651106 พ่อครูเอื้อไออุ่นกับลูกๆหลานๆ งานมหาปวารณา มหาบิ๊กคลีนนิ่ง
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1vTjwHeexSe3ON6pLOJHlc1qxW9iBdMuROS5hXpo48yg/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Ubgy8WuqWWCOAwYudakzlQ08SDEmiPz_/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/5x9YM-Lv3uQ
และ https://fb.watch/gDqN005vXR/
พ่อครูว่า… วันนี้วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ใครอยากจะพูดคุยโอภาปราศรัยกันให้เหมือนเอื้อไออุ่น ไม่งั้นก็แข็ง เทศน์ไป
เจริญธรรมทุกๆคน ไม่ว่าจะเป็นลูกๆที่เป็นลูกๆอายุ 80 กว่าแล้วก็ตาม ถ้า 90 กว่าแล้วคงไม่เรียกลูก เพราะอาตมายังไม่ 90 แค่ 89 เอง จากนั้นก็ลดหลั่นลงไปเป็นลูกหลานเหลนโหลนแล้ว ตัวน้อยๆ นั่งๆอยู่ รวมอยู่ในนี้ 10 กว่าก็มี น้อยกว่า 10 ขวบก็คงไปนอนหมดแล้ว คงมี 10 ขวบขึ้นมา
วันนี้วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ก็เอื้อไออุ่น ก็โอภาปราศัยกัน คุยกันในฐานะลูกๆหลานๆเหลนๆโหลนๆ ที่จริงจะพยายามทำให้เหมือนกับนั่งคุยกันไป ให้เป็นธรรมชาติ ไม่ค่อยได้ มันก็จะเป็นรูปพิธีการอย่างนี้ มันก็เลยแข็งๆยังไงไม่รู้ มันไม่เป็นธรรมชาติที่เป็นกันเอง มันไม่เป็นเหมือนพิธีการ แต่มันก็เป็นไปได้ยาก เพราะว่าถ้าทำอย่างนั้นมันก็ไม่เป็นระเบียบเกินไปเพราะว่ามันมาก พวกเราก็มีมากก็ไม่มีปัญหาอะไร เรื่องเล็กน้อย เรื่องจริงๆก็คุยกัน ใครจะมีอะไรก็ถาม ยกมือ หลวงปู่มานี้ก็มาเจอกัน เอื้อไออุ่นก็นานๆที
เจอกันแล้วก็มีอะไรเรื่องอะไรจะคุย มีเรื่องอะไรอยากจะถาม ยิ่งคำถามแปลกๆ คำถามที่บางคนอาจจะข้องใจสงสัยอยู่นะ เอ๊! แปลกๆ ถามใครถามผู้ใหญ่คนนั้นคนนี้ก็ไม่รู้เรื่อง ลองมาถามหลวงปู่ดู ใครมีไหม
คำถามง่ายๆคำถามพื้นๆ หลายคนถามไปก็รู้แล้วล่ะได้ฟังเป็นร้อยครั้งแล้ว มันก็เฉยๆไม่หนุกเนาะ แต่คำถามที่มันแปลกๆ คำถามนี้ใหม่นี่ แปลกดี ก็จะเข้าท่านะ ก็ลองดูดิ ใครมีไหม
การเสียสละกับการโดนเอาเปรียบมีนัยต่างกันอย่างไร
_สุดฟ้าหยก… ชื่อเล่นชื่อ ป๊ะเว เป็นศิษย์เก่าศีรษะอโศก จะถามหลวงปู่ว่า การเสียสละหรือเป็นคนที่เสียสละกับการเป็นคนที่โดนเอารัดเอาเปรียบเสียเปรียบ มันมีนัยยะที่ต่างกัน แล้วก็มันสำคัญอย่างไรครับ
พ่อครูว่า… ดี การเสียสละกับการเอาเปรียบนี้เป็นคำถามที่พื้นมาก ใครๆก็พูดกัน
ได้เปรียบเสียเปรียบ ก็พูดกันรู้กันแต่ก็ทำกันอย่างผิดๆ ทำกันอย่างไม่ดี ทำกันอย่างที่กุศลก็ไม่เป็น ยิ่งเป็นบุญยิ่งไม่เป็นใหญ่ ทำกันโดยไม่เข้าใจ โดยไม่มีภูมิปัญญา
คนเรานี่เกิดมาก็อวิชชา คือไม่รู้โง่ๆ โง่อะไร โง่เห็นแก่ตัว โง่ยึดตัวตน ภาษาธรรมะเขาก็พูดกันอย่างนั้น ตัวตนคืออะไรคนไม่ประสีประสาก็ไม่รู้เรื่อง ยึดตัวเอง ท่านพุทธทาสท่านใช้คำว่าตัวกูของกู ยึดตัวกูของกู ยึดตัวเอง แล้วก็ตัวเองจะต้องเป็นผู้ได้เปรียบ ชีวิตจึงดำเนินไปด้วยการจะเอาเปรียบให้ได้ พอเอาเปรียบได้ ได้เปรียบมาก็ดีใจ ดีใจที่ทำผิดทำชั่วทำโง่
ทุกคนโง่อย่างนี้มาก่อนทั้งนั้น หลวงปู่ก็เคยโง่มาอย่างนี้ มาทั้งนั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องลึกซึ้งเป็นเรื่องที่สุดยอดเลย พระพุทธเจ้าค้นพบจุดสำคัญพวกนี้
สรุปง่ายๆนะว่าการศึกษาของพระพุทธเจ้า เรียนรู้เรื่องนี้ที่จริง เรียนรู้เรื่องตัวตนหรือตัวเอง แล้วเราก็เป็นคนที่จะไปเอาเปรียบ ไปได้เปรียบมา ทำตลอดแล้วก็งมงาย ส่งเสริมคนได้เปรียบ หาวิธีการมีเชิงยุทธ์ มีกลยุทธ์ต่างๆนานาซับซ้อนเพื่อเอาเปรียบมาให้ได้ แล้วเรียกว่ารวย รวยจริงๆ ได้มากได้เปรียบมาก ก็ยกย่องยกยอกันขึ้นทำเนียบ ขึ้นบอร์ด คนนี้รวยเท่านี้ คนนี้เก่งอย่างนี้ๆ ยกย่องชมเชยกัน
แต่คนที่พูดถึงเรื่องต้องมาเสียเปรียบ ชัดๆเลย เสียสละโดยปัญญา ถ้าเสียสละแล้วมีปัญญารู้ว่า ถ้าเสียเปรียบนี้ดีเป็นคนเจริญ เสียเปรียบเป็นคนเจริญ ได้เปรียบเป็นคนเลว เป็นคนโง่ นี่พูดสัจจะ พูดภาษาธรรมะ สัจจะ ซึ่งกว่าจะรู้สึกตัว พอตั้งสติ ตั้งใจฟังดีๆเอาปัญญามาตั้งรับ พูด ก็พอเข้าใจนะ แต่พอเลิกฟังไปแล้ว เอาแล้ว ตอนนี้ผีเข้าแล้ว กลายเป็นตัวตน กลายเป็นตัวเอง กลายเป็นตัวกิเลส อวิชชา
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้ สุดท้ายก็ ละ ความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ตนเอง เสียสละให้ได้ ขาดทุนให้ได้ ในหลวง ร.9 เป็นโพธิสัตว์ตรัสไว้ว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เสียสละให้คนอื่นได้ ซึ่งหลวงปู่ก็บอกว่า ขายต่ำกว่าทุน ใครขายต่ำกว่าทุนได้ คนนั้นกำไร ต่ำกว่าทุนได้มากเท่าไหร่ได้ ไปหา 0 ยิ่งกำไรมากเท่านั้น ยิ่งให้ไปหมดเลยเป็น 0 ไม่เอาอะไรแลกเปลี่ยนคืนมาเลย ยิ่งวิเศษเลย ยิ่งกำไรเต็มตัว
ลึกซึ้งกว่านั้นอีก รู้จักภพชาติ ฟังต่อดีๆนะ ระดับพวกเรานี้ระดับโลกุตระกัน เรียกว่า ทาน การทาน การให้ แก่คนอื่น ให้แล้วยิงจิตไม่มีสาเปกโข นี่เป็นภาษาวิชาการ ภาษาบาลี ไม่มีภพชาติอะไรต่อเลย ให้แล้วไม่มีตัวตนต่อไปตามเป็นภพชาติว่าเราเป็นผู้ให้ เราได้สวรรค์ เรามีบุญคุณอะไร ไม่มีเลย ให้แล้วตัดทิ้ง ลืม ไม่ติดยึดว่าเราได้ให้อะไรไป ให้แล้วก็จบ อย่างนี้คือทานสูงสุด ให้สูงสุด เสียสละสูงสุด ยอด จบเลย
ใครเคยทำได้บ้าง … โอ้ มียกมือข้างหลัง คนอายุมากแล้ว เด็กๆยังไม่มีใครยก คงเข้าใจไม่ได้ยาก มันยังทำไม่ได้ก็ยังไม่กล้ายกมือ
ต้องเรียน ฝึก ศึกษา ถ้าเราให้จนกระทั่งไม่ต้องตั้งภพชาติ ทำได้ถึงขนาดนั้น จะตายไหม จะตายไหม ทำได้อย่างนั้นจะตายไหม ไม่ตาย มีแต่จะวิเศษ มีแต่จะเจริญทางปรมัตถ์ เจริญทางโลกุตระ เจริญเป็นคนวิเศษ เรียกว่าเป็นผู้ที่มีอุตริมนุสธรรม
อุตริมนุสธรรมคือ คุณวิเศษของมนุษยชาติ จะเป็นอย่างนั้นจริงๆเลย สุดยอด นี่คือความเสียสละ
หลวงปู่เจอกระดาษแผ่นนี้ที่ปริ้นเอาไว้ เห็นอยู่ในสื่อสารมวลชน ของ ดร. อัษฎางค์ ยมนาค (ดร.เอ็ดดี้) หยิบมันติดมือจะมาคุยให้พวกเราฟัง
ประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์สูงสุดคือ รับใช้ประชาชน 100%
_ชัดเจน! ‘นักวิชาการ’ เปิดกฎหมายมหาชน ไขคำตอบรัฐบาลเป็นเผด็จการจริงหรือไม่
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… เมื่อกี้นี้พ่อครูพูดถึงเรื่องการให้ นึกถึง กรณีของ นายชัช อุบลจินดา ที่ได้เสียสละเอาตัวลงนอนกับพื้นให้ฝรั่งเหยียบตัวเองขึ้นมาจากโคลนเลนได้ โดยที่เขาไม่ได้ต้องการอะไรกลับคืนมาเลย ให้เสร็จแล้วตัวเองก็เดินหายไปเลย เขาทำความดีเพียงไม่กี่นาทีแต่เป็นที่ประทับใจกับคนทั้งประเทศทั้งโลกเลย แต่ว่าพวกเรา พ่อครูฝึกฝนพวกเรา ทำความดีทั้งวันทั้งคืน วันแล้ววันเล่า โดยไม่ได้หวังผลตอบแทน อันนี้พ่อครูกำลังฝึกพวกเราเป็นมืออาชีพ ฝึกให้เป็นผู้เสียสละมืออาชีพที่แท้จริง
พ่อครูว่า… ท่านเดินดินพูด มันเป็นความจริง เป็นความจริงที่อาตมาเป็นอย่างนั้น หลวงปู่ฝึกฝนตัวเองมาจนกระทั่งมาในยุคนี้ก็บอกเปิดเผยตัวเองว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ซึ่งก็ทำได้มาแล้ว
โพธิสัตว์ระดับ 7 นี้เลยพระอรหันต์มาแล้วถึง 3 ชั้น อรหันต์เป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 เลยจากพระอรหันต์ระดับ 4 มาอีก 3 เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7
ความรู้พวกนี้หลวงปู่เป็นคนนำมาเปิดเผยในยุคนี้ คนไม่รู้เรื่อง อย่างชาวพุทธของไทยมันเป็นเถรวาท เรื่องโพธิสัตว์เขายิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่เลย เขาก็หาว่าพูดไปเขาไม่รู้เรื่อง เขาเรียนกันมาสูงๆเขาก็ไม่รู้เรื่อง เขาก็เลยไม่สนใจกัน ก็ไม่เป็นไร คนที่ไม่ติดยึดไม่มีอคติ สนใจ ก็ได้ประโยชน์ อย่างพวกเราก็ได้ประโยชน์ เกิดมาในยุคนี้ก็ได้ประโยชน์จากศาสนาพุทธ จากธรรมะ นอกนั้นเขาก็ไปเป็นเรื่อง ลาภยศ โลกีย์ ศาสนาไปก็ไปสะสมลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่มันลึกซึ้งมาก สุขมันไม่รู้เรื่อง เสพสุขด้วยลาภยศสรรเสริญ เนียนขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งสรรเสริญยิ่งเนียน หลงสรรเสริญไม่รู้เรื่อง ติดสรรเสริญ หรือแม้แต่สุขในสุข ในโลกียสุขที่ละเอียดลึกไม่รู้ได้กันง่ายๆ
ความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และเอามาสอนคน เอามาอธิบายให้คนฟัง มันเป็นสุดยอดแห่งความ เลิศ หมดตัวตน คนหมดตัวตนแล้วมีปัญญา เป็นอรหันต์ที่แท้จริงแล้วก็รู้แล้วว่า จิตวิญญาณหรืออัตภาพ อัตตาของเรา เราจะเลิกได้เลย แม้ทุกวันที่บรรลุแล้ว อรหันต์บรรลุแล้ว ก็ทำใจในใจของตนเอง ในช่วงที่ไม่ต้องปรุงแต่งกับใคร ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับใคร หรือยิ่งเก่งขึ้นเกี่ยวข้องก็พูดไป ปรุงแต่งกับคนอื่นไป ปรุงแต่งเรื่องราวเรื่องนั้นเรื่องนี้โอภาปราศรัย คิดด้วยทำด้วย ทั้งคิดร่วม ทำงานร่วมกัน แต่ใจท่านไม่ไปรุก ไปยึดมั่นถือมั่น กับการกระทำต่างๆ ไม่ต้องไปพูดถึงบุคคลเลย แม้แต่การกระทำก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ว่านี่เป็นการทำที่ดี เป็นการทำที่ประเสริฐ พิเศษอะไร
อย่างหลวงปู่ทำงานระดับอุตระ เรียกว่า วิเศษ คุณวิเศษ ถ้าจะตีราคากันแบบโลกๆแล้ว โอ้โห! มันหาค่าบ่มิได้ เทศน์กัณฑ์นึง จะต้องพันล้านหมื่นล้าน นี่ไม่ได้พูดเกินจริงนะ แต่คนเขาไม่รู้เรื่อง เพราะมันหาค่าบ่มิได้แล้ว มันไม่มีใครจะพูด ไม่มีใครจะเอาของวิเศษอันนี้มาขายมาแจก มาจำหน่าย มาให้ มันไม่มีหรอก เหมือนในโลกนี้ มีเพชรก้อนนี้ก้อนเดียวโผล่มาจากไหนไม่รู้ โลกนี้หมดแล้วเพชรชนิดนี้โผล่มาก้อนนี้ก้อนเดียว ราคามันจะเท่าไหร่คิดดู คล้ายๆอย่างนี้
นี่พูดไปแล้วเหมือนยกยอตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านก็อุบัติขึ้นมาท่านก็ยกย่องตัวเอง ไม่มีใครเลิศเท่าเรา เรานี้เลิศที่สุด ใครเคยอ่านประวัติพระพุทธเจ้า พอคลอดออกมาเดินไปได้ 7 ก้าว พวกเราจำได้ไหม .. เรานี่แหละเป็นเลิศในโลกเป็นหนึ่งในโลก ทำไมคลอดมาปั๊บก็กล่าวได้เลย เดินไป 7 ก้าว และก็พูดได้เลย โอ้โห.. สงสัยพูดคล่องมาแต่ในท้อง
ก็เป็นเรื่องที่เราคิดไม่ถึงคิดไม่ออกว่าจะจริงหรือไม่จริง ก็ไม่เป็นไร แต่ท่านก็เป็นจริงของท่านได้ สำหรับเราชาวพุทธยอมรับได้ ว่านี่เลิศประเสริฐสุดยอดแล้ว
สรุปง่ายๆก็คือ เกิดมามีชีวิตเนี่ย มีชีวิต มีอัตภาพ มีร่างกาย มีตัวตนแล้ว ไม่มีอะไรดีเท่ามาเอาธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้านี้ ให้ได้จนถึงอรหันต์ เป็นขั้นจบกิจ สมบูรณ์แล้วทีนี้เป็นอรหันต์แล้ว
เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว อัตภาพคือตัวกูของกู ตัวเรา จิตวิญญาณของเรา ตายแล้วเราจะเลิกเป็นเราอีกต่อไป ไม่มีเราเกิดมาอีกเลยในกาละ ในกาละคืออะไร คือเวลาที่มันเดินไปอยู่ในโลก ถ้ามีอะไรที่มันเดินไปในในโลก ในกาละ ในจักรวาล มันมีอยู่นี่ รวมกันแล้ว ทั้งมหาจักรวาลทั้งเอกภพนี่ มันก็หมุนอยู่ เคลื่อนอยู่ทั้งหมดเลย เรียกว่า กาละ ไม่มีนิ่งไม่มีหยุด มีแต่นาฬิกามันหยุดมันตาย แต่เวลาจริงมันไม่เคยหยุด กาละและเวลามันไม่เคยหยุด มีแต่จะเคลื่อนไป
แต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ชีวิตหรือจิตวิญญาณของเราเกิดมาก็ต้องอยู่ในกาละ ต้องเคลื่อนไปตามกาละ ตอนนี้เรานั่งอยู่อย่านึกว่าไม่เคลื่อน โลกมันพาเคลื่อนไปหมุนไป ตอนนี้หมุนมามืดลงแล้ว ค่ำมืดตอนนี้ก็ 06:34 นาทีแล้ว เดี๋ยวก็ 35 36 ไป เดี๋ยวก็ไปวนเวียนพรุ่งนี้เช้าใหม่อะไรอย่างนี้ มันก็หมุนเคลื่อนไปไม่รู้จักจบ
แต่คนที่ได้เป็นอัตภาพขึ้นมาในนี้แล้ว หมดสิทธิ์ที่จะเลิกหลุดออกไปจากกาล จากกาละ ตายแล้วก็ต้องเกิดใหม่ ๆ เกิดไป กรรมวิบากที่ทำไว้ พาเรา ขึ้นสูงลงต่ำ สุขบ้างทุกข์บ้าง ดีบ้างชั่วบ้าง ไม่เที่ยงเลย ไม่รู้จักจบ ควบคุมไม่ได้
แม้ว่าจะมีศาสดาสอน ให้ทำดีอย่าทำชั่ว เกร็งไว้ ข่มไว้ พยายามไว้ เสร็จแล้วก็สามารถทำดีจนเลย เหลิง ได้รับยกย่อง เหลิงเลย สุดท้ายก็ตกต่ำใหม่ เป็นพระศาสดาก็ตกต่ำ ศาสดาของแต่ละศาสนา มีศาสนาพุทธมีหลักประกันว่าไม่ตกต่ำ ดีแล้วดีเลย ชาตินี้ได้ ตัดอาสวะเลย เรียกว่าถึงรากเหง้าของจิต ไม่มีกิเลสตัวนี้เกิดอีก เป็นอรหัตผล ตายข้ามชาติมาแล้วก็ไม่ตกต่ำ ไม่ลงไปต่ำอีกแล้ว นี่เป็นหลักประกันของความเป็นอัตภาพที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
เสร็จแล้วยังสามารถเรียนรู้อัตภาพนี้ นอกจากไม่ตกต่ำแล้ว สลายเป็นดินน้ำไฟลมได้อีก นี่เป็น 2 ขั้น
ขั้น ละชั่วประพฤติดี ได้อย่างไม่ตกต่ำอีกเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเกิดอีกกี่ชาติ นี่ขั้น 1
ขั้นที่ 2 รู้จักอัตภาพรู้จักตัวธาตุจิตนิยาม สลายเป็น แม้แต่ตอนเป็นๆ นี้ก็ทำให้มันมีความรู้สึกแบบพีชะ แบบพืชที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีกรรมวิบากได้ด้วย ทำให้เป็นอุตุ เป็นธาตุ สสาร วัตถุ ทำงานบวกลบเท่านั้น แต่ไม่เป็นชีวะ ไม่มีชีวะเลย ได้ด้วย หมดสุขหมดทุกข์ เหมือนพืชนี่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นอรหันต์นี้เหมือนพืช เป็นพืชที่มีสติสัมปชัญญะเต็มตื่น ไม่ใช่เหมือนมนุษย์พืชนอนไม่รู้เรื่อง
มนุษย์พืชเอาอะไรไปจิ้มเอาอะไรไปถูก มันไม่เจ็บไม่ปวดอะไร ใช่ไหม เพราะจิตมันไม่มีไอ้พวกนี้แล้ว สัมผัสทางกายไม่รับรู้ข้างนอกเลย มีแต่จิตอยู่ในจิตเท่านั้น แต่จิตนี่ตกไปเป็นแบบพืชยังไม่ตาย ให้อาหารก็อยู่ไปจนกว่ามันจะหมด เหมือนกับพืชมันก็แก่หมดแรง ให้อาหารอย่างไรมันก็ไม่ต่อไป ก็เหมือนกัน
ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งเหล่านี้ แล้วจบสุดท้ายเป็นอรหันต์แล้วอยากอยู่ต่ออีก เกิดตาย ตายเกิด มีแต่พัฒนาขึ้น เป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 แล้วระดับ 5 ระดับ 6 ไม่มีตกต่ำ มีแต่เจริญๆๆ รู้โลกรู้อัตตา ของคนอื่นๆเพิ่มขึ้นอีก คนอื่นเขาก็มีจิตอย่างนี้ เขาก็มีจริตแบบนี้ คนแบบนี้ก็มีอย่างเรา เราก็ช่วยเขา คนเขามีความต่าง เราก็รู้ความต่างโดยมีนัยยะลึกซึ้ง ช่วยของเขาอีกนัยยะหนึ่ง ช่วยของเราก็อีกแบบนึง ถ้าคนคล้ายๆเราก็รู้แล้ว ถ้าคนไม่คล้ายเราก็ต้องศึกษา หาวิธีช่วยจึงช่วยคนที่มีความติดยึดต่างๆกันได้ไปเรื่อยๆก็ยิ่งคนได้มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเกิดอีกไม่รู้กี่ชาติ กี่ชาติ เป็นโพธิสัตว์เพิ่มขึ้น เป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 แล้วระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 อย่างหลวงปู่ไต่ขึ้นเป็นระดับ 8 อีกก็ยิ่งรู้พวกนี้
พวกเราฟังแล้วจะเข้าใจ สมมุติว่าแม้ว่าหลวงปู่พูดนี้หลวงปู่ไม่ได้เป็นจริง แต่เข้าใจไหม เอาไปปฏิบัติได้ไหม ได้ ได้แต่ยังไม่ได้ เข้าใจเอาไปปฏิบัติได้แน่เลย อย่างที่ความหมายนี้ แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ได้เท่านั้นเองใช่ไหม เราก็เรียนรู้ความรู้ไปก่อนถึงได้ไปฝึกให้ตัวเองเป็นได้ นั่นแหละก็เท่านั้นเอง
เสร็จแล้วถ้าบรรลุสูงสุดจะเป็นพระอรหันต์ จะเลิกเกิดเลิกออกจากกาละ จากเอกภพจักรวาลนี้ก็เลิกได้ กลายเป็นดินน้ำไฟลม ตัวกูของกู ตัวอัตภาพไม่เหลือแล้วในกาละ ใครเคยได้ฟังได้ยินอย่างนี้บ้าง คนจบเปรียญ 9 ในศาสนามีตั้งเยอะแยะ เดี๋ยวนี้สื่อสารก็เยอะแยะมานั่งบรรยาย มีเยอะ กินหมากอยู่ก็มี อธิบายเสียงดังโวยวายด้วย
หลวงปู่ได้สรุปให้ฟังอยู่ประเด็นหนึ่ง สรุปไม่รู้กี่ทีแล้ว บอกว่า พระพุทธเจ้านี้คือคนเหมือนเรา เกิดมาท่านเป็นคนคนนึงเหมือนกัน ชาติสุดท้าย เกิดมาเป็น พระพุทธเจ้าชาติสุดท้ายแล้วก็สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เสร็จแล้วก็เลิก จะเลิกตั้งแต่เป็นอรหันต์ก็ได้ แต่หลวงปู่ ตั้งภพภูมิ ไปเป็นพระพุทธเจ้า แต่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว สุดแล้ว มันก็ต้องจบ จบแล้วก็เลิกมีอัตภาพเกิดแล้วก็ต่อไปอีก จบเลย ด้วย สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน เรียกว่านิพพาน 3 คือ ไม่มีแล้ว ตายอย่างสูญ ตายอย่างไม่ตั้งนิมิต
นิมิต คือรูป ปณิหิตตะ คือนาม ไม่ตั้งทั้งรูปไม่ตั้งทั้งนาม สูญ ไม่มี รูปก็ไม่ตั้งต่อ นามก็ไม่ตั้งต่อ สูญหายไปเลย กลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย อัตภาพของผู้นั้นก็หมดสิ้นในกาละ ในมหาจักรวาล ในมหาเอกภพนี้ไม่มีอีกแล้ว
นี่เป็นความตรัสรู้และพระพุทธเจ้าก็ทำตัวเองเป็นอย่างนั้น แล้วเสียดายไหม เราเสียดาย แต่เห็นใจท่านบ้างสิ ท่านสอนมาตั้งแต่เรียนรู้ตรัสรู้เป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ 123456789 เมื่อยๆ ตรัสรู้เป็นอรหันต์แล้วก็รู้แล้วว่าไม่มีอะไรเป็นตัวตน มีแต่มารับใช้โลก เป็นอรหันต์แล้ว เป็นโพธิสัตว์ระดับต่อไปก็รับใช้มนุษย์ทั้งนั้นเลย ให้มนุษย์ได้รับความดีงาม ให้มนุษย์ได้รับความลึกซึ้งทางปรมัตถ์ รู้จักสุขจักทุกข์ เป็นอาริยสัจอย่างประเสริฐ เป็นความวิเศษ
ในโลกนี้ทางเทวนิยม ความรู้ทางตะวันตก ทางเทวะ ทางพระเจ้า เขามีความรู้แต่แค่ดีชั่ว ทำดีไม่ทำชั่ว เขาไม่รู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทั้งเรื่องดีชั่ว ตรัสรู้แล้วทั้งสุขทุกข์ จนรู้ว่า โอ้โห.. ไอ้ตัวสุขตัวทุกข์นี่เอง เป็นตัวผูกมนุษย์ไว้ ผูกอัตภาพไว้ ผูกอัตตา ผูกตัวตนไว้ ผูกตัวกูของกูเอาไว้ในโลก แล้วเขาก็ติดสุขจนเรียกว่า สุขนิยม
เพราะฉะนั้น เทวนิยมคือศาสนาพระเจ้า มีพระเจ้าเป็นเจ้าของสุข ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่จะประทานความสุขให้แก่ใครก็ได้ จริงไหม ไม่ให้ใครทุกข์ก็ได้จริงไหม…ไม่จริง
แต่พระพุทธเจ้าทำให้ตัวเองมาเรียนรู้ตามที่พระพุทธเจ้าพาทำ ไม่ทุกข์ จะมีสุขไม่ต้องทุกข์ขึ้นนึงได้แล้ว จนกระทั่งไม่หลงสุขด้วย ไม่ทั้งทุกข์ไม่ทั้งสุขด้วย เป็นขั้นยอด สุดยอดไหม
เมื่อกี้นี้อ่านของ ดร.อัษฎางค์ (ดร.เอ๊ดดี้) วนมาหน่อย
_ชัดเจน! ‘นักวิชาการ’ เปิดกฎหมายมหาชน ไขคำตอบรัฐบาลเป็นเผด็จการจริงหรือไม่
20 ก.ย.2565 – เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเผด็จการ จริงหรือไม่?
กฎหมายมหาชน คือกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับราษฏร ในฐานะที่รัฐเป็นฝ่ายปกครองราษฏร กล่าวคือ ในฐานะที่รัฐมีฐานะเหนือราษฏร
พ่อครูว่า… จริงๆใช้คำนี้ก็ไม่น่าจะสวย รัฐมีฐานะเหนือราษฎร มันมีชั้น จะว่าไปแล้ว รัฐไม่มีตัวตน รัฐเป็นวัตถุ ถ้าหมายรัฐคือเจ้าหน้าที่ คือบุคคลเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แล้วก็มีเหนือราษฎร อันนี้ก็ซวยสิ
ในฐานะรัฐ รัฐคำนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า รัฐ หมายถึงแผ่นดิน ได้ไหม แล้วจะเอาแผ่นดินที่ไหน รัฐก็ต้องหมายถึงรัฐบาลนั่นแหละ แล้วจะมาปกครองคนก็ต้องคือตัวบุคคล
ถ้าบอกว่ารัฐอยู่เหนือราษฎรนั้น ซึ่งมันดูไม่ดี รัฐก็ต้องรู้จักราษฎร รัฐบาลก็ต้องใช้ราษฎร แล้วไม่ต้องไปข่มไปเหนือ จริง โดยสัจจะอาจจะมีความรู้หรือเป็นผู้ที่เป็นพระอรหันต์เลย ไม่มีตัวตนด้วย ยิ่งไม่ทำตัวเหนือราษฎร ยิ่งไม่ข่มราษฎร แต่จะยิ่งเป็นผู้ให้เป็นผู้รับใช้ราษฎร ถ้าหากนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างๆเป็นอรหันต์ รับใช้ประชาชนที่แท้จริงๆโดยไม่ได้พูดแค่โวหาร วาทกรรมเท่ๆ ว่ามารับใช้ประชาชน เริ่มตั้งแต่เป็น สส.หาเสียงไปจนกระทั่งเป็นนายกรัฐมนตรีบอกว่ารับใช้ประชาชน ขี้หมานะครับ
เพราะถ้าไม่มีสัจจะจริง ไม่มีธรรมะที่เป็นโลกุตระของพระพุทธเจ้า พูดไม่จริงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ศาสนาไหน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ของมหาวิทยาลัยไหนในโลก นอกจากมหาวิทยาลัยโลกุตระของพระพุทธเจ้า จริง พูดวาทกรรมโก้ทั้งนั้น ไม่หมดตัวตนหรอก เพราะไม่ได้เรียนรู้ปรมัตถ์ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
เพราะงั้นพูดมาถึงตรงนี้แล้วเนี่ย ประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์สูงสุดเลย รับใช้ประชาชน 100% มีศาสนาพุทธศาสนาเดียว
ศาสนาพุทธอยู่ในเมืองไทย โลกุตระอยู่ในเมืองไทย แม้ว่าจะเสื่อมแต่ยังมีเชื้อ เชื้อโลกุตระของเมืองไทย เพราะฉะนั้นหลวงปู่เคยพูดว่าเมืองไทยนี้มีประชาธิปไตยที่ดีที่สุด
_ดังนั้น กฎหมายมหาชน จะเกี่ยวพันกับอำนาจรัฐเป็นสำคัญ
ถ้าประเทศอยู่ในระบอบเผด็จการ กฎหมายมหาชนจะครอบงำกฎหมายเอกชนทั้งหมด เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัว นิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนผู้เข้าเป็นคู่สัญญากัน หรือแม้แต่การถือครองทรัพย์สินก็อาจกลายเป็นเรื่องสาธารณประโยชน์อันอยู่ในขอบเขต ของกฎหมายมหาชน
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย กฎหมายมหาชนจะมีช่องทางที่จะพัฒนาไปมากกว่า
กล่าวคือกฎหมายมหาชนจะแยกตัวออกจากกฎหมายเอกชนได้อย่างชัดเจน (พ่อครูว่า… อย่างชาวอโศกมีกฎหมายเอกชนและเข้าใจเรื่องกฎหมายมหาชนด้วย โดยถ้าเราจะมีหลักเกณฑ์ไปสัมพันธ์กับมหาชน กฎหมายของเราจะไม่ไปข่ม ไม่ไปเอาเปรียบ ไม่ไปทำสิ่งที่ทุจริต) กฎหมายแต่ละสาขาจะทำหน้าที่ของตน ในทางอำนวยประโยชน์แก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง
เช่นการมีกฎหมายปกครอง มีศาลปกครอง คือพัฒนาการของกฎหมายมหาชนในระบอบประชาธิปไตย
เศรษฐกิจคนจนอย่างชาวอโศกถ่วงดุลสังคมได้
พ่อครูว่า… การบริหารสังคมแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การบริหารสังคมแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อย่าไปทำให้คนไปรวยได้เท่ากัน ทำให้คนไปรวยนั้นผิด ต้องทำให้คนรวยมาหาความจนแล้วจะเสมอกันได้ ทำคนให้รวยขึ้นไปไม่มีทางเสมอกัน ยิ่งจะมีช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนมากขึ้น เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเพื่อที่จะทำอย่างไรถึงจะรวย ทำอย่างไรถึงจะได้กำไร ทำอย่างไรจะให้เพิ่ม แก้ให้ตายก็ไม่มีทางจบ ไม่มีทางสำเร็จ ต้องแก้มาเป็นแบบคนจนอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส ต้องเอาแบบคนจน อย่าเอาแบบคนรวย
เทวนิยม ของทางตะวันตกมหาวิทยาลัยทางโลก สอน เศรษฐศาสตร์โลกียะเป็นเทวนิยมเป็นการได้เปรียบทั้งหมด ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนสอน จบปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์มา หาทางเอาเปรียบหมด สอนให้คนไทยเอาเปรียบกัน แล้วยังไปเอาเปรียบประเทศนอกอีกให้ได้ ใจอำมหิตจริงๆ ไม่มีเสียสละเลย เห็นไหม
หลวงปู่บอกชัดเจนเลยนะว่า มหาวิทยาลัยข้างนอก เทวนิยมทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ระดับใดก็ตาม มหาวิทยาลัยคอร์แนล มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ก็ไม่มีทางที่จะสอนให้เป็นคนสุจริต ยุติธรรม หรือเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นผู้ที่เสียสละแก่คนอื่น ไม่มีไม่จริงเลย เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในแต่ละประเทศจึงไม่สำเร็จ
นอกจากจะมีคนที่จะมีธาตุจิตธาตุปัญญาธาตุรู้ ในคนที่มีธาตุของโลกุตระ เหมือนอย่างประเทศไทย อย่างน้อยก็มีชาวอโศก ใช่ไหม ถ่วงดุลสังคมประเทศไทย จะมีจำนวนเท่าไหร่ก็แล้วแต่ เหมือนปรอท มีน้ำหนักมากนะ น้อยนะแต่หนัก ประชาชนเหมือนโฟม เบายิ่งกว่าโฟมอีก เหมือนลูกโป่ง ประชาชนเหมือนลูกโป่ง แต่ชาวอโศกเหมือนปรอท ถ่วงไว้ เหมือนไม่ได้ช่วยสังคมประเทศชาติ แต่ช่วยสังคมประเทศชาติอย่างสำคัญ ในทางนามธรรม มีปฏิกิริยาซับซ้อน มีปฏิกิริยาลูกโซ่ มาก
_ที่สำคัญคือ การมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ บริหารราชการแผ่นดินต่อเนื่อง มีนโยบายชัดเจน จะช่วยส่งเสริมให้กฎหมายมหาชนมีการพัฒนาได้มากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีความต่อเนื่อง มีนโยบายชัดเจน รวมถึงกฎหมายมหาชนนั้นแยกตัวออกจากกฎหมายเอกชนอย่างชัดเจน กฎหมายแต่ละสาขาจะทำหน้าที่ของตน ในทางอำนวยประโยชน์แก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง
พ่อครูว่า… ลุงตู่เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ตรงนี้ไม่ได้พูดต่อหน้าทนายนกเขาและคุณตู่ เดี๋ยวเขาจะขึ้น ประเทศไทยมีรัฐบาลที่ประสบผลสำเร็จกว่าทุกประเทศเลย ซึ่งไม่ใช่พูด Over นะ แต่มันเป็นเรื่องสัจจะเข้าใจยาก
นี่คือนักวิชาการที่เข้าใจสภาพความเป็นจริงไม่ใช่แบบหมาเห่าใบตองแห้ง ไปดิสเครดิตพลเอกประยุทธ์อยู่ มันไม่ใช่ ไม่มีความรู้และพูดไปเพื่อที่จะข่มพลเอกประยุทธ์ เพื่อจะแย่งชิงอำนาจ ความเด่นอะไรก็ไม่รู้ ริษยาเขาหรืออย่างไร ไม่เอาความจริง
_ลักษณะของกฎหมายมหาชนดังกล่าวในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงเป็นตัวบ่งบอกที่ชัดเจนว่า เป็นคุณลักษณะของรัฐบาลประชาธิปไตย เพราะถ้าประเทศอยู่ในระบอบเผด็จการ กฎหมายมหาชนจะครอบงำกฎหมายเอกชนทั้งหมด
คำกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเผด็จการนั้น จึงเป็นเพียงวาทกรรมที่หวังผลประโยชน์ทางการเมืองที่ปราศจากข้อเท็จจริง
พ่อครูว่า… ถ้าให้เปลวสีเงินมาสรุปตรงนี้คงบาดน่าดูเลย สำนวนเขาคือคำที่จะปั้นขึ้นมาเป็นคำสรุปอันนี้ แต่นี่ดร.อัษฎางค์ ไม่ใช่เปลวสีเงิน ก็เลยสรุปแค่นี้
นี่คือผู้ที่มีปัญญาหรือมีความรู้ในเรื่องของกฎระเบียบ กับพฤติการณ์พฤติกรรม กฎระเบียบกับพฤติการณ์มันมี 2 อย่าง
กฎเกณฑ์กฎระเบียบก็คือคนตั้งขึ้นมาตามสัญญา ให้เข้าใจตาม เหมือนพระพุทธเจ้าได้ตั้งกฎเกณฑ์ ตั้งศีล ตั้งวินัย ตั้งธรรมะมาเป็นปริยัติเป็นสมมติ แล้วพฤติกรรมกาย วาจา ใจ ก็ไปเรียนรู้และปฏิบัติให้ได้ตามนั้น
เมื่อได้ทั้งสมมุติได้ทั้งปรมัตถ์ ได้ทั้งกฎเกณฑ์ทางพฤติกรรมจริง จนกระทั่งถึงจิตใจจริง จิตใจก็เป็นไปได้จริงด้วย จบ สำเร็จสุด
ไสยศาสตร์และคุณไสยมีจริงหรือไม่
_หลวงปู่ครับ ผมอยากรู้ว่า
-
เวลาที่คนข้างนอกเขาเล่นไสยศาสตร์ หรือเล่นคุณไสย เช่น ทำให้คนเสียสติไปเลย หรือทำให้คนมาหลง เขาสามารถทำได้จริงหรือเปล่าครับ
-
ถ้าสามารถทำได้จริง เขาจะใช้วิธีอะไรจึงสามารถทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องตอบคำถามที่ 2 ก็ได้ครับ
พ่อครูว่า… ข้อที่ 1 ก่อน ไสยศาสตร์ หรือที่เรียกว่าคุณไสย การเล่นคุณไสยหรือการเล่นไสยศาสตร์ ทำคนให้เสียสติ หรือทำให้คนมาหลง ทำเสน่ห์อะไรอย่างนี้ เขาสามารถทำได้จริงหรือเปล่า …ได้ เพราะคนโง่
ไสยศาสตร์ก็ดี จิตวิทยาหรือการสะกดจิตก็ดี เป็นเรื่องของจิต สะกดจิตให้คนมาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หรือสั่งได้เลย ไสยศาสตร์ก็เหมือนกัน ทำให้คนหลงเชื่อ ก็คือสะกดจิตให้เขาเชื่อตามที่เขาจะสั่ง
เมื่อสะกดจิตแบบพิธีไสยศาสตร์ ส่วนวิทยาศาสตร์ก็มีวิธีของเขาที่ไม่เหมือนกับการสะกดจิตไสยศาสตร์นั้นเอง หลวงปู่นั้นเล่นมาทั้ง 2 อย่าง ไสยศาสตร์ก็เรียนจริงๆฝึกฝนมา วิทยาศาสตร์สะกดจิตก็เรียน ทำได้ทั้ง 2 อย่าง เข้าใจทั้ง 2 อย่าง
ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ให้ตัวเขาเป็นตัวเขา ไปทำอย่างนี้มันชั่ว ไปทำจิตของเขาไม่ให้เป็นตัวเขา แล้วเราก็สั่งให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ชั่วเท่านั้นเองไปยุ่งกับเขาทำไม เผือกกับเขาไม่รู้เรื่อง เขาก็เป็นของเขา เราไปเผือกทำไม
การเข้าทรงคือตัวเราเอง มีอุปทาน ไม่มีผีมาเข้าไม่มีเจ้ามาทรงอะไรหรอก ตัวเรามีอุปาทานว่าจะต้องเป็นอย่างนี้จะต้องทำอย่างนี้ จะต้องสั่นจะต้องดิ้นแล้วก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทำจิตไม่นึกไม่คิดไป ก็เชื่อตามกันมา ไม่รู้กี่ล้านชาติแล้ว แล้วมาชาตินี้ก็มาหลงแบบนี้ แล้วก็มาทำ
บางคนไม่ได้มีใครมาทำมาบอกแล้ว ก็เป็นเอง เพราะอะไร เพราะเชื่อกันมาตั้งไม่รู้กี่ชาติแล้ว งมงายกันมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว มาชาตินี้ก็มาทำเป็นเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ แสดงความโง่ออกมาทั้งสิ้น แสดงความไม่รู้ความโง่ออกมาทั้งสิ้น ฉะนั้นการไปได้เข้าสิงแล้วแก้มีอาจารย์ ตอนนี้ก็มีหมอปลาทำเก่งทำเป็น แก้ไล่ผี
ก็คือเขาจะต้องพยายามเข้าใจมีเชิงชั้น รู้ว่าคนนี้จะต้องหลอกอย่างนี้นำจูงอย่างนี้แล้วเขาก็จะเลิกมาเชื่ออย่างนี้ แล้วก็คลาย จากการเป็นอย่างนั้นเท่านั้นเอง ไม่ได้มีปัญญาที่จะรู้ว่าอย่าไปทำอย่างนั้น อย่างนั้นมันเป็นการสะกดจิตตัวเอง มันเข้าทรงบ้าๆบอๆเอง อยู่ดีๆทำอะไรบ้าง ดีไม่ดีบ้ามาตั้งแต่ชาติปางไหน ชาติก่อนติดอยู่ในอุปทาน สัญญา ความทรงจำตัวเองว่าฉันต้องเป็นอย่างนี้แหละ เท่แปลกไม่เหมือนใคร
เสร็จแล้วมันมีอยู่อันนึงคือ คนเข้าทรงหรือคนที่ไม่เป็นจิตตัวเองมันจะมีพลังอันนึง จิตมันจะเป็นหนึ่ง มันมีฤทธิ์จิตเป็นหนึ่ง มันสามารถจะรู้รายละเอียดของสิ่งละเอียดได้ ดีไม่ดีมันมีฤทธิ์ เช่น พวกภูเก็ต เข้าทรงกัน แล้วก็สะกดจิตไม่ให้เจ็บ แทงเนื้อแทงตัวเลือดไหลให้เลือดไม่ออกก็ทำได้ นั่นแหละเป็นการสะกดจิตทั้งนั้น หรือแบบไม่รู้ก็เป็นไสยศาสตร์ ถ้าเป็นแบบสะกดจิต เป็นวิทยาศาสตร์ก็ทำได้
อย่างเช่น สะกดจิตแล้วให้มีความหนังเหนียว ฟันไม่เข้าไม่เจ็บด้วย เอาไฟมาจี้ก็ไม่เจ็บเลย เพราะปฏิกิริยาธาตุไฟกับหนังมันจะไปเหลืออะไร แต่ไม่รู้สึกเจ็บ แต่มีรอยไหม้ อย่างนี้เป็นต้น หลวงปู่ผ่านมาแล้ว ทั้งไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เพราะชาตินี้จะต้องผ่านมาไม่ได้รู้โดยจำขี้ปากคนมา แล้วจะไปทำทำไม มันไม่ปกติเท่านั้นเอง
สรุปแล้วไสยศาสตร์มีความไม่รู้ในเรื่องสัจธรรม ทำเลอะเทอะไปทางไสยะ ทำเลอะไปทางวิทยาศาสตร์ นั่นเป็นเรื่องคุณไสย เพราะฉะนั้นถ้ามาเรียนรู้ทางพุทธศาสนาแล้ว จบ
แล้วจะอยู่ดีๆจะไปทำให้ไม่ปกติ ไม่พิสดาร จะทำไปทำไม
และข้อ 2 บอกว่าสามารถทำได้จริงเพราะว่าจิตมันโง่ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
เขาใช้วิธีอะไรจึงสามารถ … มันมีกลวิธีของเขาทั้งนั้น หลวงปู่รู้บ้าง
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… ตอนเด็กๆ โยมแม่อาตมา เป็นอัมพาต แล้วเขาบอกว่าโดนปล่อยของโดนปล่อยตะปูเข้าไปในร่างกาย หมอเขาก็ใช้วิธีเอาไข่มาถูตามขา ก่อนจะถูเขาให้เสี่ยงทายก่อน มีไข่สองใบ ให้เราเลือกเอา 1 ใบ แล้วก็เอามาถูที่ขาถูไปถูมาแล้วแล้วก็เคาะให้ไข่แตก ก็จะมีตะปูอะไรอยู่ข้างใน แต่ก็ไม่หายหรอกสุดท้ายก็เป็นอัมพาตจนตาย
ตอนหลังก็รู้ว่ามันเป็นกลวิธี ไก่มันมี 2 ลูกลูกนึงใส่ตะปูใส่เข็มไว้แล้ว เขาก็จะเอาลูกที่มีตะปูมาถูขา ถ้าคนป่วย ไปหยิบลูกที่ไม่มีตะปูเขาก็อาจจะเอาเก็บไว้แล้วเอารูปที่มีตะปูมาถูนั่นแหละ ให้เป็นจิตวิทยาว่าของออกแล้วจะได้สบายใจ
พ่อครูว่า… ก็ตกลง อันที่ 2 นี่บอกให้ตอบว่าทำได้จริงไหม ทำได้ อธิบายไปหมดแล้ว
หัวใจของการแก้ปัญหาบ้านเมืองคือมาจนกับสร้างอาหาร
_คำถาม.. คุณนกเขากับคุณตู่มากราบพ่อครูแล้ว ถ้านายกลุงตู่จะมากราบขอสัมมาทิฏฐิจากพ่อท่านบ้างพ่อท่านจะให้สัมมาทิฏฐิอย่างไรครับ เผื่อลุงตู่จะไปเชื่อแก Apec เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… พูดไปสมมุติไปมันเป็นไปไม่ได้หรอกไม่ต้องไปคิดให้เสียแคลอรี่ ลุงตู่จะมาพบโพธิรักษ์ได้อย่างไร มันเป็นเรื่องของสังคม ไม่ควรมาด้วย และก็ไม่มาหรอก เพราะฉะนั้นสมมุติไปก็เสียแคลอรี่เสียความคิดเสียเวลาไม่ต้องไปพูดเล่น กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไม่ต้องไปพูดเลย
แล้วก็ไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก จะมาหรือไม่มา เขาก็ทำหน้าที่ พลเอกประยุทธ์ก็ทำหน้าที่ไปก็ดีแล้วไม่มีปัญหาอะไรนี่ ถ้ามีปัญหาอะไรบ้างให้สรุป
หลวงปู่ก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง สามารถจะออกความเห็น Comment ก็อาจจะ comment ไปให้ถึงหูพลเอกประยุทธ์ก็ได้ ก็มีสิทธิ์สื่อ ทุกวันนี้สื่อสารมวลชนมัน globalization ไม่มีอะไรกั้นแล้ว มันถึงกันหมดก็รู้กันหมดได้ พูดฝากลมฝากแล้งไปอะไรที่สำคัญก็ดูเขา ถ้าเอาใจใส่ก็แก้ไขปรับปรุง ถ้าไม่เอาจะใส่ก็ไม่มีปัญหาอะไร
สมณะเดินดิน… เหตุการณ์เมื่อคืนพวกเราไปส่งทั้ง 2 ท่าน คุณนิติธรและคุณตู่จตุพร รู้สึกว่าทั้ง 2 คนบอกว่าอยากจะกลับมาใหม่ เขายังไม่ได้เห็นอะไรเท่าไหร่ แต่เห็นสิ่งหนึ่งว่า คุณสุชัยตั้งข้อสังเกตว่า การเมืองคนละขั้วกันเลย อีกคนนึงหาทางจะไล่ลุงตู่ทุกวันทุกคืน แต่เราก็หนุนลุงตู่ทุกวันทุกคืนแล้วจะมาพูดกันรู้เรื่องได้อย่างไร
เห็นประเด็นที่เขาจับสัจจะได้ก็คือ 1. คือเรื่องให้คนต้องมาจนลง อันนี้เขาถามเลยว่าพลเอกประยุทธ์จะมาฟังบ้างหรือเปล่า มาพบพ่อครูบ้างหรือเปล่า พลเอกประยุทธ์น่าจะรู้เรื่องนี้ เขาเสียดายมากถ้าไม่รู้ อันนี้เป็นหัวใจของเขาเลย เขาคิดว่าจะเป็นการแก้ปัญหาบ้านเมือง อันนี้เขาติดใจ คนจนอุดมสมบูรณ์จะแก้ปัญหาสังคมได้
อีกประเด็นหนึ่งที่รู้สึกว่าไปกับเราได้ก็คือเรื่องของ สร้างอาหารไม่สร้างอาวุธ เขาเห็นตรงนี้ว่าเป็นคำตอบของสังคม
พ่อครูว่า… 2 ประเด็นนี้ก็ยิ่งใหญ่นะ เห็นว่ามาจนนี้ดี เป็นคนเจริญ มารวยนั้นยังเป็นคนชั่วอยู่ กับประเด็นว่า สร้างอาวุธกับสร้างอาหาร สร้างอาหารนั้นยอด สร้างอาวุธนั้นแย่ ชัดเจน ได้ 2 อันนี้ก็เหลือกินแล้ว มาไม่เสียหลาย จริง
สมณะเดินดิน… ผมคิดว่า 2 เรื่องนี้ทำให้เขาอยากมาใหม่
พ่อครูว่า… แสดงว่าเขาเป็นคนมีปฏิภาณ มีความรู้ มีสัจจะสาระ ที่สำคัญ จับประเด็นสาระสัจจะ สำคัญในความสำคัญ ได้
สมณะเดินดิน… คุณสุชัยถามเขาว่ารู้สึกอย่างไร เขาบอกว่าตั้งแต่นั่งเครื่องบินเห็นคนนั่งเครื่องบินมีแต่คนที่เศร้าหมอง แต่มาที่นี่น้ำท่วมหนักกว่าเขาแต่ทำไมเบิกบาน รู้สึกว่าเขาเป็นนักแก้ปัญหาสังคม เขามองสังคมอยู่ตลอดเวลา
พ่อครูว่า… ดีเข้าใจ และดูจากโหงวเฮ้งหน้าตาเนื้อตัว มันมีอะไรแปลกนะ มันมีอะไรแปลกนะ มีราศีต่างกัน
สมณะเดินดิน… ที่สำคัญคือเราต้องช่วยกันปลูกให้มากขึ้น มาใหม่จะได้เห็น
พ่อครูว่า… คิดว่าทำสำเร็จนะ ทำได้ แต่ถ้าน้ำท่วมทุกปีคงไปไม่รอดเหมือนกัน แต่น้ำไม่ท่วมมากก็คงไปรอด แต่ก็ทำจนได้ ถ้ามันไม่รอดเราก็เอาดินไปเติมเอา
สมณะเดินดิน… เขาบอกว่าปีหน้าจะเป็นภาวะของเอลนีโญจะเป็นความแล้ง ของเรายังมีแม่น้ำมูลอยู่
พ่อครูว่า… นี่ไม่ได้ว่าธรรมชาติ พงษ์โสภา นะ
_มีคำถาม จากซูม…
-
สุขภาพของหลวงปู่เป็นอย่างไรบ้าง
พ่อครูว่า… ประเด็นที่ 1.หลวงปู่ก็มีอาการไอนี่แหละ มันเป็นเหตุจากกระเปาะงอกออกมาในหลอดลม แล้วก็เป็นพิษ มันสร้างความระคายเคือง มันก็คันคอมันก็จะไอ มันก็สร้างเสลดด้วย อันนี้แหละ มันจะถึงขั้นทำให้ถึงตายหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ หมอก็ไม่รู้จะแก้อย่างไรไปผ่าตัดก็ไม่ได้เพราะมันติดกับเส้นประสาทเส้นเลือดสำคัญ มันก็เป็นวิบากของหลวงปู่เอง สุขภาพอย่างอื่นไม่มีปัญหาอะไร แม้แต่เรื่องสรีระ เรื่องกล้ามเนื้อ ร่างกายอะไรก็สันทัดคน แต่คนมองหลวงปู่ว่าเป็นคนผอม ที่จริงหลวงปู่ผอมอย่างเป็นธรรมชาติมาตั้งแต่หนุ่ม จนอายุมากแล้ว เคยน้ำหนักมากที่สุดก็ 60 กิโลกรัม สูงสุด อยู่ไม่นานหรอก นอกนั้นก็ 50 50 กว่า 51 52 53 ถือว่า ดีสุดแล้ว แต่ทุกวันนี้ 51 กว่าแล้ว อายุปูนนี้แล้ว 51 กว่าก็กำลังดี กำลังคล่องแคล่วสบายนี่คือสุขภาพ
ลักษณะของประชาธิปไตยโลกุตระ 5 ประการ
-
กราบนมัสการพ่อท่านครับ อยากทราบว่าเราจะเจริญในทางธรรมและทางโลกพร้อมกันเราจะใช้ธรรมะแบบไหน
พ่อครูว่า… ใช้ธรรมะโลกุตระนี้จะเจริญไปทั้งทางโลกและทางธรรม 2 อย่างเลยนะ เพราะธรรมะโลกุตระจะเข้าใจโลกและเข้าใจตัวเอง และสามารถที่จะเกิดอธิปไตย
อธิปไตยคืออำนาจอ Authority สามารถที่จะทำให้เกิดการบริหารสังคม บริหารโลก บริหารกลุ่ม บริหารประเทศชาติ ให้อยู่ในสมดุลให้อยู่ในความอบอุ่นสงบ ราบรื่นง่ายงาม มีอิสรเสรีภาพ มีภราดรภาพ มีสันติภาพ มีสมรรถภาพ มีบูรณภาพ มีสุญภาพ มีสุนทรียภาพ บริหารโลกให้เป็นอย่างนี้
ชาวอโศกมีทุกภาพ
-
อิสรเสรีภาพ ทุกคนมาที่นี่มาเองทั้งนั้น หลวงปู่ไม่ได้เรียกร้องให้มา อาจจะมีพ่อแม่พี่น้องผลักดันให้มาก็เถอะ เราก็อยู่ในอาณัตินะ ตามสถานะของเด็ก พ่อแม่ของเด็กก็ต้องมีภูมิธรรมรู้ว่าเอาเด็กมาอยู่ในนี้มันจะเสียหายอะไร มีแต่จะเจริญ ดีทั้งนั้น มันไม่มีพิษอะไร
เพราะฉะนั้น 1.) บริหารโลก 2.) ตนเองอัตตาธิปไตย บริหารตนเอง
บริหารตนเองให้เป็นคนสูงสุดมีวรรณะ 9 เป็นคนที่เป็นอรหันต์สรุปง่ายๆ
ทุกวันนี้สังคมมนุษยชาติแม้แต่ในประเทศไทยเป็นชาวพุทธ ไม่เชื่อว่าพระอรหันต์จะเกิด เขาเข้าใจอรหันต์ไม่ได้ เข้าใจอรหันต์เป็นเรื่อง magical เป็นเรื่องลึกลับ เป็นเรื่องพิสดารไปหมดเลย เป็นเรื่องวิเศษแปลกๆบ้าๆบอๆ ซึ่งมันไม่ใช่ ที่จริงแล้วเป็นคนสามัญที่รู้โลกรู้ตน เป็นคนที่ช่วยโลกช่วยตนและมีอธิปไตย มีอำนาจมีพลัง พลัง พลังที่จะช่วยโลกได้ตามฐานะ อย่างพวกเราจะช่วยโลกได้ตามฐานะ พวกเรานี้ช่วยสังคมประเทศชาติ ช่วยมนุษยชาติ เราไม่ได้เห็นแก่ตัว โลกกับอัตตาอันเดียวกัน ไม่ได้เห็นแก่ตัวจึงเห็นแก่โลก ช่วยโลกไปหมดตัวหมดตน ก็ไม่ต้องมีตัวตน
ตนคือโลก โลกคือ สิ่งแวดล้อมกับเรา เราจะมีอำนาจมีฤทธิ์ มีอธิปไตยไปได้เท่าไหร่ โลกของเราคือ 1 คน 2 คน 3 คน 3 คนเรียกว่าโลก แล้วมี cyclic 4 คน 5 คนก็คือโลกที่ขยายไป เราจะบริหาร 3 คน จะบริหาร 4 คนให้อยู่กันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข เรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม สันติสุข ได้อย่างไร นั่นคือคนที่บริหารโลก เพราะตนเองรู้จักบริหารตนเองได้ มีอธิปไตย มีพลังมีฤทธิ์ มีอำนาจ ที่จะทำให้ตนเองสามารถช่วยตนเองได้ 3 คน 4 คน 5 คน 100 คน พันคน หมื่นคน แสนคน ล้านคน
หลวงปู่ บริหารพวกเรา ก็เกิดชุมชนชาวอโศกอยู่ทั่วประเทศกระจาย นี่แหละนักการเมืองใหญ่คนนึงที่มีกลุ่มประชาชนจัดตั้ง
เรียกตัวสำนวนการเมืองเขาเลย ชาวอโศกคือกลุ่มสังคมประชาชนจัดตั้ง ของโพธิรักษ์ ถ้าหลวงปู่ลงสมัคร สส.พวกนี้จะลงคะแนนเสียงให้ไหม หมดเลย กลุ่มสังคมชุมชนอโศก สมมุติว่าเขาเลือกตั้งนายกจากประชาชนทั้งหมด คะแนนของชาวอโศกมา หลวงปู่ลงเลือกตั้งนายก หลวงปู่จะได้คะแนนจากประชาชนทั่วประเทศ อาจจะชนะใครต่อใครก็ได้ แม้ทุกวันนี้นะ คะแนนเสียง
นอกจากชาวอโศกและคนที่เห็นดีเห็นด้วย ถ้าสมมุติว่าจะมีอย่างนั้น สมมุติว่าเลือกตั้งนายกในประเทศไทย โดยประชาชนทั้งประเทศ คนที่เขาเข้าใจโพธิรักษ์ แม้จะไม่ใช่ชาวอโศกเขาก็ต้องเลือกใช่ไหม
หลวงปู่เชื่อว่าอาจจะ จะได้เป็นนายกเลือกตั้งเลย ทุกวันนี้มันถูกดิสเครดิตน้อยลงแล้ว ได้ความจริงไปเข้าใจ คนนี้ไม่มีตัวตนนะ ทำเพื่อประเทศชาติ เพราะฉะนั้นคนนี้แหละบริหารประเทศยอดเยี่ยมเลยเป็นประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยหลวงปู่เขียนเล่นๆ 5 ประการ
-
ซื่อสัตย์ 2. ชัด รับใช้ประชาชน 3.ไม่เห็นแก่ตน 4.มีผลงานปรากฏ 5. กบฏต่อโลกียะ
นี่คือประชาธิปไตย Absolute หรือ Ultimate ประชาธิปไตยสุดยอด นี่คือโลกุตระแท้ โลกุตระสอนแบบนี้
เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยของไทยจึงไม่มีในโลก เพราะในโลกไม่มีความรู้ มหาวิทยาลัยสอนประชาธิปไตยรัฐศาสตร์เทวนิยมทั้งนั้น ในตะวันตกในต่างประเทศ แม้แต่ในประเทศไทย เป็นศาสนาพุทธที่จะมีความรู้แบบที่หลวงปู่พูด แต่เขายังไม่ถึง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ตาม มหามกุฎราชวิทยาลัยก็ตาม เท่านั้นเอง แต่ก็มีคนพอรู้บ้างเรื่องที่หลวงปู่พูดไปนี้ ผู้ที่มีปัญญามีภูมิธรรมจะพอเข้าใจ แต่ก็มีคนพอรู้บ้างเรื่องที่หลวงปู่พูดไปนี้ แต่มันยังมีไม่มากพอจะให้เกิดได้ เพราะฉะนั้นมหาวิทยาลัยในโลกมีแต่ในอโศกที่เป็นประชาธิปไตยสุดยอด
ลักษณะของกฎหมายมหาชนดังกล่าวในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงเป็นตัวบ่งบอกที่ชัดเจนว่า เป็นคุณลักษณะของรัฐบาลประชาธิปไตย เพราะถ้าประเทศอยู่ในระบอบเผด็จการ กฎหมายมหาชนจะครอบงำกฎหมายเอกชนทั้งหมด
นี่เขาอยู่ในวงการเขาดูว่า พลเอกประยุทธ์ทำถึงขั้นไหน แต่คนที่ไม่มีความรู้จะเป็นนักกฎหมายจะเป็นนักการเมืองที่เข าอยู่นี้เขาไม่รู้ ลึกละเอียดเหมือน ดร.อัษฎางค์ เขาเข้าใจเขาก็พูดตามหลักวิชาการออกมาเลย และสัจจะเป็นอย่างนี้ด้วยหลวงปู่เข้าใจ หลวงปู่ไม่ได้เรียนรัฐศาสตร์ ไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์หรอกชาตินี้ แต่ก็พูดกับเขารู้เรื่องนักวิชาการพวกนี้ฟังหลวงปู่พูดแล้วไม่ได้เป็นเรื่องเละเทะ แต่คนทั่วไปเขาก็ดูถูกก่อนเขาก็ไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อก็เข้าใจไม่ได้
แต่ว่านักวิชาการถ้ามีอคติก็จะฟังหลวงปู่ไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าไม่มีอคติแล้วจะฟังหลวงปู่พูดเข้าใจ แม้แต่ความหมายคำว่ากฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนก็ตาม
เขาบอกว่าพลเอกประยุทธ์จะพยายามไม่ให้กฎหมายมหาชนไปครอบงำกฎหมายเอกชน พยายามให้เกื้อกูลกันมันก็เป็นสุดยอดแล้วในการบริหารประเทศ เพราะคนทำตามกฎหมายเป็นหลักนอกนั้นก็เป็นด้วยนิสัยใจคออย่างเช่นทักษิณ กฎหมายจะว่าอย่างไรกูไม่ฟังเสียงกูทำของกู ตามความโลภความเห็นแก่ได้ อำนาจบาตรใหญ่ของกู ก็ทำไป
จริงๆแล้วทักษิณนี่มันสุดยอดหน้าด้านที่สุด มาเที่ยวได้ตั้งอะไรออกมา ออกสื่อสารมา แล้วเห็นแล้วประเทศไทยเข้าใจดีเขาไม่เอา เขาไม่ไปตามจับมาลงโทษ แล้วทำเป็นคะนอง หน้าด้านจริงๆเลยตัวเองผิด 100% แล้วแล้วก็ทำเป็น ไม่อาย เป็นนักโทษหนีคุกวิพากษ์วิจารณ์ศาลทั้งนั้นแหละ อาตมาไม่ได้พูดความจริงว่าหน้าด้าน เป็นเรื่องจริง มันเกินกว่ามนุษย์ที่เขาจะเป็นแล้วและก็ยังทำแสลน ทำเป็นอวดดีนั้นเวรจริงๆมันเป็นตัวอย่างยิ่งกว่าเทวทัตในยุคพระพุทธเจ้า
ขออภัยลูกเต้าเหล่าหลานเขาอยู่ในเมืองไทยได้ฟังอาตมาพูดก็ต้องขออภัย อันนี้เป็นเรื่องความรู้สัจธรรมวิชาการ แต่มันเป็นเวรเป็นกรรม เขาเป็นพ่อเป็นแม่คุณก็แล้วแต่ ก็ต้องขออภัย มันเป็นเรื่องของสัจธรรม หลวงปู่พูดเรื่องสัจธรรมแต่ก็น่าสงสารเขาไม่รู้จะช่วยอย่างไร ขนาดมหาบัวแท้ๆก็ยังด่าเปิงเลย แล้วหลวงปู่จะมีน้ำยาอะไรไปช่วยเขา เขาเป็นลูกศิษย์ลูกหากัน ก็โดนด่ากันเปิงเลย
สมณะเดินดิน… ผมอยากเสนอให้พวกเราได้เห็นความสำคัญของรายการเมื่อคืน คือ ผมคิดว่า เหตุการณ์เมื่อคืนที่ทุกคนก็ประทับใจ แต่ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะว่าพลังของสนามแม่เหล็กที่พวกเรามารวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นแรงเหนี่ยวนำให้คนมาเข้าสู่สนามนี้ต้องคิดดีพูดดีทำดีออกมา
ทุกคนก็มีความรู้สึกเหมือนกันว่ามันเป็นการประกาศโลกุตระที่ชัดเจน สิ่งที่พ่อครูพูดเราก็ฟังมาก็ตั้งเยอะ แต่เมื่อมีสีสันเทียบเคียงให้เห็นธรรมะ 2 รู้สึกว่ามันชัด มันลึกขึ้นมามาก ไม่เหมือนกับเหตุการณ์ปกติที่เราเคยฟัง อย่างนั้นต้องขอขอบคุณทนายนกเขานิติธรและคุณตู่จตุพร ที่ทำให้พ่อครูได้ประกาศโลกุตระ ทั้งหมดเกิดจากองค์ประกอบจิตวิญญาณของพวกเราที่ทำให้พระครูสามารถประกาศโลกุตระได้อย่างชัดลึก อยู่ที่พลังรวมของพวกเราที่มารวมกันในครั้งนี้
พ่อครูว่า… อันนี้ใช่ ส่วนถูกต้อง จริง ค่อยๆเป็นไป ความจริงจะค่อยๆ ปรากฏด้วยเหตุการณ์ต่างๆที่จะค่อยๆคลี่คลายด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ มีปรากฏการณ์มีพฤติการณ์เกิดขึ้นในสังคมไปได้เรื่อยๆ มันก็จะเป็นไปตามธรรมดา
ศรษฐกิจโลกีย์คือการเอาเปรียบ เศรษฐกิจโลกุตระคือการเสียเปรียบ
_เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ที่เกาหลีมีการเหยียบกันตายในงานรื่นเริง ฉลองฮาโลวีน ถ้าบ้านราช เราจัดงานปีใหม่ขายของถูก มีโอกาสจะเป็นเช่นนั้นบ้างไหมคะ
พ่อครูว่า… เราจัดมาหลายทีแล้ว หลายปีแล้วขายของถูก Covid ทำให้หยุดไปหลายปี เราทำมาตั้งหลายปีมันจะเป็นอะไร เรื่องนี้เป็นเรื่องซับซ้อน คนที่มาในงานเรา คนที่จะมาซื้อของถูกที่เราทำให้แก่ประชาชน ใหม่ๆแรกๆจะมีคนมีจิตคิดเอาเปรียบมา แม้กระทั่งคนที่ฐานะดี ก็มาแย่งซื้อของถูก และยังไม่พอยังเอาคนของตัวเองมาเข้าคิว มาเวียนเทียนซื้อของถูก ใหม่ๆเป็นอย่างนั้น
แต่ต่อมาละอายเอง ไม่มา ทุกวันนี้เราจัดมาตั้ง 40 กว่าครั้งจะ 50 ครั้งแล้ว ไม่มีแล้ว บรรยากาศของคนดี จะมีพลังด้วยตัวเองเลย จะมีพลังขับดันสิ่งที่ไม่ดีออกไป เหมือนกับทะเลกับคลื่น จะซัดเศษขยะเข้าหาฝั่งหมดเลย ในทะเลจึงไม่มีเศษอะไร เป็นธรรมดาธรรมชาติของมันเลย อันนี้เหมือนกันเลย
เพราะฉะนั้นคนที่มาซื้อ จะเป็นคนที่ได้ถูกกล่อมเกลา คนที่มาซื้อของถูกจากตลาดอาริยะของเรา จะเป็นคนเข้ามาในที่นี้เข้ามาถูกกล่อมเกลา ใครที่มาทำโด๊เด๊เห็นแก่ได้ มันจะเด่นเห็นเลยจะเป็นแกะดำในหมู่แกะขาวเลย ไม่ได้ เหมือนกับคนเข้ามาในที่นี้ผู้หญิง ถ้าปากแดงแจ๊ดเข้ามาในนี้ รับรองจะรีบไปลบเลย มีเยอะแล้วหลายคนเข้ามาในนี้ ไม่มีใครเขาทาปากแดงตลกเลย นอกจากคนที่ปฏิภาณไม่มี ตัวเองปากแดงอยู่คนเดียว เฉย คนอื่นเขามองก็เฉยไม่รู้สึกรู้สา แต่คนจะมองจริงๆ คนที่ทาปากแดงแจ๋ แต่งหน้าแป๊ดเข้ามาในนี้ จะถูกมอง จะมองด้วยมารยาทก็แล้วแต่ นี่มันซับซ้อนลึกซึ้งอยู่
เพราะฉะนั้นในชาวอโศกเนี่ย สิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา ยาก จะพยายามเข้ามาอย่างไรก็อยู่ไม่ได้ จะกระเด็นกระดอนเอง นอกจากคนที่สติไม่ดี จะต้องให้ตำรวจมาเอาออกไป ถ้าคนสติดีเขาอยู่ไม่ได้ ถ้าเขาจะมาขัดขวางมาย้อนแย้ง มันจะไม่กลมกลืน มันอยู่ไม่ได้ นี่เป็นสัจจะที่ซับซ้อนลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงทำให้เกิดความสงบอบอุ่น ในสัจธรรมพวกนี้ มันจะไม่มีอะไรที่เข้ามาวุ่นวาย เข้ามากวน เข้ามารวนอย่างที่หลวงปู่บอก คุณมาสิ คุณมาอยู่เชิญคุณรวนด้วย รวนให้หนักให้เต็มที่เลย หลวงปู่ท้าทายเขาไปเมื่อวาน เรื่องจริงนะ
มันเป็นสัจธรรมที่ลึกซึ้งมากพวกนี้ มันเป็นมวล มันเป็นอำนาจ มันเป็นอธิปไตย มันเป็นสุดยอดของอำนาจอธิปไตย สุดยอดแห่งAuthority ที่ยิ่งใหญ่ มันซับซ้อนในเรื่องของโลกุตรธรรม
ธรรมะโลกุตรธรรมดังว่านี้ เมืองไทยเรามี แม้มันจะไม่ทั่วไปส่วนใหญ่ แต่ก็กระจายอยู่ไม่น้อยกลุ่มชนชาวอโศก เป็นโลกุตระ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ แม้มีไม่มาก บอกแล้วว่ามันเป็นปรอท ไม่ใช่เป็นลูกโป่งหรือโฟม เบาหวิว อย่างนั้นไม่ใช่ แต่มันเป็นน้ำหนัก นี่เป็นสัจธรรม
เพราะฉะนั้นประเทศไทยมีสิ่งนี้ และมันเป็นเรื่องลึกซึ้งอจินไตยอย่างหนึ่งก็คือ ในหลวงเราก็เป็นโพธิสัตว์ ทรงงานอธิปไตย แล้ววางระบบวิธีการบริหาร เดี๋ยวนี้ก็เดินตามรอยพระราชาแล้ววางระบบพิธีการบริหารเดี๋ยวนี้ก็เดินตามรอยพระราชา ผู้บริหาร เขาจะมีความรู้มากน้อยเท่าไหร่ก็ตามที่ถอดเอามาจากในหลวงรัชกาลที่ 9 มาทำ มันก็จริงทั้งนั้นใช่ไหม มากน้อยอะไรก็แล้วแต่
แม้แต่พูดถึงเชิงวิชาการอย่างที่เอาของดอกเตอร์อัษฎางค์ มาอ่าน ประกอบอันนี้ ลุงตู่ก็ทำอยู่
เพราะฉะนั้นพวกที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาพูดว่า พลเอกประยุทธ์เป็นเผด็จการ มาทำอะไรต่ออะไรต่างๆนานา เป็นนักปฏิวัติ เป็นกบฏของสังคม ปฏิวัติขึ้นมายึดอำนาจ ทั้งๆที่มันผ่านเหตุการณ์มาจนกระทั่งได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อย่างครบถ้วนกระบวนการของกฎหมายด้วย พฤติกรรมจริง แล้วก็หาว่าเอาเรื่องที่ดินมาเป็นเรื่องขายชาติ
เขามีวิธีการไม่รู้กี่ชั้น แค่ทักษิณเขายังคิดได้เลยว่าจะขายแผ่นดินอย่างนี้ จะเป็นส่วนดีมาให้แก่ประเทศ เป็นโครงการที่ทักษิณทำไว้แล้ว อันนี้เป็นเรื่องที่ยืนยัน ว่าพลเอกประยุทธ์นี้สุดยอด ไม่ได้ติดใจเลยว่าอันนี้เป็นของทักษิณทำไว้ เห็นว่ามันดีก็เอามาใช้ เห็นว่ามันดีมันถูก แล้วพวกที่ด่าก็คือด่าทักษิณเพราะว่าทักษิณทำไว้ก่อน เพียงแต่รัฐบาลนี้เอามาปัดฝุ่นเพื่อให้ได้ประโยชน์รัดกุมมากยิ่งขึ้น ประยุกต์อีกนิดหน่อย แล้วมาหาเรื่องด่า มันก็ด่าอย่างโง่ๆ คนมีปัญญาจะเห็นเลยว่าด่าขายแผ่นดินนี้ โง่
อาตมาจะพูดอย่างปรมัตถ์เลย แผ่นดินไทย ขายแล้วเขาจะขุดเอาไปตั้งในประเทศอื่นได้ไหม ไม่ได้ นั่นก็ 1
-
หลักเกณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่กำหนดว่าจะต้องมีทุนเท่านั้นเท่านี้ อะไรต่ออะไรอาตมา จำไม่ได้หมดไม่รู้กี่ประเด็น ล้วนแล้วแต่เป็นการที่จะพัฒนา ถ้าจะพูดง่ายๆตื้นๆก็คือการสร้างเศรษกิจแบบโลกีย์ คือได้เปรียบ เศรษฐกิจโลกีย์คือ การเอาเปรียบ ได้เปรียบ แต่เศรษฐกิจโลกุตระคือ การเสียเปรียบ เสียสละ
เพราะฉะนั้นอาตมาจึงเห็นแย้งนักเศรษฐศาสตร์ที่พัฒนา GDP เป็นการพัฒนาที่เลว จะต้องได้เปรียบเขา รัฐบาลได้เปรียบจากประชาชนไม่พอ ปีหนึ่ง ปีหนึ่ง GDP ได้เปรียบยังจะไปเอาเปรียบจากต่างประเทศเขาอีก ทั้งๆที่ GDP นี้คือ โดเมสติก คือภายใน แล้วดันเอาเปรียบในทางภายในยังไม่พอเป็น Gross เอามาได้ เอาเปรียบจากผลผลิต Product เอาเปรียบจากอันนี้ไม่พอ ไปเอาเปรียบจากต่างประเทศเขาอีก ไปได้เปรียบคือกำไร เขาเรียกว่ากำไร
เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจของโลกีย์คือเอากำไร เอาเปรียบ เศรษฐกิจของโลกุตระก็คือขาดทุน อาตมาอธิบายไปแล้วเขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง
เมืองไทยรัฐบาลขาดทุนให้แก่ประชาชน อุ้มชูเลี้ยงดูช่วยเหลือ กระจายรายได้ โดยการพัฒนาด้วยระบบของเขานั่นแหละ จากภาษี จากรายได้ที่รัฐได้มา ได้มากพอ แล้วไม่เอาไปกักไปเก็บ จริงจะมีต้นทุนมีคงคลังบ้างพอสมควร
แต่ถ้ายิ่งมีคงคลังน้อยแล้ว สะพัดได้มากแล้วหมุนได้เร็ว นั่นคือเศรษฐกิจที่ยอดเยี่ยม ถ้าเอาไปตั้งเงินคงคลังไว้มากๆเยอะๆแล้วสะพัดออกได้น้อย เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่เลวร้ายล้มเหลวมาก ใช้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นชาวอโศกนี้มาจน แต่ละคนไม่ต้องมีเงินมีทอง ทำงานเสียภาษี 100% แล้วสะพัดออก พวกเราเหลือกินพออยู่พอกิน เหลือกินพอใช้ สะพัด ให้แก่ผู้อื่นได้เรื่อยๆ สุดยอดนักเศรษฐศาสตร์แล้ว
-
ไม่เป็นหนี้ 2. เลี้ยงตัวเองรอด 3. สร้างให้เกิน 4.เอาออกไปกระจายช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น