นประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยตัวตน ได้เป็นประธาน แล้วก็เอาพรรคพวก ตั้งแต่พรรคพวกที่เป็นแต่ละคณะๆ รวมอำนาจ ยึดเอาไว้ที่ประธานาธิบดีคือหัวหน้าประชาธิปไตยของเขา ส่วน คอมมิวนิสต์ เขาบอกว่ามันแฝงเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เหมือนกับคอมมิวนิสต์สุดโต่งที่เกาหลีเหนือ สำเร็จเด็ดขาด สมบูรณาญาสิทธิราชย์สั่งฆ่าใครก็ได้ แต่เขาไม่ออกข่าวกันหรอก แต่ข่าวมันออกมา ที่พี่ชายเขาถูกตามฆ่าจนสำเร็จ ข่าวมันปิดไม่ได้เพราะอยู่ต่างประเทศ แต่ในประเทศนั้นไม่รู้ของเขา นี่นายคิมจองอึนได้ยินคงจะโกรธอาตมาเพราะเอาเรื่องจริงมาพูด
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท… พ่อครูถึงบอกว่า งานที่จะทำมีภูเฮาและสะพานโค้งรุ้ง เรือโคกใต้ดิน
พ่อครูว่า… ก็ขอบอกว่า ชาวอโศกยังไงๆก็มาร่วมกันทำ ภูเฮา ส่วนสะพานโค้งรุ้งนั้นมันไปตามเรื่องตามยถากรรมของมัน ส่วนภูเฮา ภูเขาแต่เราเรียก ภูเรา อาตมาดัดจริตเรียก ภูเราเพราะเราสร้างเองไม่ใช่ธรรมชาติหรือใครสร้าง เราสร้างด้วยน้ำมือของเรา
อาตมาอธิบายความไม่ดี คือ อาตมาพาพวกเราสร้างธรรมชาติ ธรรมชาติไม่ใช่อะไรไปสร้างมัน ธรรมชาติมันจะต้องสร้างตัวมันเอง แต่อาตมานั้นมาแย่งธรรมชาติสร้างธรรมชาติซ้อนธรรมชาติ คือ อาตมาทำธรรมชาติน้อยๆ เป็นตัวอย่างของธรรมชาติ เช่น มี ดิน น้ำ ไฟ ลม มีพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีสัตว์เดรัจฉาน มีสัตว์คน แล้ว อยู่อย่างสัตว์คนที่เป็นคนอาริยกะ ไม่ใช่คนที่เป็นมิลักขะ ไม่ใช่คนเถื่อน แต่เป็นคนเจริญ อาริยกะ
ผู้ไม่มีปัญญาไม่รู้จัก อาริยะแท้ๆจริงๆ เขายังเห็นเป็นคนตกยุค อย่างชาวอโศกนี้เขาจะมอง มันไม่เห็นเก่ง ทำเครื่องเทคนิคต่างๆมาโชว์ สร้างปืนก็ไม่เป็น สร้างประทัดยังไม่เป็นเลย ชาวอโศก อย่าไปพูดถึง สร้างระเบิดปรมาณู สร้างระเบิดนิวเคลียร์อะไร เพราะอย่างนั้นอโศก เอาประเทศเขาทั้งประเทศมาจ้างเรา เราก็ยังไม่สร้างเลย ต่อให้คุณเอาประเทศมาเป็นค่าจ้างยกประเทศมาจ้าง ก็ไม่ทำไม่สร้าง สร้างแล้วมันเป็นบาป สร้างแล้วมันไร้สาระ ไร้ประโยชน์ มีแต่โทษ โทษแล้วสร้างไปทำไม เพราะเราไม่ได้เห็นแก่เงินแก่ทอง ไม่ได้เห็นแก่ค่าจ้าง เราเอาที่สาระที่ประเสริฐของมนุษย์
เพราะฉะนั้น เราจะมาสร้างคุณธรรม ความรู้ ความฉลาด ความจริง ที่ประเสริฐวิเศษ เรียกว่า โลกุตรธรรมหรืออาริยธรรม อาตมาใช้คำว่า อาริยธรรม
_มีคนเขียนแซมมาว่า…หนูได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งนักเขียนมีความคิด มีทัศนคติ ที่หนูรู้สึกประทับใจมากค่ะ มีข้อความหนึ่ง ที่เขาเขียนเกี่ยวกับเรื่องทาส เอาไว้ว่า บางที ตลอดทางสายยาว ของมนุษยชาติ เราอาจไม่มีวันเลิกทาสได้ (พ่อครูว่า… อันนี้เป็นความจริงชนิดหนึ่ง ทุกวันนี้ยังมีทาสอยู่ แม้แต่ในชาวอโศกก็ยังมีทาส ถ้าเข้าใจความเป็นทาสคือยังตกเป็นทาส ตกเป็นทาสความอร่อย ตกเป็นทาสกิเลสอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พวกเราไม่เป็นทาสตัวตนบุคคลแล้วล่ะ )
ด้วยเพราะว่าผู้คนอย่างยินดี ให้ตรึงร่าง ของพวกเขาบนไม้กางเขนทองแห่งความฟุ้งเฟ้อ เพราะสิ่งที่ปลดออกยากที่สุดก็คือโซ่ตรวนแห่งอวิชชาที่เราผูกล่ามตัวเอง
หนูอยากทราบว่านักเขียนคนนี้มีความคิด และความคิด (แค่ความคิดนะคะ) ที่เป็นแบบชาวพุทธแท้ๆหรือเปล่า ถ้าตัดเรื่องการเขียนเรียบเรียงภาษาให้สวยๆตามแบบฉบับของนักเขียน
พ่อครูว่า… เป็น(ชาวพุทธ) การศึกษาของคนก็จะเป็นอย่างนี้ นักคิดนักเขียนหรือนักปฏิบัติ คนเขียนก็คิดแล้วก็เขียน แค่คิดแล้วก็เขียน เยอะ ไม่ทำ ไม่ปฏิบัติ โดยเฉพาะปฏิบัติไม่ถึงจิต ไม่เป็นมนสิการ ถ้าผู้ที่คิดก็ดีเขียนก็ดี แล้วมนสิการ ปฏิบัติให้กาย วาจา ใจ ใจของตนบรรลุธรรมตามที่ตนเองเข้าใจ ตนเองคิดได้ ตนเองเขียนออกมากระจาย ทำเป็นความข้อความเก่งที่คิดได้ มันคิดได้ คิดโลกุตระจบอย่างไรก็ได้ แต่ตัวเองไม่ทำเลย เป็น ปทปรมบุคคล เรียนธรรมะพระพุทธเจ้าก็ได้มาก ท่องจำก็ได้มาก สอนคนก็อยู่มาก แต่ตัวเองไม่บรรลุธรรม ตนเองไม่บรรลุธรรมในชาตินั้นๆ ชาติที่มีความรู้เยอะๆอยู่นี่แหละ มีเยอะ ที่อาตมาติงนักปราชญ์ของศาสนาพุทธทางสายคิด ที่เขาเรียกว่าปัญญาที่จริงมันไม่ใช่ปัญญาแท้ ปัญญาแท้ต้องมี 2 สภาพ จิตบรรลุ แล้วตัวเองก็มีความรู้ความรู้ของจิต จิตรู้กิเลสแล้วตัวเองก็ลดกิเลสได้ จิตรู้กาย เวทนา จิต เวทนามีจิต เวทนาอยู่ในจิต จิตมีกิเลส สราคะสโทสะสโมหะ อ่านออกที่เป็นตัวกลิ อยู่ในเวทนาด้วยปัญญาด้วยฌานอันยิ่ง ประหารด้วยพลังงาน
กิเลสเป็นพลังงาน กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ เป็นพลังงาน แล้วก็ต้องถูกประหารด้วยพลังงานปัญญา ประหาร ราคะ โทสะ โมหะ ได้
เพราะฉะนั้นผู้สร้างปัญญา สร้างจิตให้เป็นปัญญานี่แหละ จนกระทั่งเกิดปัญญา เกิดจากสภาพ 2 บวกกับลบ สร้างพลังงาน 2 ที่มีบวกกับลบ เป็นรูปกับนาม หรือรวมแล้วเรียกว่ากาย มีสัญญากำหนดรู้กาย กำหนดรู้รูปนาม กำหนดรู้ทั้งกายทั้งวิญญาณ
ในกาย มีทั้งวิญญาณมีทั้งรูปเป็นสภาพ 2 สัญญากำหนดรู้สภาพ 2 นี้ทำงานกันยังไงจบตรงนี้ ในวิญญาณฐิติสูตร มีสัญญากำหนดอายุครบในความตื่นๆ มีวิญญาณฐิติไม่ใช่เป็นวิญญาณสัมภเวสี ไม่ใช่เป็นวิญญาณล่องลอย ไม่ใช่วิญญาณที่ไม่มีที่ตั้ง แต่เป็นวิญญาณที่มีที่ตั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายทำงานอยู่คือกามาวจร
รู้กามาวจรเสร็จอยู่เหนือได้ ก็เป็นอนาคามีก็ไปเรียนรู้ทำได้กิเลสใน รูปาวจร อรูปาวจรอีก จบเป็นอรหันต์เลย
เพราะฉะนั้น จิตวิญญาณ เป็นประธานสิ่งทั้งปวง ผู้รู้จักจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ที่สุดคือพระพุทธเจ้า รู้กระทั่งจิตวิญญาณที่เป็นพระเจ้า แล้วก็เย้ยหยันพระเจ้าได้ เพราะว่าเราอิสรเสรี ไม่ได้เป็นทาสพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในอาณัติของพระเจ้า พระเจ้าอย่ามายุ่ง ต่างคนต่างอยู่ อย่าเผือกซึ่งกันและกัน ยืนยันได้แล้วก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ต้องตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะรับอยู่ในสวรรค์ด้วย หรือจะส่งลงนรกก็สุดแท้แต่พระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ต้อง พระเจ้าก็อยู่ของพระเจ้า เราก็เกิดของเรา ตายของเรา เป็นกรรมของเราเอง เราเป็นทายาทของกรรม เราทำกรรมของเราไปตามกรรมของเรา กัมมโยนิ กรรมของเรา เป็น DNA ของเราเอง เผ่าพันธุ์ของเรา ไม่มีใครจะมีสิทธิ์มีส่วนในกรรมวิบากของใครได้ นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
แล้วเราก็อาศัยกรรม กัมมปฏิสรโณ จะเกิดจะตายจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ จนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว สุดท้ายก็ต้อง ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ทุกพระองค์แหละ เพราะมันเหน็ดเหนื่อยมากแล้วจนกระทั่งทำงานมาพอแล้ว จริงๆท่านพอตั้งแต่เป็นอรหันต์แล้ว แต่ท่านจะช่วยมวลมนุษย์ชาติ อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์รู้ดีว่าทำงานเพื่อคนอื่น ตัวเองไม่มีอะไร จะตายก็ตายไปสิ แล้วตัวเองจะตายให้จบ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะตายอย่างไม่ต้องเกิดอีกเลยหรือจะตายอย่างเกิดอีกล่ะ ก็เป็นอมตะบุคคลแล้ว เป็นผู้จะตายจะเกิดก็สั่งเองทำเองได้ ไม่มีปัญหาอะไร มีแต่ปัญญา ปัญหาไม่มีเลย มีแต่ปัญญา จริงนะ ใครไม่เชื่อว่า มีปัญญาปัญหาไม่มี
คนถามปัญหาอาตมามา แล้วอาตมาไม่รู้ อาตมาตอบได้ไหม อาตมาก็ตอบว่าไม่รู้ ก็จบแล้ว ไม่มีได้ไงปัญญา ก็เอาความจริงเขาถามอันนี้มา แล้วเราไม่รู้ เราก็ตอบความจริงไป ถามว่าอันนี้เราไม่รู้แล้วก็ตอบไม่รู้ เป็นไรไปล่ะ เออ.. ไม่มีกฎหมายใหม่ในโลก ว่าคนที่ตอบความจริง เขาถามมาว่าอันนี้คืออะไร เราตอบไปว่าไม่รู้แล้วถูกจับ มีไหม ไม่มีกฎหมายนี้หรอก
สมณะฟ้าไท… มันก็ยืนยันความไม่มีตัวตนของคนตอบชนิดหนึ่ง
พ่อครูว่า… มันเป็นความรู้ของผู้ตอบ คำว่า ตอบว่าไม่รู้ กับมีคนอีกคนหนึ่งเขาตอบว่า ไม่ขอตอบใดๆ คำไหนมันดูดีกว่ากัน คำว่า ไม่ขอตอบใดๆ นี้ ดูเท่กว่า คำว่า ไม่รู้ นี่มันซื่อเกิน โลกเขาชอบความเท่ แล้วความเท่ ทำให้คนชะงักเลย ถ้าอาตมาตอบว่าไม่รู้นี่ไม่จบนะ แต่อาตมาตอบว่า ไม่ขอตอบใดๆนี้ จบเลย เขาเองเป็นคนตัดสิน ชื่ออะไรนะที่มา … คุณเสนาะ พ่วงภิญโญ ก็เป็นอันจบกัน ไปไม่เป็นเลย ก็จบ แล้ว อาตมาก็ไม่ได้ไปตอบผิดความจริง มันเป็นความจริงอย่างนั้น โดยความฉลาดเฉลียวของอาตมา ตอบภาษานี้แล้วคุณเสนาะหยุดเลย
ถ้าสมมตินะ อาตมาจะตอบว่าไม่รู้ เขาก็จะว่า ท่านไม่รู้ได้อย่างไร เขาถามประเด็นว่าสึกหรือไม่สึกประเด็นที่ 1, 2.ท่านเป็นฆราวาสแล้วหรือยัง
-
ท่านสึกหรือยังไม่สึก อาตมาก็บอกว่า ไม่ขอตอบใดๆ แล้วเขาก็ถามอีก ขณะนี้ท่านเป็นฆราวาสแล้วหรือยัง อาตมาก็บอกว่า ไม่ขอตอบใดๆ เขาก็หมดท่าเลย ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันจบกัน